ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 21 ใครเป็นคนเคลื่อนย้ายศพ?
บทที่ 21 ใครเป็นคนเคลื่อนย้ายศพ?
ไม่ว่าพวกเขาจะรู้จักเธอเป็นการส่วนตัวหรือไม่ ความคิดเห็นและการประณามมากมายปรากฏขึ้นบนหน้าบัญชีเวยป๋อของเธออย่างไม่หยุดหย่อน ราวกับลูกธนูที่ถูกกระหน่ำยิงมาที่เป้ายิงอย่างต่อเนื่อง “สมควรโดนแล้ว!” “ไม่รู้จักคำว่ายางอายบ้างเลยหรือไง?” “ฉันก็อยู่บนโลกนี้มาสักพักแล้วนะ แต่ไม่เคยเห็นใครทำตัวร่านเท่านี้มาก่อนเลย!”
ซ้ำร้าย เธอยังถูกไล่ออกจากกลุ่มและสังคมที่ตัวเองเคยอยู่ “โรงเรียนมัธยมต้นไฮ่สือห้อง 3 ได้ไล่คุณออกจากกลุ่ม” “โรงเรียนมัธยมต้นไฮ่สือห้อง 1 ได้ไล่คุณออกจากกลุ่ม” “กลุ่มงานตงไฮ่ได้ไล่คุณออกจากกลุ่ม” …
ทุกคนต่างชี้เป้ามาที่เธอ
“มันสมควรตายแล้ว!” ในคลิปวิดีโอคลิปสุดท้าย ‘ชู้รักคนนั้น’ที่มักจะดูแลเอาใจใส่อย่างดีกลับเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด นัยน์ตาของเธอแดงก่ำ ขณะที่ผมเผ้ายุ่งเหยิงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน สติที่เคยมีแทบจะไม่หลงเหลืออยู่ จากนั้นจึงมองเลนส์กล้องและเค้นเสียงเอ่ยออกมาอย่างโกรธแค้น “ฉันไม่มีทางปล่อยแกแน่…ต่อให้ฉันต้องตาย ฉันก็จะดึงครอบครัวของแกทั้งหมดลงไปด้วย!!”
“แกทำลายชีวิตฉัน! แกจะต้องได้รับผลกรรมที่ตัวเองเคยก่อไว้…แกจะต้องได้ชดใช้อย่างแน่นอน!”
และคลิปวิดีโอก็จบลงเพียงแต่นี้
ไม่มีใครเอ่ยอะไรทั้งสิ้น ไม่มีใครคิดว่าความจริงจะเป็นแบบนี้ ใครกันที่เป็นฝ่ายถูก แล้วใครกันที่เป็นฝ่ายผิด? นี่ไม่ใช่คำถามที่สามารถตอบกันได้ง่าย ๆ เลยสักนิด
ในตอนแรก เธอคือฝ่ายที่อ่อนแอและควรได้รับความเห็นใจเป็นที่สุด แต่ท้ายที่สุดแล้ว การกระทำของเธอกลับเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจและสมควรได้รับความเกลียดชัง
เมื่อทุกคนต่างชี้นิ้วมาที่เธอ สิ่งที่เป็นเพียงแค่ข่าวลือในตอนแรกก็ได้กลายเป็นเรื่องจริงสำหรับพวกเขา และเมื่อมาถึงจุดหนึ่ง ความจริงจึงไร้ซึ่งความหมายโดยสิ้นเชิง เสียงซุบซิบและคำพูดมากมายในอินเทอร์เน็ตล้วนพุ่งมาที่เธอราวกับสว่านที่แหลมคม ทิ่มแทงร่างของเธอจนเกิดเป็นรูโห่วจำนวนนับไม่ถ้วน ส่งผลให้จิตวิญญาณของเธอกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีอยู่จริง แม้ว่าจะตายไปแล้วก็ตาม
ไม่มีสิ่งใดสามารถสร้างความอื้อฉาวให้กับคนคนหนึ่งมากไปกว่าเหตุการณ์เช่นนี้อีกแล้ว
“ตอนที่เธอตัดสินใจที่จะกระโดดลงมาจากหลังคาของบริษัทไฮแอตต์เธอจะต้องเอาโทรศัพท์ติดตัวไปด้วยแน่ ในใจเธอคงหวังว่าจะมีเจ้าหน้าที่สืบสวนหรือเจ้าหน้าที่ชันสูตรสักคนมาเจอโทรศัพท์ของตัวเอง เมื่อวิดีโอนี้รั่วไหลสู่สาธารณะ จุดประสงค์ในการลากหวังเจ๋อหมินลงไปด้วยกันของเธอก็จะบรรลุอย่างสมบูรณ์” อาร์ทิสกล่าว
ฉินเย่ที่ได้ยินเช่นนั้นจึงเอ่ยต่อว่า “แต่น่าเสียดาย หวังเจ๋อหมิงได้โทรศัพท์ของเธอไปก่อนที่ใครจะมาพบมันและเก็บมันไว้ในตู้นิรภัยของตัวเอง ราวกับว่ามันเป็นสิ่งของไร้ค่า โดยธรรมชาติแล้วความต้องการเพียงอย่างเดียวของเธอคือการเปิดตู้นิรภัยนั้นให้ได้ เพราะหลักฐานทั้งหมดล้วนถูกเก็บอยู่ในนั้น แม้ว่าเธอจะกลายเป็นผี เธอก็ยังคงฝังใจอยู่กับการทำลายตู้นิรภัยนั่น จึงเกิดเป็นรอยกรงเล็บจำนวนมากบนตู้เซฟ”
“เป้าหมายคืออะไรกันนะ?” เขาถอนหายใจ “พวกเราได้รหัสมาแล้ว…ขนาดตายไปแล้วก็ยังไม่ฉลาดขึ้นเลยอย่างนั้นเหรอ?”
“เจ้าไม่รู้สึกเห็นใจนางหรืออย่างไร?”
ฉินเย่ส่ายศีรษะและตอบด้วยเสียงเรียบนิ่ง “ข้าไม่ได้รู้สึกว่าเรื่องของนางน่าสนใจเท่าไหร่นัก คนที่เพิ่งตายไปอย่างนางหาได้รู้อะไรเลยแม้แต่น้อย”
“ความเกลียดชังและความโศกเศร้าคือสิ่งที่คนเราจะต้องเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตอยู่และยิ้มรับไปพร้อมกับมันให้ได้”
นักปราชญ์อย่างนั้นเหรอ? อาร์ทิสมองฉินเย่ด้วยแววตาประหลาดใจและมึนงง ทำไมจู่ ๆ เด็กตรงหน้าถึง…รู้แจ้งเห็นธรรมแบบนี้?
คำพูดพวกนี้มีความหมายลึกซึ้งในตัวของมันเอง…ข้อเท็จจริงของโลกที่ผุดขึ้นมาเองโดยธรรมชาติ…มันใช่คำพูดที่เด็กทั่วไปจะสามารถเอ่ยออกมาได้อย่างนั้นเหรอ?
เจ้ามีความสุขจริง ๆ อย่างนั้นหรือ? หรือว่ารอยยิ้มของเจ้าเป็นเพียงการเสแสร้งเพื่อบดบังตัวตนที่แท้จริงของตนเองกันแน่?
จิตใจมนุษย์นั้นยากแท้หยั่งถึง ไม่แปลกใจเลยที่ข้าเลือกจะเกิดใหม่เป็น…เอ๊ะ? ดูเหมือนว่าจะมีบางอย่างแปลกไป?
ครื้น….สายฟ้าฟาดดังลั่น ยุติบรรยากาศกระอักกระอ่วนระหว่างทั้งคู่ และก็เป็นฉินเย่เองที่เอ่ยทำลายความเงียบว่า “จบแล้วเหรอ?”
“จบแล้ว” อาร์ทิสเอ่ยอย่างหนักแน่น “เจ้าหาเศษตราจ้าวนรกเถอะ พวกเราควรออกไปจากที่นี่ทันทีที่เราหามันเจอ”
ฉินเย่เริ่มสำรวจดูของอื่น ๆ ที่อยู่ภายในตู้เซฟ ทว่าหลังจากผ่านไปหลายนาที เขาก็ต้องขมวดคิ้วเข้าหากัน หลังจากหาดูอย่างละเอียดอีกรอบ เขาจึงลุกขึ้นยืนและส่ายหัวไปมา
“ไม่มีอย่างนั้นเหรอ?” อาร์ทิสเอ่ยอย่างเหลือเชื่อ “เป็นไปไม่ได้ หวังเจ๋อหมิงเป็นคนพูดเองว่าเขาเก็บมันไว้ในนี้…” ทันทีที่เอ่ยจบ ทั้งคู่ก็นิ่งไปทันที
“อย่างนี้นี่เอง…” วินาทีต่อมา ฉินเย่ก็มองไปรอบ ๆ ตัว “พวกเรามัวแต่ให้ความสำคัญกับผีร้ายจนลืมสิ่งที่สำคัญที่สุดไป”
“ใครคือคนที่ส่งตราจ้าวนรกให้กับหวังเจ๋อหมิน? หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ ใครคือผู้ที่มีเศษตราจ้าวนรกไว้ในครอบครองก่อนที่เรื่องพวกนี้จะเกิดขึ้น?”
อาร์ทิสที่ได้ยินเช่นนั้นจึงเอ่ยเสริมข้อสังเกตของเด็กหนุ่ม “มันไม่ใช่แค่นั้นเด็กน้อย เจ้าเพิ่งมาเป็นยมทูตได้เพียงไม่นาน และยังเป็นมือใหม่อยู่ มันมีบางอย่างที่เจ้าทำพลาดไปอย่างหนึ่ง”
“เอาเป็นว่าข้าขอถามเรื่องสำคัญกับเจ้าสักข้อก็แล้วกัน…เจ้าคิดว่าจุดเริ่มต้นของเหตุการณ์ทั้งหมดนี้คือที่ใด?”
“มณฑลตงไห่” ดวงตาของฉินเย่เป็นประกายขึ้นราวกับจับได้ถึงอะไรบางอย่าง
“แล้วตอนนี้พวกเรากำลังอยู่ที่ใด?”
ฉินเย่ยังคงเงียบ
มณฑลเสฉวน
มณฑลตงไห่อยู่ห่างจาก มณฑลเสฉวนหลายพันไมล์ ด้วยขีดจำกัดของ ‘ชู้รักคนนั้น’ ในฐานะวิญญาณ มันไม่มีทางที่นางจะยอมเดินทางไกลขนาดนั้นเพียงเพราะต้องการจะล้างแค้นแน่ ๆ
“ดวงวิญญาณของผู้ที่ตายอย่างไม่ได้รับความยุติธรรมจะไม่มีทางเปลี่ยนเป็นผีสางได้ เว้นแต่ว่าศพของนางจะอยู่ใกล้ ๆ” อาร์ทิสเอ่ยอย่างมีนัยสำคัญ
ตอนนี้คำตอบนั้นชัดเจนแล้ว มีใครบางคนรู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับชู้รักคนนั้น และก็ได้เศษตราจ้าวนรกไปครอบครอง และก็เป็นคนเดียวกันกับที่ขนศพของหญิงสาวข้ามระยะทางหลายพันไมล์มาที่มณฑลเสฉวน!
น้ำเสียงของอาร์ทิสอึมครึมขึ้น “เด็กน้อย…ข้าหาได้อยากตาย ชีวิตของข้าตอนนี้ได้ผูกอยู่กับเจ้าอย่างไม่สามารถแยกออกได้ ดังนั้นข้าจะช่วยอุดรูรั่วของเจ้าให้เอง”
“เบื้องต้น นรกได้ถูกกวาดล้างจนหมดสิ้น เหล่าดวงวิญญาณจำนวนมากเร่ร่อนอยู่ในแดนมนุษย์ ซึ่งดวงวิญญาณส่วนใหญ่เป็นเพียงวิญญาณเร่ร่อน และไม่เป็นอันตราย แม้ว่าจะมีจำนวนมากเพียงใดก็ตาม ทว่ามันก็ยังมีข้อยกเว้นสำหรับพวกที่โชคดีพอที่จะถูกการระเบิดของนรกส่งไปอยู่ในสถานที่ที่เต็มไปด้วยพลังหยิน”
“เหมือนกับที่ยายเมิ่งได้พูดเอาไว้ว่า เหล่าผีพวกนี้ล้วนอดทนมาเป็นเวลานาน นรกได้ฝังรากลึกลงไปในใจของวิญญาณพวกนี้ ทำให้พวกเขายังคงหวาดกลัวยมทูตจากก้นบึงจิตใจ นอกจากนี้พวกเขายังกลัวด้วยว่าวันหนึ่ง นรกจะถูกสร้างขึ้นมาใหม่อีกครั้ง แต่ตอนนี้ หลังจากที่เวลาได้ล่วงเลยมาถึงร้อยปี ความอดทนของภูตผีบางตนก็ลดลงจนแทบไม่เหลือ”
ฉินเย่ฟังคำพูดที่อีกฝ่ายพูดอย่างตั้งใจ อาร์ทิสที่เห็นอย่างนั้นจึงเอ่ยต่อว่า “สิ่งที่ข้ากำลังจะบอกเจ้าคือความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับโลกใต้พิภพ อย่างแรก เจ้าจะต้องรู้ความแตกต่างของผีระดับ ต่าง ๆ ตั้งแต่ E ถึง S เรียงลำดับจากน้อยไปมาก วิญญาณเร่ร่อน วิญญาณอาฆาต วิญญาณร้าย ภูตผี ภูตผีคลุ้มคลั่ง และปีศาจ นอกจากนี้ มันยังมีข้อยกเว้นบางประการที่อยู่นอกเหนือจากนี้ รวมทั้งเจ้าที่ วิญญาณบรรพชน และสิ่งที่คล้าย ๆ กัน”
“ในนรก เราแบ่งหน้าที่การปฏิบัติออกเป็นลำดับขั้นดังนี้ ยมเทพ นักล่าวิญญาณ ยมทูตขาวดำ ตุลาการนรก ฝู่จวิน พระยม รวมทั้งราชันย์วิญญาณทั้ง 6 ที่ไม่ถูกจัดอยู่ในขอบเขตการจัดอันดับนี้ การจัดอันดับของยมทูตนั้นจะสอดคล้องกับการจัดประเภทของดวงวิญญาณ พวกเราที่ทำหน้าที่ในนรกมาหลายพันปีต่างรู้ดี….”
นางสูดหายใจเข้าช้า ๆ ก่อนจะเน้นเสียงหนักในประโยคต่อมา “วิธีที่ได้ผลที่สุดที่วิญญาณดวงหนึ่งจะก้าวไปอีกขั้นได้นั้น…ไม่ใช่การฆ่าสิ่งมีชีวิต แต่มันคือการกลืนกินดวงวิญญาณดวงอื่น!”
“การกลืนกินดวงวิญญาณที่อยู่ในเครือญาติของตัวเองเป็นหนทางก้าวหน้าที่เร็วที่สุด! ไม่มีวิญญาณที่ถูกขับไล่ออกจากนรกในระหว่างการล่มสลายดวงอื่นไม่รู้ถึงทางลัดนี้ ที่ผ่านมาเรายังมีนรกที่คอยควบคุมพวกมันอยู่ แต่ตอนนี้ล่ะ?”
ฉินเย่ย่นคิ้วเข้าหากัน “ท่านกำลังจะบอกว่า…มีใครบางคนวางแผนที่จะกลืนกินดวงวิญญาณของผีสาวที่ตามหลอกหลอนตระกูลหวังอย่างนั้นหรือ? และเพราะเหตุนี้ พวกเขาจึงจงใจเคลื่อนย้ายศพจากมณฑลเสฉวนมาที่มณฑลตงไห่?”
อาร์ทิสพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม
ฉินเย่ขมวดคิ้วยุ่ง “จำเป็นต้องทำขนาดนั้นเลยหรือ?”
“แน่นอน! อย่างไรแล้ว วิญญาณอาฆาตก็ถือกำเนิดจากความยึดติดต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ยิ่งรู้สึกยึดติดมากเท่าไร การเปลี่ยนจากวิญญาณธรรมดาทั่วไปเป็นวิญญาณอาฆาตก็จะยิ่งง่ายขึ้นเท่านั้น ดวงวิญญาณสาวที่ตามหลอกหลอนตระกูลหวังยังมีความยึดติดอยู่มาก และมันก็เป็นเหมือนกับยาชูกำลังที่มีค่ามหาศาลสำหรับภูตผีทุกตัว! เด็กน้อย นี่เป็นเพียงการคาดเดาของข้าเท่านั้น และข้าก็อยากให้เจ้าเตรียมใจเอาไว้สำหรับสิ่งที่จะเกิดขึ้น”
อาร์ทิสยังคงเอ่ยต่ออย่างจริงจัง “ข้าคิดว่า….วิญญาณอาฆาตที่อยู่ในระดับที่ต่ำสุดในตอนนี้ น่าจะอยู่ทางฝั่งตะวันตกของประเทศจีนและกำลังเพาะพันธุ์พลังอยู่”
“หายนะกำลังเคลือบคลานมาสู่ทางตะวันตกของเมืองจีน”
ทันทีที่คำว่า ‘เพาะพันธุ์’ ถูกเอ่ยออกมา ข้อสงสัยมากมายภายในหัวของฉินเย่ก็กระจ่างทันที
เป็นอย่างนี้นี่เอง!
ใช่แล้ว…เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในตระกูลหวังก็อาจเป็นหนึ่งในแหล่งเพาะพันธุ์ชั้นยอดของภูตผีจำนวนมากก็เป็นได้
ถูกกล่าวหาจากผู้คนจำนวนมากและต้องกลับกลายเป็นวิญญาณอาฆาตหลังจากที่ตายไปแล้ว อะไรจะเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ที่ดีไปกว่านี้อีก?
นี่คือเหตุผลที่แท้จริงว่าทำไมผู้บงการถึงยอมขนศพของหญิงสาวมายังมณฑลตงไห่ และนี่ก็เป็นเหตุผลว่าทำไมอีกฝ่ายจึงใช้เศษตราจ้าวนรกในการบ่มเพาะดวงวิญญาณที่อาฆาต!
ฉินเย่สูดหายใจเข้าช้า ๆ หากเป็นเช่นนั้น…มันก็หมายความว่าเหล่าวิญญาณที่รอดมาจากการล่มสลายของนรก…ในที่สุดก็เริ่มหมดความอดทนแล้ว
“มันไม่ใช่วิญญาณอาฆาต…” เขาพินิจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างมั่นใจว่า “วิญญาณอาฆาตนั้นอยู่สูงกว่าวิญญาณทั่วไปแค่ระดับเดียวเท่านั้น การที่ผู้บงการยอมให้ดวงวิญญาณของหญิงสาวเปลี่ยนจากวิญญาณเป็นวิญญาณอาฆาตอย่างง่ายดายหมายความว่าเขาจะต้องมั่นใจมากว่าตัวเองจะสามารถควบคุมนางได้ หรือในอีกความหมายก็คือ มันแทบจะสามารถสรุปได้เลยว่าผู้บงการจะต้องอยู่ขั้นภูตผีเป็นอย่างน้อย!”
อาร์ทิสพยักหน้าและเอ่ยต่อ “ภูตผีคือสิ่งมีชีวิตที่ต้องใช้พลังของยมทูตขาวดำจำนวนสองสามคนในการปราบปราม บางทีเจ้าอาจจะยังไม่เข้าใจดีนักว่าพวกมันมีพลังแบบใด ข้าจะอธิบายอย่างละเอียดให้ฟัง…”
นางคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยต่อว่า “เจ้ารู้จักหนังชื่อเรื่อง ‘ผีสยอง’ หรือไม่?”
ต้องเคยดูอยู่แล้วสิ! ฉินเย่พยักหน้า มันคือที่มาของผีชูเหรินเม่ย ตอนนั้น เขาหวาดกลัวภาพของผีตนนั้นเป็นอย่างมากจนไม่กล้ามองเงาสะท้อนของตัวเองในกระจกไปกว่าหนึ่งสัปดาห์
ความจริงที่ว่าเขามีชีวิตอยู่มีหลายทศวรรษไม่ได้เปลี่ยนแปลงสิ่งนี้แต่อย่างใด เพราะอย่างไรแล้ว ผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดก็ยังต้องระวังคนที่ถือมีดอยู่ในมือ
“ความสามารถของนางคล้ายกับภูตผีทั่วไป เข่นฆ่าผู้คนไปถึง 66 คน…จำนวนเท่านั้นอาจจะดูไม่ได้มากมายเท่าไหร่ ทว่าสิ่งที่น่ากลัวที่สุดของมันนั้นไม่ใช่จำนวนคนที่พวกมันฆ่าไป หากไม่มีใครสักคนคอยควบคุมพวกมันเอาไว้ พวกมันสามารถล่องลอยและสร้างความหายนะไปเรื่อย ๆ ในทุกที่ที่มันไป”
“และความสามารถที่น่าสะพรึงกลัวมากที่สุดของพวกมันก็คือ…พวกมันถูกห้อมล้อมไว้ด้วยพลังหยินจำนวนมหาศาล ด้วยเหตุนี้ มันจึงสามารถเปลี่ยนพื้นที่ที่มันอยู่ให้เป็นพื้นที่ที่อุดมไปด้วยพลังหยินหรือที่เรียกว่าดินแดนหยิน มนุษย์จะรู้จักพวกมันในชื่อของบ้านผีสิง หรือ ดินแดนร้าง หรือสุสานฝังศพ ดวงวิญญาณจำนวนมากจะถูกดึงดูดไปยังสถานที่ที่อุดมไปด้วยพลังหยิน และหากปล่อยไปอย่างนี้เป็นเวลานาน สถานที่เหล่านี้ก็จะกลายเป็นรังของผี!”
“….” ฉินเย่อ้าปากค้าง จากนั้นจึงส่ายศีรษะเบาๆ แต่ก่อน ปกติแล้วนรกจะเป็นผู้ดูแลสิ่งเหล่านี้ ทว่าตอนนี้ล่ะ?
“ยังไม่หมดแค่นั้น ตอนที่นรกยังคงทำหน้าที่ในการควบคุมพวกมัน สิ่งที่เลวร้ายที่สุดที่เคยเกิดขึ้นก็คือการที่สถานที่พวกนี้กลายเป็นรังผีอยู่ในระยะเวลาหนึ่งก่อนจะถูกทลายลง แต่ตอนนี้ ด้วยการล่มสลายของนรก หากเรื่องพวกนี้เกิดขึ้นและเริ่มพัฒนาไปเรื่อย ๆ จนมีระบบของตัวเอง แจกแจงหน้าที่และความรับผิดชอบต่อผีแต่ละตน เจ้าคิดว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น?”
ฉินเย่อ้าปากค้างกว่าเดิม นรกแห่งใหม่! โลกใต้พิภพแห่งใหม่! “จะบ้าหรือไง?!” ฉินเย่ยกมือขึ้นทาบอกขณะที่เอ่ยออกมา
อาร์ทิสเพียงเอ่ยต่อ “เหล่าดวงวิญญาณที่สามารถทนต่อการทรมานจำนวนมากภายในนรกล้วนเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงและได้ทิ้งชื่อของตนไว้ในประวัติศาสตร์ เจ้าจะให้คำจำกัดความพวกเขาแค่ ‘บ้า’ อย่างนั้นหรือ? แล้วทำไมขาของเจ้ามันถึงสั่นนักล่ะ? อย่างน้อยเจ้าก็ช่วยแสดงความกล้าหาญที่เหล่ายมทูตควรจะมีบ้างไม่ได้หรืออย่างไร? นี่ดีนะที่ข้าไม่ใช่หัวหน้าของเจ้า ไม่เช่นนั้นข้าคงสั่งให้นำตัวเจ้าไปทำลงโทษขี้ผึ้งน้ำมันมนุษย์ไปนานแล้ว!”
“ไร้สาระ! มันก็ต้องสั่นเป็นธรรมดาอยู่แล้วไม่ใช่หรืออย่างไร? ข้ากำลังอยู่ในสถานที่ของผีที่มีความสามารถคล้ายกับระดับผู้ว่ามณฑลเชียวนะ! ‘ขี้ผึ้งน้ำมันมนุษย์’? ท่านคิดว่าตัวเองเป็นผู้ใดกัน?”
ที่ข้าต้องการก็แค่มีชีวิตต่อไปเรื่อย ๆ! กินอาหารอร่อย ๆ และใช้ชีวิตไปวัน ๆ เท่านั้นเอง!
“เจ้ากลัวอะไรกัน?!” อาร์ทิสเอ่ยเสียงดังอย่างไม่พอใจนัก “หากข้ามาที่นี่ด้วยพลังเต็มเปี่ยม แค่ดีดนิ้วเพียงครั้งเดียวข้าก็สามารถจัดการผีตนนั้นได้แล้ว”
ฉินเย่ยกมือขึ้นปาดหยาดเหงื่อที่ไม่มีอยู่จริงบนหน้าผากของตนเองอย่างกังวลและเอ่ยว่า “แต่ก็นั่นแหละ…ข้าก็แค่บังเอิญทำกระถางเพาะพันธุ์นี้หกเท่านั้น คุณผี คงจะไม่โกรธข้าใช่ไหม?”
“คุณผี? อีกแล้วเหรอ?!”
“ทำไมท่านต้องตกใจขนาดนั้นด้วย?! มันก็เป็นเรื่องธรรมดาไม่ใช่หรืออย่างไรที่จะเรียกผู้ที่มีอายุมากกว่าอย่างให้เกียรติ?”
“เจ้าก็แค่ให้เกียรติกับคนที่เป็นภัยต่อชีวิตของเจ้าเท่านั้นไม่ใช่หรืออย่างไร?!”
“พูดเรื่องไร้สาระอะไรของท่าน?” ฉินเย่กระแอมออกมาอย่างอับอายก่อนจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
“นอกจากนี้…ของพวกนี้มันไม่ได้มีความสำคัญแล้วไม่ใช่หรือ? และคำถามสำคัญก็คือ เศษตราจ้าวนรกอยู่ที่ไหนกันแน่?”
“มันอยู่แถว ๆ นี้….ข้าสัมผัสถึงมันได้…” หลังจากตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่ง อาร์ทิสก็เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงมั่นใจ “ที่ดาดฟ้า”
“นั่นมันจุดที่นางกระโจนลงไปในตอนนั้นเลยนี่ ข้าว่าข้ารู้แล้วว่าศพของนางอยู่ที่ไหน!”