ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 154: ทีมประเมิน
บทที่ 154: ทีมประเมิน
วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว นอกเหนือจากการประกาศในช่วงบ่ายเพื่อแจ้งให้เขาไปรับอุปกรณ์การสอนของตัวเอง นอกนั้นก็ไม่มีอะไรอีก
แม้ว่าทั้งสำนักจะมีจำนวนคนอยู่ไม่มาก แต่บรรยากาศโดยรอบก็ร้อนระอุขึ้นด้วยความมุ่งมั่นอย่างไม่ต้องสงสัย นักเรียนส่วนใหญ่ต่างพูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนอย่างตื่นเต้น ไม่ว่าจะเป็นการเรียกชุมนุมด่วนในกลางดึก หรือคืนแห่งความรักต้องห้าม ป้ายขนาดใหญ่ที่เขียนว่า “อีก 1 วันจะเข้าสู่การเปิดบรรยายของสำนักฝึกตนแห่งแรก!” ถูกแขวนอยู่ทุกจุดที่เหล่านักเรียนมักจะไปรวมตัวกัน และยังรวมไปถึงที่หอพักและทางเข้าของโรงอาหารด้วย
ถัดจากป้ายดังกล่าวคือประวัติ และรูปถ่ายของอาจารย์ของแต่ละสาขา นักเรียนจำนวนนับไม่ถ้วนต่างรวมกลุ่มพูดคุยกันอย่างกระตือรือร้นและคาดหวัง “นายคิดว่าพรุ่งนี้จะเป็นการบรรยายของอาจารย์คนไหน?”
“ฉันตื่นเต้นชะมัด! ทั้ง ๆ ที่ฉันยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพวกเขาจะพูดเรื่องอะไร แต่มันจะต้องเป็นที่น่าเบื่อเหมือนที่พวกผู้อาวุโสพูดกันแน่ ๆ”
“ไม่ใช่แค่น่าเบื่อ แต่ความรู้ที่พวกเขาต้องการจะถ่ายทอดพวกนั้นยังถูกกลั่นกรองมาจากประสบการณ์หลายสิบปีด้วย!”
ทางเดินวิทยาศาสตร์ กำแพงของมนุษยชาติ และอื่น ๆ อีกมากมาย…แม้แต่ทางเข้าของสำนักก็ได้รับการปรับปรุงใหม่ทั้งหมด เปลี่ยนเป็นทางเดินที่มีรูปปั้นและคำคมในการฝึกตนตั้งอยู่ทั้งสองฝั่งทาง สำนักผู้ฝึกตนแห่งแรกเริ่มแสดงสัญญาณแห่งความรุ่งโรจน์ของมันแล้ว
“เจ้าไม่คิดจะออกไปเดินเล่นเลยหรือ?” อาร์ทิสเท้าคางและเอ่ยออกมาขณะที่มองออกไปนอกหน้าต่างราวกับเด็กสาววัยรุ่นทั่วไป “มีเด็กสาวน่ารักมากมายที่รอเจ้าอยู่ด้านนอกนั่น…แต่เหตุใดเจ้ากลับทำตัวราวกับเป็นชายแก่ใกล้ตายเช่นนี้? มันเหมือนกับว่าเจ้ากำลังอยู่ในช่วงสุดท้ายของชีวิตตัวเองไม่มีผิด”
ฉินเย่หยิบแว่นตากรอบดำขึ้นมาสวมและทบทวนแผนการสอนของตัวเองอย่างละเอียด เขาตอบคำถามของอีกฝ่ายโดยที่ไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมามอง “ท่านไม่เข้าใจหรือ? นี่เรียกว่าปล่อยเอ็นยาวเพื่อตกปลาใหญ่* ข้าจะปล่อยให้พวกเขาเชิดชูข้าก่อน จากนั้นก็ตกหลุมรักข้า และเอาชนะพวกเขาด้วยความรู้ที่ระดับสูงและเหนือกว่าพวกเขา”
(*หมายถึงวางแผนระยะยาว หวังผลประโยชน์ที่จะได้มากกว่า)
และก่อนที่อาร์ทิสจะได้บ่นอะไรออกมา เสียงโทรศัพท์ของเด็กหนุ่มก็ดังขึ้น เขาปรับระดับแว่นตาของตัวเองก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและดูที่หน้าจอราวกับเด็ก ๆ ข้อความที่ปรากฏขึ้นเขียนเอาไว้ว่า “หัวหน้าสาขาโจวได้เชิญคุณเข้าร่วม ‘กลุ่มอาจารย์และนักเรียนของสาขาการต่อสู้’”
อาร์ทิสมองอีกฝ่ายด้วยสายตาดูถูก นิสัยของเจ้าเด็กนี่เริ่มแย่ลงตั้งแต่ที่ถูกแต่งตั้งให้เป็นอาจารย์ของสำนักแห่งนี้…
ฉินเย่ไม่กล้าที่จะลีลากับคำเชิญของหัวหน้าโจวเลยแม้แต่น้อย เขารีบกดเข้าร่วมกลุ่มในทันที ตั้งแต่ที่เขาเข้ามาในสำนักฝึกตนแห่งแรก เขารู้สึกราวกับว่าแอปโม่โม่ของเขานั้นมีชีวิตชีวาขึ้นอย่างบอกไม่ถูก เขาได้เข้าร่วมกลุ่มมากมายที่เขาไม่เคยคิดมาก่อน ยกตัวอย่างเช่น กลุ่มที่มีฮัสกี้จอมทำลายล้างหลินฮั่นอยู่ด้วยนั้นคือกลุ่มที่เขาปฏิเสธที่จะเข้าร่วมอย่างสิ้นเชิงในอดีต แต่ตอนนี้เขาแน่ใจเลยว่าเงาของอันธพาลท้องถิ่นได้แฝงตัวอยู่ในทั่วทุกมุมของกลุ่มที่เขาได้เข้าร่วมในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา
“ยินดีต้อนรับอาจารย์ฉิน!”
“สวัสดีครับอาจารย์! อีกสองปีหลังจากนี้พวกเราขอฝากตัวด้วย!”
“อาจารย์หล่อจัง~! ทำไมอาจารย์ถึงเปิดบัญชีเป็นสาธารณะล่ะ?”
“เอ่อ…หนุ่มเนื้อแน่นสุดน่ารัก…ชื่อบัญชีของอาจารย์คงจะมีความหมายแฝงอยู่แน่ ๆ เลย…ใช่ไหม?”
เขาได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นทันทีที่เขาเข้าร่วมกลุ่ม ฉินเย่แย้มยิ้มเล็กน้อย นี่คือประสบการณ์การเข้ามหาวิทยาลัยครั้งที่เจ็ดของเขา และอาจารย์ส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยจะมีส่วนร่วมในกลุ่มพวกนี้นักเว้นแต่ว่าพวกเขาจะสั่งงานหรือจัดการอะไร และศาสตราจารย์ที่จะมีส่วนร่วมในกลุ่มก็ยิ่งหายากขึ้นไปอีก ความตื่นเต้นในกลุ่มจึงค่อย ๆ ซาลงหลังจากผ่านไปประมาณวันหรือสองวัน จากนั้นผู้เดียวที่ยังส่งข้อความลงมาในกลุ่มก็มีแต่กรรมการนักเรียนเท่านั้น
เขาเปลี่ยนชื่อบัญชีของตัวเองเป็นเลขลงทะเบียนและนามสกุลของตัวเอง จากนั้นจึงส่งสติกเกอร์ทักทายเพื่อบ่งบอกถึงการมีตัวตนอยู่ของตัวเอง ทว่าการกระทำที่แสนจะเรียบง่ายนั้นกลับกระตุ้นการตอบกลับด้วยสติกเกอร์อีกจำนวนมากภายในกลุ่มทันที
จนตอนนี้ได้กลายเป็นสงครามปาสติกเกอร์ขนาดย่อมไปแล้ว!
ดวงตาของฉินเย่เป็นประกายสดใส เขากำลังจะแตะส่งสติกเกอร์หนึ่งของตัวเองแต่ทันใดนั้นก็พบว่ามีคนอื่นได้ฉวยโอกาสนี้และส่งตัดหน้าไปก่อนตัวเองเสียแล้ว และสติกเกอร์ที่ถูกส่งมาในกลุ่มตอนนี้ก็กลายเป็นภาพเชิงปรัชญาที่เขาไม่ค่อยเข้าใจนัก มุมปากของฉินเย่กระตุก ขณะที่เขาพึมพำว่า “เด็กจริง ๆ”
“สติกเกอร์ที่เจ้ามีนั้นยังไม่ทันสมัยเท่าของข้า เจ้าอยากจะให้ข้าส่งสติกเกอร์ของเด็กเสี่ยวหวูให้หรือไม่? [1]” อาร์ทิสลอบมองจากบนไหล่ของฉินเย่และเหน็บแนมอย่างสนอกสนใจ
“ข้าอายุเท่าไหร่แล้ว? แล้วพวกเขาอายุเท่าไหร่? ผู้ที่อายุมากอย่างข้าจำเป็นจะต้องไปเล่นอะไรงี่เง่ากับพวกเขาด้วยอย่างนั้นหรือ? โลกนี้มันเป็นบ้าอะไร?” ฉินเย่เอ่ยออกมาอย่างฮึดฮัด
อาร์ทิสมองดูลูกศรที่อยู่บนหน้าของโม่โม่อย่างสงสัย ขณะที่ฉินเย่เพียงกระแอมออกมาเล็กน้อยและย้ายลูกศรไปที่อื่น จากนั้นเขาก็เปลี่ยนกลยุทธ์และส่งอั่งเปาลงไปในกลุ่ม 1 หยวน การต่อสู้ด้วยสติกเกอร์จบลงเพียงเท่านั้น การแจ้งเตือนมากมายปรากฏขึ้นในกลุ่ม ตามมาด้วยข้อความโอดครวญและบ่นจำนวนมาก
“มันเป็นไปได้อย่างไร? 0.0001 หยวนเนี่ยนะ?!”
“ไม่…ด้วยจำนวนคนที่มากกว่าร้อย เมื่อหารแล้วมันจะได้รับตัวเลขที่เป็นทศนิยมกี่จุดกัน?”
“อาจารย์ครับ ผมขอให้คุณรักษาจิตใจที่ห่อเหี่ยวเหล่านี้ด้วยการมอบอั่งเปาให้พวกเราทีละคนไปเลยได้ไหม”
ฉินเย่มองดูการตอบกลับทั้งหมดอย่างเย็นชา ไร้สาระ! กลุ่มนี้มีคนอยู่มากกว่า 200 คน เขาต้องให้ 200 หยวน เลยหรือไง! ดังนั้นทางที่ดีที่สุดของเขาในตอนนี้ก็คือทำตัวให้สูงส่ง ห่างเหิน และหายไปจากสายตาของคนทั้งหมดซะ
ขณะที่เขากำลังจะออกจากแอปโม่โม่ ผู้ที่ใช้ชื่อบัญชีว่า ‘ดาวระยิบระยับ’ ก็ส่งซองแดงที่ต้องใช้รหัสผ่านเพื่อรับเงิน 200 หยวนให้กับทุกคนในกลุ่ม และรหัสผ่านของซองแดงพวกนี้ก็คือคำตอบของคำถามที่ว่า “อาจารย์ฉิน ผู้ที่เริ่มบรรยายคนแรกในวันพรุ่งนี้คือคุณใช่หรือเปล่า?”
ฉินเย่กำลังจะพิมพ์ตอบกลับไปเมื่อหัวหน้าสาขาโจวที่เงียบไปก่อนหน้านี้ก็ส่งข้อความขึ้นมาว่า “คุณไปได้ยินมันมาจากใคร?”
ทันทีที่อีกฝ่ายส่งข้อความมา ทั้งกลุ่มก็ถูกปกคลุมด้วยความเงียบ ฉินเย่มองดูชื่อบัญชีของโจวเซียนหลงราวกับอีกฝ่ายคือตัวแทนของความชั่วร้ายทั้งหมดในโลกนี้ ไม่ใช่ว่าตารางเรียนถูกส่งให้อาจารย์ทุกคนแล้วอย่างนั้นหรือ?
แต่ถึงกระนั้น เขาก็ลบคำว่า ‘ใช่’ ที่ได้พิมพ์ไปก่อนหน้านี้ทิ้งทันที
ดาวระยิบระยับตอบกลับมาว่า – “ข่าวนี้แพร่กระจายไปทั่วทั้งสาขาแล้ว <อิโมติคอนเขินอาย>”
ฉินเย่รู้สึกว่าเส้นเลือดบริเวณขมับของเขาเต้นตุบ ๆ จะส่งอิโมติคอนเขินอายมาทำบ้าอะไร? เขาเริ่มจะเจ็บตาแล้วเนี่ย!
โจวเซียนหลงยังคงเคร่งขรึมดั่งเช่นทุกครั้ง “ตารางเรียนจะถูกประกาศในตอน 1 ทุ่มตรงของคืนนี้ ทุกอย่างจะเป็นไปตามตารางที่ถูกปล่อยออกมา”
ฉินเย่ขมวดคิ้วเข้าหากัน เขากำลังจะออกจากแอปโม่โม่แต่ทันใดนั้นการแจ้งเตือนของข้อความส่วนตัวก็ปรากฏขึ้นบนหน้าจอ
“ต้องการจะเข้าใจความหมายที่แท้จริงของชีวิตหรือไม่? อยากจะรู้สึก…มีชีวิตอย่างแท้จริงหรือไม่? อยาก/ไม่อยาก” — หัวหน้าสาขาโจว
หืม? ไม่เก่าเกินไปเหรอ? หรือว่าในที่สุดเทพแห่งความตายโจวก็เรียนรู้ที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับคนธรรมดาแล้ว? แถมเขายังพร้อมที่เจ้าเข้าสู่โลกแห่งการเชื่อมต่อที่ไร้ขีดจำกัดแล้วด้วย! มันจะเป็นการดีที่สุดถ้าเขาไม่กลับมาเป็นแบบเดิมอีก!
ดวงตาของฉินเย่เป็นประกายขึ้นและเตรียมจะพิมพ์ตอบกลับ
“หัวหน้าสาขาโจวได้ยกเลิกข้อความ”
ฉินเย่: ……
“เมื่อครู่นี้ผมกำลังอ่านวรรณกรรมอยู่เลยส่งข้อความผิดไป คุณช่วยมาพบผมที่ห้องทำงานที” — หัวหน้าสาขาโจว
ใช่แล้ว
แบบนั้นถึงจะเป็นเทพแห่งความตายโจวที่เขาคุ้นเคย
ด้วยสีหน้าที่บูดบึ้ง ฉินเย่ใช้เวลาเดินประมาณสิบนาทีก่อนที่จะมาถึงห้องทำงานของโจวเซียนหลงในที่สุด แต่ภายในห้องตอนนี้กลับมีคนอยู่มากกว่าหนึ่งคน
โจวเซียนหลงนั่งอยู่ในห้อง รวมไปถึงศาสตราจารย์ของสาขาการต่อสู้ เถาหราน อยู่ด้วย
ฉินเย่ยังไม่แน่ใจนักว่าเถาหรานผู้นี้คือใคร ต้องบอกก่อนว่าอีกฝ่ายเป็นบุคคลที่น่านับถือ เพราะอย่างไรแล้ว เขาก็ได้รับตำแหน่งศาสตราจารย์ของสาขาการต่อสู้ซึ่งไม่ใช่ตำแหน่งที่จะสามารถมอบให้กับผู้ใดได้ง่าย ๆ
แต่คนตรงหน้าก็ไม่ถือว่ามีชื่อเสียงเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ชายวัย 65 ปีผู้นี้สามารถไปยืนอยู่ที่แถวหน้าของกองกำลังต่อต้านกองกำลังจากโลกใต้พิภพได้ตั้งแต่อายุ 20 ปี เขาถูกย้ายจะศูนย์วิจัย SRC มาที่หน่วยสอบสวนพิเศษ ที่ซึ่งเขาได้รับภารกิจตั้งแต่ระดับ S ถึง D นอกจากนี้เขายังได้รับรางวัลตราความดีพิเศษหนึ่งครั้ง ตราความดีขั้นที่ 1 สามครั้ง และตราความดีขั้นที่สองอีกหลายครั้ง จะบอกว่าเขานั้นเป็นเหมือนกับสารานุกรมเคลื่อนที่ในเรื่องของวิญญาณเลยก็ว่าได้
“สวัสดีครับศาสตราจารย์เถา” ฉินเย่ก้มศีรษะให้อีกฝ่ายอย่างเคารพ หลังจากได้เข้ามาอยู่ในหน่วยงานแล้ว เขาถึงสามารถชื่นชมและเข้าใจในการจัดอันดับที่แปลกประหลาดเหล่านี้ได้อย่างเต็มที่ ศาสตราจารย์เถานั้นมีประสบการณ์มากว่า 40 ปี และได้มีชีวิตอยู่เพื่อบอกเล่าเรื่องราวมากมาย แถมเขายังฝึกฝนจนถึงขั้นยมทูตขาวดำเลยด้วย! ความสำเร็จของชายตรงหน้านี้เป็นสิ่งที่น่าชื่นชมอย่างแท้จริง
เถาหรานนั้นค่อนข้างแตกต่างจากโจวเซียนหลง แม้ว่าทั้งสองจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกันก็ตาม หากโจวเซียนหลงนั้นเรียกได้ว่าเป็นผู้ที่สง่างามและสูงส่งเหมือนกับพวกขุนนาง ถ้าเช่นนั้นเถาหรานก็เป็นเหมือนกับชายชราที่น่ารักหรือคุณปู่ข้างบ้าน มันแทบจะไม่มีร่องรอยว่าเขาเป็นผู้ฝึกตนขั้นยมทูตขาวดำเลยสักนิด ชายสูงวัยแย้มยิ้มกว้างและยื่นมือไปจับมือฉินเย่ “เสี่ยวฉิน เชิญนั่ง ๆ ดื่มชาด้วยสิ ผู้เฒ่าโจวเป็นคนชงมันด้วยตัวเองเลยนะ”
ฉินเย่นั่งลงและยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบ โจวเซียนหลงดูเหมือนจะพึมพำกับตัวเองเบา ๆ ขณะที่เคาะนิ้วบนโต๊ะ เถาหรานเองก็ไม่ได้พูดอะไรหลังจากนั้น เขาเพียงเอนหลังพิงกับพนักพิงของตัวเอง หรี่ตาลงจนแทบจะดูเหมือนว่ากำลังจะหลับ
“คือเรื่องเป็นอย่างนี้” หลังจากผ่านไปประมาณหนึ่งนาที โจวเซียนหลงก็ถอนหายใจออกมาเบาๆขณะที่ส่งซองเอกสารสีน้ำตาลให้กับฉินเย่ “คุณคงพอจะทราบแล้วใช่ไหมว่าคุณจะต้องทำการบรรยายเป็นคนแรกในวันพรุ่งนี้?”
ฉินเย่ยื่นมือไปรับซองเอกสารจากอีกฝ่าย และเขาก็พบว่าโจวเซียนหลงยังไม่ยอมปล่อยมือจากมันเลยแม้แต่น้อย
ฉินเย่มองหน้าโจวเซียนหลงอย่างงุนงง แต่อีกฝ่ายก็ยังคงมีใบหน้าเรียบเฉย ชายสูงวัยเอ่ยต่อ “แต่ละสาขาจะส่งตัวแทนออกมาทำการบรรยายเปิดภาคเรียน และผู้ที่ได้รับเลือกก็คืออาจารย์ที่มีคะแนนมากที่สุด ความสามารถของคุณนั้นถือว่าดีที่สุดในสาขาการต่อสู้ของเรา ไม่ว่าจะพิจารณาจากการประเมินเบื้องต้น หรือจากทักษะการต่อสู้จริงของคุณ ส่วนอาจารย์คนอื่น ๆ ที่เราคาดว่าจะทำการเปิดบรรยายก็คืออาจารย์ฮวงจากสาขาช่างฝีมือแห่งโลกใต้พิภพ อาจารย์ไป๋จากสาขาวิทยาศาสตร์และการทำวิจัย อาจารย์เมิ่งจากสาขาการผลิต และอาจารย์หลี่จากสาขาทฤษฎี”
ทันใดนั้นเถาหรานก็เอ่ยแทรกขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า “พวกนักเรียนยังไม่รู้ถึงกำหนดการทั้งหมด เราจะประกาศกำหนดการทั้งหมดในเวลา 1 ทุ่มตรงของวันนี้”
ฉินเย่สับสนเล็กน้อย เขาไม่เข้าใจว่าทั้งสองต้องการจะสื่ออะไร
เหมือนเขาจะรับรู้ในความมึนงงของฉินเย่ เถาหรานจึงเอ่ยต่อว่า “ระบบการสอนนั้นถูกสร้างขึ้นจากคะแนนการสอน คุณต้องการมัน และเราก็ต้องการมันเช่นกัน คุณได้รับคะแนนจากสอนจากเหล่านักเรียน ในขณะที่ศาสตราจารย์อย่างพวกเราได้รับคะแนนการสอนจากพวกคุณที่เป็นอาจารย์”
“การประเมินของอาจารย์ทุกคนล้วนเชื่อมโยงกับคะแนนการสอนของเรา และในทางกลับกันการประเมินของเราก็เชื่อมโยงกับการจัดแบ่งทรัพยากรและสิทธิประโยชน์ที่จะได้รับโดยตรง คุณจะเข้าใจเรื่องทั้งหมดนี้ก็ต่อเมื่อคุณได้ขึ้นเป็นรองศาสตราจารย์แล้วเท่านั้น”
โจวเซียนหลงพยักหน้าเบา ๆ จากนั้นก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างกะทันหัน “เสี่ยวฉิน คุณรู้หรือเปล่าว่าจะมีการประเมินการสอนโดยรวมอย่างไร?”
ร่างของฉินเย่สั่นเทาเล็กน้อยจากความตกตะลึงที่ไม่สามารถอธิบายได้
เสี่ยวฉิน?
ไม่…ไม่ใช่คุณมักจะเรียกผมว่า ‘เจ้าหนู’ หรือ ‘S9527’ หรอกเหรอ? หรือว่าการปฏิสัมพันธ์ของเราเมื่อคืนนี้ทำให้คุณเข้าใจอะไรผิดไป? ทำไมมันถึงรู้สึกว่าวันนี้คุณดูอบอุ่นกับผมเป็นพิเศษกัน?
ถึงแม้ว่าโจวเซียนหลงจะไม่ได้รู้จักฉินเย่ดีนัก แต่เขาก็สังเกตเห็นการแสดงของเพียงเล็กน้อยของฉินเย่ที่บ่งบอกว่าในหัวของอีกฝ่ายตอนนี้กำลังมีความคิดที่น่ากลัววนอยู่ เขาจ้องหน้าเด็กหนุ่ม “หากคุณสามารถเอาพลังงานที่คิดเรื่องพวกนั้นไปทุ่มให้กับการฝึกตนแทน คุณก็คงจะเป็นผู้ฝึกตนขั้นยมทูตขาวดำที่อายุน้อยที่สุดในโลกไปแล้ว! เอาเถอะ…ช่างเรื่องนั้นก่อน ผมจะอธิบายให้ฟัง การประเมินการสอนจะอยู่ภายใต้การเฝ้าดูของทีมประเมินร่วมที่ถูกจัดตั้งขึ้นโดยสมาชิกของทางศูนย์วิจัย SRC และหน่วยสอบสวนพิเศษ เพราะสุดท้ายแล้วการประเมินการสอนนี้ก็เชื่อมโยงกับขุมสมบัติที่ใหญ่ที่สุดของชาติ ดังนั้นมันจึงไม่มีทางที่พวกเขาจะให้ความสำคัญกับมันแค่เพียงผิวเผินแน่นอน เราต้องระมัดระวังในเรื่องของความคิดเห็นที่มีต่อทางสำนักให้ดี”
โจวเซียนหลงสบตากับฉินเย่และเอ่ยต่อว่า “หลังจากที่กลับมาจากเมืองไดซาน สิ่งแรกที่พวกเราทำก็คือส่งรายละเอียดของอาจารย์ทุกคนไปให้กับทีมประเมิน สรุปตารางการสอนและส่งมันให้กับอาจารย์แต่ละคน การประเมินเบื้องต้นของทางทีมประเมินได้ถูกส่งมาถึงแล้วเมื่อเช้านี้ ผู้เฒ่าเถาและผมได้หารือกันอยู่นานว่ามันจำเป็นที่จะต้องสับเปลี่ยนตารางหรือไม่ แต่หลังจากที่พูดคุยกันแล้ว เราก็ตัดสินใจว่าเราควรจะให้คุณตัดสินใจด้วยตัวเอง”
ฉินเย่มองดูซองสีน้ำตาลอีกครั้ง
โจวเซียนหลงถอนหายใจออกมาและปล่อยมือจากซองเอกสารในที่สุด “คุณลองอ่านดู ไม่ต้องคิดอะไรมาก พวกเขาไม่เข้าใจอาจารย์ผู้สอนเลยสักนิด การประเมินแรกนั้นตัดสินจากข้อมูลที่รวบรวมได้ และมันก็ไม่แม่นยำนัก มันมีไว้เพื่อเป็นข้อมูลอ้างอิงเท่านั้น”
ฉินเย่รับซองเอกสารและคลายเชือกออกโดยไม่ได้เอ่ยอะไร ด้วยเหตุผลบางประการ เขาเริ่มมีลางสังหรณ์ที่ไม่ดีนักเกี่ยวกับเนื้อหาที่อยู่ข้างใน
ข้อมูลจากการร่วมมือกันระหว่างศูนย์วิจัย SRC และหน่วยสอบสวนพิเศษจะไม่แม่นยำและใช้เพื่อสำหรับอ้างอิงเท่านั้นได้อย่างไร?
มันรู้สึกเหมือนกับว่าประโยคเมื่อครู่…มีความหมายอื่นซ่อนอยู่
บางทีคะแนนในการประเมินเบื้องต้นของเขาอาจจะไม่สูงมากนัก
หรือบางทีมันอาจจะเรียกได้ว่าค่อนข้างต่ำเลยก็ได้
ไม่อย่างนั้น…โจวเซียนหลงและเถาหรานคงไม่อยู่ที่นี่ บอกคำใบ้ให้กับเขา เตรียมพร้อมเขาสำหรับสิ่งที่กำลังจะมาถึง