ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 15 เรียกวิญญาณ
บทที่ 15 เรียกวิญญาณ
ฉินเย่พยักหน้า เขาค่อย ๆ เก็บค่าธรรมเนียมจากอาร์ทิส
ประสบการณ์อันมั่งคั่งไร้เทียมทานของนางเป็นหลักสำคัญต่อการมีชีวิตรอดของเขาท่ามกลางมหากลียุคที่กำลังคืบคลานมายังโลกมนุษย์!
“ถ้างั้น…ก็รอเถอะ” เขาทอดสายตาออกไปไกลทางหน้าต่าง คืนนี้จะเป็นคืนแห่งการเตรียมการ
วันพรุ่งนี้ และวันมะรืน จะเป็นวันชี้ชะตา
ต่อให้มีผีคลานออกมาจากทีวี ฉินเย่ก็จะรอถีบมันกลับไปที่ที่มันมา
กลางวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว หวังเฉิงห่าวทุกข์ทรมานเสียจนไม่กล้าอยู่คนเดียวอีกต่อไป เขาใช้เวลาที่เหลือในวันนั้นติดตามฉินเย่ไปทั่วราวกับเงา กระทั่งถึงเวลาเลิกเรียนหวังเฉิงห่าวก็รีบเกาะติดฉินเย่ไว้ทันทีและมุ่งหน้าไปสู่ชานเมืองของย่านอาศัย
อากาศในวันฤดูร้อนช่างเหมือนกับใบหน้าของเด็กน้อย ที่เปลี่ยนแปลงและคาดการณ์ไม่ได้ ท้องฟ้าตอนกลางวันยังแจ่มใสอยู่ แต่เมื่อพวกเขามาถึงถนนของผู้ล่วงลับในตอนหกโมงเย็น ท้องฟ้าก็มืดขมุกขมัวแล้ว พวกเขาเห็นแม้กระทั่งแสงเจิดจ้าวูบวาบอยู่เป็นระยะ
ปรากฏการเหนือธรรมชาติที่เกิดขึ้นในตอนนี้เพิ่งจะเริ่มต้น หลายครอบครัวต่างรีบเข้าในบ้านปิดประตูแน่นหนา ถนนของผู้ล่วงลับที่ดูเก่าแก่บางสายร้างผู้คนแล้วในตอนนี้ เมื่อสายลมยามเย็นพัดผ่าน มันก็หอบเอากองเงินกระดาษบนพื้นปลิวกระจายว่อน แต่ละบ้านมีแม้กระทั่งยันต์กระดาษแปะไว้ที่กรอบประตู ทั้งถนนของผู้ล่วงลับดูอึมครึมไปถนัดตา
หวังเฉิงห่าวไม่อาจขยับตัวแม้แต่กระดิกนิ้ว
“เฮ้ออ…” มีแค่ตอนที่ฉินเย่ดันประตูร้านเล็ก ๆ ของเขาเข้าไปแล้วเปิดไฟทุกดวงเท่านั้นที่หวังเฉิงห่าวถอนหายใจอย่างโล่งอกได้ในที่สุด ฉินเย่วางกระเป๋านักเรียนลงแล้วนวดแขนทั้งสองข้างที่ปวดหนึบ จากนั้นเขาก็ดึงตัวหวังเฉิงห่าวแล้วจ้องมองตรงเข้าไปในดวงตาพลางเอ่ยเสียงแข็ง “หลังจากนี้ ไม่ว่านายจะเห็นอะไร นายต้องเก็บทุกอย่างไว้กับตัวและห้ามพูดออกไปเด็ดขาด หากนายปากพล่อยบอกเรื่องที่นายเห็นวันนี้ออกไปแม้แต่นิดเดียวละก็….”
เขาจงใจพูดไม่จบประโยค
หวังเฉิงห่าวพยักหน้าหงึก ๆ อย่างบ้าคลั่ง เขาเองก็สังหรณ์ใจขึ้นมาเหมือนกันว่าคืนนี้…จะเป็นคืนที่เขาจะได้เห็นในบางสิ่งที่แม้แต่วิทยาศาสตร์ก็ไม่อาจอธิบายได้
หลังจากนั้น ฉินเย่ก็เมินเขาแล้วเริ่มง่วนอยู่กับการเตรียมตัว อาร์ทิสติดต่อกับฉินเย่เมื่อก่อนหน้านี้แล้ว นางบอกเขาว่าเขาไม่สามารถเรียกวิญญาณได้ด้วยพลังที่มีอยู่ในตอนนี้ได้ เขายังต้องการตัวช่วยบางอย่างมาช่วยในพิธีนี้
ธูปแห่งความตาย เป็นธูปที่ปั้นจากกระดูกป่น เป็นกระดูกของสัตว์ทั่วไปนับว่าใช้ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นกระดูกที่ป่นมาจากกระดูกมนุษย์
หน้าที่ของยมทูตขาวดำคือการเชิญวิญญาณหยินสู่นรก ดังนั้นภาพวาดของพวกเขาจึงสามารถใช้เป็นสื่อและหนทางหลักในการติดต่อระหว่างโลกนรกกับโลกมนุษย์ได้ ตัวช่วยนี้นับว่าเป็นสิ่งจำเป็น
ข้าวหนึ่งชาม และมันไม่ใช่ข้าวธรรมดา ต้องเป็นข้าวหยินที่เตรียมจากการนึ่งข้าวเหนียวแล้วผึ่งในที่มืด ปิดกั้นพลังหยาง ใด ๆ ก็ตามจนหมด
อย่างสุดท้ายคือเลือดไก่หนึ่งชาม และตะเกียบที่ทำจากไม้หลิวหนึ่งคู่
ตอนนี้เป็นเวลาห้าทุ่มแล้ว นับจากเวลาที่ฉินเย่ใช้เตรียมงานทั้งหมด หลังจากนั้นเขาก็หลับตาลงและนั่งพักบนเก้าอี้ครู่หนึ่ง ไม่นานนักเข็มนาฬิกาก็ตีที่เลขสิบสอง
จากคำแนะนำของอาร์ทิส ขั้นแรกคือต้องแขวนรูปภาพของยมทูตขาวดำไว้บนแท่นบูชาทั้งสองข้าง เมื่อม้วนกระดาษคลี่ลงด้วยเสียงฟึ่บเบา ๆ มันก็เผยให้เห็นรูปวาดสีดำและสีขาวของยมทูตขาวดำ ทั้งคู่มีผิวซีดขาวน่าขนลุก มีลิ้นยาวหนึ่งเมตรแลบออกมาจากปาก ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวก็คือภาพด้านหนึ่งแต่งตัวด้วยชุดยาวสีขาว ขณะที่อีกภาพหนึ่งแต่งตัวด้วยชุดยาวสีดำ
กระถางธูปถูกตั้งไว้บนแท่นบูชา ธูปคือของสำคัญอย่างหนึ่งในการเตรียมงานศพใด ๆ ก็ตาม
อักษรตัวใหญ่สองคำถูกเขียนไว้เหนือศีรษะของภาพวาดยมทูตชุดดำว่า ‘โลกสงบ’ เช่นเดียวกับอักษรตัวใหญ่สองคำที่เขียนไว้เหนือภาพวาดของยมทูตชุดขาวว่า ‘โชคดี’
หลังจากที่ตั้งธูปไว้บนโต๊ะแล้ว ฉินเย่ก็วางชามข้าวหยินไว้บนแท่นบูชาและปักตะเกียบไม้หลิวในแนวตั้ง นี่เสมือนกับการอ้อนวอนให้ยมทูตขาวดำเมตตาปล่อยวิญญาณหยินให้มีโอกาสสื่อสารกับโลกมนุษย์เป็นครั้งสุดท้าย
หากการตอบสนองประสบผล ตะเกียบจะร่วงตกลง
หากไม่เป็นผล ตะเกียบจะยังคงตั้งอยู่เป็นเวลาสามก้านธูป ถึงตอนนั้นก็เป็นการฉลาดที่จะไม่ดำเนินพิธีเรียกวิญญาณต่อไป
ใครก็ตามที่พยายามเรียกวิญญาณจะเป็นฝ่ายถึงฆาต
หากจ้าวนรกประกาศิตแล้วว่าคนคนนั้นต้องตายในตอนเที่ยง ก็ไม่มีใครกล้ากล่าวเป็นอย่างอื่น
อาร์ทิสอธิบายต่อว่าต่อให้นรกจะไม่มีอยู่แล้ว เรื่องนี้ก็ยังเป็นส่วนหนึ่งและกลไกหนึ่งของทัณฑ์สวรรค์ที่ยังคงอยู่เพื่อวัฏจักรธรรมชาติของโลกนี้ ไม่อย่างนั้นโลกนี้คงตกอยู่ในความวุ่นวายไปแล้ว
ฉินเย่เมินหวังเฉิงห่าว เขาหลับตาลงและสูดหายใจลึก ก่อนริ้วพลังหยินจะเริ่มแผ่ออกจากกาย เมื่อหวังเฉิงห่าวเห็นฉากนี้ เขาก็แหกปากร้องในทันที แต่โชคดีที่เขาอุดปากตัวเองไว้ทันเพื่อปิดเสียงไม่ให้เล็ดลอดออกจากปาก จากนั้นเขาก็ตัวสั่นงันงกขณะถอยกรูดไปอยู่ที่มุมหนึ่งของเตียง
วูบบบ! เมื่อพลังหยินรวมตัวในอากาศ ฉินเย่ก็อยู่ในชุดเครื่องแบบยมทูตทันที เขาเพิ่งสละตัวตนที่เป็นมนุษย์ธรรมดา และตอนนี้กำลังสวดอ้อนวอนสวรรค์ด้วยความสามารถของยมทูต
จากนั้นฉินเย่ก็ถือธูปแห่งความตายขึ้นมาจุด เมื่อพวกมันเผาไหม้ส่งควันเขียวน่าขนลุกออกมา กลิ่นอายของมันก็เริ่มอวลไปรอบด้าน ทั้งห้องตกอยู่ในความประหลาดพิกลที่อธิบายไม่ได้ ในที่สุดฉินเย่ก็โค้งคำนับรูปวาดของยมทูตขาวดำและกระซิบสวดตามที่อาร์ทิสบอก “ข้าน้อยขอคำชี้แนะจากพวกท่าน ยมทูตปฏิบัติการฉินเย่ ขอความกรุณาให้ท่านยมทูตขาวดำที่เคารพทั้งสองจงเบิกเนตรด้วย”
เมื่อเขาพูดจบ เขาก็วางธูปทั้งสามดอกไว้บนเตาเผา และวางลูกบอลผนึกวิญญาณของหวังเจ๋อหมินไว้บนชามข้าวหยิน
“นี่คือวิญญาณหยินที่ท่องไปในโลกมนุษย์ ก่อการอาละวาดและทำร้ายมนุษย์ ข้าน้อยขอให้สวรรค์ช่วยต่อเส้นชะตาและปล่อยให้ชายแซ่หวังได้มีลมหายใจ ต่อพลังหยางในร่าง ข้าน้อยสัญญาว่าจะตอบแทนบุญคุณในครั้งนี้”
ชายแซ่หวัง? เขาหมายถึง…พ่อของฉันเหรอ?
หวังเฉิงห่าวขดตัวเองเป็นก้อนกลมอยู่ตรงมุมห้อง เขารู้สึกสยองพองเกล้าเสียจนวิญญาณแทบจะหลุดจากร่าง เขายังคงเงียบไม่ส่งเสียงอะไรขณะที่เหงื่อเย็นผุดจากขุมขนทุกเส้นบนร่าง
หลังจากนั้นเอง ยมทูตขาวดำก็พลันเคลื่อนไหว
สายลมกวาดผ่านห้องมาวูบหนึ่งเกือบจะในทันที ภาพวาดทั้งคู่เริ่มสะบัดไหวเบา ๆ พร้อมเพรียงกัน
หวังเฉิงห่าวขนลุกชันและเกือบจะกรีดร้องดังลั่น
เพราะ…หน้าต่างและประตูทุกบานถูกปิดตาย! ไม่มีเหตุผลที่จะเกิดลมพัดวูบไหวไปทั่วทั้งบ้านแบบนี้!
มันขยับได้อย่างไร? เกิดบ้าอะไรขึ้นที่นี่?!
ฉินเย่ไม่พูดอะไร เขากลับคุกเข่าลงข้างหนึ่งตรงหน้าแท่นบูชาและมองธูปแห่งความตายถูกเผาไหม้ช้า ๆ ห้านาที…สิบนาที…เวลาที่ก้านธูปก้านหนึ่งเผาไหม้จนหมดคือสิบห้านาทีเต็ม
จากนั้นเมื่อถึงนาทีที่สิบสาม ดวงตาของฉินเย่ก็เป็นประกายเจิดจ้า
คู่ตะเกียบไม้หลิวที่ปักตั้งตรงอยู่บนชามข้าวหยินได้ขยับไหวเล็กน้อย
จากนั้นไม่นาน มันก็ร่วงลงมาอยู่ข้างชามเงียบ ๆ !
ขณะเดียวกัน ข้าวพลังหยินก็เริ่มพร่องลงและหายไปในอากาศ! กระบวนการนี้เกิดขึ้นช้า ๆ จนเห็นได้ชัด และมันก็ดูราวกับว่ามีสิ่งที่มองไม่เห็นกำลังทานข้าวอย่างช้า ๆ !
“เร็วเข้า!” อาร์ทิสตะโกน “เจ้ามีโอกาสเรียกวิญญาณได้แค่รอบเดียวเท่านั้น! ไม่มีทางที่จะแก้ตัวรอบที่สอง! เจ้าต้องยืมลมหายใจพลังหยางจากสวรรค์ และการที่ยมทูตทานข้าวพลัง หยินก็คือสัญญาณว่าพวกเขาไว้หน้าเจ้าอยู่ วิญญาณหยินจะหายไปในทันทีที่ข้าวพลังหยินหมด ไม่ว่าเจ้าจะถามคำถามเสร็จแล้วหรือไม่!”
ฉินเย่รู้สึกร้อนใจอย่างไม่น่าเชื่อ แม้จะอยู่อาศัยมานานแล้ว แต่นี่ยังเป็นครั้งแรกที่เขาเจอกับอะไรแบบนี้ เขาประสานมือเข้าด้วยกันและพึมพำเบา ๆ “แสงไฟจากประภาคารขอเรียกวิญญาณจากนรก ขอให้ดวงดาวยาวราตรีฉายแสงยังที่พำนักแห่งนรกภูมิ เปิดได้!”
เมื่อเขาพูดจบ ลูกบอลผนึกวิญญาณก็เปิดด้วยเสียงดัง แกร๊ก! และเปลี่ยนเป็นยันต์เผาไหม้ตัวในอากาศโดยธรรมชาติ จากนั้นวังวนพลังหยินสีเขียวก็เริ่มก่อตัวตรงกลางห้อง เงาน่าขนลุกฉายออกมาจากใจกลางของวังวนช้า ๆ ราวกับว่าเขากำลังปรากฏตัวบนผิวของกายน้ำ
“อึก…” หวังเฉิงห่าวส่งเสียงอู้อี้และปิดปากตนเองไว้ก่อนจะสลบไม่ได้สติไป
ฉินเย่ถอนหายใจอย่างโล่งอกและเริ่มถามคำถาม “หวังเจ๋อหมิน?”
“อ๊ากกกก!!!” หวังเจ๋อหมินตอบรับด้วยเสียงกรีดร้องเย็นเยือกจนเลือดจับตัวเป็นก้อนแข็ง มันเป็นเสียงร้องที่เต็มไปด้วยความทุกข์ทรมาน หวังเจ๋อหมินแต่งตัวในชุดสูทลายทางตรง เมื่อเขาปรากฏตัว เขาก็พลันฟุบนั่งคุกเข่าลงและกุมศีรษะ กรีดร้องออกมาจนสุดเสียง
ฉินเย่อึ้งไป “แม้ว่าข้าจะเห็นใจกับสิ่งที่คุณกำลังเผชิญ…แต่คุณไม่คิดว่าการกระทำตอนนี้ของคุณมันเกินไปหรือ? คุณควบคุมตัวเองสักหน่อยได้ไหม?”
“มีบางอย่างผิดปกติเกี่ยวกับวิญญาณของเขา” อาร์ทิสแย้งขึ้น “ยึดตัวเขาไว้เสีย”
ขมับของฉินเย่เต้นตุบ ความรู้สึกนี้มันอะไรกัน? เขาเพิ่งนึกขึ้นมาได้ในทันทีที่เขาส่งปิกาจูออกไปจัดการกับโปเกมอนปีศาจร้าย
โฮกกกก!! ก่อนที่เขาจะลงมือ หวังเจ๋อหมินพลันสะบัดศีรษะเงยหน้าขึ้น และลำเพลิงสีเขียวสูงสองเมตรก็พุ่งออกจากปาก เสียงของเขาฟังดูไม่เหมือนเสียงมนุษย์อีกต่อไป มันเป็นกลางคืนที่มืดและลมแรง และฉินเย่ก็อยู่ในพิธีเรียกวิญญาณ เมื่อไฟนรกแผดเผาในความมืด ภาพวาดของยมทูตขาวดำก็ลอยไปในอากาศ เงาสีเขียวหม่นรอบด้านได้ลอยไปในเวลาเดียวกันพร้อมกับไฟเป็นประกาย เพียงพอที่จะทำให้คนมองรู้สึกหนาวเยือกไปตามไขสันหลัง!
เคร้งง…ทันทีที่ลำเพลิงพุ่งตรงสู่ท้องฟ้า โซ่ล่ามวิญญาณรอบเอวของฉินเย่ก็พุ่งตรงไปที่หวังเจ๋อหมินและเจาะที่กะโหลกของเขา เสียงร้องน่าเวทนาดังขึ้น ลำเพลิงสีเขียวน่ากลัวก็ถูกสยบลงและหายไปในปากของหวังเจ๋อหมินอีกครั้ง
“บทลงโทษโคมฟ้า” อาร์ทิสรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย “เปิดปากของเขาสิ เจ้าจะเจอกับสิ่งที่น่าประหลาดใจข้างใน บทลงโทษโคมฟ้าเป็นวิธีทรมานที่เลวร้ายที่สุดสำหรับวิญญาณ ใด ๆ เหยื่อจะถูกกันไม่ให้เข้าวังวนวัฎสังสาร เขาจะถูกบังคับให้ได้รับความทรมานจากความเจ็บปวดกรีดแทงที่เกิดจากการตรึงวิญญาณ อี๋…ข้าล่ะอยากรู้นักว่าใครกันนะที่เกลียดชังเขามากขนาดนี้?”
ฉินเย่บีบขากรรไกรของหวังเจ๋อหมินไว้ มันเย็นเยือกราวกับน้ำแข็งแม้ว่าจะเป็นภาพเงาก็ตาม จากนั้นก็เห็นเทียนไขสลัวรางตั้งตรงอยู่ในปากของเขา
ฉินเย่ดึงเทียนไขออกมาพิจารณา เทียนนั้นมีสีเทาอมขาว ส่งกลิ่นอายความตายเน่าเหม็นออกมาคละคลุ้ง ไส้เทียนของมันเป็นสีดำสนิท ร่างของหวังเจ๋อหมินสั่นเทิ้มเหมือนได้รับการปลดปล่อยครั้งใหญ่ ในทันทีที่ฉินเย่ดึงเทียนออกไป แสงไฟสองดวงพลันลุกไหม้ในส่วนลึกของดวงตาและเริ่มเรืองแสงแรงกล้าอย่างน่าขนลุก
“เทียนไขน้ำมันพราย นี่คือเทียนที่เกิดจากการกรอกน้ำมันพรายผ่านปากลงไปในท้องคนคนหนึ่งหลังจากที่เขาตาย แล้วก็ใส่ไส้เทียนทำมาจากผมคนตายไปที่ปากของเขาแล้วจุดไฟ ไฟนี้จะลุกไหม้อย่างต่อเนื่องไม่มีวันดับเป็นเวลาหลายร้อยปี ไม่มีทางที่จะดับลงได้ เทียนไขน้ำมันพรายมีชื่ออีกอย่างหนึ่งว่า ตะปูตรึงวิญญาณ เนื่องจากมันจะยื้อวิญญาณผู้ตายไว้และป้องกันศพของเขาไม่ให้เน่าเปื่อย เทียบเท่ากับเทคนิคการทำมัมมี่ของอียิปต์โบราณ” อาร์ทิสอธิบาย
ฉินเย่เล่นเทียนไขหักในมือของเขา “เรื่องนี้เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมกายเนื้อของหวังเจ๋อหมินจึงยังมีชีวิตอยู่แม้ว่าเขาจะตายไปแล้วงั้นหรือ?”
“เรื่องนี้ยากที่จะบอกภายในเวลาอย่างน้อยหนึ่งเดือน”
“ท่านคือ…ยมทูตงั้นหรือ?” ทันใดนั้นเองเสียงสะท้อนเจือแววไม่อยากเชื่อก็ดังข้างเขา วิญญาณของหวังเจ๋อหมินสั่นเล็กน้อยขณะพูดออกมาเป็นครั้งแรก “ท่าน…ท่านคือผู้ช่วยชีวิตผมงั้นหรือ?”
“ใช่ เวลาเป็นสิ่งสำคัญ ดังนั้นฉันจะพูดเร็ว ๆ คุณน่ะตายไปแล้ว แต่กายเนื้อของคุณยังอยู่ ตอนนี้มีวิญญาณร้ายหลอกหลอนในบ้านของคุณอยู่ หากเราไม่รีบแก้ไขเรื่องนี้อย่างเร่งด่วน ก็เป็นไปได้ว่าลูกชายของคุณอาจจะตายในวันพรุ่งนี้ก็ได้”
“อาห่าว…อาห่าว? หล่อน…หล่อนพยายามจะทำอะไรกับอาห่าว?” หวังเจ๋อหมินหยุดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบด้วยความร้อนรนมากขึ้น
โชคร้ายที่ฉินเย่เป็นคนเดียวเท่านั้นที่ได้ยินเสียงของเขา
“คุณเห็นชามข้าวตรงนั้นไหม? คุณต้องบอกฉันว่าตัวคุณตายอย่างไรก่อนที่มันจะหายไปจนหมด บอกสิ่งที่คุณรู้มาเดี๋ยวนี้! ไม่อย่างนั้น…คุณจะต้องเผชิญยถากรรมของตัวเองในทันทีที่ยมทูตทานอาหารเสร็จ จนถึงตอนนั้นแม้แต่ฉันก็ไม่อาจช่วยเหลือลูกชายของคุณได้อีก”
“ก็ได้…” หวังเจ๋อหมินหลับตา เขาผู้เป็นชายที่ร่ำรวยที่สุดในย่านนี้เอ่ยเสียงดังเกี่ยวกับความเด็ดขาดของเขา อย่างน้อยที่สุดเขาก็ไม่ใช่คนใจคอหวั่นไหวหรือโลเลอะไร วิญญาณของเขาสั่นระริกเล็กน้อย แล้วเขาก็ลืมตาโพลงอีกครั้ง แล้วก็เริ่มพูดออกมาพร้อมกับขบฟันกรอด “ทุกอย่างเป็นเพราะผู้หญิงคนนั้น…”
เขาสูดหายใจลึกปรับอารมณ์ของตัวเอง และเริ่มอธิบาย “บริษัทของผมชื่อว่าไฮแอตต์ ไฮแอตต์ คอร์ป แม้มันจะไม่ใช่เครือบริษัทใหญ่โตอะไร แต่ก็มีโอกาสที่ท่านอาจจะได้ยินชื่อนี้มาก่อน…”
“ไฺฮแอตต์?” ฉินเย่เลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ “เป็น ไฮแอตต์ที่ฉันคิดไว้หรือเปล่านะ?”
หวังเจ๋อหมินแค่นหัวเราะขมขื่น “กฎหมายตราการค้าป้องกันไม่ให้สองบริษัทใช้ชื่อเดียวกัน ไฮแอตต์ที่ท่านคิดคือบริษัทที่มีอยู่เพียงหนึ่งเดียวนั่นแหละ”
อาร์ทิสถามเสียงดัง “มีชื่อเสียงมากไหม?”
“ค่อนข้าง” ฉินเย่ตอบแบบตลกร้าย “ไม่ได้มีชื่อมากมายหรอก แต่ชื่อเสียงที่เริ่มโด่งดังก็เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมมันย้ายมายังพื้นที่นี้”
“ดูเหมือนท่านจะเคยได้ยินมาก่อนนะ…” หวังเจ๋อหมินเอ่ยต่อด้วยรอยยิ้มขมขื่น “ตอนนั้น…ทันทีที่ไฮแอตต์คอร์ปกำลังเติบโตรุ่งเรืองอย่างมั่นคง โพสต์ข่าวพิเศษโพสต์หนึ่งก็ปรากฏในฟอรัม ฉันยังจำชื่อแฝงของคนโพสต์ที่โพสต์ข่าวนั้นได้เลย ชื่อแฝงของเธอคือ ชู้รักคนนั้น”
“เป็นชื่อที่ไม่เลวเลย” อาร์ทิสให้ความเห็นกับฉินเย่ “แต่เขาต้องรีบพูดหน่อยล่ะ ไม่มีเวลาที่เขาจะมาดื่มด่ำกับช่วงเวลาแสดงความเห็นอกเห็นใจแล้ว”
ฉินเย่เอ่ยแย้ง “คุณหวัง คุณกำลังจะใช้อารมณ์อยู่นะ ทำไมไม่ให้ข้าสรุปเรื่องทั้งหมดแทนล่ะ และบอกให้ฉันรู้ว่ามีเรื่องไหนที่คุณอยากเสริมบ้าง”