ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 179: ใช้ประโยชน์
บทที่ 179: ใช้ประโยชน์
ฉินเย่ลุกขึ้นนั่ง หอบหายใจ เลือดไหลออกมาจากปาก แต่ในความเป็นจริงแล้วอาการบาดเจ็บของเขานั้นเล็กน้อยมาก
เขาจะบาดเจ็บหนักได้อย่างไรในเมื่อแผลนั่นเขาเป็นคนทำมันด้วยตัวเอง?
ครืนน….พื้นที่นั่งอยู่สั่นไหวเบา ๆ และแม้ต้นไม้และกิ่งก้านของมันก็โน้มลงราวกับโค้งคำนับผู้ที่มาใหม่อย่างเงียบงัน จากนั้นเท้าคู่หนึ่งก็เดินมาหยุดลงตรงหน้าของเขา
จู่ ๆ มันก็ปรากฏขึ้นโดยไม่มีการเตือนใด ๆ
“คุณเป็นอย่างไรบ้าง?” โจวเซียนหลงเอ่ยขึ้นในที่สุด
ฉินเย่พยักหน้าด้วยรอยยิ้มขมขื่นขณะที่ใช้ทักษะการแสดงที่แสนเชี่ยวชาญของตนเอง “ยังไหวครับ น่าจะดีขึ้นหากได้พักสักวัน หัวหน้า พรุ่งนี้ผมขอหยุดสักวันได้หรือเปล่าครับ?”
“แน่นอน” เสียงที่เอ่ยออกมาของชายสูงวัยเรียบนิ่ง “มันเกิดอะไรขึ้นที่นี่?”
ฉินเย่ส่ายหน้า “ผมก็ไม่ทราบเช่นกัน ผมเห็นเพียงร่างพร่ามัวที่คล้ายกับพวกที่ทำร้ายนักเรียนเย่ก่อนหน้านี้และลอบเข้ามาในขุมทรัพย์ของกลุ่มผู้พิทักษ์แห่งสวรรค์ น่าเสียดายที่ผมสามารถมองเห็นพวกเขาได้ชัด ๆ”
“จำนวนล่ะ?”
“ไม่เกินสิบครับ”
โจวเซียนหลงไม่เอ่ยอะไรอีก กลับกัน เขาเพียงวางมือลงบนไหล่ของฉินเย่และนั่งยอง ๆ
ตอนนี้พวกเขากำลังนั่งอยู่ในระดับเดียวกัน โจวเซียนหลงจ้องลึกเข้าไปในตาของฉินเย่และเอ่ยขึ้น “คุณรู้อะไรไหม…”
“ผมเองก็ตรวจดูรอบของสำนักฝึกตนแห่งแรกทั้งคืน แต่ผมก็ยังตรวจไม่พบความผิดปกติอะไรทั้งนั้น”
หัวใจของฉินเย่หยุดเต้นไปชั่วขณะ
ทว่าเขาก็ยังเงียบขณะที่ฟังโจวเซียนหลงเอ่ยคำถามของตนจนจบ “ผู้ที่อยู่ขั้นตุลาการนรกอย่างผมกลับไม่สามารถตรวจจับถึงการมีอยู่ของอีกฝ่ายได้ แต่คุณกลับสามารถทำได้ คุณพอจะบอกผมได้ไหมว่าทำไมมันถึงเป็นเช่นนั้น?”
ฉินเย่แย้มยิ้ม “อาจจะเกี่ยวกับวิธีการฝึกฝนที่ผมฝึกก็ได้ครับ”
“อย่างนั้นหรือ?” โจวเซียนหลงจ้องหน้าอีกฝ่ายอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันหลังกลับไปและเสื้อผ้าที่สวมอยู่ของเขาก็กระพือด้วยตัวของมันเอง “เช่นนั้นคุณก็ควรเก็บเรื่องความเชี่ยวชาญของคุณเอาไว้ การโดดเด่นมากเกินไปนั้นไม่ใช่สิ่งที่ดีเสมอไป”
“ลาดตระเวนต่อไป หากต้องการอะไรให้เรียกผม”
เมื่อเอ่ยจบ ร่างของโจวเซียนหลงก็หลายไปอย่างรวดเร็ว เมื่อเขาปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง เขาก็กลับมายืนอยู่บนอาคารที่สูงที่สุดในสำนัก ที่ซึ่งเขาสามารถมองเห็นทุกสิ่งที่เกิดขึ้นโดยรอบในระยะ 100 เมตรได้อย่างชัดเจน
“เขาไม่ได้โกหก” ชายสูงวัยมองที่มือของตนข้างที่สัมผัสกับไหล่ของฉินเย่ อักขระโบราณสีทองเปล่งประกายออกมาจากฝ่ามือของเขา
โจวเซียนหลงขมวดคิ้ว “มันเป็นผลมาจากการบ่มเพาะของเขาจริง ๆ เหรอ? เด็กคนนี้ฝึกฝนศาสตร์แบบใดกัน? แปลก…”
ฉินเย่ไม่รับรู้ถึงเรื่องนี้เลยสักนิด เขายังคงนั่งอยู่บนพื้น แสร้งทำเป็นพักฟื้นต่ออีกเกือบครึ่งชั่วโมงก่อนจะลุกขึ้นอีกครั้งและยกส้นเท้าขึ้น อักขระโบราณจาง ๆ เปล่งแสงสีดำออกมาขณะที่มันฝังตัวลงไปบนพื้น
ใช่ เขาสามารถทำลายงานของคนอื่นได้ แต่ไม่มีใครสามารถทำลายงานของเขาได้
และนั่นเป็นเพราะว่าที่นี่คือสำนักฝึกตนแห่งแรก
เส้นด้ายของการต่อสู้ที่กำลังจะมาถึงเผยตัวอย่างช้า ๆ ทว่าแน่นอน และในที่สุดตาชั่งก็เริ่มเอนเอียงมาทางฝั่งของเขาแล้ว
เด็กหนุ่มไม่ได้พักในทันที เขากลับยังคงเดินไปรอบ ๆ พื้นที่รัศมี 500 เมตรห่างจากหอบรรพบุรุษ ขณะที่เขาเดิน อักขระโบราณที่พันอยู่รอบ ๆ เท้าของเขาก็ฝังตัวลงไปบนพื้น จากนั้นเมื่อเขาเดินครบรอบ แสงไฟภายในอาคารก็กะพริบเล็กน้อยก่อนจะกลับมาสว่างอีกครั้ง
มีบางอย่างเปลี่ยนไป
แต่เมื่อสังเกตอย่างใกล้ชิดกลับไม่พบสิ่งใด
หลังจากทำทุกอย่างเรียบร้อย ฉินเย่ก็ถอนหายใจออกมาและเอนตัวพิงกับต้นไม้ที่อยู่บริเวณใกล้เคียงเพื่อพัก
“เจ้าทำได้ดี อาณาเขตเวทนี้จะเผยตัวตนของยมทูตทุกตนเป็นเวลาสิบวินาที เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว” เสียงของอาร์ทิสดังผ่านเข้ามาในหูเขา ขณะกำลังล้มตัวนอนลงบนพื้น ฉินเย่หลับตาลงและพึมพำเบา ๆ “ขอบคุณสำหรับคำชม”
“น่าชื่นชมจริง ๆ” นี่คือข้อดีของอาร์ทิส นางไม่เคยลังเลที่จะเอ่ยคำชมออกมา “นี่เป็นการตัดสินใจที่สมบูรณ์แบบ ในฐานะของฮัสกี้ที่ใช้ชีวิตท่ามกลางฝูงหมาป่า มันย่อมมีบางครั้งที่เจ้าจะต้องเลือกหรือตัดสินใจอะไรสักอย่าง หากเจ้าเลือกที่จะไม่ทำลายอาณาเขตเวทของพวกมันก่อนหน้านี้ เจ้าพวกนั้นก็จะมีโอกาสทำภารกิจในวันพรุ่งนี้สำเร็จเพิ่มขึ้นอีก 10% และหากพวกมันสามารถแย่งวิญญาณของกู่ชิงกลับไปได้…ความสำเร็จของพวกมันจะต้องดึงความสนใจของยมโลกแห่งอื่นมาที่เราอย่างแน่นอน”
“และนี่ยังไม่ได้พูดถึงจำนวนแต้มกุศลที่เจ้าจะได้เพิ่มจากการกำจัดยมทูตนอกอาณาเขตนะ หากทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่เราได้วางเอาไว้ เจ้าคงจะได้เลื่อนขั้นเป็นขั้นยมทูตขาวดำหลังจากจบการต่อสู้นี้แน่!”
“ทั้งอันดับขั้นและโอกาสในอนาคต…เมื่อลองเปรียบเทียบกับสิ่งเหล่านี้ การเปิดเผยร่องรอยจนโจวเซียนหลงสัมผัสนั้น มันได้เทียบกันไม่ได้เลยสักนิด”
“และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือเรื่องสุดท้ายที่เจ้าทำไว้ก่อนหน้านี้” อาร์ทิสเปลี่ยนร่างเป็นนกกระเรียนกระดาษที่บินลงมาจากต้นไม้และเกาะลงบนไหล่ของฉินเย่ “โจวเซียนหลงยอมให้เจ้าลาหยุด ทีนี้…เจ้าก็จะมีข้อแก้ตัวแล้วว่าทำไม จู่ ๆ เจ้าถึงหายตัวไปอย่างกะทันหันเช่นนั้นได้ ขณะมีเลวร้ายเกิดเรื่องที่หอบรรพบุรุษ นอกจากนั้นเจ้ายังสามารถชิงจังหวะช่วงชุลมุน กลับไปอยู่ในร่างยมทูตนอนรอโอกาสเหมาะ ๆ ลงมือตามแผนการของเรา”
ฉินเย่พยักหน้า เมื่อครู่เขาแกล้งบาดเจ็บโดยการต่อยตัวเองเพียงเพื่อตบตาโจวเซียนหลง แต่ทันทีที่เขาล้มลงกับพื้น เขาก็นึกเรื่องนี้ขึ้นมาได้
ตอนเปลี่ยนเป็นร่างยมทูตของเขาจะต้องถูกโจวเซียนหลงตรวจพบอย่างแน่นอน แต่…หากเขาเปลี่ยนร่างยมทูตในตอนที่โจวเซียนหลงกำลังถูกยมทูตตนอื่นดึงความสนใจอยู่ล่ะ?
ภายใต้ความวุ่นวายภายในหอบรรพบุรุษ โจวเซียนหลงจะยังสนใจการเปลี่ยนร่างของเขาที่อยู่ห่างออกไปอยู่อีกหรือ?
มันจะเป็นผลดีที่สุดหากยมทูตนอกอาณาเขตทั้งหมดถูกโจวเซียนหลงสังหาร และแม้ว่าจะมีสักตนที่สามารถหนีรอดมาได้ เขาก็จะเป็นคนไล่ตามและกำจัดมันผู้นั้นซะ
ไม่สำคัญว่าเขาจะใช้กระบี่ตอนไหน สิ่งสำคัญก็คือเขาจะสามารถหาช่วงเวลาเหมาะสมพอที่จะใช้กระบี่ของเขาได้หรือไม่ก็เท่านั้น
“การเตรียมงานเสร็จสมบูรณ์” เขาหลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน มุมปากยกยิ้มบาง “ข้าอยากเห็นจริง ๆ ว่าจะมีผู้ใดกล้ามาเสี่ยงดวงในอาณาเขตของพวกเราในวันพรุ่งนี้กี่คน”
“เช่นนั้นแหละ” อาร์ทิสมองขึ้นไปบนฟ้า “นั่นคือสิ่งที่จ้าวนรกควรแสดงออกมา ผู้ที่กระทำผิดจะต้องชดใช้ด้วยชีวิต นี่คือกฎเหล็กของยมโลก”
“ต่อให้พวกมันสามารถหลบหนีไปไกลสุดขอบโลกหรือดำดิ่งลงไปในมหาสมุทรที่ลึกที่สุดได้ แต่พวกมันจะไม่สามารถหนีจากดาบแห่งความยุติธรรมของนรกไปได้”
………………………………………………..
05.30 น.
มันยังคงเป็นเวลากลางคืนและท้องฟ้าก็ยังมืดราวกับสีของน้ำหมึก
หอพัก 4 ห้อง 126 โก่วหยุนลืมตาขึ้นอย่างเงียบ ๆ
“อุ๊บ…โอ้กอ้าก …” เสียงอาเจียนดังแหวกความเงียบงันภายในห้อง เขาย่นคิ้วเข้าหากันและหลับตาลงอย่างไม่พอใจนัก แต่สิ่งที่แปลกที่สุดก็คือเสียงนั้นไม่มีท่าทีว่าจะหยุดลงเลยสักนิด จนสุดท้าย เขาก็ลืมตาขึ้นอีกครั้งและตะโกนออกไป “เหล่าเซี่ย?”
ห้องนี้เป็นห้องพักสำหรับสองคน
พอโก่วหยุนไม่ได้รับคำตอบรับใด ๆ จากเพื่อนร่วมห้อง เขาก็หันไปมองเตียงที่อยู่ตรงข้ามของตนและพบว่าผ้าห่มถูกโยนทิ้งไปอีกทางเตียงก็ว่างเปล่า เสียงอาเจียนยังคงดังมาจากห้องน้ำที่อยู่ในห้อง
“เหล่าเซี่ย?” เขาเรียกออกไปอีกครั้ง และครั้งนี้เขาก็ได้ยินมันอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น เสียงดังกล่าวนั้นดังมาจากในห้องน้ำ เสียงอาเจียนหยุดลงครู่หนึ่งก่อนจะดังขึ้นอีกครั้ง และทวีความรุนแรงขึ้นกว่าเดิม
“เหล่าเซี่ย…พี่เป็นอะไรหรือเปล่า?” เขารีบลุกขึ้น โดยปกติแล้วเขามีความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างดีกับเหล่าเซี่ย แต่ตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว อีกฝ่ายก็กลับเงียบลงอย่างแปลกตาเขาพูดด้วยอีกฝ่ายก็ไม่ตอบ ถึงอย่างนั้นโก่วหยุนก็ยังอยากจะรักษาความสัมพันธ์อันดีนี้ไว้ เพราะพวกเขายังต้องอยู่ด้วยกันไปอีกสองปี
เมื่อยังคงไม่ได้รับคำตอบ โก่วหยุนก็รีบลงจากเตียงและเดินไปที่ห้องน้ำทั้งที่ยังอยู่ในชุดนอนทันที
เขารีบใช้นิ้วหัวแม่มือกดเปิดไฟทันทีที่เดินไปถึงหน้าประตู แต่ไม่ว่าเขาจะทำยังไงไฟก็ไม่มีทีท่าว่าจะเปิดติดเลยแม้แต่น้อย เขาสบถออกมาเบา ๆ ก่อนจะรีบผลักประตูเข้าไปทันที
“อึก….” ทันทีที่เขาเปิดประตูเข้าไป กลิ่นฉุนจัดก็โชยเข้ามาในจมูก จากนั้นเขาก็ต้องตกตะลึงกับภาพที่เห็น
เหล่าเซี่ยที่เปลือยท่อนบนกำลังเอนตัวพิงกับอ่างล้างหน้า ร่างของอีกฝ่ายสั่นเทาและอาเจียนออกมาไม่หยุด จากจุดที่เขายืนอยู่ โก่วหยุนมองเห็นเพียงผมเผ้าที่ยุ่งเหยิงของอีกฝ่ายเท่านั้น เขาพยายามคลำมือในความมืดกดเปิดสวิตซ์ไฟอีกครั้ง แต่มันก็ยังไม่ติด และเป็นตอนนั้นเองที่เขาเพิ่งนึกได้ว่า มันเป็นส่วนหนึ่งของกฎข้อบังคับของทางสำนักที่จะตัดไฟตั้งแต่ตอนเที่ยงคืนถึง 06.30 น. และตอนนี้ก็ยังเหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วโมง
“มันเลวร้าย…เลวร้าย…มาก….โอ้ก…” เหล่าเซี่ยพึมพำกับตัวเองอย่างเหม่อลอย และดูเหมือนเขาจะยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าโก่วหยุนได้เข้ามาในห้องน้ำกับเขาแล้ว โก่วหยุนกำลังจะเอ่ยอะไรบางอย่าง แต่แล้วจู่ ๆ ร่างของเขาก็สั่นอย่างรุนแรง
วิ่ง… หนี! หนีออกไปจากที่นี่!
เสียงภายในใจกรีดร้องอย่างไม่สามารถอธิบายได้ จากนั้นเขาก็รู้สึก…เย็นยะเยือก
ภายในห้องน้ำนั้นหนาวมาก แม้ว่ามันจะสมเหตุสมผลที่ค่ำคืนในเดือนมีนาคมจะค่อนข้างหนาวเย็น แต่ห้องน้ำนี้กลับเย็นราวกับตู้แช่แข็ง หากพูดกันตามจริง มันเย็นจนเขาแทบจะสัมผัสถึงไอร้อนที่แผ่ออกมาจากร่างของเหล่าเซี่ยไม่ได้ด้วยซ้ำ มันเหมือนกับว่า…คนที่ยืนอยู่หน้ากระจกคือศพที่ยังมีชีวิต
เขาพยายามข่มความกลัวในจิตใจ กลืนน้ำลายลงคอและมองไปรอบ ๆ อย่างหวาดระแวง
มันมืดสนิท
แหล่งกำเนิดแสงเพียงแห่งเดียวคือแสงจันทร์ที่ส่องผ่านหน้าต่างที่ถูกเปิดไว้เพื่อระบายอากาศ และช่างบังเอิญที่มันส่องไปที่แผ่นหลังของเหล่าเซี่ยอย่างพอดิบพอดี เผยให้เห็น….รอยแผลเป็นและบาดแผลจำนวนมากบนร่างกาย!
มันมีทั้งรอยฟกช้ำที่เกิดจากการต่อสู้อย่างรุนแรง และยังมีรอยผิวหนังฉีกขาดและรอยฟันที่เกิดจากอาวุธที่แหลมคมอีกด้วย เขาเอื้อมมือที่สั่นเทาของตัวเองออกไปสัมผัสกับแผ่นหลังของเหล่าเซี่ย ทว่าทันทีที่เขาสัมผัสกับแผ่นหลังของอีกฝ่าย แขนของเขาก็ถูกคว้าเอาไว้!
“อ๊ากกกกก!” เขากรีดร้องออกมาอย่างหวาดกลัว
มันคือมือของเหล่าเซี่ย
มือนั้นมันทั้งเปียกชื้นและลื่นเป็นเมือก ไร้ซึ่งความอบอุ่น จากนั้นคนตรงหน้าก็หยุดอาเจียนและค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมามองกระจก
กึก กึก กึก…มันเป็นตอนนั้นเองที่โก่วหยุนสามารถมองเห็นใบหน้าของเพื่อนร่วมห้องของตนอย่างชัดเจนภายใต้แสงจันทร์ และฟันของเขาก็กระทบกันอย่างไม่สามารถควบคุมได้ กึก กึก กึก…
ครึ่งบนของใบหน้ายังคงเป็นใบหน้าของเหล่าเซี่ย
แต่…ครึ่งล่างกลับหายไป!
มันเหมือนกับมีบางอย่างได้ตัดใบหน้าครึ่งล่างของเขาตั้งแต่ช่วงจมูกลงไปออก เหลือกรามบนที่ยื่นออกมาจากใบหน้าของเขาอย่างน่าสยดสยอง โดยไร้ซึ่งกรามล่าง!
เลือดยังคงกระเซ็นออกมาจากปากที่ขาดวิ่นของเขา ไหลลงตามลำคอและเปื้อนไปทั่วร่าง!
“ช่วย –….” ใบมีดแหลมคมกรีดลงบนลำคอของเขาก่อนที่จะได้ส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือ สิ่งเดียวที่เหลืออยู่คือความตกตะลึงระคนหวาดกลัวในแววตาขณะที่ร่างของเขาล้มลงกับพื้น
เลือดสาดกระเซ็นไปทั่ว
เหล่าเซี่ยมองดูร่างตรงหน้าอยู่ประมาณสองวินาที จากนั้นจึงพุ่งเข้าไปหาร่างที่ยังคงกระตุกขณะที่กัดเข้าไปที่คอและเริ่มดูดเลือดอีกฝ่ายอย่างบ้าคลั่ง
ทุกอย่างตกสู่ความเงียบอีกครั้ง
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เหล่าเซี่ยก็ลุกขึ้นยืนอีกครั้งและมองออกนอกไปหน้าต่างด้วยสายตาชั่วร้าย เขาเอ่ยออกมาด้วยความยากลำบาก “…ไม่มีทางอื่นแล้ว…”
“ร่างกายนี้ไม่สามารถทนได้อีกต่อไป…สมแล้วที่เป็นยมทูตของอะนูบิส การที่พวกมันสามารถทำให้ข้าบาดเจ็บได้ถึงขนาดนี้….”
เขายกมือขึ้นและเริ่มวาดสัญลักษณ์ที่ซับซ้อนลงบนกระจก จากนั้นก็พ่นเลือดทับลงไปบนสิ่งที่ตนเพิ่งวาด หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เลือดดังกล่าวก็ค่อย ๆ หายไป ราวกับว่ามันถูกดูดเข้าไปในกระจก และระลอกคลื่นก็ปรากฏขึ้นบนพื้นผิวของกระจก
ครืดดดดด!!! เสียงแปลกประหลาดดังขึ้นก่อนที่ทั้งห้องก็ดูเหมือนจะถูกตัดขาดจากส่วนอื่น ๆ แดนมนุษย์ กลุ่มก้อนพลังหยินสีดำสนิทหลั่งไหลออกมาจากกระจกราวกับกระแสน้ำวนขนาดใหญ่ ในขณะที่แสงสีแดงเข้มค่อย ๆ ปรากฏขึ้นที่จุดกึ่งกลางของบานกระจก จากนั้นเสียงแหบพร่าก็ดังขึ้น “สกอร์เปี้ยนหมายเลขสี่แห่งจักรราศี…หวังว่าเจ้าคงจะไม่ได้เรียกข้ามาเพื่อฟังเรื่องไร้สาระของเจ้านะ”
“เจ้าเหนือหัวของข้า….” เหล่าเซี่ยคุกเข่าลง “เกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้น สกอร์เปี้ยนหมายเลขสี่ผู้นี้จึงอยากขอเรียกกำลังเสริม…”
เสียงพลิกหน้ากระดาษดังขึ้นจากอีกด้านหนึ่งของกระแสน้ำวน ครู่ต่อมา เสียงนั้นก็ดังขึ้นอีกครั้ง “วิญญาณของนายกู่นั้นมีความสำคัญระดับ A+ พวกเราได้ส่งยมทูตไปทั้งหมด 22 ตน และ 20 ตนก็ถูกสกัดและกำจัดเอาไว้ที่ทางทิศตะวันตกของจีน…ด้วยเหตุนี้ มันจึงมีเพียงเจ้าและ สกอร์เปี้ยนหมายเลขห้าแห่งจักรราศีเท่านั้นที่สามารถเดินทางไปจนถึงจุดหมายอย่างนั้นหรือ?”
“เป็นเช่นนั้นนายท่าน…” เหล่าเซี่ยหมอบคำนับ “จุดที่มีอาณาเขตเวทสำหรับการเคลื่อนย้ายได้ถูกทำลายไปแล้ว และตัวเชื่อมต่อก็ได้รับความเสียหาย พวกเรา…คงไม่สามารถถอยกลับได้อย่างปลอดภัย นี่คือเหตุผลที่ทำให้ข้าไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเปิดใช้ช่องทางการสื่อสารพิเศษนี้…โลงศพของนายกู่จะมาถึงในอีกหนึ่งชั่วโมง ขณะนี้ มีกองกำลังที่ระบุตัวได้อยู่ห้าฝ่าย โดยที่หนึ่งในนั้นน่าจะเป็นกองกำลังที่เหลืออยู่ของยมโลกของจีน…”
“กองกำลังที่เหลืออยู่ของจีน?” เสียงนั้นแค่นหัวเราะ “หากนี่เป็นเมื่อ 200 ปีก่อนข้าคงจะรีบถอยทัพทันที…ไม่ว่าจะเป็นพระยมทั้งสิบหรือราชันย์วิญญาณทั้งหก…คนพวกนั้นล้วนเป็นกองกำลังที่น่าหวาดกลัวยิ่ง เจ้าอาจคิดไม่ถึงแต่พวกเขาสามารถทำลายโลกใต้พิภพของเราได้ด้วยมือเดียวด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้น่ะหรือ….”
เขาแค่นหัวเราะออกมาอย่างดูถูก “ยมโลกของพวกมันอาจไม่มีอยู่แล้วด้วยซ้ำ…เมื่อร้อยปีก่อน ยมโลกได้เกิดการผันผวนของพลังหยินที่ทำให้สั่นสะเทือนไปทั่วทั้งทวีป และตั้งแต่วันนั้นความเข้มข้นของพลังหยินบริเวณนั้นก็เบาบางลงเรื่อย ๆ…ซึ่งนั่นนับว่าเป็นเรื่องดี และครั้งนี้ เราจะแสดงให้พวกมันได้รู้ซึ้ง”
“ยุคสมัยได้เปลี่ยนไปแล้ว”
“ตอนนี้มันถึงเวลาของเราแล้ว!”
ฟึ่บ…แสงสีทองเปล่งออกมาจากกระจก ราวกับว่ามันได้เดินทางผ่านช่องว่างระหว่างเวลาและปรากฏขึ้นตรงหน้าของสกอร์เปี้ยนหมายเลขสี่
“นี่มัน…” เสียงของสกอร์เปี้ยนหมายเลขสี่สั่นเครือ “วัตถุหยินของจริง…”
“รับไป” เสียงดังกล่าวค่อย ๆ เบาลงขณะที่พลังหยินสีดำสนิทเริ่มถูกดูดกลับเข้าไปในกระจกและหายไปในที่สุด “หากครั้งนี้เจ้ายังทำพลาดอีก เจ้า…ก็จงตายเสีย”