ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 201: สินค้าประมูลหลัก
บทที่ 201: สินค้าประมูลหลัก
ตอนนี้เป็นเวลา 19.30 น.
ในเมืองเยียนจิงที่อยู่ห่างไกลออกไป ในบ้านสวนหลังหนึ่งยังคงเปิดไฟอย่างสว่างไสว สถานที่แห่งนี้สามารถเรียกได้ว่าเป็นศูนย์กลางทางการเมืองและวัฒนธรรมที่ผู้เชี่ยวชาญจำนวนนับไม่ถ้วนได้ทิ้งร่องรอยของตัวเองเอาไว้ และในใจกลางของสถานที่แห่งนี้ ชายหนุ่มคนหนึ่งที่มีแว่นขยายอยู่ในมือนั่งอยู่ที่หน้าจอ มึนงงกับวิดีโอที่ตนเพิ่งได้รับ แววตาของเขาลุกโชนไปด้วยเปลวไฟแห่งความหลงใหล
“นี่มัน…ถ้วยหัวอสูรทองคำ?” เขากะพริบตาอย่างเหลือเชื่อและปรับระดับแว่นตาของตนเอง หัวใจของเขาเริ่มเต้นเร็วขึ้นด้วยความตื่นเต้น ถ้วยชุบทองหัวอสูร
เขากดไปที่วิดีโอและดูมันอย่างละเอียดอีกที หลังจากตรวจสอบอย่างละเอียดซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่ประมาณสิบนาทีเขาก็ถอนหายใจออกมาและรีบพิมพ์ตอบกลับไปในกล่องข้อความ “ถ้วยชุบทองหัวอสูร…ไม่ค่อยเหมือนกับถ้วยอาเกตชุบทองหัวอสูร ถ้วยอาเกตเป็นสมบัติระดับชาติ และมีสมบัติไม่กี่ชิ้นเท่านั้นที่สามารถพูดได้ว่าอยู่ในระดับเดียวกัน อย่างไรก็ตาม ถ้วยชุบทองหัวอสูรถ้วยนี้ก็ยังเป็นสิ่งที่นำจากมาจากแม่ทัพบางท่าน และมันก็ค่อนข้างยากที่จะระบุมูลค่าที่แน่นอนของมัน”
ฉินเย่รีบตอบไปทันที “คุณคิดว่ามันน่าจะประมาณเท่าไหร่?”
ชายหนุ่มครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพิมพ์ตอบกลับไปว่า “วิดีโอที่คุณส่งมาก่อนหน้านี้ไม่ได้แสดงให้เห็นถึงส่วนด้านในของถ้วย แต่ผมก็สามารถบอกได้เลยว่าสภาพภายนอกของมันถูกเก็บรักษามาอย่างดี หากมันไม่มีร่องรอยอะไรด้านใน มันก็น่าจะสามารถเรียกเงินได้อย่างน้อย 30 ล้าน”
สูงขนาดนั้นเลย?
ใจเย็น ๆ…ฉินเย่สูดหายใจเข้าช้า ๆ “ถ้าอย่างนั้น รบกวนช่วยดูชิ้นอื่น ๆ ให้ผมที”
“รอสักครู่นะครับ”
………………………..
กลับไปที่เมืองเยียนจิง หัวหน้าไป๋กำลังตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เขารู้ความคิดของผู้ขายเป็นอย่างดี ของชิ้นแรกที่ส่งมานั้นมักจะเป็นเหมือนอาหารเรียกน้ำย่อย ก่อนที่ชิ้นอื่น ๆ จะตามมา ดังนั้นเขาจึงรีบเลื่อนหน้าจอลงอย่างรวดเร็ว และสายตาของเขาก็สะดุดเข้ากับวิดีโอสุดท้าย
“นี่มัน…เครื่องปั้นดินเผาสมัยราชวงศ์ถังอย่างนั้นหรือ?!” เสียงที่เอ่ยออกมาของเขาสูงขึ้นในทันที ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนและสูดลมหายใจเข้าช้า ๆ ขณะที่เดินไปรอบห้องก่อนที่จะสงบใจได้ในที่สุด จากนั้นจึงกลับมาดูที่หน้าจออีกครั้ง
“ช่างเป็นชุดเครื่องปั้นดินเผาที่สมบูรณ์ ไร้ที่ติ…และยังเป็นชุดมังกรกับพญาหงส์ด้วย!” เปลือกตาของเขากระตุกเบา ๆ ขณะที่มองภาพตรงหน้าอย่างตื่นเต้น หลังจากผ่านไปกว่าสิบวินาที เขาก็หลับตาลงและพิจารณาถึงสิ่งที่ตนเพิ่งได้เห็น จากนั้นประมาณห้าวินาทีต่อมา เขาก็ลืมตาขึ้นอีกครั้ง กลืนน้ำลายอย่างเป็นกังวล และดูวิดีโออื่น ๆ
หลังจากผ่านไปสองนาที ในที่สุดเขาก็ดูวิดีโออื่น ๆ จนจบ และสิ่งเดียวที่อยู่ภายในหัวของเขาตอนนี้ก็คือ ปลาตัวใหญ่แบบนี้มาจากที่ไหนกัน?!
สมบัติแต่ละชิ้นพวกนี้ล้วนมีมูลค่าหลายสิบล้าน เด็กหนุ่มคนนี้มีของทั้งหมดอยู่กับตัวได้อย่างไร?
“ผมประเมินครjาว ๆ ว่าสมบัติทั้งสี่ชิ้นน่าจะมีมูลค่าประมาณ 120 ล้านหยวน” เขาข่มความรู้สึกที่กำลังเอ่อล้นภายในใจของตัวเอง และอธิบายต่อ “ชิ้นที่มีราคาสูงที่สุดคือเครื่องปั้นดินเผารูปมังกรและพญาหงส์สมัยราชวงศ์ถัง มันเป็นสมบัติที่หาได้ยากมาก แต่ผมมั่นใจว่ามันจะถูกขายในราคาไม่ต่ำกว่า 40 ล้านหยวนได้แน่ เพราะสุดท้ายแล้วมันก็ยังเป็นสมบัติที่ถูกฝังไปพร้อมกับศพ ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องยากที่มันจะมีมูลค่าสูงเกิน 50 ล้านหยวน”
“ต่อไปคือตราประทับลายพญาหงส์ที่ทำจากหยกสีเลือด มันถูกแกะสลักอย่างประณีตและถูกเก็บรักษาไว้อย่างดี ผมคาดว่าราคาของมันน่าจะสูงกว่า 30 ล้านหยวน แต่ปัจจัยโดยรอบก็ทำให้ราคาของมันผันผวนเป็นอย่างมาก ปัจจัยแรกที่ต้องทราบก็คือผู้เข้าร่วมประมูลเป็นใคร”
ฉินเย่ “ผมสามารถเข้าใจได้ว่าราชวงศ์และเจ้าของดั้งเดิมของสมบัติชิ้นนี้เป็นหนึ่งในตัวแปร แต่มันเกี่ยวกับผู้เข้าร่วมงานประมูลด้วยหรือ?”
หัวหน้าไป๋รีบตอบกลับทันที “ลูกค้าส่วนมากของเราเป็นผู้ชายครับ และตราประทับพญาหงส์ก็มักจะถูกเก็บเป็นส่วนหนึ่งในสะสมส่วนตัวหรือของที่ระลึก เขาจะไม่นำมันมาใช้บ่อยนัก แต่…มันก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเราไม่มีลูกค้าที่เป็นผู้ประกอบการผู้หญิงเลยนะครับ และลูกค้าผู้หญิงก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าลูกค้าผู้ชายเลย หากคุณมีโชคพอที่จะพบพวกเธอ…มันก็มีความเป็นไปได้ที่ตราประทับชิ้นนี้จะกลายเป็นที่นิยม และบางทีอาจจะได้ราคาที่สูงกว่าเครื่องปั้นดินเผาสมัยราชวงศ์ถังเสียอีก!”
ดวงตาของฉินเย่เป็นประกายขึ้น แต่ก่อนที่เขาจะได้ตอบออกไป หัวหน้าไป๋ก็ยืนยันให้เขามั่นใจอีกครั้ง “ไม่ต้องกังวลนะครับ หากคุณไว้วางใจที่จะมอบสินค้าให้กับทางเรา เราจะติดต่อกับกลุ่มลูกค้าที่คุณคาดหวังในนามของคุณให้อย่างแน่นอน งานประมูลใหญ่ไม่เคยมีสินค้าชิ้นไหนที่ขายไม่ได้มาก่อน”
“ต่อไปเรามาพูดถึงหยกจักรพรรดิกันครับ คุณภาพของมันค่อนข้างดี และผมก็คาดว่ามันน่าจะมีมูลค่าประมาณ 20 ล้าน มันเป็นชิ้นที่มีมูลค่าน้อยที่ถูกในสมบัติทั้งสี่ชิ้น คุณฉินครับ….”
หัวหน้าไป๋ถอนหายใจออกมาจากอีกด้านหนึ่งของหน้าจอ “คุณยินดีจะมอบความไว้วางใจและมอบสมบัติทั้งสี่ชิ้นให้กับทางโรงประมูลเจียเต๋อของเราไหมครับ? สิ่งที่ผมบอกไปก่อนหน้านี้เป็นเพียงตัวเลขคร่าว ๆ เท่านั้น ทางเราจะผลักดันให้ผู้ประมูลระดับสูงของเราประมูลสินค้าพวกนี้แน่นอนครับ ผมรับรองเลยว่าตัวเลขประมูลสุดท้ายจะต้องสูงกว่าที่เราคาดการณ์กันไว้อย่างแน่นอน ไม่ต่ำไปกว่านี้!”
ฉินเย่สูดหายใจเข้าช้า ๆ และตอบ “ตอนนี้ผมต้องการเงินก้อนหนึ่งอย่างเร่งด่วน นั่นคือเหตุผลว่าทำไมผมถึงต้องการขายสมบัติพวกนี้ แต่หากตัวเลขสุดท้ายมันน้อยกว่า 120 ล้านล่ะ?”
“เช่นนั้นทางเราก็จะจ่ายส่วนต่างที่เหลือให้กับคุณด้วยเงินของเราเองครับ!”
เมื่อเห็นคำตอบ ฉินเย่ก็เข้าใจขอบเขตความมั่นใจของฝ่ายตรงข้ามในที่สุด ราคาที่อีกฝ่ายบอกว่าน่าจะเป็นเพียงราคาโดยประมาณเท่านั้น ในขณะที่ราคาที่แท้จริงของสินค้าอาจจะอยู่ที่ประมาณ 130 ล้านหยวน
“โอเค” เขาตอบตกลงไปในที่สุด
………………………………..
กลับไปที่เมืองเยียนจิง หัวหน้าไป๋ถอนหายใจออกมาพร้อมกับรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า
“ถ้าเช่นนั้น…ทางเราจะส่งผู้ประเมินระดับสองจากเมืองเยียนจิงไปที่นั่นภายในสามวันครับ การประเมินสมบัติทั้งหมดจะใช้เวลาหนึ่งสัปดาห์ หากทุกอย่างเป็นไปอย่างเรียบร้อย เราขอจัดเตรียมสมบัติของคุณไว้สำหรับการประมูลใหญ่ในฤดูใบไม้ร่วงดีไหมครับ?”
ฤดูใบไม้ร่วง?
“สิ่งที่เขาหมายถึงก็คือสมบัติของเจ้ายังไม่เพียงพอที่จะเป็นสินค้าหลักในงานประมูลใหญ่ ไม่เช่นนั้นเขาก็คงจะจัดมันอยู่ในกลุ่มสมบัติที่จะถูกประมูลในการประมูลใหญ่ที่จะมาถึงทันที” อาร์ทิสเอ่ยขึ้นอย่างกะทันหัน
ฉินเย่ตกตะลึง “สมบัติที่มูลค่ามากกว่า 40 ล้านหยวนยังไม่เพียงพอที่จะเป็นสินค้าหลักในงานประมูลอีกหรือ? ข้ารู้ดีว่ามันยังมีรายการสินค้าอื่น ๆ บนหน้าเว็บไซต์ที่ถูกขายไปในราคามากกว่า 100 ล้าน แต่นั่นคืองานประมูลแรก ๆ ในช่วงต้นปี โรงประมูลทุกแห่งย่อมต้องจัดแสดงอะไรเช่นนั้นเป็นธรรมดา ในขณะที่ยอดขายในฤดูร้อนและฤดูใบไม้ร่วงจะต่ำกว่านั้นมาก ข้าคิดที่จะเข้าร่วมในงานประมูลใหญ่ของฤดูร้อน…แต่เครื่องปั้นดินเผาสมัยราชวงศ์ถังกลับไม่เพียงพอที่จะ……”
ทันใดนั้นเขาก็หยุดพูดไปกะทันหันและขมวดคิ้วยุ่งทันที
เดี๋ยวก่อนนะ…หากนี่เป็นสมบัติชิ้นหลัก ทำไมพวกเขาถึงส่งมาแค่ผู้ประเมินระดับสองมากัน? ผู้ประเมินระดับหนึ่งหายไปไหน?
“ผมอยากจะเข้าร่วมในงานประมูลใหญ่ของฤดูร้อน อย่างที่ผมบอกก่อนหน้านี้ ผมค่อนข้างต้องการเงินอย่างเร่งด่วน” ฉินเย่ไม่ได้บอกอีกฝ่ายไปว่าตอนนี้เขาอยู่ในเมืองเป่าอัน
แต่ทันทีที่เขากดส่งข้อความ อีกฝ่ายกลับเงียบไป
และมันก็ใช้เวลากว่าสิบวินาทีก่อนที่ชายหนุ่มจะตอบกลับมา “คุณฉินครับ สำหรับงานประมูลในฤดูร้อน…ด้วยสมบัติที่คุณมีอยู่ในมือตอนนี้ ผมไม่แนะนำให้คุณเข้าร่วมครับ”
และโดยไม่ขาดตอน เขารีบอธิบายต่อ “เนื่องจากมันจะมีสมบัติระดับชาติเข้าร่วมประมูลในงานประมูลฤดูร้อนนี้ด้วย และมันก็เป็นเพราะเหตุผลนี้เช่นกันที่ทำให้เราต้องย้ายการประมูลไปจัดนอกอาณาเขตน่านน้ำของจีน”
“โดยปกติแล้วโรงประมูลเจียเต๋อของเรามักจะจัดการประมูลใหญ่ขึ้นในจีน มีเพียงตอนที่มีสมบัติระดับชาติปรากฏขึ้นเท่านั้นที่เราจะจัดงานประมูลขึ้นที่ทะเลหลวง ในอดีต เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นเพียง 5-6 ครั้งเท่านั้น และข่าวนี้ก็เริ่มแพร่กระจายออกไปแล้ว ลูกค้า VIP ระดับสูงของเราต่างรู้แล้วว่าสมบัติชิ้นนี้คืออะไร และพวกเขาก็ได้เริ่มเตรียมเงินสำหรับการประมูลไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ด้วยความปรารถนาดีอย่างสุดซึ้ง สมบัติของคุณมีค่ามาก…แต่สมบัติที่จะถูกประมูลในฤดูร้อนนี้มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์เป็นอย่างมาก มันแตกต่างจากสินค้าชั้นหนึ่งทั่วไปอย่างสิ้นเชิง หากสมบัติของคุณถูกนำมาประมูลในงานเดียวกันกับสมบัติชิ้นนี้…สมบัติของคุณอาจจะถูกลดราคาลง”
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือส่วนใหญ่ของผู้ที่เข้าร่วมประมูลในครั้งนี้ล้วนมาเพื่อสมบัติระดับชาติชิ้นนั้น และสมบัติชิ้นอื่น ๆ อาจเป็นเพียงของประมูลเล่น ๆ เท่านั้น
หัวหน้าไป๋พิมพ์ต่อ “หากคุณสามารถรอถึงงานประมูลใหญ่ในฤดูใบไม้ร่วงได้ ผมรับรองเลยว่ามันจะได้เป็นสินค้าหลักของงานประมูลในครั้งนั้น และสินค้าหลักก็มักจะได้ราคาที่สูงกว่าราคาประเมินถึง 15%”
ฉินเย่กัดฟันกรอด 15%! นั่นเป็นเงินหลายล้านมาก! แต่…เขาก็รอนานกว่านี้ไม่ได้เช่นกัน!
“ไม่เป็นไร…ผมจะประมูลมันในฤดูร้อนนี้เลย อย่างที่ผมเคยบอก ผมต้องการเงินอย่างเร่งด่วน” เขาเกือบจะร้องไห้ออกมาขณะที่พิมพ์คำพวกนี้ลงไป มือของเขาสั่นเทาขึ้นเรื่อย ๆ
นี่เรากำลังพูดถึงเงินหลายล้านเลยนะ…มันสามารถซื้อสกินได้ตั้งกี่สกินกัน…
ณ อีกด้านหนึ่งของหน้าจอ หัวหน้าไป๋ถอนหายใจออกมายาวเหยียด เขาไม่ต้องการให้สมบัติพวกนี้ชนเข้ากับสินค้าหลักของการประมูลใหญ่ในฤดูร้อนนี้เลยสักนิดหากเป็นไปได้! เพราะเขารู้ดีว่าสมบัติที่จะถูกประมูลในฤดูร้อนนี้ คือหนึ่งในสมบัติที่ล้ำค่ามากที่สุดที่เคยถูกนำมาประมูลโดยโรงประมูลเจียเต๋อ! หากพูดกันตามจริง มันไม่มีโรงประมูลไหนที่มีสมบัติที่สามารถเทียบเคียงกับสมบัติชิ้นนี้ได้เลยด้วยซ้ำ!
“เอาแบบนี้ดีไหมครับ” หลังจากผ่านไปพักใหญ่ หัวหน้าไป๋ก็พิมพ์ไปหาอีกฝ่ายอีกครั้ง “ทางเรา…จะมอบเงินให้คุณล่วงหน้า 60 ล้าน…เพื่อเลื่อนให้สมบัติของคุณไปประมูลในงานประมูลใหญ่ในฤดูใบไม้ร่วง?”
ฉินเย่ที่เห็นเช่นนั้นก็เริ่มครุ่นคิดอย่างหนัก
หากเขาสามารถเปิดเส้นทางการค้าทองคำจากยมโลกได้ในฤดูร้อน มันก็ต้องใช้เวลากว่าหนึ่งเดือนสำหรับหุ้นส่วนของเขาในการรวบรวมเงิน และอีกเดือนหนึ่งสำหรับเขาในการขนส่งไม้ฮวงหัวลี่ให้กับอีกฝ่าย ซึ่งมันก็คงใช้เวลายืดเยื้อไปจนเกือบถึงฤดูใบไม้ร่วง
แต่ทั้งหมดนี่ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถ ในการเจรจาเงื่อนไขทางการค้าในฤดูร้อนนี้ และในกรณีที่ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี เงินพันล้านที่เขาจะได้รับจากการขายไม้ฮวงหัวลี่ก็น่าจะมาถึงบัญชีของเขาในช่วงปลายของฤดูใบไม้ร่วง
แต่ปัญหาหลักของเรื่องในตอนนี้ก็คือ…มันไม่มีทางให้เขาเจรจาอะไรได้เลย
เขาไม่สามารถออกไปข้างนอกได้จนกว่าจะถึงฤดูใบไม้ร่วง…
“โอเค…” ฉินเย่ลืมตาขึ้นอีกครั้งและถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน “นี่จะเป็นการซื้อเวลา เพื่อเตรียมการให้เราเช่นกัน บางทีเราอาจจะสามารถนำไม้ฮวงหัวลี่ทั้งหมดไปด้วยเมื่อออกไปข้างนอก เจรจา จ่ายเงิน และส่งสินค้าทั้งหมดในคราวเดียว…”
เขากำลังมองหาข้อแก้ตัว แต่น่าเสียดาย เขาไม่สามารถปัดความขุ่นเคืองภายในใจของตัวเองออกไปได้
ตอนนี้เขามองเห็นเส้นทางการค้าทองคำปรากฏขึ้นตรงหน้าของตัวเองแล้ว แต่เขากลับถูกสถานการณ์จำกัดไว้การเคลื่อนไหวอยู่ครั้งแล้วครั้งเล่า ในทุก ๆ วัน ยมโลกยิ่งไม่มั่นคงมากขึ้นเรื่อย ๆ ข้อเท็จจริงที่ว่ายมโลกยังคงรกร้าง คือภาพบีบหัวใจของเขามากที่สุด
ฉินเย่มีข้อเสียหลายอย่าง แต่ข้อดีอย่างหนึ่งของเขาก็คือเขาเป็นคนรักษาสัญญา
มากเสียจนเขาคงรู้สึกไม่ต่างอะไรกับตายทั้งเป็น หากเขาไม่สามารถรักษาคำพูดของตัวเองได้
“คุณฉินครับ?” ความเงียบในครั้งนี้ยาวนานกว่าครั้งก่อน ๆ และหัวหน้าไป๋ก็อดไม่ได้ที่จะถามอย่างไม่สบายใจ “คุณคิดว่าอย่างไรครับ?”
ฉินเย่รวบรวมสติของตัวเองและขมวดคิ้ว สมบัติอะไรกันที่มีค่ามากกว่าเครื่องปั้นดินเผารูปมังกรและพญาหงส์จากสมัยราชวงศ์ถัง?
“ผมเองก็เป็นลูกค้า VIP ระดับสูงเช่นกัน ดังนั้นผมก็มีสิทธิ์ที่จะรู้ว่าของประมูลหลักในงานประมูลใหญ่ฤดูร้อนนี้คืออะไรถูกไหมครับ?” เขาพิมพ์ตอบไป
“ครับ” หัวหน้าไป๋เงียบไปครู่หนึ่ง “คุณฉินครับ สมบัติชิ้นนี้มีค่าอย่างไม่สามารถหาที่เปรียบได้ และมันก็มีผู้ประกอบการหลายท่าน รวมถึงลูกค้า VIP ระดับสูงที่เป็นชาวต่างชาติเองก็มาลงทะเบียนความสนใจแล้วเช่นกัน แม้แต่ทางรัฐบาลเองก็พอจะทราบเกี่ยวกับเรื่องนี้ หากพูดกันตามจริง ทางรัฐบาลรับรู้ถึงการย้ายสถานที่จัดประมูลไปที่ทะเลหลวงเป็นอย่างดีครับ”
ฉินเย่สามารถบอกได้เลยว่านี่เป็นการเตือนเขากราย ๆ หัวหน้าไป๋ยอมเปิดเผยรายละเอียดเล็กน้อยเกี่ยวกับผู้มีอำนาจที่อยู่เบื้องหลังองค์กรของเขาออกมา เพื่อที่จะบอกเขาว่าต่อให้อีกฝ่ายบอกเขามาว่าสมบัติชิ้นนั้นคืออะไร เขาก็ห้ามเอาไปพูดต่อทั้งนั้น
“ครับ”
หลังจากได้รับการยืนยันจากฉินเย่ หัวหน้าไป๋ก็ส่งรูปมาให้เขา นอกจากนี้มันยังเป็นข้อความชนิดที่ว่าจะทำลายตัวเองหลังจากที่ถูกผู้รับเปิดดูเพียงครั้งเดียวแล้วอีกด้วย
ฉินเย่เปิดดู
มันคือกระดาษสีขาวแผ่นหนึ่ง และบนกระดาษขาวแผ่นนั้นมีถ้วยใบเล็กใบหนึ่ง
ตัวถ้วยถูกวางแบบตั้งหงาย ด้านในถ้วยเป็นสีน้ำเงินเข้มและมีจุดสีขาวอยู่เต็มไปหมด ราวกับมันแสดงให้เห็นถึง…ภาพของจักรวาล
ฉินเย่หลงใหลไปกับความงามของมันทันทีที่ได้เห็น มันเป็นความงามที่ไม่อาจบรรยายได้ จุดสีที่ดูเหมือนแอ่งน้ำขนาดเท่าเมล็ดถั่วปรากฏขึ้นนั้นดูราวกับกลุ่มดาวบนท้องฟ้า และนี่ก็เป็นเพียงถ้วยที่แตกหายไปเกือบครึ่งหนึ่งเท่านั้น…แต่มันกลับดูเหมือนมีสิ่งชั่วร้ายที่คอยจะดึงจิตวิญญาณของเขาออกไปจากร่างไม่มีผิด!
“ถ้วยพระเนตรสวรรค์เปลี่ยนสี?! [1]” ทันใดนั้นเองเสียงตะโกนของอาร์ทิสก็ดังขึ้น “ตื่น!”
ภายในหัวของฉินเย่ตื้อไปหมด วินาทีนั้นราวกับมีฟ้าผ่าลงมากลางใจ ร่างของเขาสั่นเทาอย่างรุนแรงและได้สติอีกครั้ง มันเป็นตอนนั้นเองที่เขาพบว่าบริเวณหน้าผากของตัวเองตอนนี้เปียกชุ่มไปด้วยหยาดเหงื่อ ด้วยอาการมึนงง เขาค่อย ๆ ยืนหน้าเข้าไปใกล้หน้าจอมากขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งอยู่ห่างจอจอไม่ถึงหนึ่งนิ้ว
“ไอ้ถ้วยบ้านี่มันคืออะไร?” เด็กหนุ่มปาดเหงื่อบนหน้าผากและถามออกมาอย่างคาดคั้น
อาร์ทิสไม่ตอบออกมาในทันที กลับกัน นางเพียงดันร่างของอีกฝ่ายให้หลบไปก่อนจะจ้องไปที่ถ้วยดังกล่าวเขม็ง
“ถ้วยพระเนตรสวรรค์เปลี่ยนสี…มันมีอยู่จริง ๆ…พวกเขาเจอมัน…นี่มันเหลือเชื่อมาก!”
[1] เย่าเปี้ยนเทียนมู่จ่าน (ถ้วยพระเนตรสวรรค์เปลี่ยนสี) เครื่องเคลือบที่ถูกผลิตขึ้นเพื่อใช้สำหรับการชงชาโดยเฉพาะ