ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 178: การปะทะกันของอาณาเขตเวท
บทที่ 178: การปะทะกันของอาณาเขตเวท
รูม่านตาของฉินเย่หดตัวลง เขานึกถึงภาพยนตร์เรื่องมิสชั่นอิมพอสซิเบิ้ลภาค 4 ที่ตัวเองเคยดู
มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับภารกิจของสายลับคนหนึ่ง ไม่มีใครรู้ว่าสถานที่ที่พวกเขากำลังซ่อนอยู่นั้นเป็นเขตปลอดภัยหรือไม่ หรือมีสายลับคนอื่นที่อาจจะซ่อนตัวอยู่ใกล้ ๆ ตัวเองด้วยก็เป็นไปได้
เหมือนอย่างตอนนี้
เมื่อมองผ่านกล้องส่องทางไกล เขาเห็นชายหัวหมาป่าอ้าปากกว้างและตัวสั่นด้วยความกลัว จากนั้นร่างของเขาก็ระเบิดกลายเป็นกลุ่มแมลงสคารับสีดำ*ที่กระจัดกระจายกลับเข้าไปในความมืด ในขณะเดียวกันชายหัวหมาป่าอีกคนหนึ่งก็รีบโบกไม้เท้าหัวงูของตนในอากาศ และเม็ดทรายสีเหลืออร่ามก็ตกลงมาจากความว่างเปล่า ก่อตัวเป็นโกเลมทรายห้าตัวภายในพริบตา!
โกเลมทั้งหมดสวมผ้าโพกศีรษะและเสื้อคลุมยาวพร้อมกับถือดาบและโล่อยู่ในมือ การปรากฏตัวของพวกมันทำให้เกิดสายลมกระโชกแรงจากทั่วทุกทิศทาง เกิดเป็นพายุทรายขึ้นในเวลาต่อมา
และยมทูตญี่ปุ่นทั้งสองก็กระโจนออกมาราวกับนักรบที่กล้าหาญ เสื้อผ้าของพวกเขากระพืออย่างรุนแรง และพลังหยินจำนวนมากหลั่งไหลออกมาจากร่าง การเคลื่อนไหวของทั้งสองเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันราวกับทั้งคู่คือหุ่นกระบอกสยาม พวกเขาชักดาบออกมาพร้อมกัน ด้วยท่าทางเดียวกัน และการเคลื่อนไหวอย่างพร้อมเพรียงกันทุกประการ ฉินเย่มองไม่เห็นว่าอีกฝ่ายทำอะไร แต่เขาสามารถบอกได้ว่าต้นไม้ที่อยู่โดยรอบสั่นสะเทือนอยู่ครู่หนึ่ง และสามในห้าของโกเลมทรายก็ถูกทำลายลงอย่างรวดเร็ว
ใบมีดของพวกเขาเปล่งประกายราวกับหิมะ
แต่ทุกอย่างตรงหน้ากลับดูเหมือนกับละครใบ้ การปะทะกันของยมทูตพวกนั้นไม่มีเสียงเลยสักนิด ราวกับว่ามันมีข้อตกลงบางอย่างระหว่างพวกเขา
ทันใดนั้นเอง ร่างของฉินเย่ก็แน่นิ่งไป ความรู้สึกเย็นยะเยือกแล่นไปตามกระดูกสันหลัง และขนบริเวณคอของเขาลุกชัน เขาค่อย ๆ พับกล้องส่องทางไกลของตัวเองและมองไปรอบๆอย่างระแวดระวัง
สายลมยามค่ำคืนที่พัดผ่านต้นไม้ทำให้เกิดเป็นเสียงคล้ายกับคลื่นทะเลที่ซัดเข้าหาฝั่ง และมันยังทำให้กิ่งก้านของต้นหลิวพลิ้วไหวราวกับแขนของมนุษย์นับล้านข้าง โคมไฟถนนที่ส่องแสงสลัวกะพริบอย่างน่ากลัว ราวกับพวกมันคือไฟเผาศพ จากนั้นเสียงแปลกประหลาดก็ดังขึ้นให้ได้ยินแทรกผ่านเสียงเสียดสีกันของใบไม้
ฟึ่บ กึก กึก กึก…
มันเบาจนแทบจะไม่ได้ยิน ฉินเย่สูดหายใจเข้าช้า ๆ และค่อย ๆ เลื่อนมือไปที่ข้างเอว
มันคือเสียงของสายธนู
มีใครบางคนกำลังดึงสายธนูของตนอยู่ในความมืด ฉินเย่มั่นใจว่ามันจะต้องเป็นคันธนูที่มีขนาดใหญ่มากแน่ ๆ ไม่เช่นนั้นมันคงไม่มีทางที่สายธนูจะส่งเสียงแบบนั้นเมื่อมันถูกดึงจนตึง และโดยธรรมชาติแล้ว พลังของมัน…ก็จะต้องน่าตกตะลึงเป็นแน่!
นอกจากนี้เขายังมั่นใจว่าตัวเองไม่ได้ยินเสียงนี้ก่อนที่ยมทูตจากอียิปต์จะปรากฏตัวอีกด้วย
เขามองไปรอบ ๆ อย่างช้า ๆ ทันใดนั้นเอง ขณะที่เขามองไปทางซ้าย ห่างออกไปเล็กน้อย สายตาของเขาก็หยุดลงที่จุดจุดหนึ่ง
ห่างออกไป 50 เมตร ท่ามกลางกิ่งก้านของต้นหลิวที่ทำหน้าที่ราวกับเสื้อคลุมที่ดำสนิทของยมทูตยามราตรี ร่างหนึ่งกำลังดึงสายธนูของคันธนูที่มีความสูงกว่าสามเมตรกำลังเล็งเป้าไปที่หอบรรพบุรุษ
จากมุมที่ฉินเย่อยู่เขาสามารถมองเห็นได้แค่ด้านข้างของอีกฝ่ายเท่านั้น แต่แสงจันทร์สลัวก็ทำให้เขาสามารถมองเห็นรูปลักษณ์ของยมทูตตนนี้ได้
มันแทบจะเรียกว่าคนไม่ได้ด้วยซ้ำ
เขามีกล้ามเนื้อสีแดง กระดูกสีขาวที่น่าสังเวชและลูกตาที่ถลนออกมา แต่มันเป็นสิ่งมีชีวิตอย่างแน่นอน เช่นเดียวกับยมทูตตนอื่นที่อยู่รอบ ๆ พลังหยินไหลออกมาจากร่างของมัน ทำให้ผมสีทองที่เล็ดลอดออกมาจากผ้าคลุมศีรษะปลิวไปมา คันธนูยาวถูกทำขึ้นจากกระดูก และพลังหยินจำนวนมากก็กำลังก่อตัวเป็นลูกธนูที่มีความยาวสองเมตร! ที่หัวของลูกธนูลุกโชนด้วยเปลวไฟนรกสีเขียวหยก แทบจะเหมือนกับว่ามันถูกจุดขึ้นจากหุบเหวลึกของยมโลกไม่มีผิด
ยมทูตของยมโลกแต่ละแห่งจะมีลักษณะเฉพาะของตัวเอง
ฉินเย่หรี่ตาลงและลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาจึงเอื้อมมือออกไปด้านหน้าพร้อมกับคว้าอะไรบางอย่างในอากาศ กระบี่ปีศาจก่อรูปขึ้นอย่างรวดเร็ว และเด็กหนุ่มก็กระโจนออกจากที่กำบังของตน
เขากลัวความตาย
แต่เขาก็รู้ดีว่าโอกาสพวกนี้นั้นหาได้ยากและอาจจะไม่มีอีกแล้วก็ได้
ฟึ่บ! ร่างของเขากลายเป็นกลุ่มก้อนพลังหยินที่ซ่อนตัวอยู่ต้นไม้ขณะที่พุ่งตรงไปที่ยมทูตตนที่ซ่อนตัวอยู่บริเวณต้นหลิว แต่ทันทีที่เขาพุ่งตัวออกไป เขาก็ต้องชะงัก
สภาพแวดล้อมโดยรอบตกอยู่ในความเงียบทันทีที่เท้าของเขาสัมผัสกับพื้น
อาณาเขตเวทอีกอาณาเขตหนึ่ง!
เขาหยุดนิ่งด้วยความตกใจเป็นเวลาเกือบสองวินาที จากนั้นก็ตระหนักถึงความจริงบางอย่าง เขาไม่ใช่เพียงคนเดียวที่สร้างอาณาเขตเวทไว้ด้านนอกของหอบรรพบุรุษ ยมทูตพวกนี้อาจจะไม่แข็งแกร่งพอที่จะกระโจนเข้าไปในการต่อสู้ภายในอาคาร ดังนั้นพวกเขาจึงสร้างอาณาเขตเวทไว้ด้านนอก เพื่ออะไรน่ะหรือ? ไม่ใช่เพื่อเข้าร่วม แต่เพื่อขัดขวาง!
ดั่งสุภาษิตจีนที่ว่า นกกับหอยทะเลาะกัน แต่คนตกปลาได้รับประโยชน์ [1]
เขาถูกพบแล้ว…นักยิงธนูยังคงแน่นิ่ง เสื้อผ้าที่สวมอยู่กระพืออย่างรุนแรงและดวงตาจับจ้องไปที่เป้าหมาย อย่างไรก็ตาม เขารีบเดินจากไปโดยไม่ลังเล และแทบจะในเวลาเดียวกัน กิ่งก้านของต้นหลิวพลันถูกแยกออกพร้อมกับร่างในชุดเสื้อคลุมสีดำสนิทก็กระโจนออกมา อันที่จริง มันดูเหมือนกับจะไม่มีสิ่งใดอยู่ภายใต้ผ้าคลุมนั้นเลยด้วยซ้ำ
เร็วมาก!
ราวกับสายฟ้าที่ผ่าลงมาแบบไม่ให้คนได้ทันได้ตั้งตัว
เมื่อเขาพุ่งตัวไปด้านหน้า มือเหี่ยวย่นและซีดขาวก็ยืนออกมาจากใต้ชุดคลุมนั้นพร้อมกับเคียวสีดำที่แผ่กลิ่นอายของความตายออกมา จุดสีแดงสามจุดที่เปล่งประกายออกมาภายใต้ชุดคลุมดำทำให้สามารถมองเห็นโครงกระดูกสีขาวทั้งหมดบนร่าง
มันยังมียมทูตตนอื่นอีก!
ไม่มีเวลาให้ได้ตั้งตัว ฉินเย่ร้องออกมาโดยปรากจากเสียงเล็ดลอด และเหวี่ยงกระบี่ปีศาจของตนไปในอากาศ ตัดผ่านความว่างเปล่าตรงหน้า
ฉีกกระชากวิญญาณ!
เด็กหนุ่มใช้การโจมตีที่เขาสามารถใช้ได้เพียงหนึ่งครั้งต่อวัน
เสียงการโจมตีของเขาถูกดูดหายไปโดยสมบูรณ์ ในเสี้ยววินาทีที่คนมีดทั้งสองปะทะกันเกิดเป็นประกายไฟขึ้นในอากาศ ต้นไม้ที่อยู่บริเวณใกล้เคียงระเบิดออก ทว่าการโจมตีอันทรงพลังนั้นไม่สามารถหยุดการพุ่งมาของร่างในชุดคลุมสีดำได้ อีกฝ่ายลอยตัวขึ้นบนฟ้าหลายเมตรราวกับปีศาจแห่งฝันร้ายในเรื่องเล่าของยุโรป! จากนั้นมันก็เหวี่ยงเคียวสีดำสนิทของมันไปที่กะโหลกของฉินเย่ด้วยแรงมหาศาล!
พลังหยินปะทุออกมาจากร่างของฉินเย่ และเขาก็พุ่งตัวเข้าหาอีกฝ่ายราวกับดาวตกเช่นกัน ในวินาทีต่อมา ทั้งสองต่างพบว่าตัวเองกำลังอยู่ในการต่อสู้อันดุเดือดเสียแล้ว
พวกเขาต่างใช้อาวุธโจมตีฝ่ายตรงข้ามในเวลาเดียวกัน เปลวไฟนรกอันไร้ขอบเขตกระจายตัวไปในอากาศ ในขณะที่เกิดประกายไฟในทุกครั้งที่อาวุธของทั้งสองฝ่ายปะทะกัน ภายในพริบตาเดียว ทั้งคู่ได้ปะทะกันมากกว่าสิบครั้ง จนกระทั่งผ่านไป 20 วินาที พวกเขาปะทะกันอย่างแรงเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะถอยกลับไปพร้อมกับหอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน
อีกฝ่ายยังไม่ได้ใช้พลังทั้งหมดด้วยซ้ำ…
ฉินเย่มองคู่ต่อสู้ของตน เขาสามารถบอกได้เลยว่าฝ่ายตรงข้ามยังไม่ได้ใช้พลังที่แท้จริงของตัวเองและกักพลังบางส่วนเอาไว้ ทั้งหมดที่อีกฝ่ายกำลังทำอยู่ในตอนนี้เพียงทำให้แน่ใจว่าตนไม่ได้ทำอะไรผิดพลาดไปเท่านั้น
แต่ทำไมล่ะ?
ยมทูตทั้งสองฝ่ายจ้องตากันอย่างระแวดระวัง ความคิดของฉินเย่ไม่เคยหมุนเร็วเท่านี้มาก่อน บทสนทนาต่าง ๆ ระหว่างเขากับอาร์ทิส รวมถึงทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับการปรากฏตัวของยมทูตนอกอาณาเขตในสำนักฝึกตนแห่งแรกปรากฏขึ้นมาในหัว และทันใดนั้น ดวงตาของเด็กหนุ่มก็เปล่งประกายวาววับ
“อย่างนี้นี่เอง…” เป็นครั้งแรกที่เขายิ้มบางและเดินไปข้างหน้า “เป็นอย่างนี้นี่เอง…”
เปลวไฟนรกบนกระบี่ปีศาจลุกโชนขึ้นอย่างรุนแรงจนมีความยาวเกือบสองเมตร พื้นที่โดยรอบถูกทาด้วยสีเขียวหยกทันที พรึ่บ…พรึ่บ…ฉินเย่ไม่คิดจะกักเก็บพลังของเขาเอาไว้อีกต่อไป พลังหยินและเปลไฟนรกของเขาปะทุรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งใบมีดทั้งหมดถูกห่อหุ้มไปด้วยเปลวไฟสีเขียวที่รุนแรง
ทันทีที่พลังหยินอันทรงพลังนั้นปะทุออกมา ต้นไม้ที่อยู่โดยรอบก็เริ่มโอนเอนไปมาอย่างดุเดือด ทันใดนั้นเอง นักธนูที่ดึงสายธนูจนสุดอยู่นั้น ก็ก้มหน้าลงมามองฉินเย่อย่างตกตะลึง แม้แต่ยมทูตเคี้ยวสีดำก็ไม่โจมตีอีกต่อไปและเลือกที่จะดึงเคียวของตนกลับไปโบกมือไปมาให้กับฉินเย่ราวกับต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง
ผมสีขาวของฉินเย่ปลิวไปมาจากการลุกโชนของเปลวไฟสีเขียว และใบหน้าเยาว์วัยก็แย้มยิ้มน่ากลัวออกมา ราวกับว่าวิญญาณร้าย “เป็นอย่างที่คิด….”
คืนนี้จะเป็นคืนตัดสินว่าผู้ใดที่จะเป็นคนวิ่งไปถึงเส้นชัยได้เป็นคนสุดท้าย!
ที่นี่คือสำนักฝึกตนแห่งแรก
และพลังที่ปกคลุมสถานที่แห่งนี้ก็คือพลังของโจวเซียนหลง ผู้ฝึกตนขั้นตุลาการนรก
เหล่ายมทูตนั้นไม่ใช่เทพเจ้า พวกเขาอาจจะไม่สามารถถูกมองเห็นได้ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะไม่โดนโจมตี!
ห้องเซ่นไหว้ศพนั้นกว้างขนาดไหน?
หอบรรพบุรุษนั้นยิ่งใหญ่แค่ไหน?
การโจมตีเพียงครั้งเดียวจากโจวเซียนหลงสามารถทำให้ยมทูตทั้งหมดกลายเป็นเพียงกลุ่มก้อนพลังหยินที่กลับคืนสู่โลก ดังนั้นการเตรียมการของพวกเขาในคืนนี้จึงมีความสำคัญเป็นที่สุด!
แต่ฉินเย่นั้นเป็นข้อยกเว้น
แล้วเขายังจะมีเหตุผลให้ต้องสู้กับอีกฝ่ายไปมากกว่านี้หรือเปล่า?
อาร์ทิสเคยพูดเอาไว้ก่อนหน้านี้ว่า “ด้วยพลังของอีกฝ่าย อาณาเขตเวทที่ถูกสร้างขึ้นนั้นบอบบางจนไม่สามารถต้านทานการโจมตีเพียงครั้งเดียวได้”
“ขออภัย” พลังที่ปล่อยออกมาของเขาในยามนี้ทะยานขึ้นถึงจุดสูงสุด และคุณสามารถมองเห็นวิญญาณจำนวนมากเริ่มร้องโหยหวนออกมาเพราะเปลวไฟนรกที่ลุกโชนบนกระบี่ปีศาจของเขา จากนั้น พร้อมกับการตะโกนออกมาแบบไม่มีเสียง ฉินเย่ฟันออกไป!
“ทีข้าบ้างล่ะ”
ตูม!!!
ดวงตาของยมทูตนอกอาณาเขตสองตนเผยให้เห็นถึงแววตาแห่งความสิ้นหวัง ต้นหลิวโดยรอบพังทลายลงภายในพริบตา ขณะที่น้ำในแม่น้ำเทียมก่อตัวเป็นคลื่นที่สูงขึ้นกว่าหนึ่งเมตร เสียงดังสนั่นดังก้องไปทั่วฟ้า และเสียงของอะไรบางอย่างถูกทำลายเป็นเสี่ยง ๆ ก็ดังให้ได้ยินจนทั่ว
จากนั้นทุกอย่างก็ตกสู่ความเงียบ
พวกยมทูตที่อยู่ที่หอบรรพบุรุษต่างหันไปมองทางต้นเสียงด้วยสายตาดุร้าย เสียงร่ายเวทดังผสมปนเปกันในอากาศ ยมทูตตนที่ยิงธนูกัดฟันกรอด ร่างของเขาสั่นสะท้านอย่างรุนแรง ไม่กี่วินาทีต่อมาเขาก็ตะโกนออกไปอย่างเดือดดาล “du-te!!”
พร้อมกับเสียงตะโกนดังกล่าว เขายิงลูกธนูที่ได้เตรียมไว้ก่อนหน้านี้ออกไป! มันพุ่งผ่านต้นหลิวที่ยังเหลืออยู่ ทิ้งไว้เพียงรูโห่วขนาดใหญ่ขณะที่ตรงไปที่หอบรรพบุรุษ!
ในขณะเดียวกัน ฉินเย่ออกจากร่างยมทูตและกลับสู่ร่างมนุษย์อีกครั้ง ยมทูตอีกสองตนเองก็กลายร่างเป็นสายลมนรกและหายไปทันทีเช่นกัน
ฉินเย่ไม่ได้ปัดป้องมัน
“Du te…หมายถึงถอยหรือเปล่า? นั่นมันภาษาอะไรกัน?” เขามองไปตามทิศทางของลูกธนู “พวกเราไม่ต่างกันเลยสักนิด…”
ตูม!!!
เปลวไฟสีเขียวระเบิดขึ้นทันทีที่มันปักลงพื้นของหอบรรพบุรุษ ส่งผลให้วิญญาณนับพันบินขึ้นไปบนฟ้าพร้อมกัน เสียงแก้วแตกดังก้องไปทั่ว อักขระโบราณสีเขียว ทอง แดง และฟ้าก็ปรากฏขึ้นทั่วทั้งตัวอาคารก่อนจะจางหายไปในที่สุด
อาณาเขตเวทถูกทำลาย!
“八嘎!!! / ไอ้โง่เอ๊ย!!!”
“γαματο!! / เวรเอ๊ย!!” dannazione!! / ให้ตายเถอะ!!” เสียงสบถดังขึ้นให้ได้ยิน แต่ไม่มีใครกล้าอยู่บริเวณนั้นอีกต่อไป สายลมแรงพัดผ่าน และทุกอย่างก็สงบลงอีกครั้ง
โคมไฟสีแดงในหอบรรพบุรุษส่องสว่างราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นที่นี่
“นั่นเป็นการกระทำที่ชั่วร้ายมาก เจ้าหาโอกาสทำลายอาณาเขตเวทในหอบรรพบุรุษเพื่อที่จะได้แน่ใจว่าขั้นตุลาการนรกสักคนจะสังเกตเห็นถึงสิ่งนี้ แล้วจึงวางอาณาเขตเวทของตัวเองไว้นอกอาคารเพื่อที่จะได้เหลืออาณาเขตเวทของเจ้าเพียงอาณาเขตเดียว….” ฉินเย่ถอนหายใจออกมายาวเหยียด “น่าเสียดายที่เจ้ามาเจอข้าเสียก่อน”
“บางทีพวกเจ้าควรจะทำความเข้าใจเกี่ยวกับกล้องส่องทางไกลประเภท OB ให้มากกว่านี้นะ” เขาใช้นิ้วก้อยแคะหูของตน “ไม่มีผู้ใดเทียบข้าได้เมื่อพูดถึงแผนการชั่วร้าย!”
ขณะที่เขาเอ่ย แรงกดดันที่คล้ายกับพายุฝนฟ้าคะนองก็แผ่ไปทั่วทั้งสำนักฝึกตนแห่งแรก!
“และขั้นตุลาการนรกคนนั้นก็ได้อยู่ที่นี่แล้ว” ฉินเย่นั่งลงบนพื้นและต่อยเข้าที่อกของตัวเองจนกระอักเลือดออกมา “ซึ่งมันก็เป็นคราวที่ข้าต้องสวมบทเป็นดอกไม้ที่แสนบอบบางด้วยเช่นกัน….”
ฟึ่บ…กลุ่มเมฆดำบนฟ้าแยกออกจากกัน และเงาร่างหนึ่งก็พุ่งลงมาจากฟ้าอย่างรวดเร็ว
โจวเซียนหลง
ยมทูตทั้งหมดต่างมองไปยังร่างที่พุ่งลงมาจากฟ้าอย่างไม่ละสายตาจากเงามืด แววตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความไม่พอใจและโกรธแค้น แต่พวกเขาก็ทำได้เพียงกัดฟันแน่นและกลืนความรู้สึกขมขื่นลงไป
กลับไปที่ห้องพักสองคน ร่างของนักเรียนสองคนที่นอนอยู่บนเตียงราวกับศพลุกขึ้นนั่ง
ท่าทางของทั้งคู่แปลกประหลาดและแข็งทื่อ แทบจะเหมือนกับว่าแขนขาของพวกเขาไม่สามารถงอได้ จากนั้น โดยไม่เอ่ยอะไรออกมา พวกเขารีบเดินไปที่หน้าต่างและมองไปยังท้องฟ้าที่มืดมนด้านนอก
“死体の封印はまだ使えますか? / ตราประทับวิญญาณศพยังใช้ได้อยู่หรือไม่?” นักเรียนคนซ้ายเอ่ยพึมพำออกมาเป็นภาษาญี่ปุ่นหลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง
“できない / ไม่” นักเรียนด้านขวาทุบโต๊ะอย่างแรงพร้อมกับเอ่ยลอดไรฟัน “完全に打ちかれた、これはどれが死んだばか野郎!なんと界を破って、この裁判官にづいてもらいました! / มันถูกทำลายไปแล้ว เป็นเพราะไอ้เวรนั่น! มันกล้าดีอย่างไรถึงทำลายอาณาเขตเวทและดึงความสนใจจากขั้นตุลาการนรก?!”
“いや! / ให้ตายเถอะ!”
ในห้องพักอื่น ๆ เองก็ปรากฏแววตาดุร้ายแบบนี้เช่นกัน
ใคร…
มันเป็นใคร!
ผู้ที่หน้าด้านถึงขนาดที่ใช้วิธีแบบนี้มันคือใครกัน?!
“nytt silt, ettvoin kytt sit… / ดูเหมือนว่าพรุ่งนี้เราจะต้องใช้สิ่งนั้นเสียแล้ว” ในห้องพักของหอพักหญิง นักเรียนผมยาวคนหนึ่งยืนอยู่หน้าหน้าต่างด้วยสีหน้าเคร่งขรึมขณะที่มองไปยังร่างของโจวเซียนหลง
*หน้าตาของแมลงสคารับสีดำค่ะ
[1] 鹤蚌相争,渔翁得利 นกกับหอยทะเลาะกัน แต่คนตกปลาได้รับประโยชน์ สุภาษิตจีน หมายถึง หากต้องทะเลาะหรือมีปากเสียงกับผู้อื่น ควรใช้สติปัญญาในการแก้ไขปัญหา มิเช่นนั้นอาจจะทำให้เกิดความสูญเสียทั้งสองฝ่าย และปล่อยให้บุคคลที่สามได้รับประโยชน์ไปโดยฟรีๆ