ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 125: วิธีปิดปาก?
บทที่ 125: วิธีปิดปาก?
ห้องหนึ่งห้อง
ชายหนึ่งคน
และสาวสวย…ที่เป็นวิญญาณอีกหนึ่งตน
และแล้วบรรยากาศก็ดูเหมือนจะร้อนขึ้นเรื่อย ๆ ….
วินาทีนี้ ร่างของซูตงเซวี่ยแนบชิดกับร่างของฉินเย่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เมื่อไม่นานมานี้นางได้ดูดซับพลังหยางเล็กน้อย และมันก็ทำให้ร่างของนางไม่ได้เย็นชืดเหมือนกับเมื่อก่อน แต่ถึงอย่างนั้น ร่างของนางก็ยังคงเลือนราง ฉินเย่ก็ทำได้เพียงดูเรือนร่างงดงามขยับเข้ามาใกล้ช่วงอกกว้างของตัวเอง ไม่สามารถโอบกอดร่างตรงหน้าได้แม้ว่าจะต้องการก็ตาม
ให้ตายเถอะ…ฉันจินตนาการถึงวันนี้มาตลอดเชียวนะ! แต่สุดท้ายพอวันนี้มาถึง เขากลับพบได้ว่าการทำอะไรไม่ได้มันทรมานมากแค่ไหน!!
อย่างน้อยก็น่าจะเอาตุ๊กตายางมาให้สักตัวก่อนสิ!! เจ้าจะมาสัมผัสและแกล้งข้าแบบนี้ได้อย่างไรกัน?! นี่มันมากเกินจะไปแล้ว!
“ใจเย็น ๆ…” หากพูดกันตามตรง ฉินเย่ไม่ใช่ผู้วิเศษ หลังจากที่ใช้ชีวิตมานานแสนนาน และมีประสบการณ์ในด้านนี้อยู่บ้าง แต่มันก็ผ่านมานานมากแล้วจากครั้งล่าสุด และเขาก็จำไม่ได้แล้วว่าตัวเองควรจะมีปฏิกิริยาอย่างไร ในสถานการณ์แบบนี้แล้วด้วย!
“แต่ข้าก็ใจเย็นมากแล้วนี่นา….” ผมนุ่มสลวยของซูตงเซวี่ยกระจายไปพันอยู่รอบคอและท่อนแขนของฉินเย่ จากนั้นนางจึงยกมือขึ้นลูบลูกกระเดือกของเด็กหนุ่มเบา ๆ และโน้มแก้มของตนแนบชิดกับแก้มของอีกฝ่ายพร้อมกับกระซิบว่า “แต่จะว่าไป…เหตุใดร่างของท่านจึงร้อนขนาดนี้?”
หญิงสาวยิ้มบาง ฉินเย่รู้สึกราวกับโลกของเขาเหวี่ยงไปมาอย่างแรงเมื่อเห็นลักยิ้มที่งดงามทั้งสองข้างของวิญญาณตรงหน้า
“เพราะห้องร้อนอย่างนั้นหรือ?” นางยกมืออีกข้างหนึ่งขึ้นมาลูบแก้มของฉินเย่เบา ๆ แม้ว่ามือของซูตงเซวี่ยจะค่อนข้างเย็น แต่เมื่อเทียบกับความร้อนบนใบหน้าของเขาแล้ว สัมผัสนั้นกลับสบายมาก
หญิงสาวค่อย ๆ ไล่นิ้วมือจากบริเวณอกลงไปที่เข็มขัด “หรือว่าร้อนที่ตรงนี้?”
ฉินเย่กลับมาได้สติในทันที
มือของนางก็ล้วงเข้าไปในกางเกงของเขาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้…เขากลับถูกปลุกด้วยความรู้สึกเย็นยะเยือก
ซูตงเซวี่ยรีบกระโดดถอยห่างออกมาราวกับงูตื่น เมื่อนางเห็นฉินเย่ยกคิ้วขึ้นอย่างโมโห นางกระแอมออกมาเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยว่า “ข้าเพียงแต่อยากจะแกล้งท่านเล่นเท่านั้น…โปรดอย่าถือสาข้าเลย”
ด้วยรอยยิ้มที่น่ากลัวบนใบหน้า ฉินเย่เดินเข้าไปหาอีกฝ่ายและเชยคางของนางขึ้น คนธรรมดาอาจจะไม่สามารถสัมผัสกับร่างของนางได้ แต่ฉินเย่นั้นต่างออกไป
“เช่นนั้นข้าก็ขอเตือนเจ้าเอาไว้เลยก็แล้วกัน ข้าไม่ชอบเรื่องตลกแบบนี้” น้ำเสียงของฉินเย่นั้นนุ่มนวลและแผ่วเบา แต่มันกลับทำให้ร่างของซูตงเซวี่ยสั่นเทาอย่างไม่สามารถควบคุมได้ จู่ ๆ นางก็รู้สึกถึงคลื่นแห่งความน่ากลัวที่แผ่ซ่านออกมาจากร่างของเด็กหนุ่มที่ดูเหมือนจะไม่มีพิษมีภัยคนนี้ อันที่จริง แรงกดดันจากคนตรงหน้านั้นมหาศาลกว่าที่นางเคยสัมผัสด้วยนกกระเรียนกระดาษก่อนหน้านี้เสียอีก
“ชะตากรรมของเจ้าอยู่ในมือข้า หากเจ้ากล้าล้ำเส้นอีกครั้ง เจ้าได้สูญสลายไปจริง ๆ แน่”
ซูตงเซวี่ยกัดปากของตัวเองและพยักหน้าอย่างหนักแน่น
ฉินเย่ยืดตัวตรงและเอ่ยว่า “ข้าไม่สนใจว่าเจ้าจะกระทำตัวเช่นไรในนรกของข้า แต่เจ้าควรจะระวังพฤติกรรมของตัวเองในการปฏิบัติตนกับข้าให้ดี เจ้าคิดว่าข้าเป็นเพียงเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งอย่างนั้นหรือ? เจ้าคิดว่าข้าเป็นพวกที่จะยอมพลาดท่าเพราะตัณหาหรืออย่างไร?”
เด็กหนุ่มจัดระเบียบเสื้อผ้าของตน อย่างผมให้เรียบร้อยและเอ่ยต่อว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดอาร์ทิสจึงทิ้งเจ้าไว้ที่นี่?”
เขาไม่เคยคิดเรื่องนี้มาก่อน แต่การแกล้งหยอกเย้าของซูตงเซวี่ยเมื่อครู่ทำให้เขาเข้าใจในทันที
ซูตงเซวี่ยส่ายศีรษะ
นางเป็นคนที่มีรูปร่างหน้าตาแตกต่างจากนิสัยภายในมาก หากมองภายนอก นางอาจจะดูใจเย็นและเหมือนลูกแมวเชื่อง ๆ ตัวหนึ่ง ทว่าภายในนั้นนางกลับเหมือนงูที่ไหลลื่นและมีพิษ ฉินเย่ไม่คิดที่จะตัดสินผู้อื่นจากวิถีชีวิตของคนคนนั้น ทุกคนล้วนมีคุณค่าในตัวเอง และเขาก็มีความสุขที่จะใช้ชีวิตและปล่อยให้คนพวกนั้นมีชีวิตอยู่ ตราบเท่าที่ไม่ล้ำเส้นที่เขากำหนดไว้
หรืออีกความหมายหนึ่งก็คือ…
เขาไม่ได้สนใจซูตงเซวี่ยเลยสักนิด
ฉินเย่หยิบเศษตราจ้าวนรกออกมาและสั่ง “จับชายเสื้อของข้าเอาไว้”
เขาเริ่มไหลเวียนพลังหยินของตัวเอง เศษตราเริ่มเปล่งแสงประกายสีแดงสด และขณะที่แสงดังกล่าวสว่างมากขึ้นเรื่อย ๆ ฉินเย่ก็เอ่ยขึ้นว่า “ยมโลกแห่งเก่าได้ล่มสลายไปแล้ว และเรากำลังอยู่ในขั้นตอนของการสร้างยมโลกขึ้นมาใหม่อีกครั้ง นี่เทียบได้กับการสร้างโลกทั้งใบขึ้นมาใหม่ งานที่ต้องทำนั้นมากเกินกว่าที่เจ้าจะจินตนาการได้ ในฐานะเจ้าแห่งนรกคนใหม่ สิ่งที่ข้าต้องการมากที่สุดก็คือกำลังคน เจ้าถือว่าโชคดีมากนะ”
ใช่แล้ว อาร์ทิสได้เคยพูดเอาไว้ว่านางจะไม่พาเขาไปนรกอีก
นี่คือโลกของเขา และเขาก็เป็นพระเจ้าของโลกนี้ พระเจ้าไม่จำเป็นต้องมีคนคอยแนะนำ และเขาก็ต้องเรียนรู้การเป็นพระเจ้าด้วยตัวเอง
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ซูตงเซวี่ยคือบททดสอบแรกที่อาร์ทิสมอบให้กับเขา
พรึ่บ…ลำแสงตรงหน้าสว่างสว่างวาบจนต้องหลับตา และแม้ว่าจะได้เตรียมใจเอาไว้แล้ว แต่ฉินเย่ก็ต้องสบถออกมาอย่างไม่สามารถห้ามได้เมื่อเขาลืมตาขึ้นอีกครั้ง “เฮ้ย!!!!!”
คน… ไม่สิ วิญญาณ
วิญญาณเต็มไปหมดทุกที่!
มีวิญญาณอยู่ที่นี่อย่างต่ำสองหมื่นตน! เมื่อจำนวนของมันเพิ่มขึ้นจนมากเกินหมื่น ฉินเย่ก็ไม่สามารถบอกจำนวนที่แน่นอนได้อีกต่อไป ตอนนี้ฉินเย่ก็ไม่แน่ใจนักว่ามันมีอยู่ทั้งหมดเท่าไหร่
“วิญญาณพวกนี้มาถึงที่นี่ภายในเวลาเพียงสัปดาห์เดียวได้อย่างไร…” เขาสูดหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อสงบสติอารมณ์ของตัวเอง
“ใจเย็น ๆ…เราเป็นพระเจ้าของที่นี่ นี่คือประชาชนของเรา และมันก็ไม่มีอะไรให้ต้องกลัว…” เขาพึมพำกับตัวเอง หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ดวงตาคู่คมก็ลืมขึ้นอีกครั้ง และครั้งนี้ ความมุ่งมั่นในดวงตาก็ฉายชัดออกมา
เด็กหนุ่มเดินไปที่ประตูนรกอย่างช้า ๆ พร้อมกับสังเกตสภาพแวดล้อมโดยรอบไปด้วย จากการทะเลาะวิวาทเมื่อตอนนั้นได้สอนบทเรียนให้แก่เขาแล้ว การหายไปของกงล้อแห่งสังสารวัฏทำให้ดวงวิญญาณในนรกทั้งหมดยังคงมีความรู้สึกและความทรงจำจากชาติที่แล้วของตนหลงเหลืออยู่ หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ นรกที่เห็นอยู่ในตอนนี้ เป็นเพียงสังคมเล็ก ๆ แห่งหนึ่งเท่านั้น และวิญญาณที่เขาเห็นอยู่นี้ก็เป็นเพียงหุ่นเชิดที่ถูกพันด้วยส่ายเอ็นของตัวเอง
เขามองไปยังลานที่อยู่ตรงหน้าของประตูนรก ซึ่งเป็นจุดที่กระถางธูปขนาดใหญ่ตั้งอยู่ มันถูกล้อมรอบด้วยชั้นแสงสีขาวบริสุทธิ์พร้อมกับมีสัญลักษณ์สีทองจำนวนนับไม่ถ้วนลอยอยู่รอบ ๆ เปล่งประกายด้วยรัศมีแห่งพุทธ
มีวิญญาณมากมายรวมตัวกันอยู่ที่ประตู หลบตัวออกห่างจากแสงสีขาวนั้น บางกลุ่มนั่งอยู่รอบ ๆ บางกลุ่มก็พูดคุยกัน ในขณะที่บางกลุ่มกำลัง…ล้อมวงเล่นไพ่เนี่ยนะ?
ถึงตอนนี้ วิญญาณพวกนี้ก็คงจะคุ้นชินกับข้อเท็จจริงที่ว่าผู้มาใหม่ทั้งหมดจะต้องหลั่งไหลมาที่นี่แล้ว เพราะแม้ว่าฉินเย่จะมาปรากฏตัวแค่เพียงคนเดียว เหล่าวิญญาณที่อยู่โดยรอบก็เพียงหันมามองเขาอย่างเรียบเฉยเท่านั้น ไม่มีใครเข้ามาคุยกับเขาเลยสักคน
“นายท่าน ความรู้สึกของพวกเขาช่างซับซ้อนยิ่งนัก” เมื่อเห็นว่าฉินเย่เดินเข้าไปใกล้กลุ่มวิญญาณตรงหน้า ซูตงเซวี่ยก็เอ่ยเอ่ยออกมา
“เจ้าสามารถบอกได้อย่างนั้นหรือ?” ฉินเย่ถาม
นางพยักหน้าก่อนจะเอ่ยว่า “ทักษะการสังเกตเป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับอาชีพที่ข้าทำ เพื่อที่จะรู้ได้ว่าแขกคนใดสนใจในตัวเรา เราจะต้องสามารถเข้าถึงและเข้าใจความคิดของพวกเขาจากการแสดงออกอันเล็กน้อย รวมทั้งสังเกตพฤติกรรมของพวกเขาด้วย นี่เป็นบทเรียนแรกที่พวกข้าทุกคนจะต้องพบเจอ” ซูตงเซวี่ยพยายามอย่างถึงที่สุดเพื่อที่จะสร้างความประทับใจให้กับฉินเย่
“และจากการที่ข้าเห็นพวกที่ถอนหายใจยาวนั่นแสดงให้เห็นถึงความโศกเศร้า พวกเขาไม่รู้เลยว่าต่อไปตนจะต้องเจอกับสิ่งใด หนทางข้างหน้านั้นมืดมัวและไม่แน่นอน”
“พวกที่ไม่สีหน้าเรียบเฉย แสดงออกถึงความคุ้นชิน พวกเขาชินชากับทุกอย่างที่นี่ และไม่แสวงหาการเปลี่ยนแปลงใด ๆ แล้ว”
“พวกที่ขมวดคิ้วแสดงถึงความวิตกกังวล พวกเขากำลังคาดเดาถึงการเปลี่ยนแปลง และต้องการให้มันเกิดขึ้น แต่พวกเขาก็กลัวการเปลี่ยนแปลงนั้นเช่นกัน แต่….” นางแย้มยิ้มจาง ๆ และโน้มตัวเข้าหาฉินเย่ “การแสดงออกที่ข้าพบเห็นส่วนใหญ่ที่นี่คือพวกที่ขมวดคิ้วเป็นครั้งคราว และก้าวเท้าเดินไปมาโดยไม่รู้ตัว…นายท่าน เหตุใดท่านจึงมองข้าเช่นนั้น?”
ฉินเย่มองซูตงเซวี่ยอย่างครุ่นคิด ไม่เลว…การแสดงสีหน้าท่าทางพวกนี้ไม่ใช่เรื่องยากที่จะอ่านออก แต่มีน้อยคนนักที่จะสามารถเข้าใจเรื่องพวกนี้อย่างละเอียดได้ด้วยการมองเพียงครั้งเดียวแบบนาง สภาพแวดล้อมการทำงานที่พิเศษกว่าปกติ ทำให้นางมีความสามารถพิเศษ เป็นความจริงที่ว่านางทักษะการอ่านคนที่รวดเร็วนี้ของนาง จะช่วยให้นางทำงานได้ดียิ่งขึ้น
และความสามารถนี้ของนางก็เหมาะอย่างยิ่ง สำหรับหน้าที่เป็นผู้ตรวจสอบอดีตกรรมของเขา นอกจากนี้นางยังมีความสามารถในการลอกเลียนแบบด้วย
“ไม่มีอะไร พูดต่อเถอะ”
ซูตงเซวี่ยพยักหน้าและเอ่ยต่อด้วยเสียงที่เบาลง “ดวงวิญญาณที่มีการแสดงออกที่ไม่ชัดเจน ข้าสามารถบอกได้ว่า…พวกเขากำลังวิตกกังวล”
ฉินเย่มองไปตามสายตาของอีกฝ่ายและพบว่าวิญญาณส่วนใหญ่มองไปยังสภาพแวดล้อมรอบ ๆ ตัวของตนเองและเปลี่ยนท่าทางเป็นบางครั้ง แต่ทันทีที่พวกเขาสบตากับฉินเย่ นัยน์ตาก็ดูดุร้ายยิ่งขึ้น
มันเป็นสัญชาตญาณการป้องกันตัวของสัตว์ที่อ่อนแอกว่า
“กำลังจะมีบางอย่างเกิดขึ้น” ฉินเย่ละสายตาจากอีกฝ่าย ประสบการณ์ชีวิตที่มากมายทำให้เขาสามารถประเมินสถานการณ์ตรงหน้าได้อย่างชัดเจน บรรยากาศที่กระสับกระส่ายในนรกไม่เคยเป็นลางดีเลยสักครั้ง
“นี่เพิ่งผ่านไปแค่สัปดาห์เดียว แต่วิญญาณที่นี่กลับรู้สึกหลงทางและกระสับกระส่ายเสียแล้ว พวกเขารู้เพียงแต่ต้องปกปิดความหวาดกลัวภายในใจเท่านั้น….” เขาพึมพำกับตัวเองเบา ๆ
“ซูตงเซวี่ย หน้าที่ของเจ้าที่นี่ก็คือ….นางหายไปไหนกัน?!”
เมื่อครู่อีกฝ่ายยังอยู่ข้าง ๆ เขาอยู่เลย แต่ตอนนี้นางกลับหายตัวไปแล้ว ฉินเย่ก็รีบหันไปมองรอบ ๆ และก็แทบจะตาบอดไปกับสิ่งที่เห็น!
ห่างออกไปไม่ไกลนัก ซูตงเซวี่ยกำลังนั่งคล่อมอยู่บนร่างที่ดูน่าจะเป็นนักศึกษา เด็กหนุ่มมีคิ้วหนาและดวงตากลมโต และน่าจะสูงประมาณ 180 เซนติเมตร ตาคมจ้องมองร่างของซูตงเซวี่ยที่นั่งอยู่บนตักของตนอย่างงงงวย
“น้องชาย เจ้าตายมานานเพียงใดแล้ว?” ซูตงเซวี่ยโอบแขนของตนไว้รอบไหล่ของเด็กหนุ่มราวกับงูเลื้อย “น่าเสียดายยิ่งนักที่คนหล่อ ๆ แบบเจ้าต้องตาย…ทำไมเราไม่มาทำอะไรที่มีความหมายด้วยกันล่ะ? ข้าสามารถสอน….อะแฮม!!…เอ่อ นายท่าน…”
ฉินเย่เดินไปหยุดอยู่ข้าง ๆ นางและยิ้มเย็น “เจ้าลืมคำเตือนของข้าก่อนหน้านี้ไปแล้วสินะ?”
หน้าที่มุ่ยเล็กน้อยของซูตงเซวี่ย ยิ่งเป็นการตอกย้ำถึงความงดงามอันไร้ที่ติของนาง นักศึกษาหนุ่มรีบผลักนางออกจากตักของตัวเองทันที หญิงสาวปัดไหล่ของตนอย่างไม่พอใจนัก “…ข้าก็รักษาสัญญาที่ว่าข้าจะไม่ยั่วยวนท่านอีกต่อไป…หรือว่าท่านกำลังหึงข้าอยู่?”
ข้าเนี่ยนะหึงเจ้า?!
ฉินเย่รู้สึกโกรธคนตรงหน้าอย่างมากจนต้องหัวเราะออกมาแทน จากนั้นจึงเอ่ยลอดไรฟันว่า “แม่นางซู ตอนนี้เจ้าเป็นถึงตัวแทนของนรก เจ้าช่วยอย่าทำให้ชื่อของนรกต้องเสื่อมเสียเพราะการกระทำของเจ้าได้หรือไม่? ในยมโลกนั้นมีชายหนุ่มหน้าตาดีมากมาย เจ้าจะสามารถกักตัวพวกเขาไว้ในที่พำนักของตัวเองตามใจชอบหลังจากนี้ แต่ตราบใดที่เจ้ายังปฏิบัติหน้าที่อยู่ เจ้าจะต้องควบคุมความประพฤติของตนเองให้ดีที่สุด”
ซูตงเซวี่ยพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง ฉินเย่จึงหันหลังและเดินจากไป หญิงสาวเหลือบมองนักศึกษาหนุ่มอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะรีบวิ่งตามฉินเย่ไป ทว่ายังไม่ทันที่ฉินเย่จะเดินไปได้สองก้าว เสียงหนึ่งก็เรียกเขาเอาไว้จากด้านหลัง “น้องชาย หยุดก่อน นายอย่าไปทางนั้นนะ”
ฉินเย่จึงหันกลับไปมองนักศึกษาหนุ่มอย่างตกใจ “มันมีอะไร?”
นักศึกษาหนุ่มรีบวิ่งไปหาคนตรงหน้าและจับไหล่ของอีกฝ่ายเอาไว้ ขณะที่เขาคิดจะลากฉินเย่กลับไป เท้าของเขาก็ต้องชะงักค้างอยู่กับที่
ในวินาทีต่อมา ปากของเขาก็อ้าออกกว้าง นักศึกษาหนุ่มจ้องมองฉินเย่ด้วยดวงตาที่เบิกโพลง ร่างทั้งร่างเริ่มสั่นเทาอย่างไม่สามารถควบคุมได้
อุ่น…
ร่างของวิญญาณตรงหน้าของเขาอุ่น!
ไม่… นี่มันไม่ใช่วิญญาณ… นี่มัน…
เมื่อเห็นว่าคนตรงหน้ากำลังจะกรีดร้องออกมา ฉินเย่ก็รีบยกมือเพื่อที่จะปิดปากของนักศึกษาหนุ่มเอาไว้ เขาไม่อยากให้ตัวตนของเขาถูกเปิดเผยเร็วขนาดนี้
การปิดปากของนักศึกษาตรงหน้าเอาไว้จึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในตอนนี้
แต่ทันใดนั้นเอง…ขณะที่เขายกมือขึ้นมา ร่างอันสมส่วนก็พุ่งไปข้างหน้าราวกับเทพเจ้าและประกบปากของตนลงกับปากของนักศึกษาหนุ่ม
ทุกอย่างหยุดชะงักไปทันที
ฉินเย่มองมือของตัวเองอย่างงงงวย นี่นาง….เป็นยมทูตอย่างนั้นหรือ…? ทำไมปฏิกิริยาตอบสนองของนางจึงไวกว่าเขาที่อยู่ขั้นนักล่าวิญญาณเสียอีก? หรือว่ามันมาจากสัญชาตญาณพื้นฐานของนางกันแน่?
นักศึกษาหนุ่มเบิกตากว้าง หลังจากชะงักค้างไปสามวินาทีเต็ม เขาก็ได้สติและพยายามจะผลักร่างของซูตงเซวี่ยออกไป ทว่านางกลับเป็นเหมือนกับหมากฝรั่งเหนียว ๆ ที่ติดอยู่ที่ปากของเขาไม่มีผิด
“อึก… อื้อ!!”
ฉินเย่เงียบ
…ทำไมมันถึงดูเหมือนว่านางจะพยายามหาโอกาสที่จะทำอะไรแบบนั้นอยู่ตลอดเวลากัน? นางแทบจะเหมือนกับหมาบ้าที่เอาแต่จ้องผู้ชายหล่อ ๆ คอยฉวยโอกาสจู่โจมคนอื่นตลอดเวลา ทั้งยังทำได้อย่างแม่นยำถึงเพียงนี้ได้อย่างไร?!
เฮ้อ…ดูเหมือนว่าคุณภาพของยมทูตภายใต้การปกครองของเขาจะค่อนข้างน่าเป็นห่วงเสียแล้ว…
ฉินเย่เหลือบตาไปมองนักศึกษาหนุ่มด้วยแววตานิ่งเรียบ และทันใดนั้นดวงตาของเขาก็เกิดการเปลี่ยนจากรูม่านตาสีดำและม่านตาสีขาวไปในทางตรงกันข้าม สติของวิญญาณนักศึกษาหนุ่มแตกกระเจิง เขาพยายามดิ้นขัดขืนอย่างบ้าคลั่ง
“อื้อ…อื้ม….” ทว่าซูตงเซวี่ยกลับแนบริมฝีปากของตัวเองแน่นกว่าเดิม ลิ้นของทั้งสองเกี่ยวพันกันอย่างไม่สามารถแยกออกได้ สีหน้าของนักศึกษาหนุ่มในเวลานี้นั้นผสมไปมาระหว่างความสุขที่เหลือล้นและความหวาดกลัวสุดขีด หลังจากพยายามขัดขืนอยู่สักพักใหญ่ ร่างของเขาก็ดูอ่อนปวกเปียกไร้เรี่ยวแรง
ซูตงเซวี่ยหรี่ตามองอย่างพึงพอใจ
นายท่านของเราไม่สนุกเลยสักนิด…
ท่านนั้นมีใบหน้าที่หล่อเหลา แต่เหตุใดท่านจึงไม่ให้ข้าดูดพลังหยางในตัวของท่านสักนิดบ้าง….