ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 202: ราชาปีศาจแห่งสวรรค์ชั้นที่ 6
บทที่ 202: ราชาปีศาจแห่งสวรรค์ชั้นที่ 6
“ผมขอเวลาคิดครู่หนึ่งแล้วผมจะให้คำตอบคุณภายในครึ่งชั่วโมง” อาร์ทิสพิมพ์ตอบกลับไปในนามของฉินเย่จากนั้น จึงรีบหันกลับมาหาเด็กหนุ่มและเอ่ยว่า “เจ้าต้องหาโอกาสออกไปข้างนอกให้ได้ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม!”
“เกิดบ้าอะไรขึ้น?” ฉินเย่ไม่พอใจอย่างมากกับการแสดงท่าทีหยาบคายของอาร์ทิส และเขาก็มองนางด้วยสายตาที่สื่อว่า ท่านมันโหดร้าย โหดเหี้ยม และไร้เหตุผลที่สุด!
อาร์ทิสใช้เวลาครู่หนึ่งในการจัดระเบียบความคิดของตัวเองก่อนจะอธิบายด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ถ้วยพระเนตรสวรรค์เปลี่ยนสีคือมรดกตกทอดโบราณจากสมัยราชวงศ์ซ่ง มันคือผลงานชิ้นเอกที่มีเพียง 2 ชิ้นในโลก เจ้าเห็นลวดลายของมันแล้วนี่ มันสวยงามจนให้ความรู้สึกเหมือนกับการนอนอยู่บนชายหาดและมองดูท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว ชาวญี่ปุ่นเรียกมันว่าถ้วยแห่งจักรวาล ลายจุดพวกนั้นเกิดมาจากการเปลี่ยนเตาเผาระหว่างกระบวนการเผา แต่หากบอกข้อเท็จจริงนี้ไปมันก็จะกลายเป็นสินค้าที่มีตำหนิ พวกเขาจึงส่งมันไปขายในชื่อของ ‘เย่าเปี้ยน’ แทน”
“ถ้วยชนิดนี้สองใบอยู่ที่ญี่ปุ่น มันไม่เป็นที่แน่ชัดนักว่ามันไปอยู่ที่นั่นได้อย่างไร แต่สิ่งที่เราสามารถแน่ใจได้ก็คือถ้วยใบหนึ่งในสองใบนี้ถูกเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์ศิลปะเซคาโดะบุงโกะ เอโดะ ประเทศญี่ปุ่น ตอนที่มันปรากฏขึ้นครั้งแรกที่ญี่ปุ่น…เจ้ารู้ไหมว่าผู้ที่เป็นเจ้าของคือใคร?”
ฉินเย่ส่ายหน้า
อาร์ทิสสูดหายใจเข้าช้า ๆ และเอ่ยว่า “โอดะ โนบูนางะและโทกูงาวะ อิเอยาซุ”
“ถ้วยทั้งสองใบนี้นับได้ว่าเป็นสมบัติศักดิ์สิทธิ์ของญี่ปุ่น และมันก็อยู่กับเจ้าขอเป็นเวลาสองหรือสามทศวรรษก่อนที่หนึ่งในนั้น…หลายคนเล่าว่ามันถูกทำลายตอนเกิดเหตุกบฏขึ้นที่วัดฮนโนจิ [1] และก็ไม่พบร่องรอยใด ๆ หลงเหลืออยู่อีกเลย”
ฉินเย่พยักหน้าจากนั้นก็ตัวสั่นอย่างรุนแรงขณะที่มองไปที่หน้าจออีกครั้ง “ท่านกำลังจะบอกว่า…นี่คือถ้วยใบเดียวกันกับที่เล่ากันว่าถูกทำลายในเหตุการณ์ครั้งนั้นอย่างนั้นหรือ?”
“ใช่” อาร์ทิสเอ่ยโดยไม่ละสายตาจากหน้าจอ “ถ้วยอีกใบหนึ่งยังคงมีสภาพสมบูรณ์ ข้าเคยเห็นมันมาก่อน…”
ฉินเย่ยกมือเป็นเชิงหยุดอีกฝ่ายก่อนจะถามอย่างสงสัยว่า “ท่านเคยเห็นมันได้อย่างไร?”
อาร์ทิสหัวเราะเสียงเย็นยะเยือก “เพราะว่า…มันเป็นหนึ่งในสิบของวัตถุหยินระดับสูงในตะวันออก ดังนั้นข้าจะไม่เคยเห็นมาก่อนได้อย่างไร?”
“วัตถุหยินระดับสูงทั้ง 10 ชิ้น ล้วนเกิดจากการดูดซับพลังแห่งความคับแค้นและความขุ่นเคืองใจจำนวนมาก แต่ละครั้งที่มันปรากฏตัวจะทำให้เกิดการถือกำเนิดใหม่วิญญาณอาฆาตที่ทรงพลังตนหนึ่ง วัตถุหยินพวกนี้ล้วนเป็นส่วนหนึ่งในหลักสูตรหลักในการศึกษาของผู้ที่อยู่ขั้นตุลาการนรก ตุลาการนรกทุกตนจะได้รับหน้าที่ให้จับตาดูการปรากฏตัวขึ้นของพวกมัน ไม่คิดเลย…จะมีวันที่ข้าได้เห็นการปรากฏของวัตถุหยินชนิดนี้อีก”
ทันใดนั้นความคิดภายในหัวของฉินเย่ก็เริ่มแล่นทันที
ใช่แล้ว…โอดะ โนบูนางะและโทกูงาวะ อิเอยาซุต่างเป็นแม่ทัพชื่อดังในยุคเซ็งโงกุ และของใช้ส่วนตัวของพวกเขาก็ย่อมต้องผ่านการนองเลือดและสงครามมานับครั้งไม่ถ้วน ดังนั้นสิ่งของชิ้นนี้จะต้องดูดซับความคับแค้นใจที่หลงเหลืออยู่ในอากาศ หรือเกาะอยู่บนเสื้อของผู้ที่เป็นเจ้าของมันได้อย่างแน่นอน…เดี๋ยวก่อนนะ!
ริมฝีปากของเขาสั่นระริก “ท่านบอกว่า…การปรากฏตัวของวัตถุหยินพวกนี้จะตามมาด้วยการถือกำเนิดใหม่ของวิญญาณอาฆาต นี่ท่านกำลังจะบอกว่า…”
อาร์ทิสพยักหน้า “ใช่ โอดะ โนบูนางะ ราชาปีศาจแห่งสวรรค์ชั้นที่ 6 [2] เศษเสี้ยววิญญาณของเขายังคงหลงเหลืออยู่ในถ้วยใบนี้ ข้อเท็จจริงที่ว่าเจ้าถูกดึงดูดโดยถ้วยใบนี้คือสัญญาณที่บ่งบอกว่าวิญญาณของเขากำลังจะตื่นขึ้นอีกครั้ง”
เงียบ
ไม่กี่วินาทีต่อมา ฉินเย่ก็หัวเราะแห้ง ๆ “เกี่ยวกับเรื่องนั้น…ข้าคิดว่า…เราควรลืมเรื่องทั้งหมดนี้และเข้าร่วมการประมูลในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ท่านคิดว่าอย่างไร”
“ข้าคิดว่านั่นเป็นตัวเลือกที่แย่มาก” อาร์ทิสแค่นหัวเราะ “เจ้าคิดว่าโอดะโนบูนางะนั้นน่ากลัวขนาดนั้นเลยหรือ? แม้ว่าเขาจะตายพร้อมกับความเคียดแค้นภายในใจ แต่เขาก็อยู่แค่ขั้นตุลาการนรกเท่านั้น ตอนนี้ หลังจากผ่านมาหลายปีมีเพียงแค่เศษเสี้ยววิญญาณของเขาที่เหลืออยู่ในนั้นเท่านั้น อย่างมากที่สุดเขาก็อยู่แค่ขั้นตุลาการนรกเท่านั้น และเขาก็ยังไม่ตื่นขึ้นโดยสมบูรณ์! มีสิ่งใดให้ต้องกลัวกัน?”
เช่นนั้นท่านก็ควรพูดให้มันเร็วกว่านี้สิ!
ฉินเย่ถามต่อด้วยหัวใจที่ไม่สงบนัก “แต่…ไม่ใช่ว่าโนบูนางะแข็งแกร่งมากหรอกหรือ? เขาจะอยู่แค่ขั้นตุลาการนรกได้อย่างไร? นั่นก็เท่ากับว่าเขาไม่ต่างจากท่านเลยน่ะสิ?”
“เจ้าหนู…ดูเหมือนว่าความมั่นใจในตัวเองของเจ้าจะเพิ่มขึ้นตั้งแต่เจ้าเลื่อนเป็นขั้นยมทูตขาวดำสินะ ข้าขอเตือนไว้เลย หากเจ้าทำเช่นนี้อีกครั้ง ข้าจะแสดงศิลปะมวยไทยของข้าให้เจ้าได้เห็น” อาร์ทิสกลอกตา
“โอดะ โนบูนางะเกิดในยุคเซ็งโงกุ หากพูดกันตรง ๆ ก็คือยุคสมัยสงครามระหว่างแคว้น แต่แคว้นที่พวกเขาเรียกกันก็ไม่ต่างกับระดับจังหวัด จังหวัดหนึ่งของจีนหรือเมืองเล็ก ๆ เมืองหนึ่งเท่านั้น อย่างไรก็ตาม มันไม่สำคัญว่าโนบูนางะจะเคยแข็งแกร่งสักเพียงใด สิ่งสำคัญก็คือเจ้าคิดว่าเขาสามารถดูดซับพลังหยินได้มากเท่าไหร่ต่างหาก?”
นั่นทำให้ทุกอย่างง่ายลงเยอะ
ฉินเย่สางผมของตนไปด้านหลังอย่างฉุนเฉียว ก่อนจะเอ่ยกับอาร์ทิสอย่างจริงจังว่า “อาร์ตี้…มันไม่ใช่ว่าข้าอยากจะจู้จี้กับท่านหรอกนะ แต่ครั้งหน้าท่านช่วยบอกเรื่องสำคัญพวกนี้กับข้าตั้งแต่แรกได้หรือไม่? ท่านสนุกมากนักหรือที่เห็นข้าเสียสติต่อหน้าท่านทุกครั้ง?”
“…เจ้ามันเป็นคนขี้ขลาดที่ไร้ยางอายอย่างถึงที่สุดจริง ๆ…” อาร์ทิสเอ่ยก่อนจะมองออกไปไกลสุดสายตา “พอมาคิดถึงเรื่องพวกนี้ ในอดีต หากข้าพบยมทูตเช่นเจ้า ข้าคงจะขับไล่พวกมันไปให้พ้นหน้าพ้นตาทันที…”
“เราอย่ามาพูดถึงเรื่องอดีตกันเลย” ฉินเย่ลุกขึ้นยืนอย่างมาดมั่นและหันไปพูดกับอาร์ทิสพร้อมขมวดคิ้วยุ่ง “แต่นั่นก็ดูเหมือนจะไม่ถูกต้องสักเท่าไหร่…ทำไมข้าต้องเดินทางไปตั้งไกลเพื่อแย่งชิงดวงวิญญาณของคนแก่ด้วย? ข้าเป็นบ้าไปแล้วหรือ? และหากเขาตื่นขึ้นมาจริง ๆ ไม่ใช่ว่าเขาจะเพ่งเล็งไปที่ญี่ปุ่นหรืออย่างไร? บางทีเขาอาจจะไปหาโทกูงาวะ อิเอยาซุและพูดคุยเกี่ยวกับความฝันและอนาคตที่จะมาถึงก็เป็นได้…แล้วทั้งหมดนั่นมันเกี่ยวอะไรกับข้ากัน?”
อาร์ทิสที่ได้ยินเช่นนั้นก็ตะคอกเสียงดัง “พรสวรรค์! เจ้ารู้จักคำว่าพรสวรรค์หรือไม่?!”
“อย่างน้อยที่สุดเขาก็เป็นรัฐบุรุษและชายชาติทหารมากกว่าเจ้า! เจ้ายังต้องสร้างกองกำลังที่แข็งแกร่งในภายภาคหน้าหรืออย่างไร? เข้าเห็นสถานะของยมโลกในตอนนี้บ้างหรือไม่ มันเป็นเพียงคลื่นพายุที่ยังไม่นิ่ง! และแม่ทัพที่มีชื่อเสียงของจีนในอดีตทั้งหมดก็ถูกปัดเป่าไปโดยพระกษิติครรภโพธิสัตว์! หรือเจ้าจะรอพลเรือเอกคนปัจจุบันตายเสียก่อน?”
“ไม่ว่าจะอย่างไร โอดะ โนบูนางะก็แข็งแกร่งกว่ายอนแกโซมุน [3] ด้วยซ้ำ ชาวญี่ปุ่นยังคงให้ความสำคัญกับข้อเท็จจริงนี้ เจ้าลองดูเหล่าแม่ทัพที่มีชื่อเสียงของตะวันออกสิ ส่วนหนึ่งของพวกเขาก็มาจากจีนทั้งนั้น และมีแม่ทัพญี่ปุ่นเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถผ่านมาตรฐานของเราได้! ข้าจะบอกอะไรให้นะ ในสมัยก่อน เมื่อใดก็ตามที่แม่ทัพญี่ปุ่นเสียชีวิต เราจะส่งขนนกทมิฬขั้นตุลาการนรกไปเพื่อแย่งชิงดวงวิญญาณของแม่ทัพพวกนั้นมา และยมโลกของญี่ปุ่นก็ต้องระดมกองกำลังหลายล้านเพื่อต้านการบุกรุกของเราเพื่อรักษาวิญญาณของคนเหล่านั้นเอาไว้ แต่ตอนนี้โอกาสที่เหมาะสมได้ปรากฏขึ้นต่อหน้าของเจ้า ดังนั้นเจ้าหยุดจู้จี้จุกจิกกับข้าได้แล้ว เจ้าโง่!”
ฉินเย่ไม่ตอบ แต่ดวงตาของเขาก็กะพริบอย่างถี่รัว อาร์ทิสรู้ได้ทันทีว่าในหัวของฉินเย่กำลังสับสนระหว่าง “มันอันตรายแล้วก็น่ากลัวมากนะ! นั่นโอดะเชียวนะ!” กับ “อืมมม….จำนวนวิญญาณในยมโลกเพิ่มขึ้นจริง ๆ เราควรจะสร้างกองกำลังที่คอยรักษากฎระเบียบขึ้นดีหรือไม่?”
นางขอพูดได้ไหมว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าคือจ้าวนรกที่ขี้ขลาดที่สุดตั้งแต่เคยมีมา?
อาร์ทิสมองขึ้นไปบนฟ้าอย่างหมดหวัง ข้าควรบอกเขาด้วยดีหรือไม่ว่าทันทีที่เขาออกไปจากชายแดนของจีน เขาก็จะไม่สามารถสังหารวิญญาณที่อยู่ระดับเดียวกันได้ในทันทีอีกแล้ว?
หลังจากคิดอยู่สักพักใหญ่ อาร์ทิสก็คิดว่าหากนางจะเก็บเรื่องนี้ไว้กับตัวก่อนดูจะเป็นการดีที่สุดแล้ว…
ทั้ง ๆ ที่นางไม่เคยคิดจะผัดวันประกันพรุ่งแบบนี้ในตอนที่อยู่ภายใต้บังคับบัญชาของเจ้านรกองค์ก่อน…แล้วดูตอนนี้สิ นางทำมันแทบจะทุกวัน…
เด็กหนุ่มตรงหน้านั้นก็ช่างกวนประสาทนางเหลือเกิน!
หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ ในที่สุดฉินเย่ก็เงยหน้าขึ้นมาและพบว่าอาร์ทิสมีสีหน้าที่เคร่งขรึมมากกว่าเดิม แม้แต่ผมเผ้าของนางเองก็เริ่มปลิวไสวด้วยตัวของมันเองแล้ว เขากระแอมออกมาเบา ๆ และเอ่ยอย่างลองเชิงว่า “เช่นนั้น…ข้าเดาว่าเราคงจะไปที่นั่นด้วยกัน?”
หึ่ม….เส้นผมที่ปลิวไสวของอาร์ทิสดูอันตรายอย่างบอกไม่ถูก…มันช่างเป็นภาพที่ไม่เหมาะแก่สายตาของเด็ก ๆ เอาเสียเลย…เขาคิดว่ามันจะเป็นการดีกว่าที่จะรักษาร่างกายอันบริสุทธิ์และไร้เดียงสานี้ไว้…
“เหตุใดข้าถึงต้องไปกับเจ้า?” อาร์ทิสถามกลับเสียงแข็ง
“…ข้าก็จะพาท่านข้ามน้ำข้ามทะเลไปเปิดโลกกว้างอย่างไรล่ะ ท่านจะอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ทั้งวันไปเพื่ออะไร? มันไม่ส่งผลดีต่อผิวของท่านเลยสักนิด! ท่านรู้หรือไม่ว่าการพักผ่อนไม่เพียงพอนั้นเป็นศัตรูตัวฉกาจของผู้หญิง? ท่านคงยังไม่อยากดูเหมือนคนอายุ 70 ทั้ง ๆ ที่เพิ่งอายุแค่ 17 หรอกใช่หรือไม่?! แล้วเช่นนั้นท่านจะแต่งงานได้อย่างไร? พักจากหน้าจอแล้วใช้ชีวิตตามความฝันเสียบ้าง!” ฉินเย่พยายามพูดด้วยความจริงใจ
“ข้าไม่มีเวลา” อาร์ทิสปฏิเสธทันทีและหายไปพร้อมกับกลุ่มควันสีเขียว “ข้าจะลงไปที่ยมโลกเพื่อหาความเงียบสงบสักพัก ไม่ต้องมาคุยกับข้าสักพักหนึ่ง ไม่เช่นนั้นข้าอาจจะไม่สามารถห้ามตัวเองได้…”
“การหลบหนีไม่ใช่วิธีแก้ปัญหา! พวกเราจะต้องเผชิญหน้ากับมัน!” ฉินเย่ตะโกนเสียงดังใส่ตำแหน่งที่อาร์ทิสเคยอยู่ก่อนหน้านี้ จากนั้นเขาก็กระแอมออกมาเบา ๆ “นางเป็นคนแบบไหนกัน…ผู้ใต้บังคับบัญชาจะไม่ใส่ใจความต้องการของผู้บังคับบัญชาแบบนี้ได้อย่างไร? แนวคิดเกี่ยวกับผู้ใต้บังคับบัญชามันหายไปไหนหมด…”
ดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะถูกปล่อยค้างไว้ เมื่อฉินเย่นั่งลงตรงหน้าแล็ปท็อปของตัวเองและเริ่มพิมพ์ข้อความตอบกลับหัวหน้าไป๋อีกครั้ง “โอเคครับ ผมตกลงตามข้อเสนอของคุณ 60 ล้านหยวนล่วงหน้า ผมจะส่งหมายเลขบัตรให้คุณ แต่ผมคิดว่ามันจะเป็นการดีกว่าที่ผมจะบอกคุณล่วงหน้า คือว่าตอนนี้…ผมอยู่ที่เมืองเป่าอัน”
หัวหน้าไป๋ที่เห็นเช่นนั้นพลันมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาทันที
ฉินเย่สามารถจินตนาการได้เลยว่า อีกฝ่ายคงจะกำลังนวดคลึงขมับของตัวเองอยู่แน่ ๆ
ด้วยเบื้องลึกเบื้องหลังของโรงประมูลเจียเต๋อ เขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าที่เมืองเป่าอันกำลังเกิดเรื่องอะไรขึ้น?
“…เมืองเป่าอันที่อยู่ภายใต้การบริหารงานโดยตรงจากรัฐบาลกลางน่ะหรือครับ?”
“ครับ”
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง หัวหน้าไป๋ก็ตอบกลับไปว่า “ถ้าอย่างนั้น…เมื่อคุณเตรียมการทุกสิ่งที่จำเป็นเรียบร้อยแล้ว คุณสามารถติดต่อพวกเรามาได้โดยตรงเลยนะครับ เว็บไซต์ของเราเปิดทำการตลอด 24 ชั่วโมง”
เขายอมแพ้แล้วหรือ?
รอยยิ้มบนใบหน้าของฉินเย่ค่อย ๆ หายไป และหัวใจของเขาก็ตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม แม้แต่องค์กรที่มีเบื้องลึกเบื้องหลังอย่างโรงประมูลเจียเต๋อ ก็ไม่สามารถเข้าเมืองเป่าอันได้อย่างนั้นหรือ?
และราวกับได้ยินเสียงกรีดร้องภายในใจของฉินเย่ หัวหน้าไป๋พิมพ์เสริมว่า “หากคุณสามารถมาที่ชายขอบของเมืองเป่าอัน พวกเราจะมีช่องทางติดต่อกันคุณได้อย่างแน่นอนครับ สมบัติของคุณนั้นมีค่ามาก พวกเราจะทำการยกเว้นและส่งทีมประเมินทั้งทีมไปที่นั่น พวกเขาจะสามารถประเมินสินค้าได้อย่างละเอียดภายในสามชั่วโมง ซึ่งนั่นรวมถึงการระบุความถูกต้องของสินค้าด้วย ส่วนลักษณะและระยะเวลาที่แน่นอน พวกเราสามารถพูดคุยกันอย่างละเอียดอีกทีเมื่อสะดวกกว่านี้ จากนั้นเมื่อการประเมินเสร็จสิ้นแล้ว คุณสามารถเซ็นสัญญาการประมูลและทางเราจะส่งมอบเงินให้คุณทันที คุณคิดว่าอย่างไรครับ?”
ดูเหมือนว่านี่จะเป็นทางเดียวสำหรับตอนนี้
ฉินเย่ไม่ค่อยพอใจนัก แต่เขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้ “ตกลงครับ”
เมื่อการเจรจาสิ้นสุดลงเขาก็ปิดกล่องข้อความ เขาไม่มีกะจิตกะใจจะเล่นเกมต่อเช่นกัน ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงล้มตัวนอนบนเตียงและจ้องมองเพดาน พร้อมกับเริ่มครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องทั้งหมด
เราควรจะทำอย่างไรดี?
เศษเสี้ยววิญญาณของโอดะ โนบูนางะไม่ใช่สิ่งที่เขาให้ความสนใจมากที่สุดในตอนนี้ กลับกัน มันคือการพัฒนาของยมโลกต่างหากที่ยังคงรบกวนจิตใจของเขาไม่หยุดหย่อน
ตี้ทิงจดจำลักษณะเฉพาะของพลังหยินของพวกเขาได้อย่างแน่นอน และทันทีที่มันลืมตาตื่นขึ้น มันก็จะไม่มีที่ซ่อนสำหรับเขาอีกต่อไป แม้แต่ในจีนก็ตาม
ดังนั้นเขาจะต้องพัฒนายมโลกให้ได้ถึงระดับหนึ่ง ก่อนที่ตี้ทิงจะตื่นจากการหลับใหล ยมโลกจะต้องถูกสร้างขึ้นใหม่และขยายใหญ่โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้ เส้นทางการค้าที่สามารถยืนยันแหล่งเงินทุนสำหรับเขาปรากฏขึ้นตรงหน้าแล้ว แต่เขาก็ไม่สามารถทำอะไรกับมันได้ หรือว่าเขาจะต้องลากยาวแผนการทั้งหมดไปจนถึงฤดูใบไม้ร่วงกันนะ? หากเป็นเช่นนั้นวิญญาณที่อยู่ในยมโลกก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้น นั่นจะไม่เป็นปัญหาหรืออย่างไร?
ทันใดนั้นเองเศษตราจ้าวนรกบนอกของเขาก็ขยับ และก่อนที่เขาจะสามารถตอบสนองอะไร หน้าจอที่เกิดจากการต่อตัวของพลังหยินก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศ ใบหน้าของอาร์ทิสปรากฏขึ้นบนหน้าจอด้วยสีหน้าเคร่งเครียด แต่ก่อนที่นางจะได้เอ่ยอะไร เสียงตะโกนก็ดังมาจากด้านหลัง!
โฮกกกก!!! มันเหมือนกับกระแสน้ำที่ซัดเข้าฝั่ง มันดังจนกลบทุกสิ่งที่อาร์ทิสกำลังพูด
การก่อจลาจลของวิญญาณ?!
คำพวกนี้ผุดขึ้นในหัวของเขาทันที แผ่นหลังของฉินเย่เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ และเขาก็ลุกขึ้นนั่ง “ท่านอยู่ที่ยมโลกอย่างนั้นหรือ? เกิดอะไรขึ้น?”
อาร์ทิสตะโกนอย่างสุดเสียงเพื่อส่งผ่านข้อความที่ต้องการจะบอก “ลงมาที่นี่เดี๋ยวนี้! เกิดเรื่องแล้ว!”
[1] วัดฮนโนจิ เป็นวัดในพระพุทธศาสนานิกายนิจิเร็งซึ่งเป็นนิกายย่อยของนิกายมหายาน ตั้งอยู่ในเมืองเกียวโตเหตุการณ์ตอนที่โนบูนางะถูกทรยศโดยขุนศึกของเขาเกิดขึ้นที่นี่ ผู้ซึ่งนำทัพกลับมาล้อมโนบูนางะและลูกชายคนโตของเขาโดยการเผาวัด ซึ่งส่งผลให้ทั้งสองต้องฆ่าตัวตายโดยการคว้านท้องตัวเอง
[2] ที่ถูกเรียกว่าราชาปีศาจแห่งสวรรค์ชั้นที่ 6 เพราะในทางพระพุทธศาสนาที่มีการกล่าวถึงเทพที่อาศัยอยู่ในสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตตี(สวรรค์ชั้นที่ 6) เทวบุตรมารผู้ซึ่งมีความอิจฉาเป็นปรกติวิสัยและไม่ปรารถนาจะให้ใครได้ดี จึงคอยรังควานและขัดขวางผู้อื่นมิให้ทำกรรมดี การเรียกโอดะเช่นนี้จึงอาจเป็นผลมาจากความโหดร้ายของเขาต่อพุทธศาสนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้ที่ต่อต้านการปกครองของเหล่าซามูไร โอดะโนบูนางะนั้นยังเป็นที่รู้จักจากการสังหารหมู่กลุ่มพระนักรบที่ภูเขาฮิเอะอิ ภูเขาที่เป็นที่ตั้งของวัดเองยากุอีกด้วย
[3] ผู้นำทางการทหารคนสำคัญในยุคสมัยของจักรรรดิโคกูรยอ เกิดเมื่อปีค.ศ. 603 ก่อนจะถึงแก่กรรมในปีค.ศ. 666