ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 139: แบบก่อสร้าง
บทที่ 139: แบบก่อสร้าง
ในวันต่อมาหลังจากนั้น ฉินเย่ก็เอาแต่หมกมุ่นอยู่กับการเรียนอย่างเต็มที่
มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้…ทั้งเขาและหลินฮั่นได้กลายเป็นเสี้ยนหนามในสายตาของโจวเซียนหลงไปเสียแล้ว ตราบใดที่ชายสูงวัยยังนั่งสังเกตการณ์อยู่ในห้องบรรยาย สายตาของอีกฝ่ายก็มักจะจับจ้องมาที่เขาและหลินฮั่นเสมอ และกว่าที่พวกเขาจะตระหนักได้ พวกเขาก็โดนลงโทษด้วยการหักคะแนนการสอนไปแล้วถึงเจ็ดคะแนน!
โจวเซียนหลงไม่ได้ประกาศสถานการณ์อันดับของคะแนนการสอนอีกต่อไป หลังจากที่ได้พูดคุยในหมู่อาจารย์ด้วยกัน ฉินเย่ ซู่เฟิง และคนอื่น ๆ ได้ข้อสรุปว่าทางเจ้าหน้าที่จะไม่เปิดเผยข้อมูลนี้อีกจนกว่าจะสิ้นสุดอีกสองเดือน ตอนนี้ฉินเย่อาจจะกำลังนำอยู่ในแง่ของคะแนนการสอน ตราบใดที่เขาไม่ถูกลงโทษบ่อยนัก เขาก็น่าจะอยู่ในอันดับต้น ๆ ของรายชื่อทั้งหมด
นี่เป็นข้อดีของผู้ที่เริ่มออกตัวมาดี
แม้ว่าจะยังไม่มีการประกาศอันดับล่าสุด แต่คำขู่ของการถูกไล่ออกก็ปรากฏอยู่เหนือศีรษะของอาจารย์ทุกคนราวกับดาบของเดโมคลีส โดยเฉพาะกับผู้ที่ไม่คิดว่าพวกเขามีคะแนนการสอนมากเพียงพอ ซึ่งมันเป็นเรื่องยาก และภารกิจเสริมก็มีให้ทำไม่มากนัก ก่อนหน้านี้ฉินเย่ก็ได้ไปสอบถามเกี่ยวกับภารกิจพวกนี้เช่นกัน และเขาก็พบว่ามีผู้ที่ยังไม่ได้รับภารกิจอยู่มากว่าครึ่งหนึ่ง! หากพูดกันตามตรง เขาคาดเดาว่าจำนวนดังกล่าวน่าจะประมาณ 2 ใน 3 ของจำนวนคนทั้งหมดด้วยซ้ำ!
ด้วยเหตุนี้จึงมีอาจารย์มากมายที่มาถึงก่อนฉินเย่ เหล่าผู้ที่มีความหวังว่าหลี่เทาและสวี่อันกั๋วจะสังเกตเห็นพวกตนในการสุ่มตรวจ สงสารพวกตน และมอบคะแนนพิเศษให้สักหนึ่งหรือสองคะแนน พวกเขาจดเนื้อหาทั้งหมดอย่างเป็นระเบียบ และความพยายามพวกนั้นก็ได้รับการตอบแทนเมื่ออาจารย์หลายคนได้คะแนนพิเศษอย่างน้อยห้าคะแนนตลอดระยะเวลาสองเดือนที่มหาวิทยาลัยอันฮุ่ย
น่าเสียดายที่คะแนนพิเศษพวกนี้ไม่ได้ช่วยอะไรไปมากกว่าทำให้พวกเขาสามารถผ่านเกณฑ์การคัดเลือก แต่ไม่สามารถแข่งกับฉินเย่ผู้ที่ได้อันดับหนึ่งได้
“ผมล่ะสงสารพวกคุณจริง ๆ” ฉินเย่เอ่ยขณะที่มองไปยังนักเรียนคนอื่น ๆ ราวกับว่าตนเป็นนักเรียนดีเด่นและคนอื่น ๆ เป็นเพียงขยะ ครั้งนี้เขามาถึงห้องบรรยายสิบนาทีก่อนที่การสอนจะเริ่ม และวันนี้ก็เป็นการบรรยายรอบแรกของวิชาเลือกที่สอนโดยศาสตราจารย์จูจากสาขาวิทยาศาสตร์และการทำวิจัย ทันทีที่เขาเดินเข้ามาในห้องบรรยายจากทางประตูหลัง เขาก็พบว่าที่นั่งแถวหลังได้เต็มไปด้วยสหายร่วมชาติเกือบร้อยคนที่มีสีหน้าเคร่งขรึม
“ไม่ใช่ว่าสงสารมากเหรอ” อันธพาลท้องถิ่นหลินฮั่นที่กำลังเคี้ยวแพนเค้กและดื่มนมถั่วเหลืองพ่นลมหายใจออกมาอย่างไม่พอใจนัก “มีพวกเราคนไหนที่อยากจะถูกส่งกลับไปมือเปล่ากัน?”
เขาดื่มนมถั่วเหลืองที่เหลืออยู่จนหมดก่อนจะขยำแก้วกระดาษและปามันลงถังขยะที่ตั้งอยู่ด้านหลังอย่างแม่นยำ จากนั้นจึงเอ่ยต่ออย่างเนือย ๆ ว่า “คนที่มีกินอิ่มท้องอย่างคุณไม่เข้าใจหรอกว่าพวกเราคนที่อดอยากนั้นต้องพบเจอกับอะไรบ้าง พวกเราทั้งหมดต่างเป็นหัวกะทิในพื้นที่ของตนเอง ไม่ว่าจะมณฑลไหน นครไหน หรือเขตไหน บางคนเป็นถึงเจ้าหน้าที่ของหน่วยสอบสวนพิเศษ พวกเขาจะทำอย่างไรหากต้องกลับไปมือเปล่าก่อนที่สำนักจะเริ่มเปิดการสอนอย่างเป็นทางการ? พวกเราจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?…”
“…คุณอันธพาลท้องถิ่น ผมรู้สึกว่าความคิดของคุณในตอนนี้ค่อนข้างที่จะอันตรายนะ ตั้งแต่ที่ผมได้อันดับสูงสุดในระบบจัดอันดับของคะแนนการสอน คุณไม่กินองุ่นเปรี้ยว[1]สักวันแล้วจะรู้สึกไม่สบายใจหรือไง?”
“…ขอโทษที มันก็แค่…แค่….เดี๋ยวนะ คุณเรียกใครว่าอันธพาลนักเลงท้องถิ่นนะ?!”
ทุกอย่างดำเนินไปเช่นนั้น เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว พวกเขานั่งเรียนและสังเกตการณ์สอนมาเป็นเวลามากกว่า 40 วันแล้ว ยิ่งเวลาแห่งการตัดสินเข้ามาใกล้มากขึ้นเท่าไหร่ เหล่าอาจารย์ที่มีใจจะตอบโต้การเรียนการสอนในชั้นเรียนก็ลดน้อยลง และบรรยากาศโดยรอบก็เริ่ม…ตึงเครียด
ตอนนี้สิ่งที่อยู่ภายในหัวของพวกเขาไม่ใช่ “ฉันอยากจะติดอันดับต้น ๆ” อีกต่อไป แต่กลับเป็น “คู่แข่งของฉันเป็นใคร? แล้วฉันยังขาดอีกกี่คะแนนถึงจะรักษาความปลอดภัยของตำแหน่งเอาไว้ได้?”
พร้อมกับความคิดพวกนี้ พวกเขาดำเนินมาสู่วันที่ 50 ของการเรียนรู้ในมหาวิทยาลัยอันฮุ่ย และมันก็เป็นเวลาเกือบบ่ายสามโมงตรงที่ฉินเย่ได้รับโทรศัพท์จากแผนกออกแบบของบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เถิงหลงในที่สุด
เขารีบเรียกแท็กซี่ไปที่บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เถิงหลงทันทีหลังจากที่เรียนเสร็จ ซุนคังเหลียงไม่ได้อยู่ใกล้ ๆ ดังนั้นเขาจึงเดินตรงไปที่แผนกออกแบบด้วยตัวเอง
“คุณฉิน สวัสดีครับ” ทันทีที่สังเกตเห็นการมาถึงของฉินเย่ ผู้เฒ่าหลี่ก็วางงานในมือของตนลงและเอ่ยออกมาพร้อมกับม้วนแบบร่างทันที ที่หลังหูของเขายังมีปากกาสไตลัสวางอยู่ด้วยซ้ำ ทั้งคู่เดินไปที่ห้องรับรองและนั่งลง ฉินเย่เอ่ยอย่างคาดหวังว่า “เสร็จแล้วหรือครับ?”
“เสร็จแล้วครับ” ผู้เฒ่าหลี่ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก การออกแบบอาคารจีนโบราณนั้นซับซ้อนและน่าเบื่ออย่างน่าเหลือเชื่อ หากไม่ใช่เพราะฉินเย่สามารถรอได้เพียงแค่สองเดือน เขาก็คงใช้เวลาอย่างน้อย 4-5 เดือนไปแล้วด้วยซ้ำ
เขาค่อย ๆ คลี่แบบวาดในมือออกขณะเอ่ยว่า “อันที่จริง…คุณฉินครับ หากคุณสามารถรอและให้เวลาเราอีกสักสี่เดือน เราก็น่าจะสามารถเก็บรายละเอียดทั้งหมดได้อย่างสมบูรณ์แบบแล้ว แบบวาดในตอนนี้คือแนวคิดที่ดีที่สุดที่เราคิดออก คนที่เข้าใจมันก็จะสามารถเข้าใจมัน แต่คนที่ไม่เข้าใจ…นอกจากนี้ ภาพแบบจำลอง รวมถึงการออกแบบพื้นที่บริเวณใกล้เคียงก็ยังสามารถพิจารณาเพิ่มได้อีก….”
ฉินเย่ส่ายศีรษะ “ผมจะอยู่ที่เมืองไดซานอีกแค่สิบวันเท่านั้น ผมไม่ได้มีเวลามากขนาดนั้น”
ผู้เฒ่าหลี่ถอนหายใจและกางแบบร่างออกอย่างสมบูรณ์ “ถ้าอย่างนั้นกรุณาดูนี่ก่อนเถอะครับ นอกจากนี้ทางเราจะไม่สามารถรับผิดชอบใด ๆ ต่อข้อบกพร่องในการออกแบบหรืออุบัติเหตุจากการก่อสร้างทั้งสิ้นนะครับ เพราะเรามีเวลาไม่เพียงพอ…”
นั่นคือสิ่งที่ฉินเย่หวาดกลัวน้อยที่สุดในตอนนี้
หากอุบัติเหตุแบบนั้นเกิดขึ้นในแดนมนุษย์ ครอบครัวของผู้เสียชีวิตจะต้องเรียกร้องค่าเสียหายเป็นธรรมดา และชื่อของทีมงานก่อสร้างที่เกี่ยวข้องก็จะถูกสำนักข่าวและตำรวจเล่นงาน ด้วยความกดดันที่เลวร้ายพวกนี้ ทีมก่อสร้างทั้งหมดก็จะไม่สามารถทำงานโครงการอื่น ๆ ได้อีกเลย
แต่ในนรก…ว่าไงนะ? อุบัติเหตุจากการก่อสร้างอย่างนั้นเหรอ? ต่อให้คุณตกจากความสูงร้อยเมตร ผมสักเส้นก็ไม่เป็นไรด้วยซ้ำ! มีอะไรให้ต้องบ่นอีกล่ะ? เหล็กเส้นทะลุท้องเหรอ? ก็แค่ดึงออกและทำงานต่อ…คนงานประท้วงเหรอ? เขามียมทูตกว่าสองร้อยคนที่คอยลับคมดาบของพวกเขาอยู่เป็นประจำ เขาเป็นผู้ปกครองของโลกนั้นเชียวนะ!
เมื่อคิดแบบนี้…นรกก็ดูเหมือนจะมีข้อดีกว่าแดนมนุษย์ในกลาย ๆ แง่มุม…หากอุตสาหกรรมการผลิตและอุตสาหกรรมการก่อสร้างของนรกแข่งขันกันเพื่อแย่งชิงตลาดกับอุตสาหกรรมของแดนมนุษย์ พวกเขาคงจะสามารถยึดตำแหน่ง ‘โรงงานโลก’ จากจีนได้อย่างแน่นอน….
ต่อให้ตึกจะถล่มลงมา คนงานในยมโลกก็ยังสามารถลอยมาจากซากปรักหักพัง ปัดเศษฝุ่นออกจากร่างและทำงานต่อ ให้เวลาพวกเขาสักปีหรือสองปี แม้แต่พวกที่กลัวความสูงก็สามารถกระโดดบันจี้จัมพ์จากชั้นที่ 31 ลงมาจากอาคารได้ด้วยซ้ำ…จะมีใครกันที่ไม่ต้องการคนงานแบบนั้น?
ฉินเย่เก็บความคิดของตนและมองไปยังแบบวาดขนาดหนึ่งตารางเมตรตรงหน้า มันเป็นแบบวาดของย่านที่อยู่อาศัยสไตล์โบราณที่หรูหรา
มันไม่ได้มีรูปแบบเหมือนกับพระราชวังเสียทีเดียว กลับกันมันถูกออกแบบตามสถาปัตยกรรมจีนโบราณ ทางเข้าที่นำไปสู่ลานบ้านซึ่งเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าพร้อมกับอาคารสี่ชั้นขนาบทั้งสองฝั่ง
ผู้เฒ่าหลี่มองสีหน้าของเด็กหนุ่มอยู่ตลอดเวลา และทันทีที่เขาสังเกตเห็นความเงียบที่ชัดเจนของฉินเย่ เขาก็รีบอธิบายทันที “คุณฉินครับ พวกเราออกแบบอาคารพวกนี้ตามสถาปัตยกรรมโบราณ ข้อเสียของการใช้ไม้ก็คือพวกมันเป็นวัสดุที่มีอายุการใช้งานอย่างจำกัด ในขณะที่ปูนซีเมนต์เป็นตัวเลือกที่ใช้ได้ผลดีกว่าและสามารถทดแทนได้ในหลาย ๆ ส่วน นอกจากนี้พวกเราเลือกใช้เทคนิคชายคาสองชั้นซึ่งโดยทั่วไปมักจะใช้สำหรับอาคารขนาดใหญ่ โดยไม่จำเป็นต้องมีแบบอาคารจำลอง”
แม้ว่าฉินเย่จะไม่ค่อยพอใจกับสิ่งที่อีกฝ่ายพูดออกมาเท่าใดนักแต่เขาก็ฟังต่ออย่างตั้งใจ
“พวกเรานำระบบคานในรูปแบบต่าง ๆ มาใช้รองรับโครงสร้างส่วนหลัก ๆ ของตัวอาคารทั้งหมด พื้นที่ด้านในของอาคารโบราณพวกนี้มีขนาดค่อนข้างกว้าง ในจุดที่มีการใช้คานหลายอัน เราจะเรียกมันว่าระบบคาน โดยที่คำเรียกแต่ละคานจะแสดงถึงจำนวนแปที่วางพาดอยู่ คานเจ็ดแปหมายถึงคานหนึ่งอันต้องรองรับแปเจ็ดเส้น จากนั้นจำนวนของแปจะลดลงเรื่อย ๆ ตามลำดับ เป็นห้า และสาม….”
“โครงสร้างทั่วไปของอาคารก็อิงหลักการนี้เช่นกัน ตัวอย่างเช่นอาคาร 11 คานที่มาพร้อมด้วยชายคาจำเป็นจะต้องยกชายคาสูงขึ้นตามองศาที่เหมาะสม ที่เป็นเช่นกันก็เพื่อทำให้เชิงชายมีความราบรื่นและสบายตาเพื่อหลีกเลี่ยงขอบที่โดดเด่นซึ่งมักจะมีให้เห็นในประราชวังต่างประเทศ องศาที่เราเลือกใช้คือ 9.5 องศาครับ”
ฉินเย่พยายามอย่างยิ่งที่จะจำทุกสิ่งที่คนตรงหน้าพูด ในขณะที่ผู้เฒ่าหลี่กลับรู้สึกตื่นเต้นมากขึ้นเรื่อย ๆ ขณะที่อธิบายลักษณะการออกแบบทั้งหมดที่ถูกวาดขึ้นมา หลังจากผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วโมง ในที่สุดเขาก็ม้วนแบบวาดกลับดังเดิมและเอ่ยด้วยความเสียดายว่า
“น่าเสียดายจริง ๆ ที่ผมไม่สามารถออกจากสำนักงานได้ในตอนนี้ ไม่อย่างนั้นผมคงจะไปที่ไซต์ก่อสร้างด้วยตัวเองเพื่อดูว่าเมืองที่สร้างขึ้นตามแผ่นดินจีนสมัยโบราณนั้นจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร เพราะอย่างไรเสียเมืองหลาย ๆ เมืองในสมัยนี้ก็มีเพียงถนนโบราณเท่านั้น โครงการสร้างเมืองโบราณของคุณช่างเป็นโครงการที่หาได้ยากมาในสมัยนี้….”
ดวงตาของฉินเย่เป็นประกายขึ้นทันที เขารีบเอ่ยถามอีกฝ่ายอย่างกระตือรือร้น “คุณอยากจะเห็นมันจริง ๆ หรือ?”
บางทีนัยน์ตาของเขาอาจจะเผยเจตนามากเกินไป แม้แต่ผู้เฒ่าหลี่เองก็มีปฏิกิริยาเหมือนกับที่ซุนคังเหลียงมี ความรู้สึกถึงอันตรายทำให้เขากลืนคำตอบของตัวเองไปโดยสัญชาตญาณ
“ผมพูดเล่นนะครับ….พูดเล่นเฉย ๆ…ช่วงนี้แผนกออกแบบงานยุ่งมากจริง ๆ และมันก็ไม่มีทางที่ผมจะสามารถทิ้งงานที่นี่ไปได้…” เขาหัวเราะ
ผู้ชายคนนี้… น่าเบื่อจริง ๆ
ฉินเย่นิ่วหน้าอย่างไม่ชอบใจนัก ไม่ใช่ว่าคุณเคยบอกว่าตัวเองแก่แล้วอย่างนั้นเหรอ? ถ้าอย่างนั้น แทนที่จะทนทรมานกับโรคภัยไข้เจ็บ ทำไมคุณถึงไม่ให้ผมส่งคุณไปสู่ชีวิตหลังความตายอันสงบสุขเสียล่ะ? คุณยังสามารถกลับไปใช้วินาทีสุดท้ายกับชีวิตอย่างมีความสุขได้ก่อนที่จะมอบชีวิตของคุณมาไว้ในกำมือของผม ผมรับรองเลยว่ามันจะเป็นความตายที่ไร้ซึ่งความเจ็บปวด เพียงแค่คุณหลับตาเท่านั้น…มีอะไรเลวร้ายที่ไหนกัน….
“คุณแน่ใจเหรอว่าจะไม่ลองคิดดูอีกครั้ง?” ด้วยความที่ไม่อยากปล่อยให้เรื่องทั้งหมดผ่านไป ฉินเย่ยังคงถามย้ำอีกครั้ง “ผมมีคนงานจำนวนมากและงานเต็มไปหมด แต่ผมยังขาดหัวหน้าดี ๆ ที่คอยดูแลงานอยู่นะ”
“ฮ่า ๆๆ….ไม่เป็นไรครับ…ไม่เป็นไร…” ผู้เฒ่าหลี่หยิบกระดาษทิชชูที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมาซับเหงื่อบริเวณหน้าผากของตัวเอง
แปลกจริง…แม้ว่ามันจะเป็นฤดูหนาว แต่เครื่องทำความร้อนของที่นี่ก็ยังคงทำงานดีอยู่ แล้วทำไมจู่ ๆ เราถึงรู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ แบบนี้กันนะ?
ฉินเย่ลุกขึ้นยืนอย่างผิดหวัง เฮ้อ….คนสมัยนี้ขี้ขลาดและรู้ทันเหลือเกิน มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะหลอกคนพวกนี้…เขาโบกมือลาอีกฝ่ายพร้อมกับเอ่ยคำลากับผู้เฒ่าหลี่ จากนั้นจึงขึ้นรถแท็กซี่ตรงกลับไปที่มหาวิทยาลัยอันฮุ่ย
เขาพักผ่อนจนถึงเวลาเที่ยงคืน จากนั้นจึงหยิบเศษตราจ้าวนรกขึ้นมาอย่างตื่นเต้น พร้อมกับแสงที่สว่างวาบขึ้น ฉินเย่มาถึงที่ยมโลกอีกครั้ง
ครื่น….เสียงฟ้าร้องดังขึ้นทันทีที่เขาเปิดเปลือกตาขึ้น ในสถานที่แห่งนี้ไม่มีทั้งกลางวันหรือกลางคืน ท้องฟ้ายังคงมืดดำไม่ว่าเวลาไหน ๆ แต่พื้นดินด้านล่างยังคงส่องสว่างอย่างน่าประหลาด
“คารวะนายท่าน” ซูตงเซวี่ยหมอบคำนับเด็กหนุ่ม ฉินเย่ทำมือเป็นการบอกให้คนตรงหน้ายืนขึ้น จากนั้นก็เดินออกไปด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง
ผู้ตรวจสอบอดีตกรรมทั้งหมดต่างลุกขึ้นยืนทันที พวกเขาไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะคุกเข่าและแสดงความเคารพต่อฉินเย่ด้วยซ้ำ แววตาของคนทั้งหมดเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ราวกับว่าพวกเขาเพิ่งได้เห็นการปรากฏกายของพระเจ้า ฉินเย่ไม่ได้สนใจอะไร เขาเดินตรงไปที่ประตูนรก และมองไปรอบ ๆ
ยมโลกที่เคยมืดมนก่อนหน้านี้ร้อนรุ่มไปด้วยการเผาไหม้ของเปลวไฟนรก! บรรยากาศเย็นยะเยือกที่เคยมีเป็นเพียงเรื่องของอดีต และแถวของต้นไม้ที่มีใบไม้สีแดงเข้มซึ่งเคยเรียงกันอยู่สองข้างทางได้ถูกตัดลงแล้ว ป่าสีแดงที่เห็นได้ใกล้ที่สุดนั้นอยู่ห่างออกไปอย่างน้อย 100 เมตร
โรงเลื่อยไม้ส่งเสียงดังมาจากที่ไกลออกไป ดวงวิญญาณนับพันต่างก็มารวมตัวกันเพื่อเก็บเศษซากของต้นไม้ที่ถูกโค่น มีดวงวิญญาณบางกลุ่มที่แบกท่อนซุงหนัก ๆ อยู่บนไหล่พร้อมกับเอ่ยว่า “เฮ้-โฮ” เป็นจังหวะขณะที่กัดฟันแน่และลอยกลับไปที่ประตูนรก
เขตก่อสร้างอยู่ทางซ้ายมือของประตูนรก เครื่องแปรรูปไม้สองเครื่องกำลังทำงานอย่างไม่หยุดหย่อน พ่นไม้ที่ถูกตัดแต่งแล้วออกมา กองไม้ที่ได้รับการแปรรูปถูกวางกองกันอยู่รอบ ๆ ตัวเครื่องจักร และวิญญาณตนอื่น ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นเป็นครั้งคราวเพื่อนำกองไม้ทั้งหมดไปที่ประตูนรก
รถขุดสองคันเข้าสู่พื้นที่ ตามมาด้วยรถเกลี่ยดิน และรถบดถนน…ภาพของสิ่งก่อสร้างสมัยใหม่ตรงหน้าปรากฏขึ้นเบื้องหน้าของประตูนรกอย่างพอดิบพอดี
ประกายความมุ่งมั่นลุกโชนขึ้นในจิตใจที่เศร้าหมอง
สภาพสิ้นหวังของนรกได้เริ่มเผยให้เห็นถึงแววของความรุ่งเรืองและความงดงามออกมาให้เห็นแล้ว
ก้าวแรกเป็นก้าวที่ยากที่สุดเสมอ แต่ฉินเย่ก็สามารถเริ่มเดินบนทางเดินอันแสนยาวนานและยากลำบากนี้แล้ว!
ในวินาทีแห่งความรุ่งโรจน์นั้น เด็กหนุ่มรู้สึกว่าในที่สุดความพยายามของเขาก็ได้รับการตอบแทน เขาเหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก แต่เขาก็รู้สึกได้ถึงความตื่นเต้นภายในใจของตัวเองเช่นกัน
สิ่งนี้เรียกว่าความอิ่มเอม
นี่คือสิ่งที่เรียกว่าความรู้สึกของการประสบความสำเร็จ
“มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย” เสียงของอาร์ทิสดังขึ้นด้านข้างของเขา ฉินเย่ไม่ได้หันไปมองอีกฝ่าย และนางเองก็ไม่ได้หันมามองเขาเช่นกัน แต่ทั้งคู่เพียงความวุ่นวายของเหล่าวิญญาณตรงหน้า ทันใดนั้นอาร์ทิสก็เอ่ยขึ้นว่า “ยังไม่ถึงครึ่งปี แต่นรกแห่งใหม่กลับก้าวหน้าไปอย่างดี….เรื่องนี้ข้าคงต้องขอยกความดีความชอบให้กับเจ้า”
“เจ้าไม่รู้สึกซาบซึ้งใจสักหน่อยหรือ? ไม่อยากสัมผัสถึงความรู้สึกพวกนี้อีกหรืออย่างไร?”
ฉินเย่ไม่ตอบ แต่หลังจากผ่านไปไม่นานเขาก็พยักหน้าเบา ๆ “มันรู้สึกเหมือนกับว่าข้าได้กลับไปยังวันที่ตัวเองอายุ 20 กว่า…ช่วงที่ข้าได้สัมผัสกับคำว่า ‘ครั้งแรก’….”
[1] หมายถึง กล่าวว่าคนอื่นเพื่อให้ตัวเองสบายใจ มีที่มาจากนิทานเรื่อง หมาป่ากับองุ่น《狐狸和葡萄》คือมีหมาป่าตัวหนึ่งพยายามกระโดดเพื่อที่จะกินองุ่น แต่สุดท้ายก็ไม่เสร็จจึงพูดออกมาว่า “องุ่นเปรี้ยวนี่ไม่เห็นน่ากินตรงไหน”