ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 165: มันยังอยู่?
บทที่ 165: มันยังอยู่?
เงียบสนิท
มันเงียบจนคุณสามารถได้ยินเสียงหายใจและเสียงหัวใจเต้นของตัวเองได้
แววตาของพระภิกษุและนักพรตที่ดูคล้ายกับซากศพเผย สีหน้าตกตะลึงเป็นครั้งแรก ดวงตาหลายสิบคู่ต่างจับจ้องไปที่ร่างหลากสีที่อยู่ปลายทางเดิน
เจ้าหน้าที่จากยมโลกไม่ปรากฏตัวมานานกว่าร้อยปี แต่…อีกฝ่ายกลับปรากฏตัวขึ้นที่ทางเข้าของขุมทรัพย์ของกลุ่มผู้พิทักษ์แห่งสวรรค์ในวันนี้น่ะหรือ?!
ฉินเย่และ A32 เอ่ยหลังพิงกับเคาน์เตอร์ ภายในหัวของเด็กหนุ่มกำลังประมวลผลอย่างรวดเร็ว วิญญาณตนนี้เป็นใคร? ทำไมถึงสามารถทำให้อาร์ทิสยอมละทิ้งความระมัดระวังและเผยรูปลักษณ์ที่แท้จริงของตัวเองในสถานที่แบบนี้? คู่ต่อสู้ที่แม้จะต้องเสี่ยงโดนโจวเซียนหลงจับได้ก็ตาม นางก็ต้องกำจัดให้ได้อย่างนั้นน่ะหรือ?
“เร็วสิ” ฉินเย่พยายามชะโงกหัวขึ้นไปหลายครั้งเพื่อดูสิ่งที่เกิดขึ้น แต่สิ่งเดียวที่เขาทำได้ก็คือหดหัวกลับมาและกระซิบเบา ๆ “ลุกขึ้นไปดูว่าสถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง”
A32 หันไปมองหน้าฉินเย่ราวกับเพิ่งเห็นผี “แล้วทำไมนายไม่ทำเองล่ะ?!”
“ผมกลัวน่ะสิ!” “ฉันก็กลัวเหมือนกัน!”
หลังจากจ้องหน้ากันอยู่ครู่หนึ่ง ฉินเย่ก็ถอนหายใจให้กับโชคชะตาของตัวเองก่อนจะชะโงกหน้าขึ้นมาจากเคาน์เตอร์อีกครั้ง ดวงตาของเขาสอดส่องไปรอบ ๆ ราวกับสายสืบที่กำลังสอดแนมกองทัพข้าศึกจากแนวหลังพร้อมกับพึมพำเบา ๆ ว่า “คุณเป็นคนแบบไหนกัน…ทำหน้าที่เป็นนายประตูได้อย่างไรทั้ง ๆ ที่กลัวตายขนาดนี้? ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หน้าที่ของโฮคาเงะรุ่นที่ 4 ก็ต้องยอมเสียสละตัวเองเพื่อผนึกจิ้งจอกเก้าหางให้ได้….[1]”
A32 พยายามข่มความปรารถนาไม่ให้ลุกเตะฉินเย่ให้กระเด็นไปเสียก่อน เขาแหงนหน้ามองเพดานแล้วพูด “ใช่…ฉันไม่คิดเลยว่าหนึ่งในสมาชิกหลักของสำนักฝึกตนแห่งแรก ผู้ที่ควรจะเป็นกองหน้าและเกาะป้องกันให้กับประชาชนชาวจีนจะขี้ขลาดเมื่อเผชิญหน้ากับอันตรายแบบนี้…นี่นายต้องมีจิตใจที่เข้มแข็งแค่ไหนถึงอยู่รอดมาถึงทุกวันนี้ได้….”
ทั้งคู่เอ่ยประชดประชันกันพร้อมกับมองหน้าอีกฝ่ายอย่างเหยียดหยาม
พวกเขาต่างตัดสินแล้วว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีนิสัยที่น่าคบหาเลยแม้แต่น้อย
ไม่มีใครสนใจฉินเย่ที่ชะโงกหน้าออกมาจากหลังเคาน์เตอร์เลยสักนิด อาร์ทิสสั่นระฆังปลุกวิญญาณของตนเบา ๆ ในทางเดินที่เงียบสนิท ด้วยเสียงระฆังที่ดังขึ้นแต่ละครั้ง อักขระสีทองที่อยู่บนพื้นก็เปล่งแสงออกมามากขึ้นเรื่อย ๆ จากนั้นพื้นที่นางยืนอยู่ก็เริ่มสั่นเทาราวกับเกิดแผ่นดินไหว
ฉินเย่ได้ทำทุกอย่างที่มีเพื่อการป้องกัน 120% ของเขาแล้ว นอกจากนี้เขายังจับที่ชายเสื้อของ A32 จนแน่น แม้ว่าอีกฝ่ายจะหันมามองเขาอย่างเหลือเชื่อก็ตาม
ท้ายที่สุดแล้ว เขาคือผู้ที่เคยเห็นอาร์ทิต่อสู้กับตี้ทิงมาด้วยตาของตัวเอง หากนางปลดปล่อยพลังออกมาทั้งหมด สิ่งที่เขาต้องทำก็คือใช้ความพยายามทั้งหมดในการคิดหาทางหลบหนีไปให้ได้
“….นี่ ฉันขอถามได้หรือเปล่าว่านายกำลังพยายามจะทำอะไร? เป็นอย่างที่ฉันคิดหรือเปล่า…นายตั้งใจจะใช้คนบริสุทธิ์อย่างฉันเป็นโล่เนื้อเหรอ?” เส้นเลือดภายในศีรษะของ A32 เต้นตุบ ๆ อย่างไม่สามารถควบคุมได้ขณะที่เขาเอ่ยถาม
“…จะเป็นไปได้อย่างไรเล่า?…ฮ่า ๆๆๆๆ….”
ขณะที่เสียงระฆังดังมากขึ้นเรื่อย ๆ ระลอกคลื่นสีดำเริ่มที่จะกระจายตัวไปในอากาศ พร้อมกับแต่ละระลอกที่กระจายออกไป ลูกไฟนรกสีเขียวหยกที่น่ากลัว 49 ลูกก็ปรากฏขึ้นในอากาศ เสียงกรีดร้องอย่างโหยหวนของเหล่าวิญญาณดังก้องไปทั่ว ราวกับว่าพวกมันได้โผล่ขึ้นมาจากส่วนลึกของขุมนรกแห่งการลงทัณฑ์ทั้ง 18 ขุม
สายตาของฉินเย่เริ่มเคร่งขรึมขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยนิสัยของอาร์ทิส เขารู้ดีว่านางจะต้องไม่ลังเลที่จะลงมือเมื่อนางได้ตัดสินใจอะไรลงไป นางไม่ลังเลแม้กระทั่งตอนที่เผชิญหน้ากับตี้ทิง แต่ตอนนี้ มันก็เห็นได้ชัดว่านางกำลังเล่นสนุกอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
ฟึ่บ…ฟึ่บ…ระลอกพลังหยินมหาศาลกระจายตัวไปทั่ว ทั่วทั้งทางเดินรู้สึกกดดันจนไม่สามารถขยับตัวได้ เงาดำที่น่ากลัวบนพื้นดูคล้ายกับถูกฉีกกระชากออกด้วยวิญญาณที่มองไม่เห็น มันเริ่มสั่นสะท้านมากขึ้นเรื่อย ๆ
ทางเดินที่มืดมิดปรากฏร่างที่แต่งกายในชุดหลากสีโดยมีกลุ่มคนที่ดูคล้ายกับศพอีก 30 กว่าชีวิตอยู่ทั้งสองฝั่งของทาง เสียงครวญครางที่โหยหวนดังก้องไปทั่ว ในขณะที่เงาดำสั่นสะท้านอย่างรุนแรง บรรยากาศโดยรอบอึดอัดจนหายใจไม่ออก ทันใดนั้น อาร์ทิสก็เอ่ยขึ้นว่า “จงสูญสิ้น”
ตูม!! พร้อมกับการสั่นสะเทือนที่รุนแรง ลูกไฟนรกจำนวนนับไม่ถ้วนที่ลอยอยู่ในอากาศราวกับแท่นดอกบัวพุ่งลงไปที่พื้นราวกับดาบที่แหลมคม เงาดำกรีดร้องออกมาอย่างโหยหวนและพยายามหาทางหนี ในวินาทีนั้น เงาดำที่มีลักษณะคล้ายกับแมวก็เปลี่ยนร่างเป็น…เงาของมนุษย์!
มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเห็นรูปร่างหน้าตาหรือเพศของมัน เนื่องจากส่วนศีรษะของมันถูกคลุมไว้ด้วยผ้าสีดำ และในที่สุด มันก็เอ่ยออกมาด้วยเสียงลอดไรฟัน “…ตุลาการ…นรก…ยังมีตุลาการนรกเหลืออยู่ได้อย่างไร…”
“ทั้งยัง…ใช้ระฆังปลุกวิญญาณของจริง…”
“ให้…ตาย!”
เสียงระเบิดดังขึ้นก่อนที่มันจะเอ่ยจบ และเงาที่น่าสะพรึงกลัวที่เกาะอยู่ที่กำแพงและพื้นก็พุ่งขึ้นไปบนฟ้าราวกับน้ำตาที่ไหลย้อนกลับ!
มันอาจจะมองไม่เห็น แต่มันก็ทำให้แสงสว่างและความมืดสลับกันราวกับโลกกำลังหมุนกลับด้าน
มันเป็นประสบการณ์ที่ไม่สามารถบรรยายได้ แทบจะเหมือนกับว่าเขาสามารถมองเห็นการไหลของเวลาและการมาบรรจบกันของแสงสว่างและความมืดด้วยตาของตัวเอง นี่มันแปลกประหลาดเป็นอย่างมาก
“พยายามจะหนีอย่างนั้นหรือ?” อาร์ทิสหัวเราะอย่างเย้ยหยัน “เจ้ายังไม่ได้อยู่ขั้นยมทูตขาวดำด้วยซ้ำ! คิดอย่างนั้นหรือว่าข้า ผู้เป็นถึงตุลาการนรกจะยอมปล่อยให้วิญญาณขั้นนักล่าวิญญาณอย่างเจ้าหนีรอดไปได้?”
ในเสี้ยววินาทีต่อมา ลูกไฟนรกที่ลอยอยู่โดยรอบก็ระเบิดออกและกลายเป็นวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนที่ตามติดเงาดำที่พุ่งขึ้นไปบนฟ้าอย่างต่อเนื่อง เงาดำที่กำลังถอยหนีหยุดชะงักลงทันที เสียงกัดฟันกรอดดังขึ้นให้ได้ยิน
“คุกเข่า” อาร์ทิสทำท่ากดมือลง และวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนที่ไล่ตามเงาดำก็ต่างกรีดร้องออกมาอย่างโหยหวนขณะที่เริ่มลากเงาดำดังกล่าวลงมาพร้อมกัน
แต่ทันใดนั้นเอง…
แกร็ก…เสียงหนึ่งดังขึ้นเบา ๆ ท่ามกลางเสียงกรีดร้องของเหล่าวิญญาณ
สีหน้าประหลาดใจปรากฏขึ้นใบหน้าของอาร์ทิสเป็นครั้งแรก “นี่มัน…”
และก่อนที่นางจะเอ่ยจบ น้ำตกสีดำที่น่ากลัวก็แยกออกราวกับเศษกระดาษที่ถูกฉีก และคลื่นสึนามิของวิญญาณก็หลั่งไหลออกมาจากช่องว่างด้านใน
มันมืดมิดและน่าสะพรึงกลัว ราวกับท้องฟ้าที่มืดมิดก่อนที่รุ่งสางจะมาถึง
ซ่าาาา…แซกกก…ขณะที่พลังหยินยังคงหลั่งไหลออกมาเรื่อย ๆ ทั่วทั้งทางเดินก็ดังก้องไปด้วยเสียงครวญครางอันท่วมท้น ฉินเย่อ้าปากค้างขณะที่ความรู้สึกเย็นยะเยือกไล่ไปตามกระดูกสันหลังและขึ้นไปถึงสมอง เขาหมอบลงกับพื้นทันที ในขณะเดียวกัน ทั่วทั้งโถงทางเดินก็ถูกทำให้โกลาหลด้วยพลังหยินที่ก่อตัวขึ้น ราวกับพายุเฮอริเคนลูกใหญ่ได้พัดผ่านพื้นที่ เหลือทิ้งไว้เพียงพื้นที่รกร้างและวุ่นวาย ในท้ายที่สุดทางเดินยาวก็ระเบิดออกจนเสียงดังสนั่นไปทั่วบริเวณ!
ตูม!!!
มันเสียงดังจนโลกภายนอกแทบจะลืมเลือนเสียงของตัวเองไปแล้ว
ฉินเย่และ A32 รู้สึกเพียงว่าพื้นที่พวกเขายืนอยู่สั่นไหวอย่างรุนแรงก่อนพลังที่พวกเขาไม่เคยประสบมาก่อนจะปะทุออกมาจากด้านหลังของเขา ราวกับทั้งสองอยู่ในจุดศูนย์กลางของระเบิดนิวเคลียร์ ไม่มีใครมีเวลาเพียงพอที่จะมีปฏิกิริยาใด ๆ พวกเขากระเด็นไปกระแทกกับชั้นหนังสือด้านหลังอย่างแรง
“บ้าเอ๊ย….” ฉินเย่มึนจนคล้ายมองเห็นดาวและโลกโดยรอบหมุนไปมา แทบจะหมดสติ ฉินเย่กัดฟันแน่นบังคับให้ตัวเองลืมตาขึ้น แม้ว่าจะรู้สึกเจ็บจนเลือดตาแทบกระเด็น จากนั้นพอตั้งสติได้เขาก็อ้าปากค้างกับสิ่งที่เห็น
เขาไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นในช่วงเวลาของการระเบิด
แต่ตอนนี้…เขาเห็นว่าพระภิกษุและนักพรตเต๋าที่อยู่บริเวณสองฝั่งของทางเดินยังคงอยู่ในอิริยาบถเดิม ไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย ในขณะที่ตัวทางเดินเอง…ได้พังทลายลงทั้งหมด! คานที่อยู่เหนือศีรษะเองและเศษซากอื่น ๆ ถล่มลงมาเช่นกัน ฝุ่นควันและเศษดินคละคลุ้งไปทั่ว
หลุมขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นบนพื้นเต็มไปหมด ขยายวงกว้างออกไปจากจุดที่เงาดำเคยอยู่ราวกับระเบิดปรมาณูที่พุ่งชนเข้ากับพื้นโลก แต่ร่องรอยของอาร์ทิสและเงาดำดังกล่าวกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย แม้แต่เคาน์เตอร์ที่พวกเขาได้ซ่อนตัวอยู่ก่อนหน้านี้ก็เหลือเพียงฝุ่นผงเท่านั้น ไม่มีส่วนไหนของทางเดินที่ยังคงมีสภาพเดิม อักขระโบราณสีทองยังคงส่องสว่างอยู่บนท้องฟ้า จำกัดให้ความเสียหายที่อาจแพร่กระจายเป็นวงกว้าง น้อยกว่าที่ควรจะเป็น
ฉินเย่สูดหายใจเข้าช้า ๆ และลุกยืนขึ้นขณะที่มองไปรอบ ๆ อย่างระมัดระวัง ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เขาวางมือของตัวเองไว้ข้างเอวอยู่ตลอดเพื่อที่จะสามารถดึงกระบี่ออกมาได้โดยเร็วที่สุด
เกิดอะไรขึ้น…ไม่สิ…มันเป็นไปได้จริง ๆ หรือที่ขั้นนักล่าวิญญาณคนหนึ่งจะกล้าเผชิญหน้ากับอาร์ทิสได้ตรง ๆ แบบนี้?
อะไรที่ทำให้อาร์ทิสตัดสินใจทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะกำจัดมันให้ได้? ผลลัพธ์ในตอนท้ายคืออะไร?
ฉินเย่ไม่มีคำตอบให้กับคำถามที่อยู่ภายในหัวตอนนี้เลยสักนิด เขาขมวดคิ้วยุ่งขณะที่เหลือบมองไปทางเข้า เขาสัมผัสได้ว่าโจวเซียนหลงและออร่าที่ทรงพลังนับร้อยกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้
มันไม่จำเป็นจะต้องรีบร้อน พื้นที่รอบนอกของสนามบาสเกตบอลถูกปิดล้อมเอาไว้ทั้งหมด
วินาทีนั้นเอง เขาก็รู้สึกว่ามีใครบางคนกำลังดึงเสื้อของเขาอยู่
“สิ่งนั้น…” ดวงตาของ A32 ปิดสนิท และอกของเขาก็กระเพื่อมขึ้นลงอย่างรุนแรงในทุกจังหวะการหายใจ เขายังคงพึมพำราวกับกำลังติดอยู่ในห้วงแห่งฝันร้าย “สิ่งนั้น…สิ่งนั้น! มันอยู่ที่นี่…”
“ใคร?”
A32 กัดฟันแน่นขณะที่จ้องลึกเข้าไปในตาของฉินเย่ “ถะ ถึงแม้ว่านายจะเป็นคนขี้งกและกลัวตาย…ตะ แต่ตอนนี้นายเป็น…คะ ความหวังเดียวที่ฉันเหลืออยู่…นะ นายจำสิ่งที่ฉันบอกก่อนหน้านี้ได้หรือเปล่า…ที่ฉันบอกว่าจะบอกความลับสุดยอดให้นายฟังหากนายยอมช่วยฉัน…ความลับสุดยอดที่ซ่อนอยู่ภายใต้สำนักฝึกตนแห่งแรก?!”
ฉินเย่พยักหน้า A32 สูดหายใจเข้าช้า ๆ กลืนน้ำลายอย่างร้อนรนและเอ่ยต่อ “แต่ดูเหมือนว่า…นายจะไม่สามารถช่วยฉันเว้นแต่ว่าฉันจะบอกนายตอนนี้…ฉันไม่รู้ว่ามันกำลังเล็งเป้ามาที่นายหรือว่ามันแค่ตามนายมาข้างในนี้ แต่ว่า…ฉันไม่อยากให้นายตาย…”
เขายกมือขึ้นกำบริเวณอกและข่มความอัดอั้นในใจ “มีบางสิ่ง…บางสิ่งที่อยู่ในสำนัก….”
“ฉันรู้สึกถึงมันได้! วิญญาณที่อยู่ในตัวฉันก็แปลกมาก และฉันก็สัมผัสถึงมันได้เป็นครั้งคราว อาจารย์อย่างนาย ไม่สิ…แม้แต่วิญญาณเร่ร่อนทั่วไปก็ไม่สามารถรับรู้ถึงการมีอยู่ของมันได้!”
“เมื่อไม่นานมานี้นายไม่เคยเห็นปรากฏการณ์แปลกประหลาดที่เกิดขึ้นรอบ ๆ สำนักเลยเหรอ? หรือว่าเหตุการณ์แปลก ๆ อะไรก็ได้?”
ฉินเย่ขมวดคิ้วยุ่ง
เขารู้อยู่แล้ว
คืนนั้น ตอนที่พวกเขาถูกเรียกรวมพลด่วนวันนั้น เขาก็รู้สึกได้ถึงการมาถึงของวิญญาณแปลกประหลาดภายในสำนักฝึกตนแห่งแรกเช่นเดียวกัน…
เดี๋ยวก่อนนะ…ราวกับความคิดบางอย่างผุดขึ้นมาในหัว ฉินเย่หันไปจ้องหน้า A32 ทันที
“คุณบอกว่า…มีอะไรบางอย่างเคยอยู่ในสำนักอย่างนั้นเหรอ?”
A32 พยักหน้ารับอย่างแรง
“ไม่สิ…กลับกัน มันมีบางอย่างอยู่ในที่แห่งนี้!”
กึกกกก ครืดดด…ทันใดนั้นเอง บริเวณทางเดินยาวก็เกิดเสียงดังกึกก้อง เศษซากก้อนหินที่ถล่มลงมาถูกเคลื่อนออกไปราวกับได้รับความช่วยเหลือจากมือยักษ์ที่มองไม่เห็น
โจวเซียนหลงมาถึงในที่สุด
และเขาก็กำลังทำลายสิ่งกีดขวางที่อยู่บนทางเดิน
ทั้งสองมองหน้ากันและ A32 ก็กัดฟันแน่ “ไม่ใช่ว่าเคยมี แต่มันยังมีอยู่! มันมีบางอย่างเกิดขึ้น! และมันก็ยังเกิดขึ้นอยู่ในตอนนี้!”
“ตอนนี้…มันก็ยังอยู่ที่นี่ ซ่อนตัวอยู่ในมุมสักมุมหนึ่งและจับตาดูพวกนายอย่างเงียบ ๆ ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมหัวหน้าสาขาโจวถึงสัมผัสถึงมันไม่ได้ทั้ง ๆ ที่เขาแข็งแกร่งขนาดนั้น ฉันไม่เข้าใจเลยสักนิด!”
ฉินเย่มีสีหน้าเคร่งเครียดกว่าเดิม
หรือถ้าพูดอีกนัยหนึ่งก็คือ…วิญญาณประหลาดในคืนนั้น…ยังคงอยู่ในสำนักฝึกตนแห่งแรกอย่างนั้นหรือ? และวิญญาณที่ปรากฏตัวในตอนนี้ก็คือตนเดียวกันกับคืนนั้น?
กล้าอะไรขนาดนี้! นั่นหมายความว่ามันแข็งแกร่งมากจริง ๆ!
แต่…อาร์ทิสบอกว่ามันไม่ได้อยู่ขั้นยมทูตขาวดำด้วยซ้ำไม่ใช่หรือ? วิญญาณขั้นนักล่าวิญญาณจะมีความกล้าในการก่อความวุ่นวายขึ้นภายใต้จมูกของผู้ที่อยู่ขั้นตุลาการนรกถึงสองคนได้อย่างไร?
ครื้น!!
สายฟ้าที่น่าสะพรึงกลัวผ่าลงบนทางก่อนที่เขาจะได้คิดอะไรไปมากกว่านี้ และราวกับทุกอย่างได้รับการคำนวณมากอย่างดี สายฟ้าดังกล่าวไม่ได้สร้างความเสียหายให้กับพวกเขาเลยสักนิด มันเพียงทำลายสิ่งกีดขวางทั้งหมดที่อยู่บนทางเดินออกไป และสิ่งอื่น ๆ โดยรอบก็กลายเป็นเพียงฝุ่นผงจากการระเบิดอันทรงพลังนั้น
พลังปราณของโจวเซียนหลงหลั่งไหลออกมาจากรูทวารทั้งเจ็ด และร่างของเขาก็ถูกห่อหุ้มไปด้วยสายฟ้า โจวเซียนหลงปรากฏขึ้นตรงหน้าของพวกเขาพร้อมกับเสียงระเบิด ราวกับเทพแห่งสงครามที่จุติลงมาจากสรวงสวรรค์ เขาเดินทางผ่านทางเดินยาวกว่าร้อยเมตรได้ในเวลาไม่ถึงเสี้ยววินาที!
กลุ่มคนที่สวมหน้ากากนักษัตรและเสื้อคลุมยาวปรากฏขึ้นด้านหลังของชายสูงวัย ทั้งหมดลอยอยู่เหนือพื้นประมาณหนึ่งฟุตพร้อมกับถือแส้หางม้าไว้ในมือ ทันทีที่ A32 สังเกตเห็นการปรากฏตัวของคนพวกนี้ ร่างกายของเขาพลันสั่นเทา เขารีบหลบไปอยู่ด้านหลังของฉินเย่ทันที
“กองกำลังพิฆาตวิญญาณ” เขาพึมพำด้วยเสียงที่สั่นเทาก่อนที่ฉินเย่จะได้เอ่ยอะไรออกมา “พวกเขาคือกองกำลังที่น่ากลัวที่สุดของแดนมนุษย์เมื่อพูดถึงเรื่องของการกำจัดวิญญาณ…พวกเขาเปรียบเสมือนกับกองกำลังพิเศษในแดนมนุษย์…”
ฉินเย่พยักหน้าเบา ๆ เขาเองก็สัมผัสได้ถึงกลุ่มพลังหยินที่หนาแน่นเล็ดลอดออกมาจากคนพวกนี้เช่นกัน มันไม่ใช่พลังที่พวกเขามีมาแต่กำเนิด แต่มันคือสิ่งที่กองกำลังพวกนี้ได้รับมาหลังจากที่สังหารวิญญาณไปจำนวนมาก
ความแข็งแกร่งของพวกเขานั้นไม่สามารถหยั่งได้ ฉินเย่ไม่สามารถบอกได้ด้วยซ้ำว่าระดับการฝึกตนของพวกเขาอยู่ในระดับไหน
และด้านหลังของพวกเขาก็คืออาจารย์คนอื่น ๆ ที่ตามเข้ามาด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม
ขุมทรัพย์ของกลุ่มผู้พิทักษ์แห่งสวรรค์เพิ่งถูกปกคลุมไปด้วยพลังหยิน ข้อเท็จจริงที่ว่าเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นที่ประตูทางเข้าของขุมทรัพย์ที่สำคัญที่สุดของแผ่นดินจีนนั้นเทียบได้กับการตบหน้าสำนักฝึกตนแห่งแรกเข้าอย่างจัง!
“ผู้ที่เกี่ยวข้องจะต้องรับการสอบสวนเป็นการส่วนตัว” สีหน้าของโจวเซียนหลงเคร่งเครียด เขาเอียงศีรษะ และกองกำลังพิฆาตวิญญาณที่อยู่ด้านหลังของเขาก็พุ่งตัวมาอยู่ด้านหลังของฉินเย่และ A32 ทันที ในขณะเดียวกัน โจวเซียนหลงย่อตัวลงข้าง ๆ และคว้าไปที่ความว่างเปล่าตรงหน้า ก่อนจะดึงมันมาที่จมูกและสูดกลิ่น
วินาทีต่อมา แววตาของเขาก็เป็นประกายขึ้น
“ตุลาการนรก?” เขาหัวเราะเย็น “ถ้าเช่นนั้น…ผมก็อยากรู้จริง ๆ ว่าคู่ต่อสู้ของเขาคือใคร?”
“แล้วทำไม…ผมถึงไม่ได้กลิ่นเลยแม้แต่นิดเดียว?”
[1] อ้างอิงจากเรื่องนารูโตะ สำหรับผู้ที่ไม่รู้ – โฮคาเงะรุ่นที่ 4 คือหัวหน้าของหมู่บ้านนินจา และเป็นบิดาของนารูโตะ เมื่อนารูโต๊ะยังเป็นทารก เขาได้ยอมเสียสละชีวิตของตัวเองเพื่อผนึกปีศาจที่ทรงพลัง ปีศาจจิ้งจอกเก้าหาง ไว้ในท้องของนารูโตะ ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของจักระ