ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 163: การโจมตีของศัตรู!
บทที่ 163: การโจมตีของศัตรู!
ชายหนุ่มเงียบและค่อย ๆ หันหลังกลับมามองหน้าฉินเย่ ทุกอย่างดำเนินไปแบบนี้ไปอีกหนึ่งนาที…สามนาที…และหลังจากผ่านไปห้านาที ร่างของเขาก็สั่นไหวอย่างรุนแรงและสำลักขณะเอ่ยขึ้นว่า “นายรู้ว่ามันคืออะไรไหม?”
ฉินเย่ไม่ตอบ
มันแปลกประหลาดอย่างมาก ชายหนุ่มยังคงมีเงาขณะที่เขาหันไปเผชิญหน้ากับฉินเย่โดยตรง แต่ฉินเย่สาบานได้เลยว่าเขามองไม่เห็นเงาของอีกฝ่ายจากด้านข้างเลยสักนิดเดียว!!
“นายรู้วิธีที่จะเอามันออกใช่หรือเปล่า?!”
ชายหนุ่มมีอารมณ์รุนแรงอย่างเห็นได้ชัด เสียงพูดของเขาแหบพร่า และทันใดนั้น เขาก็พุ่งตัวมาข้างหน้า พยายามที่จะคว้าแขนของฉินเย่เอาไว้ แต่สายโซ่ที่แขนและขาของเขากลับดึงเขาเอาไว้
แต่เพราะว่าอีกฝ่ายหันกลับมาและลุกขึ้นยืน ฉินเย่ถึงสังเกตเห็นว่าชายหนุ่มตรงหน้าสวมชุดที่มีตราสัญลักษณ์ของศูนย์วิจัย SRC ติดอยู่บนอก
“ผมไม่รู้” ฉินเย่ยังคงเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงที่นิ่งเรียบขณะที่วางกระเป๋าลงบนเคาน์เตอร์ “ผมมาที่นี่เพื่อแลกของเท่านั้น”
“ผมอยากจะแลกคะแนนความดีทั้งหมดกับหินวิญญาณ!”
ชายหนุ่มตรงหน้าจ้องหน้าฉินเย่เป็นเวลาสามวินาทีเต็ม เอนหลังพิงกับเคาน์เตอร์อย่างแรงโดยไม่ขยับแม้แต่นิดเดียว ขณะที่ฉินเย่เริ่มจะทนไม่ไหว ชายหนุ่มก็เอ่ยด้วยเสียงแหบพร่า “ฉันพบเจอผู้คนมากมายตลอดหลายปีที่ผ่านมา”
“และคำถามที่ฉันมักจะได้ก็คือ ‘ทำไมคุณถึงถูกล่าม’ หรือ ‘ทำไมคุณถึงไม่มีเงาล่ะ’ ?”
เขาเงยหน้ามองเพดานด้วยแววตาเหม่อลอย ราวกับเขากำลังนึกถึงความทรงจำในอดีต “ฉันเองก็เคยเป็นมนุษย์เหมือนกัน…เคยเป็น…เมื่อนานมาแล้ว ไม่ต้องห่วง…ตอนนี้ฉันเป็นพวกเดียวกับศูนย์วิจัย SRC แล้ว…และฉันก็อยู่ในค่ายเดียวกันกับพวกนาย”
เห็นได้ชัดว่าคนตรงหน้ายังคงดูเด็กมาก แต่น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาของเขากลับเป็นเสียงเหมือนผู้ที่ใช้ชีวิตอยู่มาเป็นเวลานานแล้ว “ศูนย์วิจัย SRC…และเจ้าหน้าที่จากหน่วยสอบสวนพิเศษต่างเคยมาตรวจสอบฉัน ชื่อของฉันถูกเขียนอยู่ในเอกสารลับระดับ A อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าฉันเป็นวิญญาณชนิดใด หรือรู้วิธีแก้ปัญหาของฉันเลยสักนิด สุดท้ายแล้ว ผู้บัญชาการของหน่วยสอบสวนพิเศษก็เป็นคนสั่งฉันให้ยืนเฝ้าประตูทางเข้าของขุมทรัพย์ของกลุ่มผู้พิทักษ์แห่งสวรรค์ด้วยหวังว่าสักวันหนึ่ง ฉันจะได้พบกับผู้เชี่ยวชาญที่สามารถแก้ไขปัญหาของฉันได้”
เงียบ
เชิงเทียนที่อยู่ข้าง ๆ เขาเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ยังคงวูบไหวอยู่ในความมืด
จู่ ๆ ชายหนุ่มก็หัวเราะออกมาเบา แทบจะเหมือนกับเสียงสำลักจากการร้องไห้อย่างสิ้นหวังของวิญญาณที่เศร้าสร้อยดวงหนึ่ง
“แต่วันนั้น…ก็ไม่เคยมาถึง”
“ผู้คนมากมายเข้ามาและจากไป…หัวใจของฉันที่เต็มไปด้วยความคาดหวังในตอนแรกก็เปลี่ยนเป็นเย็นชืดราวกับน้ำแข็ง แต่ในขณะที่ฉันคิดว่าตัวเองคงไม่มีหวังอีกแล้ว นายก็เข้ามา”
แววตาของเขาลุกโชนไปด้วยความมุ่งมั่นขณะที่จ้องลึกเข้าไปในดวงตาของฉินเย่ ร่างทั้งร่างสั่นสะท้านอย่างรุนแรง “นายคือคนแรกที่เรียกฉันว่าวิญญาณผสาน”
“ได้โปรดเถอะ ช่วยฉันด้วย…ฉัน…อยากจะกลับไปเป็นมนุษย์…”
สายตาที่มุ่งมั่นและร้อนแรงของเขาเปลี่ยนเป็นอ้อนวอนอย่างสิ้นหวัง ฉินเย่กระแอมออกมาเบา ๆ ขณะที่เขากำลังจะเอ่ยตอบกลับไป คนตรงหน้าก็เอ่ยต่อ “ถ้านายยอมช่วยฉัน ไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่ ฉัน…ฉันจะบอกความลับสุดยอดของสำนักฝึกตนแห่งแรกให้ฟัง!”
ฉินเย่กำลังครุ่นคิด
จะช่วยหรือไม่ช่วย?
เขาจำได้ราง ๆ ว่าอาร์ทิสเคยบอกถึงวิธีการบางอย่างในการรักษาวิญญาณผสาน แต่เขาก็ไม่ได้ตั้งใจฟังนักเนื่องจากมันค่อนข้างยุ่งยาก
“ผมจะลองคิดดู” หลังจากผ่านไปสักพักใหญ่ เขาก็เหลือบตามองอีกฝ่าย “แต่ความลับเกี่ยวกับการมีอยู่ของคุณ มันไม่ใช่ว่าคุณจะต้องทำรายงานอะไรก่อนหรือ? ทำทุกอย่างที่จำเป็นให้พร้อม และถ้าเป็นไปได้ ผมจะมาแจ้งเกี่ยวกับสถานการณ์ของคุณภายในเดือนหน้า”
ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกและหลับตาลง ด้วยแสงไฟสลัวจากเชิงเทียน ฉินเย่เห็นว่าเปลือกตาของคนตรงหน้ากำลังสั่นเทา มันแสดงให้เห็นชัดเจนว่าเขาไม่สามารถข่มความตื่นเต้นภายในใจของตัวเองได้
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ชายหนุ่มก็สูดหายใจเข้าช้า ๆ เพื่อปรับอารมณ์ของตัวเองก่อนจะเอื้อมมือที่สั่นเทาของตนไปหยิบกระเป๋าของฉินเย่ ทันใดนั้นเขาก็นิ่งไปริมฝีปากของเขาสั่นเทาราวกับผู้ที่เป็นโรคลมชัก
ภายในห้องถูกปกคลุมด้วยความเงียบเสียงพูดของเขาแผ่วเบาในความเงียบนั้น แต่เพราะว่าฉินเย่กำลังยืนอยู่ใกล้กับอีกฝ่ายมาก เขาถึงได้ยินสิ่งที่คนตรงหน้าเอ่ยอย่างชัดเจน
ชายหนุ่มกำลังสะอื้นไห้ และเขาก็เอ่ยคำว่า “ขอบคุณ” ซ้ำแล้วซ้ำเล่ากับฉินเย่ราวกับเป็นโรคประสาท
ฉินเย่ถอนหายใจออกมาเบา ๆ
ยมโลกถูกกวาดล้าง และวิญญาณร้ายจำนวนมากก็หนีมาอยู่ในแดนมนุษย์ นี่คือความรับผิดชอบของเขาในฐานะของว่าที่เจ้านรกในอนาคต เขาจำเป็นจะต้องตามรับผิดชอบกับความวุ่นวายที่จ้าวนรกคนก่อนได้สร้างเอาไว้ เช่นเดียวกันกับรัฐบาลชุดใหม่ที่กำลังจะเข้ามาทำงานของชาติหรือประเทศต่าง ๆ และมันก็คือเหตุผลว่าทำไมเขาถึงตกลงที่จะช่วยชายหนุ่มตรงหน้า
“อ่าาา….มารยาทของฉันหายไปไหนหมดกันนะ” หลังจากนั้นไม่นาน ชายหนุ่มก็แค่นหัวเราะออกมาอย่างขมขื่นและชี้ไปที่กระเป๋าของฉินเย่ “นายจะแลกของทั้งหมดนี่กับหินวิญญาณอย่างนั้นหรือ? เรามาเริ่มกันเลยไหม?”
วิญญาณของยาจกฉินเย่เข้าสิงร่างทันทีที่พวกเขาพูดเรื่องธุรกิจ เขากระแอมเบา ๆ พร้อมกับโน้มตัวไปข้างหน้าและกระซิบเบา ๆ ว่า “นี่…ในเมื่อเราสองคนก็สนิทกันแล้ว คุณพอจะให้ราคาผมสักชิ้นละ 8 หมื่นหรือ 1 แสนคะแนนความดีได้หรือเปล่า?”
ชายหนุ่มจ้องหน้าฉินเย่กลับราวกับตนเพิ่งเห็นผี “นายเรียกฉันว่า A32 ก็ได้ ฉันเป็นผู้เชี่ยวชาญในการตีราคา น่าเสียดายที่ความลับของการมีอยู่ของฉันมันไม่สอดคล้องกับอำนาจที่ฉันมีอยู่ในขุมสมบัติแห่งนี้…ราคาแลกเปลี่ยนนั้นจะถูกยึดตามหลังเกณฑ์ ดังนั้นฉันจึงไม่สามารถทำอะไรได้”
“โถ่…ทำไมคุณต้องทำเรื่องให้มันยากด้วย? เรารู้จักกันมาสักระยะหนึ่งแล้วนะ…คุณจะต่อรองทำไมนักหนา? ผมแค่ขอให้คุณลดราคาให้สักห้าหรือสิบหยวนสำหรับหัวหอมหนึ่งหัวก็เท่านั้น และผมก็เป็นลูกค้าประจำ! ผมจะต้องซื้อของจากคุณไปอีกแทบทุกวันเลยก็ว่าได้!”
ดวงตาของ A32 เบิกกว้าง เดี๋ยวก่อนนะ….นี่เขาฝากความมั่นใจไว้ถูกคนหรือเปล่า? การต่อรองอีกฝ่ายช่างคล้ายกับคุณป้าที่มีอิทธิพลในตลาดไม่มีผิด…เขา…ผู้ชายคนนี้จะสามารถแก้ปัญหาที่ค้างคาอยู่ในใจของเขามาเป็นเวลาหลายศตวรรษได้จริง ๆ อย่างนั้นหรือ?
“มันไม่ใช่ว่าฉันไม่อยากจะช่วยนาย แต่ว่าทุกอย่างจะถูกตรวจสอบโดยผ่านสติกซ์ ดังนั้นฉันถึงไม่….”
“เอาเถอะพี่ชาย ความพยายามก่อให้เกิดผลลัพธ์ ลองดูที่หน่อไม้พวกนี้สิ พวกมันยังไม่สดเลยด้วยซ้ำ นี่มันของเหลือจากการขายของเมื่อวานหรือเปล่า? การลดแค่นิดหน่อยจะเป็นปัญหาอะไร? ยังไงซะผมก็ต้องมาซื้อของที่ร้านของคุณอยู่แล้ว แถมเราก็เป็นเพื่อนกันมาหลายทศวรรษแล้วด้วย”
เงียบ
สิ่งที่มนุษย์เกลียดที่สุดก็คือความเงียบที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน
A32 มีสีหน้าเคร่งขรึมกว่าเดิมและมองฉินเย่อย่างสงสัย ฉินเย่ชะงักไปทันที จากนั้นเขาก็ยกมือขึ้นมาปิดปากและกระแอมเบา ๆ “เออ คือว่า…เมื่อครู่ผมชินไปหน่อย ผมเลยเผลอใช้นิสัยเก่า…ช่างเถอะ คุณลองดูของที่ผมมีก่อน”
ความรู้สึกไม่วางใจเริ่มก่อตัวขึ้น และ A32 ก็เหลือบมองฉินเย่อย่างหวาดระแวงขณะที่เขาค่อย ๆ เปิดกระเป๋าออก
ด้านในมีกล่องที่ทำจากไม้จันทน์อยู่สามกล่อง
A32 เปิดเล่มที่มีตลับเทปอยู่ด้านใน เขาหลับตาลงและถกแขนเสื้อขึ้น นั้นเป็นครั้งแรกที่ฉินเย่สังเกตเห็นว่ามือที่ซีดเซียวของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยเส้นเลือดสีเข้มที่เต็มไปด้วยพลังหยินจนดูเหมือนงูไม่มีผิด
ราวกับรู้สึกถึงสายตาของฉินเย่ A32 หลับตาลงและแค่นหัวเราะอย่างขมขื่น “ทุกอย่างย่อมมีสองด้านเสมอ ถึงแม้ว่าฉันจะต้องอดทนกับความทรมานจากวิญญาณตนนี้ แต่ฉันก็ต้องยอมรับเลยว่ามันทำให้ฉันมีพลังที่มนุษย์ธรรมดาไม่สามารถมีได้ ยกตัวอย่างเช่น….การรับรู้นอกประสาทรับสัมผัส หรือ ESP”
เขาไล่นิ้วไปตามตลับเทปเก่าทีละนิ้ว และเส้นพลังหยินที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าก็ลอยออกมาจากเทปและซึมเข้าสู่นิ้วของเขา ชายหนุ่มอธิบายว่า “มีผู้ฝึกตนมากมายที่เชี่ยวชาญกับการทำให้สิ่งของดูเก่ากว่าเดิม และพวกเขาก็มักจะใช้วิธีการหรือวิชาพิเศษในการเคลือบวัตถุหยินขั้นยมเทพด้วยออร่าของวัตถุหยินขั้นนักล่าวิญญาณ และจากนั้น พวกเขาก็โกหกเกี่ยวกับคุณภาพของวัตถุหยินที่ตนขาย นอกจากนี้ยังมีพวกที่นำสินค้าลอกเลียนแบบที่มีลักษณะภายนอกคล้ายคลึงกัน แต่วัสดุที่ใช้นั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงมาขายด้วยเช่นกัน…แต่ด้วยการรับรู้นอกประสาทรับสัมผัสของฉัน จึงทำให้ทุกอย่างยังคงชัดเจน”
อะไรนะ?
ฉินเย่กะพริบตาปริบ ๆ มีคนทำอะไรแบบนั้นด้วยเหรอ?!
พยายามจะหลอกสำนักงานโบราณวัตถุหรือไง??
ราวกับรับรู้ถึงความคิดของฉินเย่ A32 หัวเราะออกมาเบา ๆ “มันเกิดขึ้นบ่อยกว่าที่นายคิด ขุมทรัพย์ของกลุ่มผู้พิทักษ์แห่งสวรรค์มีสมบัติที่น่าดึงดูด แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถกำจัดภูตผีขั้นนักล่าวิญญาณได้เหมือนนาย แล้วพวกเขาทำอย่างไร? การปลอมแปลงย่อมเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับพวกเขา”
“ในทุกเดือน เราจะได้รับสินค้าลอกเลียนแบบหลายสิบชิ้นจากศูนย์แลกของของเราที่มีอยู่ทั่วทั้งประเทศ แน่นอนว่าความน่าเชื่อถือของผู้ปลอมแปลงพวกนี้ก็จะถูกลดให้อยู่ในระดับต่ำที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และไม่เพียงแต่พวกเขาจะไม่สามารถกู้เงินในการฝึกฝนจากทางเราได้แล้ว พวกเขายังจะได้ผลตอบแทนลดลง 95% เมื่อแลกทำการซื้อขายวัตถุหยินและต้องเสียค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรมเพิ่มเติมอีก 0.5% นี่คือเหตุผลว่าทำไมฉันถึงไม่เหนื่อยหน่ายใจกับพฤติกรรมพวกนี้ มันไม่ง่ายหรอกนะที่นายจะเอาชื่อของตัวเองออกจากบัญชีดำของทางรัฐบาลเมื่อนายถูกบันทึกลงไปแล้ว…”
เขาพูดอะไรไม่ออก…ยิ่งฉินเย่เข้าใจความซับซ้อนของโลกแห่งการบ่มเพาะในแดนมนุษย์มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งพูดไม่ออกมากเท่านั้น….
หลังจากผ่านไปไม่กี่นาที A32 ก็ละมือออกจากตลับเทปและลืมตาขึ้นอีกครั้ง “ทุกอย่างอยู่ในสภาพดี วัตถุหยินขั้นนักล่าวิญญาณ 30,000 คะแนนความดี”
จากนั้นจึงเปิดกล่องที่สองซึ่งมีเครื่องบันทึกเทปอยู่ หลังจากตรวจดูความถูกต้องของมัน เขาก็เอ่ยขึ้นอีกครั้งว่า “ทุกอย่างอยู่ในสภาพดี 30,000 คะแนนความดี”
จากนั้นจึงเปิดกล่องที่สาม
กล่องสุดท้ายนี้คือกล่องที่ใช้เก็บลูกประคำกะโหลกมนุษย์ของเชาโยวเต๋า
A32 ยังคงทำตามขั้นตอนเดิม ทว่าทันทีที่เขาวางมือลงไปบนลูกประคำ สายลมนรกที่ทรงพลังก็ปะทุออกมาจากภายใน เสื้อผ้าของ A32 กระพืออย่างรุนแรง และแม้แต่พลังหยินที่เล็ดลอดออกมาจากร่างของเขาก็เริ่มถูกพัดไปด้านหลังเช่นกัน
“วี๊ดดดดด!” ทันใดนั้น เสียงกรีดร้องโหยหวนก็ดังออกมาอย่างร่างของเขา และ A32 ก็ลืมตาขึ้นพร้อมกับเอ่ยออกมาอย่างตกตะลึง “วัตถุหยินชนิดพิเศษ?!”
ฟิ้ว….สายลมนรกภายในห้องค่อย ๆ สงบลงเมื่อเขาละมือออกจากลูกประคำ ฉินเย่ที่เห็นเช่นนั้นจึงถามอย่างสงสัยว่า “วัตถุหยินชนิดพิเศษ?”
A32 ยังคงมองลูกประคำกะโหลกมนุษย์อยู่พักหนึ่งก่อนจะหันกลับไปมองฉินเย่ในที่สุด “ฉันไม่แน่ใจ แต่ทาง SRC และหน่วยสอบสวนพิเศษได้สั่งเอาไว้ว่า หากฉันพบเจอวัตถุหยินชนิดพิเศษ ฉันจะต้องรีบรายงานพวกเขาทันที ฉันจะต้องจดบันทึกรายละเอียดของมันด้วย รวมถึงต้นกำเนิดของมัน ผู้ที่นำมาแลก และเขาได้มันมาได้อย่างไร นอกจากนี้มูลค่าของมันก็สูงกว่าวัตถุหยินธรรมดา ๆ ที่อยู่ในระดับเดียวกันมาก ดังนั้น…”
เขาหมุนเชิงเทียนที่อยู่ข้าง ๆ ตน และลิ้นชักที่อยู่บนชั้นด้านหลังของเขาก็ถูกปลดล็อกทันที เขาหยิบแล็ปท็อปสีเงินออกมาและเปิดเอกสารที่เกี่ยวข้องอย่างรวดเร็ว “นี่อาจต้องใช้เวลาสักพัก”
ฉินเย่เคาะนิ้วของตนบนโต๊ะเบา ๆ เป็นอย่างนี้นี่เอง…หน่วยสอบสวนพิเศษกำลังรวบรวมวัตถุหยินของเหล่ายมทูตอยู่สินะ? แต่พวกเขาจะเอามันไปทำอะไร? หรือว่าพวกเขาพยายามสืบหาความจริงเกี่ยวกับยมโลก?
เด็กหนุ่มไม่ได้ตอบอะไรออกไปทันที แต่กลับถามต่อว่า “ยังไง? ทำไมมันถึงพิเศษนัก?”
“อย่างน้อยที่สุด 100,000 คะแนนความดี แถมลูกประคำที่นายได้มาก็ยังอยู่ในสภาพดี ไม่ได้รับความเสียหายเลยแม้แต่น้อย ฉันคงต้องบอกว่าวัตถุหยินชิ้นนี้มีค่าอยู่ราว ๆ 120,000 ถึง 130,000 คะแนนความดี” A32 สร้างไฟล์สำหรับวัตถุตรงหน้าขณะที่เอ่ยออกมา “ส่วนเรื่องที่ว่ามันพิเศษอย่างไรนั้น…ฉันเคยได้ยินมาว่าวัตถุหยินชนิดพิเศษมีความสามารถในการเปิดเผยสิ่งที่ผู้ฝึกตนทั่วไปไม่สามารถมองเห็นได้”
ฉินเย่มองลูกประคำตรงหน้า “มันทำงานยังไง?”
“นายรู้หรือเปล่าว่าทำไมมนุษย์ถึงมีเงา?” A32 พิมพ์พร้อมกับเอ่ยตอบ “ก่อนหน้านี้นายมีอยู่ทั้งหมด 20,000 คะแนนความดี ตลับเทปและเครื่องบันทึกเทปรวมกันเป็น 60,000 คะแนนความดี และลูกประคำกะโหลกมนุษย์ก็น่าจะได้ประมาณ 130,000 คะแนนความดี ซึ่งรวมทั้งหมดเป็น 210,000 คะแนนความดี…เอาล่ะ เงาเกิดจากแหล่งพลังงานแสงที่อยู่รอบ ๆ ตัวบุคคล ซึ่งรวมถึงการมองเห็นด้วย [2] ส่วนการทำงานของวัตถุหยินก็คือมันจะสะท้อนให้เห็นสายตาที่กำลังจับตาดูนายอยู่ ยกตัวอย่างเช่น…มันทำให้นายรับรู้ว่ามีดวงตาแดงก่ำที่อยู่ด้านหลังของนายได้ ขนาดที่แม้แต่ตัวนายเองยังรับรู้ถึงตัวตนของมันไม่ได้ด้วยซ้ำ”
ฉินเย่ก้าวถอยหลังออกไปเล็กน้อยและเอื้อมมือไปที่เอวขณะที่เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึมกว่าเดิมมาก “อย่างเช่นตอนนี้ใช่ไหม?”
A32 นิ่งไปอย่างตกตะลึง
ในเสี้ยววินาทีต่อมา เขาก็ลุกขึ้นและมองลูกประคำกะโหลกมนุษย์ราวกับคนเสียสติ
ลูกประคำกะโหลกมนุษย์ถูกเชาโยวเต๋าทำให้มีสีดำคล้ำจนดูน่ากลัวและมืดมิดราวกับท้องฟ้ายามค่ำคืน ทว่าสายตาที่สะท้อนกลับมานั้น กลับสะท้อนให้เห็นภาพที่เลือนรางซึ่งมีลักษณะเหมือนกับฉินเย่ไม่มีผิด
ผลที่ออกมานั้นแปลกประหลาดอย่างมาก มันเหมือนกับว่าภาพของฉินเย่หลายสิบภาพปรากฏขึ้นบนผนังที่มืดสนิท มันพร่ามัวเป็นอย่างมาก
แต่นอกเหนือจากนั้น…เขายังมองเห็นดวงตาสีแดงก่ำที่จ้องมาที่เขาจนด้านหลังของฉินเย่อีกด้วย!
“ศัตรูบุก…” เสียงที่เอ่ยออกมาของ A32 สั่นเทา เขารีบร้องของความช่วยเหลือทันที “ศัตรูบุก! ศัตรูบุก!! ท่านผู้อาวุโส! สิ่งมีชีวิตที่ไม่ระบุตัวตนได้บุกเข้ามาในขุมทรัพย์ของกลุ่มผู้พิทักษ์แห่งสวรรค์!!”
ฉินเย่จ้องลูกประคำกะโหลกมนุษย์อย่างไม่อยากจะเชื่อ
เขาไม่รู้สึกอะไรเลยแม้แต่น้อย
และนายประตูของขุมทรัพย์ก็สัมผัสถึงมันไม่ได้เช่นกัน
แต่มันกลับมีบางอย่างที่แอบตามเขาเข้ามาในขุมทรัพย์อย่างเงียบ ๆ!
แต่ว่ามันเป็นใครกัน?
[1] เป็นการเล่นคำ คำว่ากวง (光) ในภาษาจีนแปลว่าแสงสว่าง ในขณะที่คำว่ามู่กวง (目光) ในภาษาจีนแปลว่าการมองเห็นหรือทัศนวิสัย กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ผู้เขียนต้องการจะบอกว่าการมองเห็นของมนุษย์ก็ถือเป็นแหล่งกำเนิดแสงชนิดหนึ่ง