ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 215: ได้ตีพิมพ์จริง ๆ หรือ?
บทที่ 215: ได้ตีพิมพ์จริง ๆ หรือ?
มันไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นบ่อยนัก…
แม้ว่าเขาจะคุ้นชินกับการเป็นส่วนหนึ่งของมนุษยชาติ แต่เขาก็มักจะรักษาระยะห่างไม่ให้ตัวเองมีมนุษยสัมพันธ์กับคนอื่นอยู่เสมอ วันคืนเช่นนี้จึงไม่เกิดขึ้นบ่อยนัก ครั้งสุดท้ายที่เขาได้รู้สึกอะไรแบบนี้คือเมื่อไหร่กันนะ?
เขาจำมันไม่ได้แล้ว
มันยังมีความทรงจำราง ๆ เกี่ยวกับครั้งสุดท้ายที่เขาได้ดื่มด่ำกับอะไรแบบนี้ แต่เขาจำไม่ได้แล้วว่ามันคือเมื่อกี่สิบปีที่ผ่านมา หรือคนที่เขาร่วมแบ่งปันประสบการณ์เหล่านั้นคือใคร…แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ตอนนี้เขามีเพียงตัวคนเดียวเท่านั้น
เขารู้สึกเฉยเมยต่อสิ่งเหล่านี้จริง ๆ
ที่จริงเขามีมุกตลกและเรื่องตลกมากมาย ที่เขาสามารถทำตามใจตัวเองได้เป็นครั้งคราวเพื่อผ่อนคลายจิตใจ แต่เขาก็มีความจริงใจกับเรื่องสำคัญ ๆ ในชีวิตเช่นกัน แต่เหนือทั้งหมดทั้งมวลนั้น ความรู้สึกไม่แยแสต่อใครก็ตาม ก็ยังเห็นได้ชัดภายใต้ปฏิสัมพันธ์ระหว่างเขากับคนอื่น ๆ
ยังไงพวกนายทั้งหมดก็ต้องตายในไม่ช้าก็เร็วอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?
แทนที่จะต้องรู้สึกเสียใจเมื่อเวลานั้นมาถึง ทำไมผมถึงไม่เลือกรักษาระยะห่างระหว่างเราไว้ตั้งแต่แรกแทนล่ะ? แบบนั้นคุณก็จะลืมผมได้ง่าย ๆ และผมก็จะไม่ต้องหลงเหลือความรู้สึกอะไรเกี่ยวกับคุณเช่นกัน
ความคุ้นชินทำให้เกิดความรู้สึก และความรู้สึกก็มาพร้อมกับแรงกระตุ้น ฉินเย่ไม่เคยเป็นฝ่ายเริ่มดึงผู้คนเข้ามาหาตน แม้แต่หลินฮั่นหรือซู่เฟิงเองก็ตาม ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเรียนและทำงานด้วยกัน แต่พวกเขาก็ไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์กันด้วยความตั้งใจที่จะกระชับความสัมพันธ์ของพวกตนให้แน่นแฟ้นขึ้น หากพูดกันตามจริง เขาไม่แม้แต่จะถามเกี่ยวกับครอบครัวของอีกฝ่ายด้วยซ้ำ
แต่ตอนนี้สิ่งต่าง ๆ อาจจะเปลี่ยนไปแล้ว
เพราะในตอนจบของเรื่อง…เราก็ยังคงเป็นเพื่อนร่วมงานกัน แม้ว่าจะตายไปแล้วก็ตาม ดังนั้นมันไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาจะต้องโศกเศร้ากับการจากไปของคนพวกนี้เลยสักนิด
ทันใดนั้นเองโทรศัพท์ของเขาก็สั่งเสียงดังออกมา ฉินเย่มองคนทั้งหมดและทำท่าบอกให้ทุกคนเงียบเสียงลงก่อน
ผู้ที่โทรเข้ามาคือโจวเซียนหลง
คนทั้งหมดมองหน้ากันก่อนจะรีบวางแก้วของตนลง และหยุดบทสนทนาทั้งหมดของตนทันที วินาทีนั้น สิ่งเดียวที่พวกเขาได้ยินก็คือเสียงเต้นเป็นจังหวะของหัวใจของตัวเอง
ฉินเย่สูดหายใจเข้าช้า ๆ และกดรับสาย “ครับ?”
ปลายสายเงียบไปครู่หนึ่ง เสียงของโจวเซียนหลงนิ่งเรียบดังเดิม ทว่ามันกลับดูเจือปนด้วยความเร่งด่วนเล็กน้อย “ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหน?”
“งานเลี้ยงครับ” ฉินเย่มองไปรอบ ๆ เพียงเพื่อที่จะสบกับแววตาลุกโชนหลายคู่ “ผมนั่งอยู่กับคนอื่น ๆ ที่ร่วมกันเขียนเล่มวิจัยในครั้งนี้”
“เปิดลำโพงซะ” โจวเซียนหลงเอ่ย
ฉินเย่กดเปิดลำโพง และทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบ หากไม่นับเสียงลมหายใจที่ติดขัดรอบข้าง จากนั้นโจวเซียนหลงก็สูดหายใจเข้าช้า ๆ และเอ่ยกับทุกคนเป็นครั้งแรก “สวัสดีอาจารย์ผู้สอนและนักเรียนที่มีส่วนร่วมในบทความวิจัยชิ้นแรกภายใต้ชื่อของสำนักฝึกตนแห่งแรกทุกคน”
“เล่มวิจัยหมายเลขหนึ่งที่ใช้ชื่อว่า ‘การกลายพันธุ์ของวิญญาณ: สาเหตุ พัฒนาการ และความเป็นไปได้’ ที่ถูกเขียนโดยอาจารย์ฉินเย่ ร่วมด้วยอาจารย์หลินฮั่นและอาจารย์ซู่เฟิง และได้รับการสนับสนุนโดยหวังเฉิงห่าว เย่ซิงเฉินและนักเรียนคนอื่น ๆ เมื่อครู่นี้ ได้รับการตรวจสอบโดยหัวหน้าบรรณาธิการเหยาของผู้ฝึกตนรายสัปดาห์ รองหัวหน้าบรรณาธิการอีกสองท่าน และบรรณาธิการอีกเจ็ดท่านเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พวกเขาเพิ่งยืนยันว่างานวิจัยของคุณจะถูกตีพิมพ์ลงในผู้ฝึกตนรายสัปดาห์ฉบับต่อไปแบบเต็มหน้ากระดาษ”
เงียบ…
ทุกคนกะพริบตาปริบ ๆ อย่างมึนงง พวกเขาไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่ตนเพิ่งได้ยิน
“ทะ…ทั้งหน้ากระดาษ?” ไม่กี่วินาทีต่อมา หลินฮั่นก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทา “หัวหน้าโจว…คุณแน่ใจใช่ไหมครับว่าไม่ได้ยินผิดไป?”
“ผมได้ยินไม่ผิด” โจวเซียนหลงถอนหายใจ “ตั้งใจฟังให้ดี สำนักฝึกตนแห่งแรกได้ทำการยกเว้นให้คุณ ไม่สิ…ทั้งเมืองเป่าอันได้ทำการยกเว้นข้อกำหนดให้คุณ”
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งเขาก็เอ่ยต่อ “นี่เป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจมาก แม้แต่ผมเอง…แต่เพราะว่าความสามารถที่ล้นเหลือของคุณ ทางสถาบันของเราได้รายงานเรื่องนี้ไปที่หน่วยสอบสวนพิเศษและขอโอกาสในการทำให้ทั้งประเทศได้รู้ว่าพวกคุณคือใคร”
เสียงฮือฮาดังก้องไปทั่วห้อง สายตาทั้งหมดจับจ้องไปที่โทรศัพท์ และความตื่นเต้นก็พลุ่งพล่านขึ้น ภายใต้บรรยากาศที่นิ่งสงบภายในห้อง คนทั้งหมดเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ
“พวกคุณคงจะยังไม่เป็นที่รู้จักและไม่เป็นที่จดจำในตอนนี้ หรือบางทีพวกคุณอาจจะได้รับข้อเสนอมากมาย แต่อาจจะยังไม่มีโอกาสได้ตอบรับอะไร แต่ทุกอย่างจะเปลี่ยนไปทันทีที่บทความของคุณถูกตีพิมพ์ พวกเราจะสร้างเวทีให้คุณได้เฉิดฉายอย่างเต็มที่ ผู้ที่มีพรสวรรค์สมควรได้ยืนอยู่ใต้แสงไฟ ดังนั้น หลังจากที่ได้ปรึกษาหารือกับผู้อำนวยการระดับสูงของหน่วยสอบสวนพิเศษ พวกเราได้ส่งสารไปยังผู้บังคับบัญชาการหลี่หยุนเซิง ผู้ซึ่งรับผิดชอบเมืองเป่าอันเพื่อ…ขออนุญาตให้พวกคุณสามารถออกไปนอกเมืองได้เป็นการชั่วคราว”
ดวงตาของฉินเย่เป็นประกายขึ้น พร้อมกับจังหวะการหายใจที่ถี่รัว
ในที่สุด…
วิทยานิพนธ์นี้เป็นเหมือนกับสะพานที่เชื่อมต่อโลกแห่งความเป็นจริงของเขากับถ้วยพระเนตรสวรรค์เปลี่ยนสี และเส้นทางการค้าไม้ฮวงหัวลี่ของเขาเข้าด้วยกัน ในที่สุดสะพานนี้ก็เกิดขึ้นแล้วจริง ๆ
และวันนี้…ทุกอย่างก็สุกงอมพร้อมสำหรับการเก็บเกี่ยว!
ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมา นี่คือข่าวที่น่าเหลือเชื่อ แต่มันก็มาอย่างกะทันหันจนเหมือนกับมีอุกกาบาตพุ่งมาชนหัวของพวกเขา และทำให้สติของพวกเขาสั่นคลอน
ตีพิมพ์หนึ่งหน้าเต็มบนหนังสือพิมพ์ผู้ฝึกตนรายสัปดาห์ และยังคำอนุญาตพิเศษเพื่อออกจากเมืองเป่าอันเป็นการชั่วคราว…ข่าวดีมากมายพุ่งเข้ามาหาพวกเขาติดต่อกันจนสมองของพวกเขาตอนนี้มึนงงไปหมด ตัวเลือกเพียงอย่างเดียวในหัวตอนนี้ก็ที่กรีดร้องออกมาดัง ๆ นี่เรื่องจริงเหรอ? มันเกิดขึ้นจริง ๆ ใช่ไหม? นี่ฉันไม่ได้ฝันไปใช่หรือเปล่า?
ไม่มีใครพูดอะไรแม้แต่คำเดียว มันแทบจะเหมือนกับว่าพวกเขากลัวว่าตัวเองจะตื่นจากภวังค์นี้หากพวกเขาส่งเสียงออกมาแม้แต่แอะเดียว
โจวเซียนหลงนั้นเป็นคนตรงไปที่ตรงมา และเขามักจะพูดทุกสิ่งออกมาอย่างตรงประเด็น แต่แม้กระทั่งเขาเองก็ต้องใช้เวลาเพื่อปรับจังหวะการหายใจของตัวเองก่อนจะเอ่ยต่อ “ทุกคน เตรียมตัวให้ดี”
“หลังจากนี้พวกคุณจะกลายเป็นตัวแทนของสำนักฝึกตนแห่งแรก ซึ่งนั่นหมายความว่าคุณจะกลายเป็นหน้าเป็นตาของสถาบันต่อหน้าสาธารณะ พวกเราจะรอดูผลงานของคุณ ผู้ที่อยู่ในระดับสูงของโลกแห่งการบ่มเพาะอย่างแท้จริงนั้นคอยจับตาดูการพัฒนาของแวดวงวิชาการอยู่เสมอ เพราะท้ายที่สุดแล้ว นี่ก็เป็นจุดที่ความคิดและแนวคิดสำหรับอาวุธและสิ่งประดิษฐ์ถูกคิดค้นขึ้น ดังนั้นทันทีที่คุณก้าวขึ้นไปบนเวทีและเข้าสู่แสงไฟ…อนาคตของพวกคุณจะไร้ซึ่งขีดจำกัดอย่างแท้จริง!”
ติ๊ด ติ๊ด…โจวเซียนหลงวางสายไป หลังจากผ่านไปหนึ่งนาที ทั้งห้องก็ยังคงเงียบสนิท
สามนาทีต่อมา
“บ้าไปแล้ว!!” หลินฮั่นคือคนแรกที่ลุกขึ้นยืนและปรบมือเสียงดัง เขากระดกขวดของเหลวในมือดื่มจนหมด “มา! หมดแก้ว! วันนี้จะไม่มีใครได้ออกไปจากที่นี่โดยที่ยังลุกขึ้นเดินได้!!!”
เขาดื่มเบียร์ทั้งหมดจนหมดภายในคราวเดียว มันเป็นรสชาติขมที่ให้ความรู้สึกดีอย่างไม่น่าเชื่อ วันคืนแห่งการตรากตรำกับงานวิจัยได้จบลงแล้ว และวันเวลาดี ๆ ก็เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น
หัวใจของพวกเขาต่างเต็มไปด้วยความพึงพอใจและความอิ่มเอมใจ การที่ความพยายามของพวกเขาได้รับการยอมรับทำให้หัวใจของคนทั้งหมดพองโต
ภายในชั่วพริบตา ห้องที่ถูกปกคลุมด้วยความเงียบก็เต็มไปด้วยเสียงแห่งการเฉลิมฉลอง ทุกคนต่างยืนขึ้น คว้าแก้วของตัวเอง และเต้นรำไปกับบรรยากาศ ในเวลานี้ไม่มีวิธีการใดที่จะสามารถแสดงถึงความอิ่มเอมใจของพวกเขาได้ดีไปกว่านี้อีกแล้ว
“มา! ดื่ม! ใครออกก่อนถือว่าไม่ใช่ลูกผู้ชาย!”
“ชน!!!”
“ให้ตายเถอะ…ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรจะพูดอะไรออกมาดี! หนึ่งหน้าเต็ม…แล้วยังมีคำสั่งอนุญาตพิเศษ ให้ออกนอกเมืองเป่าอันชั่วคราวเพื่องานแลกเปลี่ยนความคิดเห็นได้อีก…ฉะ ฉัน ฉันแทบไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่ตัวเองเพิ่งได้ยินด้วยซ้ำ!”
“พระเจ้า! หลังจากนี้ฉันจะโทรไปบอกทุกคนที่บ้านเลย! ฮ่า ๆๆ! อยากรู้จริง ๆ ว่าพวกเขาจะตื่นเต้นขนาดไหนเมื่อได้ยินข่าวนี้!”
“เราจะดังแล้ว…ฉันไม่เคยคิดไม่เคยฝันมาก่อนเลยว่าจะได้ถูกตีพิมพ์ลงบนผู้ฝึกตนรายสัปดาห์!”
มันคือผู้ฝึกตนรายสัปดาห์…วารสารฝึกตนของจีน นี่คือสิ่งที่ผู้ฝึกตนทุกคนในจีนจะต้องได้อ่าน แม้แต่พ่อแม่และอาจารย์บางท่านของพวกเขาก็ไม่สามารถทำได้ แต่พวกเขา…กลับทำได้น่ะเหรอ?
เสียงเชียร์ดังก้องไปทั่วทั้งห้อง มันคือค่ำคืนแห่งการเฉลิมฉลองอย่างแท้จริง
เมื่อฉินเย่จะกลับมาถึงห้องมันเป็นเวลาตี 1 แล้ว หลังจากออกมาจากร้านหม่าล่าเสียบไม้ อาจารย์ทั้งสามยังคงดื่มกันต่ออีกเล็กน้อย มันเป็นวินาทีนี้เองที่พวกเขาได้รู้สึกชื่นชมถึงข้อดีของการที่สถาบันตั้งอยู่ในเมืองอย่างแท้จริง
“เจ้ามีกลิ่นแอลกอฮอล์ติดตัวเต็มไปหมด ไปอาบน้ำซะ” เสียงของอาร์ทิสดังขึ้นทันทีที่เขาเดินเข้ามาในห้อง ทว่าฉินเย่กลับเมินอีกฝ่ายและล้มตัวลงบนเตียงและหัวเราะกับตัวเองราวกับคนบ้า
เมื่อไม่ได้รับคำตอบจากฉินเย่ อาร์ทิสก็หันหลังกลับมามอง เพียงเพื่อที่จะเห็นรอยยิ้มที่น่ารังเกียจบนใบหน้าของเด็กหนุ่ม “รอยยิ้มของเจ้าในตอนนี้ไม่ต่างอะไรไปจากพวกโรคจิตเลยสักนิด…ให้ข้าเดานะ สิ่งเดียวที่สามารถทำให้เจ้าดีใจได้มากขนาดนี้ก็คงจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับวิทยานิพนธ์ฉบับใหม่ใช่หรือไม่?”
“ใช่!!” ฉินเย่พลิกตัวและงอขาอย่างขี้เกียจ “อาร์ตี้ที่รัก นี่คือบันทึกสำหรับวันนี้ ภายใต้การนำของว่าที่จ้าวนรกที่แสนชาญฉลาด ความช่วยเหลือจากว่าที่ยมบาลหลินอะไรสักอย่าง และซู่อะไรสักอย่าง และนักเรียนอีกกลุ่มหนึ่ง พวกเราสามารถจัดการปัญหาทางวิชาการที่รบกวนโลกมนุษย์มาเป็นเวลานานได้แล้ว และเพราะสิ่งนั้น เราก็ได้ทำให้ยมโลกเปิดกว้างสู่ความเป็นไปได้หลาย ๆ อย่างมากขึ้นด้วย”
อาร์ทิสพยักหน้าและเอ่ยอย่างไม่แน่ใจ “ข้าว่าเมื่อก่อนเคยมียมทูตเช่นเจ้าอยู่นะ และตอนนี้พวกมันก็อยู่ต่ำกว่าระดับพื้นดินลงไปจนถึง 18 ฟุต ที่ถูกคลุมไปด้วยต้นหญ้าสูงไปแล้ว ซึ่งตอนนี้เจ้ากำลังทดสอบความอดทนของข้าอีกครั้งสินะ…บางทีเจ้าควรที่จะรู้สึกขอบคุณในความเมตตาของข้า….”
ฉินเย่เมินเฉยต่ออสรพิษที่กำลังส่งเสียงขู่เขาอยู่ที่มุมห้อง เด็กหนุ่มเพียงนอนเงยหน้าขึ้นมองหลังคาและครุ่นคิด
ถีงแม้ว่าเขาจะคิดหัวข้อวิจัยขึ้นมาได้ด้วยหวังว่า จะได้เข้าร่วมงานประมูลในปลายเดือนมิถุนายน แต่มันก็ยังมีอะไรมากกว่านั้น!
ยกตัวอย่างเช่น มันเหมือนกับว่าเขาค้นพบวิถีสู่ความร่ำรวยในโลกแห่งการฝึกตนขึ้นโดยบังเอิญ!
งานวิจัยนี้มีคะแนนความดี 4,000 คะแนนและคะแนนการสอนอีก 500 คะแนน ตราบใดที่เขาสามารถทำเล่มวิจัยที่มีมาตรฐานเดียวกันขึ้นมาได้อีก เขาก็จะได้รับคะแนนมากมายนับไม่ถ้วน! และขุมทรัพย์ของกลุ่มผู้พิทักษ์แห่งสวรรค์ก็จะไม่ต่างอะไรกับสวนหลังบ้านของเขา!
นอกจากนี้คะแนนการสอนยังใช้เพื่อเลื่อนตำแหน่ง ซึ่งหมายถึงจำนวนส่วนลดที่มากขึ้น…
ชีวิตในตอนนี้งดงามเกินไปแล้ว…
“หึหึ…เจ้าดูเหมือนกับหมาบ้าที่กำลังจับตามองเนื้อติดกระดูกชิ้นหนึ่งอยู่ไม่มีผิด…หรือข้าควรจะบอกว่าท่าทางแบบนี้เองก็เหมาะกับเจ้าดีเหมือนกัน…” อาร์ทิสเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงรังเกียจ “แทนที่จะใช้ชีวิตอยู่กับอดีต ไม่ใช่ว่าเจ้าควรมองไปข้างหน้าก่อนหรือ? ยกตัวอย่างเช่น…คิดว่าเจ้าจะติดต่อกับทางโรงประมูลเจียเต๋อได้อย่างไร?”
นิ้วที่ดูเหมือนกำลังจะบรรเลงบทเพลงแห่งความสุขในอากาศหยุดชะงักไป
หลังจากนั้นไม่นาน ฉินเย่ก็ลุกขึ้นนั่งด้วยใบหน้าที่บูดบึ้ง “มันจะทำให้ท่านตายหรืออย่างไรที่จะปล่อยให้ข้าได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขสักคืน? ท่านนี่ไม่ต่างอะไรกับพวกก็อบลินที่ชอบขัดเลยจริง ๆ”
“มันไม่ทำให้ข้าตาย” อาร์ทิสตอบตามจริง “แต่ข้าก็ไม่ได้รู้สึกดีกับมันเช่นกัน จะว่าไป ข้ารู้สึกว่าเจ้าต้องการการบำบัดด้วยไฟฟ้าเสียบ้าง บางทีเจ้าอาจจะเจอภาพลวงตาไปเอง…”
ราวกับยอมพ่ายแพ้แต่ชะตากรรม ฉินเย่ลุกจากเตียง เปิดแล็ปท็อปของตนและมองไปที่หน้าจอโทรศัพท์
วันนี้คือวันที่ 21 พฤษภาคม
โรงประมูลเจียเต๋อจะประกาศรายการสิ่งของทั้งหมดที่จะอยู่ในการประมูลครั้งใหญ่ของฤดูร้อนในวันที่ 1 มิถุนายน ซึ่งเป็นสิ่งที่สอดคล้องกับธรรมเนียมที่ปฏิบัติมานาน ว่าพวกเขาจะให้เวลาลูกค้า 20 วันในการหาเงินและเข้าร่วมการประมูล
หรือในอีกความหมายหนึ่งก็คือ เขามีเวลาอีกประมาณสิบวันในการยืนยันการเข้าร่วมงานประมูลใหญ่ประจำฤดูร้อน และเจรจาเกี่ยวกับการจำนองไม้ฮวงหัวลี่ที่มีอยู่ของตัวเองกับทางโรงประมูลเจียเต๋อเพื่อหาเงินมาใช้ในการประมูลถ้วยพระเนตรสวรรค์เปลี่ยนสีนั่นเอง
เขาย่นคิ้วเข้าหากันขณะที่เปิดหน้าเว็บไซต์ของโรงประมูลเจียเต๋อและคลิกที่ตัวเลือก ‘ติดต่อเรา’ จากนั้นเขาก็พิมพ์ข้อความลงไปในกล่องข้อความที่ปรากฏขึ้น “ผมฉิน ผมต้องการจะสอบถามเกี่ยวกับการประมูล กรุณาติดต่อกลับทันทีที่คุณเห็นข้อความนี้”
ชุดคำทั้งหมดปรากฏขึ้นบนหน้าจออย่างรวดเร็ว “คุณฉิน ขอโทษด้วยครับที่ต้องให้รอ คุณตัดสินใจที่จะเจอกับทางเราแล้วหรือครับ?”
“เมืองเป่า–…” นิ้วมือของฉินเย่ชะงักไป
อายุที่มากขึ้นทำให้สายตาของเขาเฉียบคมขึ้น
“มีอะไร?” อาร์ทิสที่เห็นท่าทีลังเลของอีกฝ่ายเอ่ยถามด้วยความอยากรู้ “เจ้าก้าวขาข้างหนึ่งเข้าไปในประตูแล้ว จะลังเลอะไรอีก? เจ้ากำลังทดสอบอะไรอยู่หรือไง?”
ฉินเย่กลอกตา “คนคนนี้มีบางอย่างผิดปกติ….”
โดยไม่ปล่อยให้รอนาน เขาเอ่ยต่อ “ในเวลาแบบนี้ ไม่ใช่ว่าคำถามควรจะเป็น ‘คุณตัดสินใจได้แล้วหรือครับ?’ แทนที่จะเป็น ‘คุณตัดสินใจที่จะเจอกับทางเราแล้วหรือครับ?’ หรอกหรือ? ข้ายังไม่ได้ตัดสินใจเรื่องการประมูลเลยด้วยซ้ำ ดังนั้นสิ่งใดที่ทำให้เขามั่นใจขนาดนั้นว่าข้าจะยอมพบกับเขากัน?”
รอยยิ้มบนใบหน้าของอาร์ทิสหายไปเช่นกัน นางหรี่ตาลง “เช่นนั้น…บางทีเขาอาจจะแค่ร้อนใจอยากจะเจอเจ้า แต่นั่นก็ไม่สอดคล้องกับหน้าที่ของเขาในงานประมูลเลยสักนิด เขาเป็นเพียงทางผ่านเท่านั้น มันควรเป็นเจ้าต่างหากที่รีบร้อนต้องการจะเจอเขา ไม่ใช่สลับกันเช่นนี้”
“และหากเป็นเช่นนั้น…ทำไมเขาถึงต้องอยากรีบเจอเจ้าขนาดนี้? เว้นก็แต่…” แววตาของนางวูบไหว “มีบางอย่างเกิดขึ้นกับถ้วยพระเนตรสวรรค์เปลี่ยนสี? บางทีพวกเขาอาจจะไม่สามารถนำมันมาประมูลได้? จนต้องนำสมบัติของเจ้าไปประมูลแทน?”
“ไม่ใช่แค่นั้น” ฉินเย่เอ่ยเสียงเรียบ “ตอนนี้เป็นเวลาดึกมากแล้ว แต่หัวหน้าของโรงประมูลกลับยังออนไลน์อยู่ มันแทบจะเหมือนกับว่า…เขากำลังรอข้าอยู่ไม่มีผิด”