ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 158: การบรรยายของมือใหม่ (3)
บทที่ 158: การบรรยายของมือใหม่ (3)
ฉินเย่กลืนคำก่นด่าภายในใจของตัวเองยิ้มและพูดขึ้น “ผมมีหลักฐานสนับสนุนเรื่องพวกนี้อย่างแน่นอน คุณลองจับวิญญาณอาฆาตมาตัวหนึ่งสิ จากนั้นก็เอาวิญญาณเร่ร่อนมาให้มันกิน เมื่อผ่านไปหนึ่งอาทิตย์ คุณก็จะสามารถเห็นความแตกต่างได้อย่างชัดเจนเลยล่ะ!”
“ไร้สาระ!” ชายในชุดปฏิบัติการสีขาวตะโกนออกมาเสียงดัง เขานึกว่าฉินเย่จะตอบกลับมาฉลาดกว่านี้ แต่เขากลับพูดจาไร้สาระแบบนั้นออกมา มันจะเป็นไปได้ยังไงที่วิญญาณจะกินกันเองได้
ความโมโหทำให้เขาลืมเสียสนิทว่าตัวเองยังอยู่ในสำนักฝึกตนแห่งแรก อกของเขาก็กระเพื่อมขึ้นลงอย่างหนักหน่วงขณะที่ตะคอกเสียงดังใส่ฉินเย่ “เหตุผลที่พวกเราเรียกมันว่าวิญญาณก็เพราะว่าพวกมันไม่สามารถแตะต้องกับสิ่งของของแดนมนุษย์ได้! เว้นแต่ว่าพวกมันจะเข้าสิงบางอย่าง และสิ่งเดียวที่เราสามารถทำได้ในกรณีนั้นก็มีเพียงกำจัดมัน! การทดลองอย่างนั้นเหรอ?! เหอะ! นี่คุณฝันอยู่รึเปล่า”
ฉินเย่รู้สึกเหนื่อยหน่ายเป็นอย่างมาก
ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมอาร์ทิสถึงชอบพูดกรอกหูเขาประจำ ไม่ใช่ว่านางเกลียดใครเป็นพิเศษ แต่มันก็แค่ทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่เป็นเพียงเศษขยะไร้ค่าเท่านั้น
เขาหมายถึง…คุณปล่อยให้ความรู้ที่สืบทอดต่อกันมาหายไปนานแค่ไหนแล้ว? ทั้งหมดนี่คือสิ่งที่ผมสามารถทำได้ตั้งแต่ตอนที่ตัวเองยังเป็นแค่ขั้นยมเทพเท่านั้นเองนะ! นี่พวกคุณจะไม่รู้เลยได้อย่างไร? แล้วดูดซับพลังจากแก่นแท้ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์เนี่ยนะ? เทคโนโลยีของพวกคุณห่วยไปหน่อยหรือเปล่า?
“ถ้าอย่างนั้น…มีใครในที่นี้รู้จักลูกบอลผนึกวิญญาณบ้างหรือเปล่า?”
เงียบ
สิ่งที่มนุษย์เกลียดมากที่สุดก็คือความเงียบที่น่าอึดอัด
มือข้างหนึ่งค่อย ๆ ชูขึ้นกลางอากาศท่ามกลางความเงียบที่น่าอึดอัด ฉินเย่พยักศีรษะเป็นเชิงอนุญาต และเย่ซิงเฉินก็ลุกขึ้นยืนและถาม “อาจารย์ฉิน ลูกบอลผนึกวิญญาณคืออะไรครับ? ผมไม่ได้เคยได้ยินเรื่องนี้ในนิกาย และในหนังสือที่ผมอ่านเองก็ไม่มีการกล่าวถึงสิ่งนี้เช่นกัน”
หืม? ไม่เลว!
เด็กคนนี้ดูมีแวว…เหล่าผู้ประเมินมองเด็กหนุ่มอย่างเห็นด้วยก่อนจะหันกลับไปมองฉินเย่
ฉินเย่ได้เตรียมตัวสำหรับเรื่องนี้เอาไว้แล้ว เด็กหนุ่มนำลูกบอลผนึกที่เขาได้เตรียมเอาไว้ก่อนหน้านี้ออกมา นี่คือบอลผนึกที่มีอานุภาพอ่อนแอกว่าลูกบอลผนึกที่เขาใช้ผนึกอาร์ทิสมาก และอักขระที่ใช้เขียนก็ง่ายกว่ามากเช่นกัน ลูกบอลผนึกลูกนี้คือสิ่งที่เขาได้ทำขึ้นมาภายใต้การให้คำชี้แนะของอาร์ทิส ทั้งมันยังเป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรสำหรับยมบาลขั้นยมเทพมือใหม่ เขาได้ทดลองใช้มันก่อนหน้านี้มาแล้ว และลูกบอลผนึกที่เขาเป็นคนเตรียมก็ขึ้นมาสามารถผนึกวิญญาณได้จนถึงระดับวิญญาณอาฆาตเท่านั้น
ทันทีที่เขาหยิบมันออกมา ลูกบอลผนึกก็พุ่งออกจากมือและพุ่งตรงไปยังกลุ่มผู้ประเมินทันที ทว่าทันใดนั้นมันก็หยุดอยู่กลางอากาศ เลื่อนไปทางซ้ายเล็กน้อย ก่อนจะเคลื่อนไปทางขวาอีกเล็กน้อย สวี่อันกั๋วนั่งอยู่ทางฝั่งซ้าย ในขณะที่โจวเซียนหลงนั่งอยู่ทางฝั่งขวา ทั้งสองต่างยืนมือออกไปด้านหน้า หมายจะดึงลูกบอลผนึกมาตรวจสอบด้วยตาของตัวเอง!
ชายสูงวัยทั้งสองตกตะลึงกับสถานการณ์แปลกประหลาดที่เกิดขึ้น แต่โจวเซียนหลงก็รีบดึงมือของตัวเองกลับมาและกระแอมเบา ๆ ลูกบอลผนึกจึงตกลงสู่มือของสวี่อันกั๋วทันที โจวเซียนหลงและผู้เฒ่ายวีเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายเพื่อตรวจสอบมันอย่างใกล้ชิดทันที และก็เป็นโจวเซียนหลงที่ถามขึ้นทันทีหลังจากที่เห็น “ภาษาสันสกฤตโบราณ?”
“ใช่” สายตาของผู้เฒ่ายวีลุกโชนขึ้นขณะที่เขาเอื้อมมือออกไปเพื่อที่จะสัมผัสมัน แต่ความต้องการของเขาก็ถูกทำลายโดยสวี่อันกั๋ว ผู้ซึ่งหมุนลูกบอลในมือไปรอบ ๆ เพื่อตรวจดูมันทุกซองทุกมุม “อักขระที่ถูกเขียนบนนี้น่าจะเป็นผนึก…ดูนี่สิ อักขระสันสกฤตโบราณที่ถูกเขียนทั้งหมดเชื่อมต่อกันอย่างน่าเหลือเชื่อ หากคุณใส่พลังของตัวเองเข้าไป จุดนี้ก็จะกลายเป็นตัวที่เชื่อมต่อผนึกทั้งหมดเข้าด้วยกัน เปลี่ยนให้มันเป็นสิ่งประดิษฐ์เวท ช่างเป็นการออกแบบที่แยบยลจริง ๆ!”
“นี่คงจะเป็นวิชาที่หายสาบสูญไปนานมากแล้ว มันไม่เคยมีบันทึกอยู่ในตำราโบราณที่พวกเรามีเล่มไหนเลย! ข้อมูลที่เรามีตอนนี้มีเพียงวิชาผนึกเวอร์ชันที่ได้รับการบูรณะมาแล้วเท่านั้น และมันก็ยังไม่สมบูรณ์….”โจวเซียนหลงจึงเอ่ยเสริม
เขาวางมือของตัวเองลงไปบนลูกบอลวิญญาณโดยที่ยังพูดไม่จบ จากนั้นจึงใส่พลังปราณของตัวเองลงไป อักขระภาษาสันสกฤตที่ถูกเขียนอยู่รอบ ๆ ลูกบอลผนึกก็เปล่งแสงสีทองออกมา ลูกบอลในมือเริ่มสั่นเล็กน้อยราวกับว่ามันมีชีวิต
อักขระทั้งหมดไหลลื่น ลูกบอลผนึกลูกนี้สามารถใช้งานได้จริง ๆ!
“ผู้อำนวยการสวี่ครับ ผมเสนอให้คุณส่งสิ่งนี้ให้กับศาสตราจารย์เถาเพื่อยืนยันมันเดี๋ยวนี้เลยครับ!” โจวเซียนหลงเอ่ยออกมาอย่างเคร่งเครียด “สิ่งประดิษฐ์ชิ้นนี้ซับซ้อนมาก พวกเราควรทดลองใช้มันทันทีว่ามันสามารถจับวิญญาณได้จริง ๆ หรือไม่! หากมันทำได้…มันจะต้องเป็นตัวช่วยที่ยิ่งใหญ่สำหรับสถานการณ์ภายในจีนในปัจจุบันอย่างแน่นอน!”
สีหน้าของเถาหรานเข้มขึ้นราวกับก้นหม้อ
โจวเซียนหลง ผมไม่คิดเลยว่าคุณจะเป็นคนแบบนี้…คุณคือผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับการยกย่องในทุกเรื่อง…และมันก็เห็นได้ชัดเจนว่าเรื่องที่สำคัญเช่นนี้ควรถูกรับผิดชอบโดยหัวหน้าของสาขาการต่อสู้ แต่คุณกลับให้ผมไปแทนเพื่อที่ตัวเองจะได้สามารถนั่งฟังการบรรยายอย่างสยายใจใช่ไหม?
ผมอยากฟังต่อเหมือนกันนะ!
คุณคือคนที่ได้เห็นลูกบอลนั่น แล้วทำไมผมถึงต้องเป็นทำธุระให้ด้วย?
“ผมคิดว่าทาง SRC จะเชี่ยวชาญในเรื่องนี้มากกว่า” เถาหรานเบี่ยงเบนความสนใจไปที่ ศูนย์วิจัย SRC เขาเองก็เชี่ยวชาญในการผลักดันงานไม่น้อย
แต่การตอบสนองของผู้เฒ่ายวีนั้นยิ่งตรงไปตรงมาขึ้นไปอีก
“คุณ” เขาหันไปส่งลูกบอลผนึกวิญญาณให้กับผู้ใต้บังคับบัญชาของตนและบอกอีกฝ่ายว่า “ไปจับวิญญาณมาสักตนหนึ่ง หากมันเกิดความเสียหาย… อาจารย์ฉิน แล้วพวกเราจะไปจับวิญญาณได้อย่างไร? คุณพอจะมีลูกบอล…ลูกบอลผนึกวิญญาณพวกนี้เหลืออยู่อีกหรือเปล่า?”
“ยังมีอีกมากครับ” ฉินเย่ยิ้ม “ผมสามารถทำมันขึ้นมาได้ด้วยตัวเองด้วยซ้ำ นี่คือสิ่งที่ผมวาดขึ้นมาก่อนหน้านี้เพื่อเตรียมการสำหรับการบรรยายในครั้งนี้ การใช้งานของมันก็ง่ายมาก เมื่อคุณต้องการใช้มัน คุณเพียงแค่ต้องคลี่มันออก และใช้มันเหมือนกับแส้ ทันทีที่มันถูกโอบล้อมด้วยวิญญาณ มันก็จะม้วนตัวและกลับเป็นลูกบอลอีกครั้งโดยอัตโนมัติ”
ในเวลานั้นเอง เหล่านักเรียนที่นักอยู่ต่างก็เริ่มแสดงสัญญาณไม่พอใจออกมา
ตาแก่พวกนี้! พวกเรานั่งฟังเรื่องไร้สาระของพวกคุณมาสักพักหนึ่งแล้วนะ! พวกคุณไม่เพียงแต่ขัดขวางการบรรยาย แต่พวกคุณยังเอาสื่อการสอนทั้งหมดไปเป็นของตัวเองอีกอย่างนั้นเหรอ? ไม่ใช่ว่าพวกเราคืออัญมณีล้ำค่าที่ประเทศชาติจะต้องเลี้ยงดูฟูมฟักหรือไง? พวกคุณไม่คิดว่าตัวเองควรหันกลับไปส่องกระจกหน่อยหรือไง?
“ก็ได้” สวี่อันกั๋ว เถาหราน โจวเซียนหลง และศาสตราจารย์ยวีต่างเอ่ยมาอย่างพร้อมเพรียงกันขณะที่เพิกเฉยต่อสายตาไม่พอใจของพวกนักเรียน ผู้เฒ่ายวียื่นลูกบอลผนึกวิญญาณอันล้ำค่าให้กับหนึ่งในชายสวมชุดปฏิบัติการสีขาวและเอ่ยว่า “ภายในหนึ่งชั่วโมง คุณจะต้องกลับมาให้ทันในตอนท้ายของการบรรยายนี้ ผมอยากจะเห็นผลลัพธ์ของมันโดยเร็วที่สุด!”
หลังจากนั้นเขาก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกและหันกลับไปสนใจฉินเย่ต่อ ซึ่งมันเป็นวินาทีนั้นเองที่เขาสังเกตเห็นถึงจังหวะการเต้นของหัวใจที่เร็วขึ้นของตัวเอง
และเขาก็มั่นใจมากว่ามันไม่ได้มีแต่เขาเพียงเท่านั้น ทุกคนกลับไปให้ความสนใจกับการบรรยายของฉินเย่ด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึมกว่าเดิม
อาจกล่าวได้ว่าผู้ที่ไม่ใช่นักเรียนส่วนใหญ่ในห้องนี้ต่างเกิดมาพร้อมกับหัวใจของผู้สังเกตการณ์ พวกเขาต่างรอดูว่าเหล่าอาจารย์ที่ทำการบรรยายในวันนี้จะมาพร้อมกับศักยภาพที่น่าพึงพอใจได้หรือไม่
แต่สำหรับตอนนี้ มุมมองเกี่ยวกับการบรรยายในครั้งนี้ของพวกเขาได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง!
ผู้ประเมินทั้งหมดต่างเปิดหน้าสมุดของตัวเอง ตั้งใจฟังสิ่งที่ฉินเย่กำลังจะพูดต่อไปนี้อย่างกระตือรือร้น และมีบางคนถึงขนาดที่หยิบโทรศัพท์ของตนออกมาและบันทึกเสียงการบรรยายในครั้งนี้โดยไม่รู้ตัว… แม้แต่ทีมเปลวเพลิงที่นั่งฟังการบรรยายอยู่ด้วยอดไม่ได้ที่จะกัดฟันอย่างคับแค้นใจเมื่อสังเกตเห็นพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของเหล่าผู้ประเมิน
“โถ่เว้ย…ฉันไม่ควรมานั่งฟังการบรรยายในครั้งนี้เลยสักนิด!” อันธพาลท้องถิ่นกำปากกาในมือแน่นจนแทบจะหักมันออกเป็นสองท่อน “ใครจะไปคิดว่าไอ้เด็กนี่จะซ่อนไพ่ตายไว้เยอะขนาดนี้กัน…ตอนที่เรากำจัดวิญญาณกันครั้งที่แล้วเขายังไม่ได้เอาสิ่งนี้ออกมาใช้ด้วยซ้ำ!”
หลี่หยุนเซวี่ยมองฉินเย่และส่ายศีรษะไปมาอย่างยอมจำนน “นี่มันไปต่างอะไรกับการล่อให้ติดกับเลยสักนิด…”
ซู่เฟิงกำลังค้นหาข้อมูลทั้งหมดจากทุกช่องทางที่เขามี “ให้ตายเถอะ…เขารู้หรือเปล่าว่าแนวคิดเกี่ยวกับการจับวิญญาณพวกนี้ขึ้นมันจะสร้างความตกตะลึงให้ผู้คนมากขนาดไหน? ไม่ เขาจะต้องรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว! แต่มันก็เห็นได้ชัดเลยว่าเขาจะไม่พูดถึงมันเพิ่มเติมไปมากกว่านี้! เขาจะพูดมันในการบรรยายครั้งต่อไป เจ้าเล่ห์…เจ้าเด็กนี่มันเจ้าเล่ห์เกินไปแล้ว!”
อย่างไรก็ตาม ไม่มีผู้ใดให้ความสนใจกับการพูดคุยเล็กๆน้อยที่เกิดขึ้นบริเวณมุมห้องทั้งนั้น ผู้ประเมินทั้งหมดต่างจับจ้องไปที่ฉินเย่ เมื่อได้เห็นสายตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวังที่จับจ้องมาที่ตน ฉินเย่จึงเอ่ยต่อ “เราถึงตรงไหนกันแล้วนะ…อ้อ ใช่ ภูตผีคลุ้มคลั่งและการกลืนกิน กลับมาที่หัวข้อของเรา การกลืนกินนั้นเป็นวิธีที่รวดเร็วและได้ผลดีที่สุดที่วิญญาณจะสามารถวิวัฒนาการได้ และมันก็เป็นเหตุผลนี้เช่นกันที่ทำให้เราต้องกำจัดวิญญาณทันทีที่ตรวจพบถึงการมีอยู่ของมัน เพราะไม่ว่าอย่างไร เราก็ต้องการลดโอกาสที่มันจะกลืนกินวิญญาณดวงอื่นและวิวัฒนาการไปสู่ระดับถัดไปให้เหลือน้อยที่สุด”
“การวิวัฒนาการของวิญญาณนั้นไม่ได้เหมือนกับความก้าวหน้าของพวกเราผู้ฝึกตน เมื่อวิญญาณเกิดวิวัฒนาการ มันจะน่ากลัวและแปลกประหลาดกว่าเดิมมาก และมันยังสามารถมีวิธีการฆ่าที่หลาหลายมากขึ้นด้วย ในความเป็นจริงแล้ว…ผมยังไม่แน่ใจว่าพวกมันจะสามารถสัมผัสกับวัตถุที่อยู่ในแดนมนุษย์ได้หรือไม่ แต่ผมค่อนข้างมั่นใจว่าพวกมันบางตนสามารถสัมผัสกับร่างกายมนุษย์ได้อย่างแน่นอน!”
“ภูตผีคลุ้มคลั่งนั้นใช่สิ่งใดอื่นนอกจากวิญญาณธรรมดาที่มีความแค้นภายในจิตใจสูงและยังคงไม่ได้รับการตรวจพบขณะที่มันกลืนกินวิญญาณตนอื่นไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งมันกลายร่างเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาและกระหายเลือดอย่างรุนแรง!”
ฉินเย่หยุดพูดไปครู่หนึ่ง และใช้พอยน์เตอร์เปลี่ยนหน้าจอ LED ด้วยสีหน้าที่จริงจังมากขึ้น “เช่นเดียวกับที่มีอื่นการระคายเคืองเรื้อรังของเซลล์เยื่อบุผิวชนิดคอลัมนาร์ จะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนเป็นเซลล์เยื่อบุผิวชนิดสความัส สิ่งนี้ก็เป็นการวิวัฒนาการหรือการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพเช่นกัน มันยังถูกเรียกว่าการเกิดใหม่ด้วย สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงจุดที่วิญญาณสามารถแฝงตัวเข้าสู่สังคมมนุษย์และไปไหนมาไหนในเวลากลางวัน และมันก็เป็นสิ่งทำให้พวกเราตรวจพบการมีอยู่ของมันได้ยากที่สุด!”
“ย่ำตะวันงั้นเหรอ?”
“มัน…มันเป็นไปได้จริง ๆ เหรอ?”
“เราสามารถเห็นผีในตอนกลางวันจริง ๆ น่ะหรือ?”
เสียงพูดคุยอย่างตกตะลึงดังไปทั่วท้องห้องบรรยายทันทีที่ฉินเย่ได้ทิ้งระเบิดลง
“เงียบ” สวี่อันกั๋วเอ่ยขึ้นอย่างน้อยครั้งนักที่จะแสดงอำนาจของตน “ฟังอาจารย์ฉิน”
ไม่มีผู้ประเมินคนใดเอ่ยอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว
ผู้ฝึกตนขั้นยมทูตขาวดำที่อยู่ที่นี่ล้วนเคยได้ยินเรื่องการย่ำตะวันมาก่อน และแม้แต่โจวเซียนหลงเองก็พยักหน้ายืนยัน
จากคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่ โจวเซียนหลงเป็นเพียงคนเดียวที่เคยเข้าร่วมปฏิบัติการกำจัดวิญญาณร้ายในเวลากลางวันแสก ๆ!
นี่คือปฏิบัติการลับสุดยอด ผู้ฝึกตนระดับสูงที่สุดสามคนในจีนถูกเรียกตัวเพื่อปิดเมืองทั้งเมืองภายใต้ข่าวเรื่องการรั่วไหลของนิวเคลียร์ ผู้ฝึกตนขั้นยมทูตขาวดำ 11 คน ผู้ฝึกตนขั้นนักล่าวิญญาณ 300 คน และผู้ฝึกตนขั้นยมเทพอีก 1 พันคนต้องระดมความสามารถเข้าด้วยกันถึงจะสามารถกำจัดวิญญาณร้ายที่เดินทางในแดนมนุษย์ในเวลากลางวันแสก ๆ ลงได้ในท้ายที่สุด
ฉินเย่ไม่ได้แต่งเรื่องนี้ขึ้นมา
และสิ่งที่ทำให้เขาตะลึงมากที่สุดก็คือทำไมความคิดพวกนี้ถึงไม่เคยผุดขึ้นมาในหัวของเขามาก่อน ทำไมถึงเป็นภูตผีคลุ้มคลั่ง? หากเขาตกลงที่จะใช้ชื่อที่ฉินเย่ได้ตั้งขึ้นมา คุณรู้หรือเปล่าว่าวิญญาณตนนั้นกำลังทำอะไรอยู่ที่ใจกลางเมือง? ในความเป็นจริงแล้ว แม้แต่ผู้ฝึกตนที่มีฝีมือมากที่สุดสามคนในประเทศจีนอย่างพวกเขาเองก็แทบจะไม่เชื่อสายตาของตัวเองเมื่อครั้งแรกที่เห็นคือ มันกำลังอุ้มเด็กผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ในสนามเด็กเล่น!
แต่ตอนนี้ หลังจากที่ได้ฟังคำอธิบายเกี่ยวกับเหตุการณ์พวกนี้จากฉินเย่ เขาก็สามารถอธิบายสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้ในที่สุด
มันคือการวิวัฒนาการของวิญญาณ
เช่นเดียวกับที่โลกของเราวิวัฒนาการ พวกวิญญาณเองก็เช่น! ยิ่งวิญญาณตนดังกล่าววิวัฒนาการมากเท่าไหร่ มันก็จะยิ่งมีระดับสติปัญญาที่สูงขึ้นเท่านั้น และเมื่อพวกมันแฝงตัวและหายไปในฝูงชน พวกมันก็เริ่มเข้าสู่…การเกิดใหม่
การเกิดใหม่ของวิญญาณ
“ในจีนมีภูตผีคลุ้มคลั่งหรือเปล่า?” โจวเซียนหลงพึมพำ แต่ทันใดนั้นเขาก็พบว่านักเรียนภายในสาขาทั้งหมดต่างหันกลับมาจองหน้าเขาด้วยสายตาไม่พอใจ
ปรากฏว่าเขาถามคำถามของตัวเองกับฉินเย่โดยไม่รู้ตัว
นักเรียน A – นี่พวกคุณยังไม่พออีกใช่ไหม?! อาจารย์ฉินเพิ่งพูดออกมาแค่ไม่กี่ประโยคเท่านั้น! พวกคุณมีปัญหาอะไรนักหนา?!
นักเรียน B – คุณเข้าใจความหมายของการเข้าร่วมการบรรยายหรือเปล่า? คุณช่วยเลิกขัดสิ่งที่เขาจะพูดได้ไหม? หากไม่ใช่เพราะข้อเท็จจริงที่ว่าคุณอยู่ขั้นตุลาการนรก ผมคงเตะคุณกระเด็นไปแล้ว…
นักเรียน C – ให้ตายเถอะ! ผมไม่เคยเห็นใครที่แสวงหาความสนใจเท่าคุณมาก่อนเลย! นี่คุณกำลังหาทางชดเชยกับการที่ตัวเองไม่ได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัยมาใช่ไหม?! ทำไมเราถึงต้องให้โอกาสคุณถามด้วย?!
นักเรียน D ถึง Z – กรุณาหุบปากเถอะ ขอบคุณ!
ฉินเย่เองก็สัมผัสได้ถึงอาการปวดหัวที่รุมเร้าขึ้นมาเช่นกัน คนพวกนี้ช่างมีคำถามเยอะจริง ๆ! ช่วยทำตัวเป็นเด็กดี สงบปากสงบคำและนั่งฟังการบรรยายของผมอยู่เงียบ ๆ ไม่ได้เลยเหรอ?! แล้วอย่างนี้ผมจะขึ้นเป็นอันดับ 1 ได้อย่างไร! ตอนนี้ผมยังไม่สามารถพูดครอบคลุมถึงเนื้อหาอะไรได้เลยด้วยซ้ำ! แล้วผมก็จำไม่ได้แล้วด้วยว่าเมื่อครู่นี้เราค้างไว้ที่ตรงไหน!
แต่ถึงกระนั้น เด็กหนุ่มก็แย้มยิ้มออกมา “แน่นอนว่ามี!”
คำตอบที่ตรงไปตรงมาของเขาทำให้คนทั้งหมดต่างตกตะลึง แววตาของโจวเซียนหลงวาวโรจน์กว่าเดิม
“พวกคุณลองดูที่จุดนี้ จุดนี้ และจุดนี้”
เขาชี้ไปที่พื้นที่บริเวณเสฉวน บริเวณแม่น้ำจูเจียง และทางตะวันออกเฉียงเหนือ
“เสฉวนและพื้นที่ที่อยู่รอบ ๆ โดยเฉพาะหรงโจวและซินเจียงทางตอนใต้ได้กลายเป็นพื้นที่สีแดงเกือบทั้งหมด แม้แต่เมืองหลวงของพวกเขาเองก็ไม่มีข้อยกเว้น!”
ซู่เฟิงหรี่ตาลงและกระซิบเบา ๆ ว่า “ฉันจำได้…เมืองหลวงทั้งสองที่ถูกประกาศแจ้งเตือนเหตุการณ์เหนือธรรมชาติด้วยใช่ไหม?”
“ไม่ใช่แค่นั้น” หลินฮั่นกลับซิบตอบเสียงเบา “ที่เขาวงสถานที่ไว้สองสามที่นั้น ใช่อย่างที่กล่าวมาทั้งหมด แต่พื้นที่สีแดงที่อยู่บนแผนที่นี่คุณสามารถมองเห็นได้ง่ายมาก เป็นไปได้หรือเปล่าว่า…ที่นี่จะมีผี..แบบที่เขาพูดว่าอะไรโปเย…โปเยโปโลเยใช่ไหม?”
“…หลินฮั่น…ฉันล่ะอายจริง ๆ ที่เรียกนายว่าเพื่อนร่วมทีม….”