ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 124: เรื่องน่าดีใจ
บทที่ 124: เรื่องน่าดีใจ
บนชั้นที่สอง
ผู้เฒ่ายวีหัวเราะออกมาอย่างร่าเริง “ไม่มีปัญหา คุณช่วยเราในเรื่องนี้ เมืองไดซานไม่ได้อยู่ไกลจากเมืองเป่าอันมากนัก ผมสามารถเดินทางไปที่นั่นได้”
ดวงตาของฉินเย่เป็นประกายขึ้น “อันที่จริง มันไม่จำเป็นต้องรบกวนคุณเป็นการส่วนตัวก็ได้ครับ แค่คุณส่งคนไปก็พอ….”
“ก็จริงนะ เพราะอย่างไรเสียมันก็เป็นแค่การสอนสดในสำนักผู้ฝึกตนเท่านั้น…..” ชายสูงวัยเอ่ยออกมาด้วยความรู้สึกเดียวกัน
อ๊ากกกก! ฉินเย่รู้สึกอยากจะตบหน้าตัวเองฉาดใหญ่ เด็กหนุ่มรีบเอ่ยเพื่อกู้สถานการณ์ทันที “แต่จะว่าไป…ผมคิดว่ามันคงเป็นเกียรติแก่ทางสำนักฝึกตนแห่งแรกของเรามากหากคุณเดินทางไปที่นั่นด้วยตัวเอง อีกอย่างคุณยังไม่เคยเห็นสำนักของเราเลยใช่ไหมครับ?”
ผู้เฒ่ายวีพยักหน้า “ก็จริง เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้นคุณก็โทรมาเตือนผมล่วงหน้าด้วยก็แล้วกัน ผมไม่ได้พกโทรศัพท์ไว้กับตัว คุณค่อยลงไปขอรายละเอียดที่โม่โม่ของผมข้างล่างก็แล้วกัน”
ในที่สุดปลาก็ติดเบ็ดอย่างที่ดิ้นไม่หลุด
ฉินเย่ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ในที่สุดการเตรียมงานของเขาก็นำเขามาสู่วินาทีแห่งโชคชะตา
มันจะมีผลประโยชน์อะไรที่ยิ่งใหญ่กว่าที่เขาเพิ่งได้รับมาอีก?
ในเมื่อเขาได้คะแนนการสอนนำหน้าคนอื่น ๆ ไปแล้ว เขาก็ควรจะรักษามันตำแหน่งนี้ไว้และนำหน้าต่อไป มันมีเหตุผลอะไรที่ต้องปล่อยให้โอกาสนี้หลุดลอยไปล่ะ?
“ผมขอขอบคุณล่วงหน้าเลยนะครับ” ฉินเย่พยักหน้าและโค้งคำนับคนตรงหน้าอย่างเคารพ จากนั้นจึงเดินลงไปข้างล่างเพื่อขอชื่อบัญชีโม่โม่ของผู้เฒ่ายวี หลังจากนั้นเขาจึงเดินไปขึ้นรถลีมูซีนที่ถูกจัดไว้ให้
“เอ…ทำไมเหมือนมีบางอย่างไม่ถูกต้องแฮะ” ทันทีที่เขาขึ้นไปนั่งบนรถ ใบหน้าของฉินเย่ก็ซีดเผือด มันเหมือนกับเขาได้ลืมเรื่องที่สำคัญมาก ๆ ไป “บ้าเอ๊ย….แล้วรางวัลของเขาที่ทำภารกิจ ‘เขตไล่ล่าที่สาบสูญ’ สำเร็จล่ะ?!”
“นี่เราคุยกับตาเฒ่านั่นจนลืมเรื่องรางวัลไปเสียสนิทเลยอย่างนั้นเหรอ?!”
ในสภาพจิตใจที่ว้าวุ่นของเขา ฉินเย่ไม่ทันได้รู้สึกตัวเลยว่ามีใครบางคนได้ดึงผ้าม่านจากบนตึกด้านหลังให้เปิดออก และเมื่อรถลีมูซีนเคลื่อนที่ออกไปไกลจากห่างสายตาแล้ว มือที่ขาวซีดและเหี่ยวแห้งจึงดึงผ้าม่านปิดลงอีกครั้ง
รอยยิ้มใจดีและชื่นชมบนใบหน้าของผู้เฒ่ายวีได้หายไปอย่างสมบูรณ์ และมันกลับถูกแท้ที่ด้วยรอยยิ้มที่แฝงความหมายลึกสุดจะหยั่ง แววตาของเขามองไปยังนอกหน้าต่างขณะที่ส่ายศีรษะเบา ๆ “เด็กคนนี้…”
“บันทึกมันไว้”
สิ้นสุดเสียงพูด ชายวัยกลางคนร่างผอมบางที่สวมชุดเสื้อคลุมจีนก็เดินออกมาจากด้านหลังของภาพวาดวิวทิวทัศน์ที่อยู่ในห้อง ภายในมือของเขาถือพู่กันและสมุดอยู่
ผู้ฝึกตนขั้นนักล่าวิญญาณ!
นอกจากนี้ เขาได้ยืนอยู่นิ่งอยู่เบื้องหลังของภาพวาดนี้มาโดยตลอด แต่ฉินเย่กลับไม่รู้สึกถึงการมีอยู่ของชายผู้นี้เลยสักนิด!
เขาไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว กลับกัน เขาเพียงจดทุกอย่างลงในสมุดอย่างรวดเร็ว ทุกตัวอักษรถูกเขียนด้วยลายมืออันงดงาม “16 มกราคม ศาสตราจารย์ยวีกั๋วฮุยได้พบกับเจ้าหน้าที่จากหน่วยสอบสวนพิเศษ หมายเลขทะเบียนรหัส S9527”
เมื่อถึงตรงนี้ พู่กันก็หยุดลง “เป็นอย่างไรบ้างครับท่าน?”
ผู้เฒ่ายวีนั่งลงและเอนหลังพิงพนัก เขาเคาะนิ้วตัวเองเป็นจังหวะบนแขนที่กอดอกอยู่ราวกับกำลังครุ่นคิดเรื่องบางอย่าง
หลังจากผ่านไปสักพัก ในที่สุดเขาก็ตอบออกมาว่า “เก่งมาก”
เห็นได้ชัดว่าชายวัยกลางคนเองก็ความคิดเห็นของตัวเองเช่นกัน เขาจึงขมวดคิ้วยุ่งและถามว่า “ขออนุญาตนะครับท่าน แต่นั่นจะไม่เป็นการประเมินที่มากเกินไปหรือครับ?”
ผู้เฒ่ายวียิ้มบาง “คุณไม่คิดอย่างนั้นหรือ?”
คนตรงหน้าลังเลเล็กน้อยก่อนจะตอบด้วยเหตุผลของตัวเอง “ครับ…ขออนุญาตนะครับ แต่ผู้ชายคนนี้…ไหลลื่นราวกับปลาไหล นิสัยใจคอของเขาแตกต่างจากผู้ฝึกตนคนอื่น ๆ มากใบหน้าที่ดูไม่มีพิษมีภัยของเขาสามารถปิดปกอารมณ์ที่ซ่อนอยู่ภายในได้เป็นอย่างดี แม้ว่าจะมีโอกาสดี ๆ มาวางอยู่ตรงหน้า เขาก็ยังเลือกที่จะไม่รับ แต่มันก็ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่ยินดีกับโอกาสที่ได้รับเช่นกัน เพราะแบบนั้นผมจึงเชื่อว่าเด็กคนนี้จะต้องมีอะไรมากกว่าที่แสดงให้เราเห็นแน่ ๆ ผมขอเสนอให้เราจับตาดูเขาอย่างใกล้ชิดครับ”
ผู้เฒ่ายวีไม่ได้เอ่ยอะไร เขาเพียงลุกขึ้นและเดินไปรอบ ๆ หลังจากผ่านไปสักพัก เขาก็พูดขึ้นว่า “ผู้เฒ่าจิน โลกมันเปลี่ยนไปแล้วนะ”
“สังคมในทุกวันนี้ ผู้ฝึกตนจำเป็นต้องปรับตัวไปตามยุคสมัยให้ได้ หากพูดตามตรงยังมีบางอย่างที่ยังน่าสงสัยเกี่ยวกับเด็กคนนี้ แต่หากคุณลองนึกถึงประวัติของเขา และการที่เขาเติบโตที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ผมคิดว่านิสัยลื่นไหลกลับกลอกของเขาจึงเป็นเรื่องที่สามารถเข้าใจได้”
“ในเวลานี้ การนั่งขัดสมาธิและการฝึกฝนอย่างหนักนั้นไม่ได้ให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดอีกต่อไป ข้อมูลเชิงลึกและประสบการณ์เองก็มีความสำคัญไม่ต่างกัน หากจะให้พูดตรง ๆ ก็คือ ทุกสิ่งที่เขาพูดและทำเมื่อครู่นี้เผยให้เห็นวุฒิภาวะที่มากกว่าเพื่อนคนอื่น ๆ ในอนาคตคนแบบเขา…จะต้องไต่ขึ้นไปอยู่ในระดับสูงของหน่วยสอบสวนพิเศษได้แน่ นี่คือเหตุผลว่าทำไมผมถึงยินดีที่จะสร้างสัมพันธ์อันดีและได้เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างชื่อเสียงของเขา”
ชายสูงวัยยิ้มออกมาอย่างภาคภูมิใจ “ไม่เช่นนั้น เพียงแค่ข้อเท็จจริงที่ว่าเขาได้ช่วยแก้ปัญหาเกี่ยวกับหัวข้อวิจัยให้เรา…ไม่อย่างนั้นคงไม่เพียงพอที่จะเชิญให้ผมไปที่สำนักฝึกตนแห่งแรกได้หรอกนะ….”
“นี่ก็คือการลงทุน” ชายวัยกลางคนเข้าใจเหตุผลของคนตรงหน้าในที่สุด
ผู้เฒ่ายวีพยักหน้าและเอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้ผมไม่ประสบความสำเร็จในการก่อตั้งหน่วยจำแนกวิญญาณ พอมาคิดดูแล้ว การตั้งใจทำวิจัยของผมครั้งล่าสุดมันทำให้คนอื่นลืมไปเลยว่าผมเองก็เป็นหนึ่งในสามผู้ก่อตั้งของศูนย์วิจัย SRC เช่นกัน! ผมต้องรอให้พวกเขาเห็นชอบในการตัดสินใจของตัวเองด้วยหรือไง?!”
“หึหึ…พอมาคิดถึงเรื่องที่พวกเขากล้ามาคุยเรื่องการลงคะแนนเสียงกับผม….เอาล่ะ ในเมื่อพวกเขาอยากจะเล่นตามกฎ ผมก็จะเล่นตามกฎเช่นกัน ขอเวลาอีกสักสองสามปี…หรืออาจจะสิบปี….เมื่อถึงตอนนั้น มาแสดงให้คนพวกนั้นเห็นกันใครจะได้หัวเราะเป็นคนสุดท้าย!”
“พวกเขาอาจจะลืมไปว่าอะไรที่เป็นของผม แต่ผมรับรองเลยว่าจะทำให้พวกเขาไม่มีวันลืมอีกเลย”
ชายวัยกลางคนเงียบไป
ผู้เฒ่ายวีหัวเราะ “จะว่าไป ครั้งนี้ผมก็ได้ค้นพบสิ่งที่ไม่คาดคิดด้วย”
“อะไรหรือครับ?”
“เด็กคนนี้…ผมเกรงว่าเขาจะมีผู้สนับสนุนที่ดีไม่เบา” เขาแย้มยิ้มบาง “แม้ว่าในข้อมูลจะบอกว่าเขาไม่ได้ขึ้นตรงกับองค์กรใด ๆ แต่ผมคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ ความเข้าใจเกี่ยวกับดวงวิญญาณของเขามันลึกซึ้งมาก และ…ภูตผีคลุ้มคลั่งอย่างนั้นเหรอ?”
“แม้แต่ผมเองก็ยังไม่เคยได้ยินการจัดประเภทแบบนั้นมาก่อน”
ยวีกั๋วฮุยหรี่ตาลง “แล้ว…ใครเป็นคนคิดคำพวกนี้กัน?”
จากนั้นจึงตอบคำถามของตัวเอง “คนที่คิดคำเรียกนี้ขึ้นมาจะต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับวิญญาณเป็นอย่างดี คำว่า ‘ภูตผีคลุ้มคลั่ง’ จะต้องเป็นคำที่ใช้กันองค์กรแน่ ๆ ในทางกลับกัน องค์การที่อาจมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับวิญญาณ….”
เขาหยุดพูดไปครู่หนึ่ง “นอกจากพวกเราแล้ว มันก็มีเพียงที่เดียวเท่านั้นที่เป็นไปได้…”
ชายวัยกลางคนอ้าปากค้าง “ท่านกำลังหมายถึง…นรกเหรอครับ?”
“ใช่…” ผู้เฒ่ายวีหลับตาลง “นรกเป็นเพียงสถานที่เดียวที่เข้าใจเรื่องของวิญญาณดีที่สุด เมื่อเทียบกับพวกเขาแล้วศูนย์วิจัย SRC ของเราเป็นเพียงเด็กน้อยไปเลย หากไม่ใช่เพราะข้อเท็จจริงที่ว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่เราจะติดต่อกับนรกได้ เราจะพยายามก่อตั้งระบบการแบ่งแยกของเราขึ้นมาเองอย่างนั้นเหรอ? ส่วนเสี่ยวฉิน…ผมคิดว่ามันมีความเป็นไปได้ถึง 70% ที่เขาอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับนรก”
“และข้อเท็จจริงที่ว่าเขาจำเป็นจะต้องปกปิดตัวตนของตัวเองเอาไว้ก็น่าจะเป็นเหตุผลที่แท้จริงว่าทำไมเขาถึงปฏิเสธที่จะเข้าร่วมศูนย์วิจัย SRC ของเรา”
เขายิ้มออกมาและเอ่ยต่อว่า “นอกจากนั้น มันยังเป็นเหตุผลด้วยว่าทำไมผมถึงยอมตกลงที่จะเดินทางไปที่สำนักฝึกตนแห่งแรก เพื่อนั่งดูการบรรยายสดครั้งแรกของเขา หากเขามีส่วนเกี่ยวข้องกับนรกจริง ๆ เขาจะต้องเผยข้อมูลสำคัญบางอย่างออกมาตอนบรรยายแน่ ๆ …เหมือนอย่างที่เขาเปิดเผยข้อมูลให้เราในวันนี้”
ชายวัยกลางคนเงียบไปครู่หนึ่ง “ท่านครับ เราควร…”
“ไม่!” ผู้เฒ่ายวีเอ่ยออกมาอย่างดื้อรั้นขณะที่เอ่ยต่อว่า “จำเอาไว้ เราไม่ควรถามฮีโร่ว่าเขามาจากไหน ศัตรูตัวฉกาจอยู่ใกล้แค่เอื้อม พวกเราไม่ควรไล่ตามหาคำตอบของสิ่งที่ตัวเองสงสัยเกี่ยวกับต้นกล้า เพียงเพราะความเป็นไปได้ที่คาดไม่ถึง! ตราบใดที่เขายังเป็นมนุษย์ ตราบใดที่เขายืนหยัดอยู่เคียงข้างมนุษยชาติ ความกังวลในเรื่องอื่น ๆ ก็ไม่สำคัญอีกต่อไป!”
ชายวัยกลางคนไม่ได้พูดอะไร เขาหยิบพู่กันขึ้นมาจดทุกอย่างลงไปในสมุด หลังจากผ่านไปสักครู่เขาก็วางพู่กันลง เขียนทุกอย่างเสร็จในที่สุด
“บันทึกพร้อมหรือยัง?” ผู้เฒ่ายวีหลับตาลงอีกครั้ง วันนี้เขาเหนื่อยมากจริง ๆ “เชิญคุณออกไปก่อนเลย ผมจะขอพักสักหน่อย….”
…………………………….…………
ฉินเย่เองก็เหนื่อยจนแทบจะสลบเช่นกัน
เขาไม่ได้นอนมาสองวันติด ถึงแม้ว่าสมรรถภาพทางร่างกายของผู้ฝึกตนจะดีกว่าคนธรรมดามาก แต่พวกเขาก็ยังต้องการการพักผ่อนอยู่ดี อาร์ทิสบอกกับเขาว่ามีเพียงตอนที่เขาเลื่อนขึ้นไปเป็นยมทูตขาวดำแล้วเท่านั้น เขาถึงจะไม่จำเป็นต้องนอนหลับอีกต่อไป
จากที่อีกฝ่ายบอก การก้าวสู่ขั้นยมทูตขาวดำนั้นเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญมากสำหรับยมทูตทุกตน ขั้นยมเทพนั้นเป็นเหมือนกับผู้ส่งสาส์น ขั้นนักล่าวิญญาณอยู่ในระดับของผู้จดบันทึก แต่อันดับของพวกเขาไม่ได้สูงมากนัก ยมทูตหัววัวหน้าม้าและยมทูตตนอื่นต่างอยู่ในระดับปฏิบัติการ สูงกว่านั้นคือยมทูตขาวดำ พวกเขาจะได้รับมอบหมายให้มีหน้าที่ดูแลเมืองแห่งวิญญาณทั้งเมือง นี่คือช่วงเวลาที่พวกเขามีความสำคัญอย่างแท้จริงในแผนการอันยิ่งใหญ่นี้
นอกจากนี้ มันยังมีการเปลี่ยนแปลงในเชิงคุณภาพที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ เมื่อขึ้นเป็นขั้นยมทูตขาวดำแล้ว คุณจะสามารถเดินทางไปไหนมาไหนได้ในเวลากลางวัน
วิญญาณดวงอื่น ๆ สามารถท่องไปในดินแดนต่างๆได้แค่ในเวลากลางคืนเท่านั้น ในอีกด้านหนึ่ง ยมทูตขาวดำสามารถใช่ร่างยมทูตของเขาเดินทางไปไหนมาไหนในตอนกลางวันได้โดยไม่ต้องเข้ายืมร่างของมนุษย์ แม้ว่าจะอยู่ในระยะเวลาที่จำกัดก็ตาม ตามที่อาร์ทิสพูดเอาไว้ กลุ่มยมทูตที่อยู่ต่ำกว่าขั้นฝู่จวินลงไปยังไม่สามารถสัมผัสกับแสงแดดได้ทั้งวัน โดยเฉพาะในเวลาเที่ยงวัน
ฉินเย่ยังไม่ใจว่าเขาจะทำอย่างไรเกี่ยวกับการเพิ่มแต้มกุศลเพื่อเลื่อนเป็นชั้นตำแหน่งสู่ขั้นต่อไป ในฐานะของนักล่าวิญญาณ การปัดเป่าวิญญาณอาฆาตขั้นยมเทพดูเหมือนจะไม่ได้แต้มกุศลเพิ่มอีกต่อไป นอกจากนี้ก็แทบจะไม่มีวิญญาณขั้นนักล่าวิญญาณอยู่ในเมืองเป่าอันแล้ว เขาคงต้องรอให้สิ้นสุดการสอนสองปีของเขาก่อน จากนั้นจึงถูกย้ายไปที่เมืองอื่นก่อนที่จะหาแหล่งในการเพิ่มแต้มกุศลแหล่งต่อไป
จะว่าไป เขาก็ไม่ได้รีบอะไรอยู่แล้ว เพียงสองปี…สองปีนี้เขาจะต้องพยายามรวบรวมทรัพยากร สร้างเกราะป้องกันและปราบปรามของตนเอง นี่คือเส้นทางสู่การเป็นราชา
ฉินเย่ข่มตาหลับไปทั้งที่ยังมีความคิดนี้อยู่ภายในหัว
“มือซ้ายถือครองพื้นพิภพ มือขวาถือครองแดนสวรรค์ สายอสนีบาตอุบัติขึ้นกลางฝ่ามือ…กาลเวลาผันเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว…สามพันชาติภพผ่านไปในชั่วพริบตา….” [1]
ท่ามกลางอาการสะลึมสะลือของเขา เสียงเพลงที่ชัดเจนดังเข้ามาในหู มันไพเราะและงดงาม เด็กหนุ่มอ้าปากหาว บิดตัวไปมา และล้มตัวลงนอน เตรียมที่จะกลับสู่ห้วงนิทราอีกครั้ง
แต่หลังจากผ่านไปสิบวินาที…
“มือซ้ายเด็ดดอกบุปผาและมือขวาแกว่งไกวกระบี่ เกล็ดหิมะล้านปีร่วงลงมาตรงหน้า หยาดน้ำตา ฮาฮ๊าฮาฮะฮาาา~…นั่นคือข้า ฮะฮาฮ๊าฮาาา~!!!”
“ให้ตายเถอะ!!!” ทันใดนั้นเสียงไพเราะของหญิงสาวก็เปลี่ยนเป็นเสียงของหญิงทรงอำนาจ เขาถูกเคลื่อนย้ายจากสระน้ำอันเงียบสงบไปยังที่ราบสูงในทิเบตด้วยเสียงโซปราโนอันทรงพลัง ฉินเย่ลุกขึ้นนั่งราวกับปลาที่ขาดน้ำ ร่างของเขาเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ
“เอ่อ….” ฉินเย่สวมเสื้อกล้ามสีดำ เขานวดคลึงขมับของตัวเอง “เจ้าช่วยใช้ชีวิตที่มีอยู่อย่างจำกัดไปกับสิ่งที่มันมีความหมายมากกว่านี้ไม่ได้หรือ? เจ้ารู้หรือไม่ว่าในสายตาของข้า ตอนนี้เจ้ากลายเป็นคนติดการเล่นอินเทอร์เน็ตไปแล้ว? ข้าต้องพาเจ้าไปพบกับเทพเจ้าแห่งการบำบัดด้วยไฟฟ้า หยางหย่งซิน แล้วหรือเปล่าเนี่ย?”
“เขาคือผู้ใดกัน?” ซูตงเซวี่ยนอนอยู่ที่ปลายเตียง กำลังใช้คอมพิวเตอร์ตามคำสอนของอาร์ทิส
“ข้ามสามตอนแรกไปเลย ข้าดูหมดแล้ว….นี่ ข้ากำลังพูดกับเจ้าอยู่นะ นี่เจ้ามองไปทางใดกัน?” อาร์ทิสเอ่ยขึ้นโดยที่ไม่ละสายตาจากหน้าจอ
“หืม…เอ๋?” ซูตงเซวี่ยละสายตาหลงใหลออกมาจากร่างของฉินเย่ทันที เด็กหนุ่มมองเห็นร่องรอยแห่งความเสียใจในแววตานั้น ร่างของเขาสั่นเทาเล็กน้อยก่อนที่ฉินเย่จะรีบสวมเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว “นี่กี่โมงแล้ว?”
“ตี 01.42 น. เจ้านอนหลับไปนานกว่าสิบชั่วโมง” อาร์ทิสเหลือบมองหน้าจอคอมพิวเตอร์และเอ่ยต่อว่า “หากเจ้าไม่มีอะไรแล้ว ข้าจะกลับไปที่เมืองเป่าอัน…”
ฉินเย่ลุกขึ้นเพื่อไปอาบน้ำ หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ผลักหน้าให้อีกฝ่าย มันไม่มีอะไรแล้วในเมืองไดซานที่เขาต้องการความช่วยเหลือจากอาร์ทิส
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ชั้นเรียนจะเริ่มขึ้นในวันพรุ่งนี้และดำเนินไปเป็นเวลา 60 วันติดต่อกัน เมื่อทั้งหมดจบลง พวกเขาจะกลับไปที่เมืองเป่าอันและเริ่มเปิดภาคการศึกษาของสำนักฝึกคนแห่งแรกอย่างเป็นทางการ สิ่งเดียวที่เหลืออยู่ในตอนนี้ก็คือการเจรจากับทางบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เถิงหลงให้เสร็จสิ้น
ถึงแม้ว่าเขาจะได้เจอเรื่องประหลาดใจจากการมีปฏิสัมพันธ์กับยวีกั๋วฮุน แต่เขาก็ยังไม่ลืมเป้าหมายแรกในการมาที่เมืองไดซานของตัวเอง
“ดี วายฟายของที่นี่ช้าชะมัด ข้าดูซีรีส์ไม่ได้เลย” อาร์ทิสคิดจะพูดเป็นรอบที่สอง ทันทีที่นางเอ่ยจบ นางก็กางปีกและพุ่งออกนอกหน้าต่างไปทันที
ฉินเย่มองนางบินห่างออกไปและยกมือเกาศีรษะของตัวเอง “ทำไมข้าถึงรู้สึกว่านางลืมอะไรบางอย่าง…อะไรกันนะ?”
หลังจากที่คิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ถูกกระแทกด้วยความจริงบางอย่าง เด็กหนุ่มรีบหันไปมองที่หลังห้องทันที
อาร์ทิส….ลืมซูตงเซวี่ยเอาไว้!
อย่างไรก็ตาม เวลานี้…ร่างของซูตงเซวี่ยไม่ได้อยู่ภายในห้องอีกต่อไป
“นายท่านเจ้าขา….” เสียงหงุงหงิงดังออกมาจากใต้ผ้าห่มนุ่มนิ่มที่ฉินเย่เพิ่งลุกออกมา
ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ซูตงเซวี่ยปีนขึ้นไปบนเตียงและห่มร่างโปร่งใสของตัวเองเอาไว้ ต้นขาขาวนวลของนางโผล่ออกมาให้เห็น มือข้างหนึ่งใช้เท้าคางที่โค้งอย่างสวยงามเอาไว้ ในขณะที่มืออีกข้างหนึ่งใช้ม้วนปอยผมของตัวเองอย่างซุกซน น้ำเสียงที่เอ่ยออกมานั้นยั่วยวนและมีเสน่ห์
“ราตรีนี้ยังอีกยาวนานนัก และเราทั้งคู่ก็ไม่ได้มีความคิดที่จะหลับอีกต่อไป เหตุใดเราไม่…มาทำอะไรที่มันมีความหมายมากกว่านี้สักนิดเล่าเจ้าคะ?”
หญิงสาวสูดหายใจเข้าลึก ๆ “กลิ่นกายของท่าน…ช่างหอมยิ่งนัก”
[1] เพลงมือซ้ายเอื้อมจันทรา (左手指月) ที่ร้องโดยซ่าติงติง
[2] หยางหย่งซิน คือแพทย์ในประเทศจีนที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการติดอินเทอร์เน็ตและผู้อำนวยการของศูนย์บำบัดการเสพติดอินเทอร์เน็ตแห่งหนึ่ง เขามีชื่อเสียงในเรื่องการบำบัดโดยการใช้ไฟฟ้า และวิธีการบางอย่างของเขานั้นถือได้ว่าเป็นรูปแบบของการล้างสมองของผู้ป่วยซึ่งถูกเรียกว่าค่ายกักกันสมัยใหม่