ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 175: ข้าจะเข้าไปอยู่ในร่างของเจ้า
บทที่ 175: ข้าจะเข้าไปอยู่ในร่างของเจ้า
ฉินเย่ขมวดคิ้วเข้าหากัน “ท่านหมายความว่าอย่างไร?”
อาร์ทิสเอ่ยตอบอย่างเย็นชา “เจ้าในตอนนี้ไม่สามารถเอาชนะยมทูตพวกนั้นได้แม้แต่ตนเดียว มันไม่ใช่ความผิดของเจ้าแต่อย่างใด เจ้าเพียงแค่เข้ามาเป็นยมทูตช้าเกินไปก็เท่านั้น ซึ่งนั่นก็ทำให้เจ้าไม่สามารถสัมผัสถึงพลังยมทูตของยมโลกแห่งเก่าได้ แต่…มันก็ไม่ได้หมายความว่าเจ้าจะไม่มีทางกำจัดพวกมันได้!”
นางหันไปมองท้องฟ้ายามค่ำคืนด้วยสายตาที่เหม่อลอย “ยมโลกของเราเคยเป็นยมโลกที่แข็งแกร่งที่สุด และการที่พวกมันมาที่นี่ก็เท่ากับพวกมันกำลังท้าทายอำนาจของพวกเราอยู่! เจ้า…ไม่รู้สึกอยากจะกำจัดอีกฝ่ายหรืออย่างไร?”
ฉินเย่กระแอมเบา ๆ “ข้าไม่ได้รักศักดิ์ศรีตัวเองสูงถึงเพียงนั้น….”
ชัดเจนว่าเจตจำนงที่จะมีชีวิตรอดของเขานั้นรุนแรงเพียงใด
แต่ความปรารถนาที่จะมีชีวิตรอดของเขา ก็ถูกสะกดไว้ด้วยสายตาเย็นยะเยือกของอาร์ทิส
“อะแฮ่ม…เอ่อ…เกี่ยวกับเรื่องนั้น…ท่านเชิญพูดต่อเถอะ…ข้ากำลังฟังอยู่ ส่วนจะเอาอย่างไรนั้น…”
อาร์ทิสละสายตาจากหน้าอีกฝ่ายและเอ่ยอย่างมุ่งมั่น “ข้าจะเข้าไปอยู่ในร่างของเจ้า”
“เมื่อข้าเข้าไปในร่างของเจ้า อย่างน้อยข้าก็สามารถแสดงพลังขั้นยมทูตขาวดำได้ และข้ายังสามารถใช้ศาสตร์แห่งนรกได้อีกด้วย มันคงไม่ใช่เรื่องยากอะไรที่จะกำจัดพวกมัน….”
อะไรนะ?!
ริมฝีปากของฉินเย่สั่นเทา “ท่าน…ข้าฟังผิดไปหรือเปล่า?”
อาร์ทิสยิ้มบาง “เจ้าไม่ได้ฟังอะไรผิดทั้งนั้น”
“ข้าจะบังคับร่างเจ้า…”
“ขอปฏิเสธ!” ฉินเย่รีบพูดขึ้นทันควัน
เงียบ…..
สามวินาทีต่อมา หอพักของอาจารย์ผู้สอนแห่งหนึ่งก็ตกอยู่ในความระส่ำระสาย ต้องใช้เวลาพักใหญ่กว่าที่ความสงบสุขจะกลับมาอีกครั้ง
บคุลิกที่ยิ่งใหญ่ของอาร์ทิสฉายชัดออกมา ด้วยเท้าข้างหนึ่งอยู่บนเตียงและมือหนึ่งอยู่บนไหล่ของฉินเย่ นางจ้องหน้าเด็กหนุ่มด้วยประกายอันตรายในดวงตา “เจ้าหมายความว่าอะไรนะ? เจ้าจะบอกว่าความงามของข้าไม่เพียงพอสำหรับเจ้าอย่างนั้นหรือ? เจ้าไม่คิดว่าเจ้าปฏิเสธข้าเร็วเกินไปหน่อยหรือ? มันทำให้ข้าเสียใจนะ…”
ความปรารถนาที่จะมีชีวิตของฉินเย่อยู่เหนือความต้องการทั้งหมดในจิตใจ เขามุดเข้าไปในผ้าห่มอย่างหน้าไม่อายและตัวสั่นเทาอยู่บนเตียง “ไม่…เราลองหาทางอื่นก่อนไม่ได้หรือ? ข้ารับใช้ผู้ต่ำต้อยของท่านไม่สมควรได้รับความงามระดับชาติเช่นท่านเลยสักนิด!”
“ข้าไม่ให้เจ้าต่อรองอะไรทั้งสิ้น” อาร์ทิสปิดปากของฉินเย่ด้วยมือยางของตนเองขณะที่แย้มยิ้มอย่างลึกล้ำ “เจ้ารู้อะไรไหม? การสังหารยมทูตนอกอาณาเขตจะทำให้เจ้าได้รับแต้มกุศลเป็นสองเท่าจากที่ได้รับจากวิญญาณที่อยู่ขั้นเดียวกัน กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือการสังหารพวกมันก็หมายถึงการได้เลื่อนขั้นเป็นขั้นยมทูตขาวดำ มันเป็นเพียงการเสียสละร่างกายเพียงเล็กน้อยเพื่อโอกาสอันยิ่งใหญ่เลยไม่ใช่หรือ?”
ฉินเย่ขดตัวอยู่ในผ้าห่มอย่างทรมานใจ “…แต่ข้าไม่อยากเลื่อนเป็นขั้นยมทูตขาวดำเลยสักนิด! ข้าเป็นเพียง Ezreal ที่ดิ้นรนไปเรื่อย ๆ พร้อมกับ Zeal ในมือเท่านั้น!”
“หืม? ดูเหมือนว่าเจ้าจะกำลังดูถูกข้าอยู่นะ รู้หรือใหม่ว่ามีคนเท่าไหร่ที่มาต่อแถวยาวเป็นหางว่าว เพื่อขอคำขอพวกนี้จากข้า? พวกเขาเต็มใจที่จะมอบทรัพย์สินทั้งหมดให้แก่ข้าด้วยซ้ำ…”
“เช่นนั้นท่านก็ไปหาพวกเขาซะสิ! ทำไมต้องเป็นข้าด้วย…ข้าเข้าใจแล้ว ที่แท้ท่านก็ต้องการร่างของข้า! ข้าไม่แปลกใจเลยว่าทำไมข้าถึงรู้สึกว่าท่านมองข้าด้วยสายตาเช่นนั้น! ในที่สุดท่านก็เผยธาตุแท้ออกมาหลังจากที่หาโอกาสมานานแล้วสินะ?!”
“…เจ้าไปได้ความมั่นใจพวกนี้มาจากที่ใดกัน? ก็ได้ ข้าจะยอมทำพันธสัญญาภายใต้กฎของสวรรค์ว่าข้าจะไม่ยึดร่างของเขา เพราะอย่างไรเสีย ยมโลกก็เชื่อมต่อกับวิญญาณของเจ้าโดยตรงอยู่แล้วไม่ว่ากรณีใดตาม เพราะฉะนั้นก็ตกลงตามนี้นะ ส่วนเจ้าก็ทำตัวดี ๆ ล่ะ”
อาร์ทิสเริ่มเขียนอะไรบางอย่างกลางอากาศ หลังจากผ่านไปไม่นาน ร่างสัญญาที่ถูกเขียนขึ้นด้วยพลังหยินก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศ ฉินเย่อ่านเนื้อหาทั้งหมดอย่างรวดเร็วแต่ก็ไม่พบความผิดปกติใด ๆ
แต่การถูกผู้หญิงแบบนี้เข้าสิงร่างกายอันบริสุทธิ์ของเขาก็ยังเป็นปัญหาใหญ่อยู่ดี! อ๊ากกกกก!!
ผู้กำกับ! ผมไม่อยากเล่นบทนี้แล้ว! เชิญคุณเอามันไปให้ใครก็ได้ตามต้องการเลย
“…ข้าคิดว่าพวกเราใจร้อนเกินไปแล้ว มันยังมีเรื่องสำคัญที่ต้องพิจารณาอีก…เดี๋ยว ท่านจะทำอะไร…ให้ตายเถอะ! ปล่อยข้า!!” ฉินเย่พยายามทำทุกอย่างที่สามารถทำได้ แต่ก่อนที่เขาจะเอ่ยจบ อาร์ทิสก็จับมือเขาแล้วกดนิ้วหัวแม่มือลงไปบนสัญญา
ฉินเย่ตกสู่สภาพสิ้นหวังอย่างสมบูรณ์
ทำไมกัน…นี่มันไม่ใช่ว่าควรเป็นนิยายเกี่ยวกับเรื่องเหนือธรรมชาติในเมืองต่าง ๆ หรอกหรือ? จู่ ๆ มันกลายเป็นเรื่องการย้ายร่างคนคนหนึ่งไปได้? ท่านช่วยมีขอบเขตหน่อยได้ไหม?!
อาร์ทิสหัวเราะคิกคักเบา ๆ ด้วยเหตุผลบางประการ นางกลับรู้สึกพอใจอย่างไม่น่าเชื่อเมื่อได้แกล้งยมทูตตนสุดท้ายของยมโลก รอยยิ้มงดงามปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของหญิงสาว “ถ้าเช่นนั้นเรามาเริ่มกันเลยดีไหม? ไม่ต้องกลัว เดี๋ยวเจ้าก็จะชินไปเอง”
“ไม่…เดี๋ยวก่อน! ท่านจะทำอะไร M(มาโซคิส*) อย่างข้าไม่ยอมนะเฟ้ย! อ๊ากกก!!!!!”
(*พวกชอบความรุนแรง)
สิบนาทีต่อมา
ฉินเย่ลุกขึ้นนั่ง
ตุ๊กตายางนอนแน่นิ่งอยู่ข้างกายเขา
ภาพในจินตนาการมันสกปรกเกินไป
เขาหยิบกระจกขึ้นมาและค่อย ๆ ไล่นิ้วไปตามกรอบหน้าและหยุดเมื่อมาถึงส่วนกราม เขามองเงาสะท้อนของตัวเองในกระจกและเอ่ยออกมาเสียงต่ำ “เจ้าเด็กนี้…ดูดีไม่เบานะเนี่ย”
“อย่ามาแตะต้องตัวข้า!” ฉินเย่กัดฟันกรอดและตะโกนสุดเสียงในใจ “ข้าขอเตือนท่านเอาไว้เลยนะ! อย่าทำอะไรแปลก ๆ กับร่างกายของข้าเป็นอันขาด! ไม่เช่นนั้น พันธสัญญาที่ตกลงกันไว้เป็นอันยกเลิก!”
“แต่เจ้าก็ดูไม่ได้เสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นเท่าไหร่นะ…” ร่างของฉินเย่ค่อย ๆ ถอดชุดลายพรางที่สวมอยู่ออก “ข้าหมายถึง เจ้ายังมีอารมณ์มาเล่นเรื่องตลกด้วยซ้ำนี่? อืม? เจ้ามีกล้ามหน้าท้องตั้งแต่เมื่อใดกัน?”
“ให้ตาย–!! เอามือสกปรก ๆ ของท่านออกไป! นั่นไม่ใช่สิ่งที่ท่านสัมผัสได้! เวรเอ๊ย…ตาข้า!”
ภาพตรงหน้าทำให้สภาพจิตใจของเขาย่ำแย่พอสมควร เมื่อต้องมาเห็นร่างตัวเองสัมผัสตัวเองแบบนี้
น่าเสียดาย แต่นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของฝันร้ายที่เลวร้ายที่สุดของเขาเท่านั้น
อาร์ทิสในร่างของฉินเย่ลุกขึ้นยืน แต่สิ่งแรกที่นางทำก็คือเดินบิดขาไปมา จากนั้นนางก็ขมวดคิ้วเข้าหากัน ท่าทางแปลกประหลาดจนเกินจะบรรยาย
ฉินเย่รู้สึกได้ว่าเส้นเลือดในหัวของเขากำลังเต้นตุบ ๆ อย่างไม่สามารถควบคุมได้ “ท่านกำลังจะทำบ้าอะไรอยู่?”
แต่ร่างของเขากลับไม่ตอบอะไรเลยสักนิด และนางยังคงคุ้ยหาของไปทั่ว ฉินเย่เริ่มมีลางสังหรณ์ที่ไม่ดีนัก เขารีบเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงกว่าเดิม “ข้าหมายถึง…ท่านช่วยบอกข้าทีได้หรือไม่ว่าท่านกำลังหาสิ่งใดอยู่?”
“ชูเอ๋อเม่ย์ (Souermei) [1]” ร่างของฉินเย่ตอบเสียงห้วน “ข้ารู้สึกว่ามันมีบางอย่างขาดหายไป…”
“ให้ตายเถอะ….#%(#*&#$(@!!!” เสียงที่เต็มไปด้วยคำสบถมากมายหลั่งไหลออกมาจากปากเจ้าของร่างอย่างต่อเนื่อง ก่อนเขาจะได้รับคำตอบที่ค่อยน่าพอใจนักว่า “หนวกหูหน่า เจ้าก็รู้ว่าข้าทำไปเพราะมันเป็นงาน ข้าจะคืนร่างให้เจ้าหลังจากนี้ หากข้าไม่พยายามทำความคุ้นชินกันมัน มันก็อาจจะเป็นปัญหาได้ในภายหลัง เพราะสุดท้ายแล้ว…”
มือของเขาหยิบกระจกขึ้นมาและไล่นิ้วไปตามใบหน้า “ข้าก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง….”
“งานบ้าอะไรถึงต้องสวมชูเอ๋อเม่ย์แล้วไปออกรบ?! ท่านเป็นแค่ตุ๊กตายางโง่ ๆ เท่านั้น!” สภาพจิตใจของฉินเย่กำลังจะพังทลาย เขายังคงสบถใส่อาร์ทิสไม่หยุด
ร่างของเขาวางกระจกลงและขมวดคิ้ว “เหล่าผู้ที่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ในชีวิตจะต้องไม่ถูกผูกมัดด้วยสิ่งเล็กน้อยในโลก ดูสิว่าเจ้าหน้าตาดีเพียงใด…ก็ได้ ข้าจะไม่สวมมันก็ได้ ข้าแค่ต้องทำความคุ้นชินกับร่างนี้ก็เท่านั้น”
ทันทีที่นางเอ่ยจบ ฉินเย่ก็พบว่ามือของเขาขยับออกจากเตียงและพุ่งเข้าไปในกางเกงลายพรางของเขา จากนั้นใบหน้าของเขาก็แสดงสีหน้าแปลกประหลาด
“โอยยย….นี่มัน…แปลกมาก…” อาร์ทิสในร่างของเขาร้องครางออกมา
“ออก! ไป! จาก! ร่างของข้า!! เอามือของท่านออกไป! เอามือออกไปเดี๋ยวนี้!!” นั่นคือฟางเส้นสุดท้าย ฉินเย่กลายเป็นบ้าไปโดยสมบูรณ์แล้ว
นี่คือร่างออกเขา…ยายเฒ่านี่จะมาทำให้แปดเปื้อนได้อย่างไร?!
หลายสิบนาทีต่อมา
อาร์ทิสในร่างของเขายังคงฉายชัดถึงความไม่พอใจบนใบหน้า “ข้ายังไม่คุ้นกับร่างของเจ้าสักที มันรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองมีติ่งเนื้องอกออกมาจากร่างสองติ่ง ข้าควร…ตัดมันออกดีหรือไม่? แล้วข้าจะหาทางติดมันกลับคืนให้เจ้าก่อนที่ข้าจะออกจากร่างไป”
เส้นเลือดที่หน้าผากของฉินเย่เต้าตุบๆ “ติ่งเนื้อสองติ่ง?!”
ร่างของเขาขมวดคิ้วยุ่ง “เจ้าไม่คิดหรือว่าตัวเองกำลังให้ความสนใจผิดจุด? ข้าก็แค่ขออนุญาตตัดออกตามมารยาทก็เท่านั้น และข้าก็ขอยืมร่างของเจ้าเพียงไม่กี่ชั่วโมงเอง เหตุใดเจ้าต้องทำให้มันเป็นเรื่องยากด้วย?”
“…ขอร้องล่ะพี่สาว ท่านช่วยตกลงไปในหม้อต้มแล้วตายไปเลยได้หรือไม่? ไม่ต้องมายุ่งกับข้าอีกแล้ว…”
“หึ…” ขณะที่อาร์ทิสกำลังจะเอ่ยต่อ ร่างกายฉินเย่ก็สั่นสะท้านเล็กน้อย ก่อนจะล้มหมดสติไปบนเตียง
เมื่อเขาตื่นขึ้นอีกครั้งเขาก็พบว่าทั้งตัวเองและตุ๊กตายางต่างลุกขึ้นนั่งพร้อมกัน อีกฝ่ายจ้องมองมือยางของตัวเอง ในขณะที่ฉินเย่รีบกุมมือที่เป้ากางเกงของตัวเองทันที
เฮ้อ เอาล่ะ…น้องขายของเขายังอยู่ ค่อยสบายใจขึ้นหน่อย
นับว่าโชคดีที่อีกฝ่ายยังไม่ได้เสียสติไป
“อธิบายมา” ฉินเย่ถกแขนเสื้อของตนขณะที่จ้องไปยังตุ๊กตาเขม็ง “พูด! ท่านหมายตาใบหน้าอันงดงามของข้ามานานแค่ไหนแล้ว? ท่านคิดจะอาศัยโอกาสนี้ตักตวงผลประโยชน์จากร่างของข้าใช่ไหม!”
“หืม? หึหึ …ฮ่า ๆๆๆ…” อาร์ทิสหัวเราะแห้ง “มันจะเป็นแบบนั้นได้อย่างไร”
นางเอ่ยต่อโดยไม่เสียงจังหวะ “ก็มันผ่านมาหลายศตวรรษแล้วที่ข้าไม่ได้สัมผัสกับร่างกายของบุรุษ เจ้าจะไม่ยอมช่วยข้าสักนิดเลยหรือ? ถึงอย่างนั้นเจ้าคิดว่าข้าจะทำอะไรเจ้าหรืออย่างไร ด้วยรูปลักษณ์แบบนั้นของเจ้า?”
มันฟังดูสมเหตุสมผลจนฉินเย่พูดไม่ออก
“ก็ได้ ๆ” เมื่อสังเกตเห็นสายตาพิฆาตจากฉินเย่ อาร์ทิสสะบัดมือและส่งร่างของฉินเย่กระเด็นออกไปประมาณครึ่งเมตร “จำไว้ให้ดี การเข้าสิงร่างแต่ละครั้งจะมีระยะเวลาเพียงสองชั่วโมงครึ่งเท่านั้น”
นางเอ่ยต่อ “สิ่งที่ยมทูตญี่ปุ่นพวกนั้นใช้คือสิ่งที่ถอดแบบมาจากกระจกยามะ แต่แม้ว่ามันจะเป็นของเลียนแบบ แต่มันก็ถูกอาบด้วยกลิ่นอายของเทพีแห่งความตาย อิซานามิ อย่างไม่ต้องสงสัย ข้ามั่นใจว่ายมทูตนอกอาณาเขตคนอื่น ๆ เองก็นำสมบัติที่น่าจะได้รับพรจากเทพแห่งนรกของพวกมันมาด้วยเช่นกัน หากข้าไม่เข้าสิงร่างของเจ้า ดวงวิญญาณของกู่ชิงจะต้องหลุดมือไปแน่ ๆ”
ฉินเย่พยายามข่มความคิดที่จะฉีกร่างของอาร์ทิสเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย หลังจากพยายามอย่างหนัก เขาก็สามารถสงบได้ในที่สุด เด็กหนุ่มถอนหายใจออกมาและพยักหน้ารับรู้
ประวัติของกู่ชิงนั้นเหมาะสมกับยมโลกในเวลานี้เป็นอย่างมาก การปล่อยวิญญาณของชายผู้นี้ให้หลุดมือไปจะเป็นความสูญเสียครั้งใหญ่ของเขาอย่างไม่ต้องสงสัย
และที่สำคัญที่สุด การกระทำของยมทูตนอกอาณาเขตนั้น เทียบได้กับการตบหน้าเขาอย่างแรง และเสียงดังเสียด้วย
ครั้งหนึ่งนรกของแผ่นดินจีนเคยอยู่อันดับต้น ๆ ของโลก แต่ในตอนนี้ แม้แต่พวกชั้นต่ำพวกนี้ก็กล้าบุกรุกเข้ามาตามใจชอบ บางทียมทูตพวกนั้นอาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่ายมทูตที่พวกเขาเพิ่งสู้ด้วยไปไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นจ้าวนรกองค์ต่อไป แต่ถึงกระนั้น แม้แต่เขาเองก็ยังรู้สึกอับอาย
คนพวกนั้นไม่เพียงบุกรุกเข้ามาที่นี่เท่านั้น แต่พวกเขายังมีเจตนาที่จะแย่งชิงวิญญาณของกู่ชิงไปต่อหน้าต่อตาของเขาด้วย! นี่มันถิ่นของเขา แล้วคิดหรือว่าเขาจะยอมอยู่เฉย ๆ และอดทนต่อการหักหน้าเขาซึ่ง ๆ หน้าแบบนั้นได้น่ะ?!
ความรับผิดชอบและพลังมักจะมาพร้อมกัน หลังจากพยายามอย่างหนักในการสร้างยมโลกขึ้นมาใหม่ เขาก็ย่อมต้องมีสิทธิที่จะได้เพลิดเพลินกับพลังและอำนาจที่ได้มาพร้อมกับมันด้วยไม่ใช่หรือ
ราวกับว่านางสามารถรับรู้ถึงความคิดภายในใจของฉินเย่ อาร์ทิสเอ่ยขึ้นว่า “ไม่ต้องกังวล การเข้าไปในร่างของเจ้า…การครอบครองร่างนั้นแตกต่างจากการแย่งชิงร่างอย่างสิ้นเชิง การแย่งชิงร่างนั้นคือสิ่งที่ภูตผีนั้นสามารถทำได้เพียงหนึ่งครั้งในชีวิต มันคงจะสูญเปล่าหากข้าใช้มันกับเจ้า”
ในที่สุดฉินเย่ก็ยิ้มออกมาและยกนิ้วกลางให้อาร์ทิส “ถึงแม้ว่าข้าเกลียดที่จะพูดอะไรแบบนี้แต่…ขอบคุณ”
“เรามีผลประโยชน์ร่วมกันไม่ใช่หรือ?” อาร์ทิสเหลือบมองออกไปนอกหน้าต่างและพึมพำเบา ๆ “พวกที่กล้าก่อปัญหาในแผ่นดินจีนควรเตรียมพร้อมที่จะตายเพราะแผนการตัวเองได้แล้ว นี่คือสิ่งที่ยมโลกทุกแห่งต่างรู้กันดี”
“มีเพียงพวกเราเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้แย่งชิงจากผู้อื่น การแย่งชิงดวงวิญญาณไปจากเราเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยากมาจนแทบจะไม่เคยมีมาก่อน”
นางกำมือเบา ๆ และบานกระจกตรงหน้าก็แตกออกเป็นเสี่ยง ๆ ทันที “ในเมื่อพวกมันลืมเรื่องนี้ไปแล้ว…ข้า ในฐานะของขั้นตุลาการนรกเพียงตนเดียวที่เหลืออยู่ จะเป็นคนเตือนความจำให้พวกมันเอง”
ฉินเย่ครุ่นคิด “ท่านมั่นใจมากเพียงใด?”
“อย่างน้อย 70%” อาร์ทิสหันกลับไปตอบอย่างมั่นใจ “การครอบครองร่างโดยไม่ได้แย่งชิงร่างนั้นมาทั้งหมด หมายความว่าพลังของข้าจะลดลงหนึ่งขั้น ขั้นยมทูตขาวดำอยู่เหนือขั้นนักล่าวิญญาณเพียงแค่ขั้นเดียวเท่านั้น นอกจากนี้ พวกมันทุกตนเองก็ใช้สมบัติที่ได้รับพรมาจากเทพแห่งนรกของพวกมัน นี่คือเหตุผลที่ทำให้ข้าไม่กล้าบอกว่าข้ามั่นใจ 100%”
“…แต่สิ่งที่ท่านเพิ่งพูดออกมาดูมั่นใจมากเลยนะ?”
“…ไม่ใช่เจ้าหรือที่บอกข้าว่าสิ่งแรกที่ข้าควรทำทุกเช้าก็คือสูบลมให้กับร่างของตัวเอง?”
“…อ่า…ที่รัก ข้าคิดว่าท่านเข้าใจผิดไปหมดแล้ว…”