ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 170: วิญญาณนอกอาณาเขต (2)
บทที่ 170: วิญญาณนอกอาณาเขต (2)
“แล้ววิญญาณเมื่อครู่นี้คืออะไร…แนวหน้าของยมโลกแห่งอื่นอย่างนั้นหรือ? ยมทูตของที่อื่นหรือยังไง?” ฉินเย่พึมพำขณะที่จ้องมองไปบนฟ้าด้วยสายตาที่ลึกล้ำ
ไร้ซึ่งคำตอบ
ฉินเย่แค่นยิ้มก่อนจะตะคอกออกมาด้วยความโกรธ “แล้วข้าล่ะ? นี่มันสถานการณ์เป็นตาย แต่ข้ากลับต้องนั่งอยู่เฉย ๆ และรอพวกเขาเดินทางลงมายังยมโลกอย่างนั้นน่ะหรือ?!”
เมืองเป่าอันสามารถซ่อนตัวเขาจากสายตาของราชาผีทั้งสามได้ แต่กลับไม่สามารถเปิดเผยร่องรอยของวิญญาณนอกอาณาเขตได้
เพราะว่าอีกฝ่ายเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีเพียงคนตายเท่านั้น ที่สามารถมองเห็นคนตายด้วยกันได้
และมีเพียงยมทูตด้วยกันเท่านั้นที่สามารถตรวจจับถึงการมีอยู่ของยมทูตจากยมโลกแห่งอื่นได้
นั่นหมายความว่าไม่มีทางที่เขาจะสามารถซ่อนตัวภายในเมืองเป่าอันได้อย่างสงบแล้ว
อาร์ทิสยังคงสงบนิ่ง อย่างคนที่ผ่านประสบการณ์การรับมือกับเรื่องน่าตกใจมามาก นางเอ่ยต่อ “ข้ามีข่าวดี เจ้าอยากได้ยินหรือไม่?”
ฉินเย่แค่นหัวเราะ “ตอนนี้ข้าแทบไม่อยากจะเชื่อข่าวใด ๆ ก็ตามที่ได้ยินในตอนนี้จะเป็นข่าวดี…แผ่นดินจีนในตอนนี้ไม่ต่างอะไรไปกับเนื้อแกะที่วางอยู่บนโต๊ะอาหาร และเราก็ถูกล้อมรอบโดยยมโลกแห่งอื่นที่กำลังรอที่จะกินและแทะเนื้อทั้งหมดออกจากกระดูก!”
อาร์ทิสแสร้งทำเป็นไม่เห็นท่าทีที่ขี้ขลาดของอีกฝ่ายและเอ่ยต่อ “แต่ก่อนที่ข้าจะบอกเจ้าเกี่ยวกับข่าวดีนี้ ข้าจะต้องเกริ่นก่อนว่า แม้แต่ในยุคสมัยแห่งความรุ่งโรจน์ของยมโลกแห่งเก่า ไส้ศึกก็เป็นสิ่งที่มีให้เห็นได้ทั่วไป ในจีนพวกเราเรียกสายลับแห่งโลกใต้พิภพเหล่านั้นว่าขนนกทมิฬ”
“สาเหตุที่พวกเขาถูกเรียกด้วยชื่อนี้ก็เพราะว่าพวกเขากระจัดกระจายไปทั่วทุกที่เหมือนกับขนนก โดยที่คนรอบข้างไม่อาจรับรู้ถึงการมีตัวตนของพวกเขาได้…” นางหยุดพูดและหันไปหาฉินเย่ “เจ้าคิดว่าเพราะเหตุใดเราถึงต้องทำอะไรเช่นนั้น?”
ฉินเย่ข่มความรู้สึกที่เดือดพล่านภายในใจ เขารู้ดีว่าความวิตกกังวลไม่สามารถช่วยเขาได้ ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงใช้เวลาครู่หนึ่งในการสงบสติอารมณ์ก่อนจะครุ่นคิดเกี่ยวกับคำถามของอาร์ทิส
ไม่กี่วินาทีต่อมา เขาแย้มยิ้มและตอบเบา ๆ ว่า “คำตอบนั้นง่ายมาก คือเพื่อหาผู้ที่มีความสามารถอย่างไรล่ะ”
เขาเรียบเรียงความคิดของตัวเองอีกครั้ง “โครงสร้างของยมโลก คน…ไม่ใช่สิ วิญญาณจะมาเป็นอันดับแรก หากปราศจากกำลังวิญญาณ จะมีการขยายอาณาเขตและการพัฒนานรกได้อย่างไร?”
“และวิญญาณมาจากที่ใด?”
อาร์ทิสเพียงฟังเงียบ ๆ โดยไม่เอยแทรกอะไร
“แน่นอนว่ามาจากแดนมนุษย์” ฉินเย่ตอบคำถามของตัวเอง
“ด้วยเหตุนี้ บุคคลที่ยิ่งใหญ่ของแดนมนุษย์ รวมไปถึงศาสตราจารย์มากมาย ย่อมได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นทันทีที่พวกเขามาถึงที่ยมโลก! อย่างไรก็ตาม จำนวนประชากรในยมโลกนั้นหนาแน่นกว่าในแดนมนุษย์เป็นอย่างมาก ในแดนมนุษย์ พวกเราเห็นประเทศและรัฐบาลหลายแห่งดึงดูดและแย่งชิงผู้ที่มีความสามารถจากชาติอื่น รัฐบาลจีนถึงขั้นออกนโยบายเพื่อดึงดูดผู้ที่มีความสามารถระดับแนวหน้าในสาขาวิชาต่าง ๆ ให้มาทำงานให้กับพวกเขา ในยมโลก วิธีการของมันย่อมโหดร้ายและรุนแรงกว่ามาก หรือพูดอีกอย่างก็คือ…การแย่งชิงคนแบบซึ่ง ๆ หน้า?”
อาร์ทิสไม่ได้ตอบอะไรออกไปทันที นางใช้เวลาในการรวบรวมความคิดตัวเองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยว่า “ผู้มีความสามารถทั้งหมด โดยเฉพาะพวกที่อยู่ระดับแนวหน้า คือแรงผลักดันที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ที่อยู่เบื้องหลังการเติบโตและขยายอาณาเขตของยมโลก”
“มีการปะทะที่คล้ายกันนี้เกิดขึ้นอยู่หลายครั้ง ผู้มีความสามารถอาจกลายเป็นแขกพิเศษคนต่อไปของยมโลกแห่งต่าง ๆ ได้ทันทีที่พวกเขาตาย…ข้าสงสัยจริง ๆ ว่ามีเจ้าหน้าที่หน่วยสืบราชการลับอยู่ทั้งสิ้นกี่ตนในทั่วทุกยมโลกที่กำลังนั่งดูข่าวเกี่ยวกับโลกทั้งโลกในแต่ละวัน และทันทีที่พวกเขาพบการเสียชีวิตของผู้มีความสามารถ พวกเขาก็จะส่งยมทูตของพวกตนมาเพื่อเก็บเกี่ยววิญญาณพวกนั้นไปเพื่อทำประโยชน์ให้แก่ยมโลกของตนเอง ในเรื่องนี้ มีวิธีการมากมายที่พวกเขาจะสามารถใช้เพื่อเก็บเกี่ยววิญญาณเหล่านี้ หรือต่อให้พวกเขาไม่สามารถทำได้ มันก็มีความเป็นไปได้สูงที่พวกเขาจะทำลายวิญญาณตนนั้นแทนที่จะยอมให้ยมโลกแห่งอื่นได้มันไป!”
นางถอนหายใจออกมา “ตลอดหลายสหัสวรรษที่ผ่านมา พวกเรามีทั้งประสบความสำเร็จและล้มเหลว แต่จำนวนครั้งที่ล้มเหลวนั้นมีไม่มากนัก ยมโลกแห่งอื่นก็รู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี ดังนั้นการที่พวกมันตัดสินใจที่จะก้าวเข้ามาในครั้งนี้หรือไม่นั้น…ก็ล้วนขึ้นอยู่กับยมทูตของพวกมันทั้งสิ้น”
ฉินเย่เข้าใจในที่สุด
หนึ่ง…มียมทูตนอกอาณาเขตจำนวนมากที่สามารถลอบเข้ามาในเมืองเป่าอันได้
และนี่ก็เป็นเพราะว่าวิญญาณที่มีความสามารถได้เพิ่งเสียชีวิตลง และพวกเขาก็ต่างจับจ้องวิญญาณดวงนั้นเช่นกัน! และมีแม้กระทั่งบางฝ่ายก็ยังยอมก้าวเท้าออกมาจากความมืดเพื่อเข้ามาดูสถานการณ์ของยมโลกของแผ่นดินจีนในปัจจุบันเลยก็ไม่
“วิญญาณที่พวกท่านสามารถแย่งชิงมาได้ในหลายพันปีที่ผ่านมาคือดวงวิญญาณของผู้ใด? และใครที่ท่านไม่สามารถรักษาไว้ได้?” เขาถามออกไปหลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
อาร์ทิสกระแอมออกมา “ไช่ หลุน [1] จางจ้งจิ่ง [2] และจังเหิง [3] คือวิญญาณที่ถูกกองกำลังใต้พิภพของอานูบิสแย่งชิงไป เยว่เฟย์ [4] ถูกอิซานามิของญี่ปุ่น [5] แย่งชิงไป และหวังไถจี๋ ก็ถูกแย่งชิงไปโดยกลุ่มที่เราไม่รู้จัก…แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม พวกเราเคยทำพลาดแค่เพียงเจ็ดครั้งเท่านั้น”
“แล้วพวกท่านสามารถเก็บเกี่ยววิญญาณของผู้ใดมาได้?”
อาร์ทิสตอบอย่างเคร่งขรึม “นิวตัน โคเปอร์นิคัส กาลิเลโอ ฟาราเดย์ ดาร์วิน เอดิสัน ฟรอยด์ มารีกูว์รี…ไอน์สไตน์ ควรขอบคุณดวงดาวนำโชคของเขาที่ทำให้เมื่อตอนที่ยมโลกแห่งเก่าล่มสลาย วิญญาณของเขาก็ยังไม่สูญสลายไปในตอนนั้น!”
นี่มันเรื่องบ้าอะไรเนี่ย?!
อารมณ์ที่ซับซ้อนของฉินเย่หายไปทันที เขาจ้องหน้าอาร์ทิสราวกับตัวเองเห็นผี
นักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่สิบคนของประวัติศาสตร์โลกถูกแย่งยิงมาโดยยมโลกของแผ่นดินจีน?
นี่มันเกินไปแล้วจริง ๆ…
ทันใดนั้นเอง ความคิดบางอย่างก็ปรากฏขึ้นมาในหัว เด็กหนุ่มสูดหายใจเข้าลึกและเอ่ยว่า “แล้วข่าวดีของท่านก็คือ…วิญญาณพิเศษตนนี้…”
“เจ้าโชคดี” อาร์ทิสหรี่ตาลงและมองท้องฟ้า “ข้าตรวจจับได้ถึงพลังของเฮดีสบนโซ่เส้นนั้น และผู้ที่สามารถทำให้มีการใช้โซ่เส้นนั้นได้ก็คือผู้ที่มีความสามารถระดับแนวหน้าของประเทศ!”
ฉินเย่สูดหายใจเข้าช้า ๆ เขาแทบจะต้านแรงกระตุ้นที่จะไปแย่งชิงวิญญาณตนนั้นกลับคืนมาเสียเดี๋ยวนี้ไม่ได้แล้ว!
ความสามารถระดับแนวหน้าของประเทศ…คือวิญญาณที่ยมโลกต้องการมากที่สุดในตอนนี้
พอกันทีกับความคิดอยากหนีไปเป็นฤๅษีในป่าใหญ่ ให้มันเป็นเพียงความคิดไร้สาระของเขาต่อไปเถอะอย่าถือสาเขาเลย เพราะไม่ว่ายังไงฉินเย่รู้ดีว่ามันไม่มีมาทางให้เขาถอยอีกแล้ว
ถอยเหรอ?
ตี้ทิงจะได้ฉีกร่างของเขาเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยทันทีที่ตื่นจากการหลับใหลแน่
และแม้ว่าโอกาสที่ตี้ทิงจะไม่สามารถตามกลิ่นหรือจำรูปร่างหน้าตาของเขาได้นั้นมีน้อยมาก แต่ราชาผีทั้งสามล่ะ?
พวกเขาคือวิญญาณที่ถูกปราบปรามอยู่ภายใต้กงล้อแห่งสังสารวัฏมาเป็นเวลาหลายพันปี แล้วพวกเขาจะทนอยู่เฉยต่อการเหลืออยู่ของยมทูตได้อย่างนั้นหรือ? ความตายจะเป็นสิ่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ทันทีที่อีกฝ่ายหาตัวเขาเจอ
ในเมื่อไม่มีทางให้ถอย มันก็ไม่มีเหตุผลอะไรให้ต้องถอย
“แล้ว…สิ่งนี้หมายความว่าเราจะต้องเผชิญหน้ากับยมทูตนอกอาณาเขตพวกนี้หรือไม่?” ฉินเย่ลูบคางตัวเองขณะเอ่ยออกมา
อาร์ทิสพยักหน้า “วิญญาณพิเศษจะคงอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่งเป็นเวลาสามเดือน นี่คือผลที่มาจากห่วงก่อนตายของเขา และหากอีกฝ่ายพยายามเก็บเกี่ยววิญญาณของเขาไปในขณะที่ยังมีห่วง วิญญาณของเขาก็จะสลายไปทันที ดังนั้นในอีกสามเดือนต่อจากนี้ เราจะต้องพยายามอย่างถึงที่สุดในแย่งชิงดวงวิญญาณของเขากลับมาให้ได้”
“พยายามอย่างถึงที่สุด?”
อาร์ทิสเอ่ยต่อเสียงเย็น “ตามกฎของการอยู่ร่วมกันของกฎของสวรรค์ ยมทูตที่อยู่ขั้นนักล่าวิญญาณเป็นต้นไปจะกลายเป็นเพียงเถ้าถ่านทันทีที่พวกเขาก้าวเท้าเข้าไปในอาณาเขตของชาติอื่น และข้อยกเว้นเป็นอย่างเดียวของกฎนี้ก็คือหากเจ้าบุกเข้าไปในอาณาเขตของชาติอื่นด้วยกองกำลังที่มีจำนวนมากกว่า 10 ล้าน นั่นคือทางเดียวที่จะทำลายกฎการอยู่ร่วมกันภายใต้ความขัดแย้งระหว่างชาติ แต่ไม่มียมโลกอื่นใดที่รู้เรื่องนี้ หรือสามารถมั่นใจได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับยมโลกของจีน ดังนั้นพวกเราสามารถมั่นใจได้ว่าอีกฝ่ายจะไม่มุ่งหน้ามาที่นี่พร้อมกับกองกำลังขนาดใหญ่แน่นอน”
“และก็เป็นเพราะเหตุนี้เช่นกันที่ทำให้ยมทูตที่มาจากยมโลกแห่งนั้น…จะต้องเป็นยมทูตที่มีฝีมือดีที่สุด แม้แต่ในรุ่นเดียวกันก็ตาม และพวกมันต้องสนใจคุณภาพของวิญญาณมากกว่าปริมาณของวิญญาณแน่ ดังนั้นจำนวนยมทูตที่ถูกส่งมาที่นี่จะต้องไม่เกินห้าตน แต่…นี่เป็นเพียงยมโลกที่ตัดสินใจเข้าร่วมการต่อสู้เท่านั้น ตอนนี้พวกเรากำลังอ่อนแอมาก ข้าเกรงว่าการปลดปล่อยวิญญาณตนนี้ออกจากโซ่ของอีกฝ่าย…จะต้องเป็นงานที่ยากมากเป็นแน่”
ฉินเย่เหลือบตามองอาร์ทิส และนางก็รีบเอ่ยต่อก่อนที่ฉินเย่จะได้พูดอะไรออกมา “ข้าไม่สามารถรับรองได้ว่าข้าจะสามารถลงมืออะไรได้ ข้าเคยปรากฏตัวแล้วครั้งหนึ่งตอนที่อยู่เมืองชิงซี หากข้าแสดงพลังของข้าที่เมืองเป่าอันอีกครั้ง จะต้องมีคนรู้แน่ว่าเจ้ากำลังถูกติดตามโดยวิญญาณขั้นตุลาการนรก ผลเสียจากการที่เจ้าถูกตัดจากการเข้าถึงขุมทรัพย์ของกลุ่มผู้พิทักษ์แห่งสวรรค์ก็มีสูงกว่าการที่ไม่สามารถรักษาวิญญาณพิเศษตนหนึ่งไม่ได้มาก”
เป็นปัญหาจริง ๆ
เขาเริ่มรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองจะต้องพุ่งเข้าหาศัตรูด้วยตัวคนเดียวเสียแล้ว
แววตาของฉินเย่ไหววูบ ทว่ามันยังคงลุกโชนไปด้วยความมุ่งมั่น มันอาจดูเหมือนกับว่าเขามีตัวคนเดียว แต่ความจริงของเรื่องนี้ก็คือมันยังตัวเลือกอีกมากมายที่เขาสามารถใช้ได้
ยกตัวอย่างเช่น…สำนักฝึกตนแห่งแรก!
และอีกตัวอย่างก็คือ…หน่วยสอบสวนพิเศษ!
ที่นี่คือเมืองเป่าอัน มันคือดินแดนของคนเป็น! ไม่ใช่ว่ามันเหมือนกับเชาโยวเต๋าในตอนที่แดนมนุษย์ไม่สามารถตรวจจับถึงการมีอยู่ของเขาได้หรอกหรือ? เขาสามารถรับมือกับขั้นนักล่าวิญญาณคนอื่นได้ ตราบใดที่หน่วยสอบสวนพิเศษสามารถเข้ามาแทรกแซงได้ มันก็ยังมีหวัง!
“ถ้าเช่นนั้น…เราควรรู้ให้ได้ก่อนว่าผู้ตายคือใคร บุคคลที่สามารถทำให้ยมโลกแห่งอื่นลดการป้องกันลงและเสี่ยงทุกอย่างเพื่อแย่งชิงวิญญาณของเขาไป”
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งเขาก็ยิ้มออกมา “นั่นทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้นมาก…เรามีเวลาอีกสามเดือน ตอนนี้เรายังสามารถซื้อเวลาได้”
เขาวางความคิดทั้งหมดลงและเริ่มตรวจสอบยมโลกทันที
การก่อสร้างของสวนจี้ชั่งเป็นไปได้ด้วยดี พอเหล่าวิญญาณเห็นเขาเดินเข้าก็ไม่ลังเลที่จะผละจากสิ่งที่ตนทำอยู่ และทำความเคารพเขาไม่ว่าเขาจะเดินไปทางไหน ไม่นานเขาก็เห็นหัวหน้าแผนกทั้งเจ็ดของบริษัทก่อสร้างหยินรีบวิ่งเข้ามาเพื่อพาเขากลับไปที่สำนักงานหลัก
ด้านในกระโจมมีเพียงโต๊ะตัวหนึ่งโดยมีแบบร่างสวนจี้ชั่งตั้งอยู่ตรงกลาง แบบร่างนี้ทางแผนกออกแบบได้เป็นคนวาดมันขึ้นมาเอง ฉินเย่คิดนึกความรุ่งเรืองในอนาคตแล้วถามว่า “คาดว่าจะเสร็จเมื่อไหร่?”
“เรียนนายท่าน ระยะเวลาก่อสร้างที่ทางเราคาดการณ์ไว้คือสองปีครึ่ง” ซ่งหมิงที่ยังคงสวมหมวกนิรภัยเอ่ยขณะที่หัวเราะอย่างขมขื่น “ซึ่งเป็นกรณีที่เราต้องทำงานข้ามคืนกันแบบนี้ ถ้าเป็นที่โลกมนุษย์ โครงการนี้คงจะใช้เวลามากกว่าสามปีกว่าจะสร้างเสร็จสมบูรณ์แน่ครับ”
เฉียนเทียนอี้ถอนหายใจออกมา “นายท่าน นอกจากนี้พวกเรายังต้องการอุปกรณ์และวัสดุก่อสร้างเพิ่มอย่างเร่งด่วน จากการคาดคะเนของเรา วัสดุที่ท่านได้ซื้อมาก่อนหน้านี้ไม่เพียงพอสำหรับขั้นแรกเลย อาคารโบราณนั้นใช้พื้นที่มาก และส่วนใหญ่มักจะมีเพียงชั้นเดียว ดังนั้นการสร้างแต่ละชั้นของอาคารย่อมใช้วัสดุมากกว่าโครงการที่คล้ายกัน ด้วยวิญญาณกลุ่มสุดท้ายที่เพิ่งมาถึง พวกเราได้รับสมัครคนงานมาเพิ่มอีกหลายพันคน แต่ว่าน่าเสียดายที่พวกเราขาดแคลนวัสดุก่อสร้าง ทำให้งานบางส่วนจำต้องถูกระงับไปก่อน”
ฉินเย่พยักหน้า “ข้าจะลองหาทางดู”
ตอนนี้เขายังมีพวกหยกและของโบราณที่มีมูลค่าหลายร้อยล้านนอนอยู่ใต้เตียง แต่ปัญหาก็คือทางสถาบันเพิ่งเปิดภาคการศึกษาแรกเท่านั้น และมันก็ทำให้เขาไม่สามารถขอลาได้
เราจะต้องหาทางเดินทางออกไปจากที่นั่นให้ได้ก่อน…
หลังจากเดินดูรอบ ๆ อีกเป็นเวลาสามชั่วโมงเพื่อให้แน่ใจว่าทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี ฉินเย่ก็กลับมาที่แดนมนุษย์ เมื่อเขากลับมาถึงก็เป็นเวลาค่ำแล้ว
อาร์ทิสไม่ได้ตามเขากลับมาด้วย จำนวนประชากรวิญญาณในยมโลกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเกินไป และมันก็เป็นเรื่องจำเป็นที่จะต้องมีใครบางคนอยู่ที่นั่นเพื่อรักษาเสถียรภาพ
ค่ำคืนในแดนมนุษย์นั้นช่างเงียบสงบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายในเมืองเป่าอัน ฉินเย่ก้มดูนาฬิกาข้อมือของตนเอง มันเป็นเวลา 1 ทุ่มตรง เด็กหนุ่มแย้มยิ้ม “พอดีเป๊ะ”
เขาเดินไปที่ห้องดูโทรทัศน์ มันไม่มีโทรทัศน์อยู่ในห้องส่วนตัวของพวกเขา และสำหรับพวกนักเรียนเองก็เช่นกัน ดังนั้นใครก็ตามที่ต้องการดูโทรทัศน์จะต้องเดินไปที่ห้องดูโถงรวมอย่างเดียว และนี่ถือเป็นการสร้างความสามัคคีภายในหมู่คณะอย่างหนึ่งเช่นกัน
ภายในห้องโถงรวมมีอาจารย์คนอื่น ๆ นั่งอยู่ก่อนแล้ว ทันทีที่ฉินเย่เดินเข้าไป เขาก็ได้ยินเสียงรายงานข่าวที่แสนจะคุ้นเคยดังมาจากด้านใน พออาจารย์คนอื่นเห็นว่าฉินเย่เดินเข้ามา อาจารย์วัยกลางคนคนหนึ่งก็ยกยิ้มและเอ่ยว่า “อะไรกันนะที่ทำให้อาจารย์ฉินมาที่ห้องโถงรวมได้? ผมไม่ค่อยเห็นคุณสนใจเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันเท่าไหร่เลย”
“เป็นครั้งคราวน่ะครับ” ฉินเย่ยิ้มตอบ “พออยู่แต่ในห้องนาน ๆ ก็ทำให้เริ่มรู้สึกเบื่อขึ้นมาได้ไม่ใช่หรือครับ?”
“นั่นสินะ นอกจากนี้ วิทยาเขตของมหาวิทยาลัยอันฮุ่ยเองก็ค่อนข้างกว้าง มันค่อนข้างน่าเบื่ออยู่เหมือนกันที่ต้องอยู่ในนี้ทั้งวัน” อาจารย์ที่ดูเหมือนจะอยู่ในวัย 60 พยักหน้าขณะเอ่ยต่อ “จริงสิ การทดสอบประเมินเบื้องต้นใกล้จะเริ่มขึ้นแล้ว คุณเริ่มเตรียมตัวไปถึงไหนแล้วล่ะ?”
“มีอะไรให้ต้องเตรียมตัวด้วยหรือครับ?” ฉินเย่เอ่ยอย่างเฉื่อยชา “ผมแค่ปล่อยให้พวกนักเรียนสอบไป ผมไม่ได้สอนพวกเขามาก่อนหน้านี้อยู่แล้ว การทดสอบครั้งนี้เป็นเพียงการประเมินมาตรฐานของพวกเขาก็เท่านั้น แต่การสอบปลายภาคต่างหากที่สำคัญที่สุด”
“คุณพูดถูก”
ทันทีที่เขานั่งลง ใครบางคนก็ใช้ศอกสะกิดเขาทันที ฉินเย่หันหน้าไปมองอีกฝ่ายและก็พบว่าหลินฮั่นกำลังจ้องมาที่ตน
“ผมตามหาคุณตลอดบ่าย คุณหายไปไหนมา?”
“ผมมีธุระที่ต้องไปทำ” ฉินเย่ตอบนิ่ง ๆ “ผมบอกกี่ครั้งแล้วว่าเลิกเทิดทูนผมได้แล้ว? ผมจะทำอะไรได้หากคุณยังคอยตามติดผมอยู่ทุกวันแบบนี้?”
หลินฮั่นกลอกตาและเมินคำพูดของอีกฝ่าย
เมื่อทักทายเสร็จ ฉินเย่ก็เลื่อนสายตาของตัวเองกลับมาที่หน้าจออย่างตั้งใจฟัง
เมืองเป่าอันในตอนนี้แยกตัวออกมาจากพื้นที่ต่าง ๆ ในโลกอย่างสิ้นเชิง ซึ่งนั่นทำให้พวกเขาไม่ได้รับรู้อะไรเกี่ยวกับโลกภายนอกเลย อย่างไรก็ตามเขายังคงรับรู้ข้อมูลบางส่วนที่หลั่งไหลเข้ามาเรื่อย ๆ ได้อยู่บ้าง
ยกตัวอย่างเช่น การรายงานข่าว
การตายของผู้มีความสามารถที่สามารถทำให้ยมทูตนอกอาณาเขตยอมเดินทางมาที่นี่ได้จะต้องเป็นข่าวใหญ่อย่างแน่นอน!
ทั้งหมดที่เขาต้องการตอนนี้ก็คือชื่อ และนั่นก็จะมอบเป้าหมายในการทำงานให้กับเขา…
เป้าหมายที่เขาทำได้เพียงนอนรออย่างอดทน
[1] นักประดิษฐ์และขันทีชาวจีนในสมัยของราชวงศ์ฮั่น
[2] แพทย์ปรุงยา แพทย์ นักประดิษฐ์ และนักเขียนในยุคราชวงศ์ฮั่นตะวันออก และเป็นหนึ่งในแพทย์ชาวจีนที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในระหว่างปลายราชวงศ์ฮั่น
[3] นักวิทยาศาสตร์และรัฐบุรุษจากหนานหยางที่มีชีวิตอยู่ในสมัยราชวงศ์ฮั่น เขาประสบความสำเร็จในฐานะนักดาราศาสตร์ นักคณิตศาสตร์ ผู้ชำนาญวิชาแผ่นดินไหว วิศวกรไฮดรอลิก นักประดิษฐ์ นักธรณีวิทยา นักเขียนแผนที่ นักชาติพันธุ์วิทยา ศิลปิน นักปรัชญา นักการเมือง และนักวิชาการ
[4] แม่ทัพชาวจีน นักประดิษฐ์อักษรและนักกวีผู้มีชีวิตอยู่ในช่วงของราชวงศ์ซ่งใต้
[5] เทพีแห่งความตายของญี่ปุ่น
[6] พระเจ้าแผ่นดินจีนในราชวงศ์ชิง (ครองราชย์ค.ศ. 1636 – 1643)