ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 224: การพบกันอีกครั้ง
บทที่ 224: การพบกันอีกครั้ง
ฉินเย่อยู่ที่มุมห้องอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็กะพริบตาปริบ ๆ ลุกยืนขึ้นอย่างเงียบ ๆ ใช้มือของตัวเองสางผม หยิบโทรศัพท์ออกมาและกดแอปขนส่ง
“เจ้าทำอะไรน่ะ ?” อาร์ทิสถามด้วยมุมปากที่กระตุกเล็กน้อย นางรู้สึกสังหรณ์ไม่ดีกับสิ่งที่กำลังจะตามมา
“ข้าอยากจะโยนทุกอย่างทิ้งไปและออกเดินทางไปเที่ยว… ท่านคิดว่าหากข้าไปหลบอยู่ในส่วนลึกของเมืองวาติกัน ข้าจะสามารถหลบหนีจากเรื่องทั้งหมดนี้ได้หรือไม่ ?” ฉินเย่เริ่มหาตั๋วเครื่องบินด้วยความรู้สึกเจ็บปวดอย่างสุดซึ้ง
เป็นอย่างที่คิด… อาร์ทิสกลอกตา นางไม่ควรคาดหวังอะไรจากอีกฝ่ายเลยสักนิด… เพราะอย่างไรแล้ว เราก็กำลังพูดถึงผู้ที่มีความเกียจคร้านมากจนไม่มีทางลงมือปฏิบัติสิ่งใดอย่างจริงจังเว้นเสียแต่ว่าหมดหนทางจริง ๆ นางไร้เดียงสาเกินไปจริง ๆ ที่คาดหวังว่าเด็กหนุ่มผู้นี้จะสามารถเปลี่ยนไปได้ภายในข้ามคืน…
“เจ้าไม่เคยคิดเกี่ยวกับการยึดครองโลก ยืนอยู่บนบัลลังก์อำนาจ ความยิ่งใหญ่ และเพลิดเพลินไปกับเหล่าหญิงงามบ้างเลยหรือ ? ไม่ใช่ว่านี่ควรจะเป็นความทะเยอทะยานของบุรุษทุกคนหรืออย่างไร ? เก้าในสิบของตัวเอกชายนั้นเป็นดั่งพวกทรราชที่ท้าทายสวรรค์… แต่เหตุใดเจ้าถึงแตกต่างอย่างชัดเจนเช่นนี้ ?”
ฉินเย่ส่ายหน้าด้วยความประหลาดใจเป็นอย่างมาก “ท่านมีความคิดที่ไม่สมจริงพวกนี้ได้อย่างไร ? ข้าเคยบอกท่านแล้วไม่ใช่หรือว่าอย่าดูละครมากเกินไป ? สมองของท่านทำงานแย่ลงเรื่อย ๆ แล้ว !”
อาร์ทิสที่ได้ยินเช่นนั้นก็เงียบไปทันที
ดูเหมือนว่านางจะต้องให้เหตุผลคนตรงหน้าด้วยหมัดสินะ !
ขณะที่ฉินเย่กำลังเลื่อนหาตั๋วเครื่องบินเพื่อหลบหนีอย่างมีความสุข เขาก็ได้ยินเสียงดังขึ้นบริเวณกลางขาทั้งสองข้างของตน – ปั้ง !! มันน่าตกใจจนเขาเกือบจะทำโทรศัพท์ในมือตกลงพื้น
อาร์ทิสค่อย ๆ ถอนเส้นผมที่ปักลงไปบนแผ่นกระเบื้องที่อยู่ระหว่างขาของอีกฝ่ายออกพร้อมกับเอ่ยเสียงเย็น “ข้าให้โอกาสเจ้าทบทวนตำแหน่งหน้าที่ของตัวเองอีกครั้ง”
ฉินเย่มองแผ่นกระเบื้องระหว่างขาของตนราวกับเห็นผี หลุมที่อยู่บนกระเบื้องแผ่นนั้นใหญ่ประมาณขนาดของดินสอแท่งใหญ่ และมันก็ลึกมากจนเขาสามารถมองเห็นห้องพักที่อยู่ข้างล่างได้ เด็กหนุ่มได้สติและค่อย ๆ ลุกยืนขั้นพร้อมกับรอยยิ้มเอาใจ “นี่มันจำเป็นจริง ๆ น่ะหรือ ? พวกเราเป็นเหมือนครอบครัวที่รักกันไม่ใช่หรืออย่างไร ? เรายังเข้ากันได้ดี ดังนั้นท่านไม่จำเป็นจะต้องใช้ความรุนแรงเลยสักนิด… เอาแบบนี้ก็แล้วกัน เรามานั่งลงและคุยเรื่องอิซานามิกันดี ๆ เถอะ เอาล่ะ เราพูดถึงไหนกันแล้วนะ ?”
“ข้ารับรองความปลอดภัยของเจ้า” อาร์ทิสเริ่มต้นด้วยการมอบความมั่นใจให้ฉินเย่เพื่อที่อีกฝ่ายจะได้นั่งฟังเรื่องทั้งหมดจนจบ มันสามารถพูดได้ว่าตอนนี้นางกำลังอยู่ในการต่อสู้ที่ต้องใช้สติปัญญาและความกล้าอย่างมาก
ฉินเย่นั่งหลังตรงทันที
อาร์ทิสกลอกตาใส่อีกฝ่าย “เจ้าเคยคิดบ้างหรือไม่ว่าการปรากฏตัวขึ้นของถ้วยพระเนตรสวรรค์เปลี่ยนสีเป็นเรื่องใหญ่มากเพียงใด ? พวกองเมียวจิจะต้องสัมผัสได้ถึงสิ่งนี้ และเป้าหมายของพวกเขาก็คือทำลายดวงวิญญาณของโอดะโนบูนางะไปพร้อมกับมัน ยมโลกของที่ญี่ปุ่นเองก็คงจะตรวจจับถึงการมีอยู่ของมันได้เช่นกัน และเป้าประสงค์ของพวกนั้นก็คือแย่งดวงวิญญาณของเขากลับไปที่ยมโลกของที่นั่นเพื่อรับใช้อย่างไม่ต้องสงสัย แต่โนบูนางะกลับปรากฏตัวขึ้นในรูปแบบของวิญญาณอาฆาต และเขาก็จะหายไปทันทีหากวิญญาณของเขาถูกปัดเป่าโดยมนุษย์ หรือหากจะให้พูดอีกนัยหนึ่งก็คือ แม้ว่าแต่ละฝ่ายจะดูเหมือนว่าร่วมมือกัน แต่แรงจูงใจและผลลัพธ์ที่พวกเขาต้องการนั้นแท้จริงแล้วแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง”
หากพูดกันตามความจริง ฉินเย่นั้นเป็นคนที่ค่อนข้างเชื่อถือได้เมื่อเขาลงมือทำสิ่งต่าง ๆ อย่างจริงจัง อย่างน้อยที่สุด เขาก็เข้าใจทันทีว่าอาร์ทิสต้องการจะสื่ออะไร “สู้กับพวกเขาทีละฝ่าย ?”
“หากจะพูดให้ถูก มันเรียกว่าหลักแบ่งแยกแล้วปกครอง” อาร์ทิสอธิบาย “หากเจ้าไม่ทำเช่นนี้ เจ้าจะได้พบกับการต่อต้านจากทั้งสามฝ่ายพร้อมกัน ทั้งโอดะโนบูนางะ องเมียวจิ และกองกำลังจากยมโลกของที่ญี่ปุ่น ในกรณีนี้ เป้าหมายของเจ้านั้นสอดคล้องกับพวกองเมียวจิมากที่สุด เนื่องจากโดยพื้นฐานแล้ว พวกเขาไม่ต้องการให้วิญญาณร้ายอย่างโนบูนางะปรากฏตัวขึ้นบนแผ่นดินญี่ปุ่นอีกตลอดกาล”
ฉินเย่ที่ได้ยินเช่นนั้นจึงยกมือขึ้นลูบคางแล้วเอ่ยเสริมจากคำของอาร์ทิส “และมันไม่เพียงเท่านั้น… สิ่งที่ข้าต้องการนั้นก็ไม่ได้ขัดแย้งกับความต้องการของโอดะโนบูนางะเลยแม้แต่น้อย เขาจะต้องไม่ยอมก้มหัวให้กับกองกำลังของยมโลกของญี่ปุ่นอย่างแน่นอน… เพราะไม่ว่าอย่างไรแล้ว ความฝันของเขาก็คือการรวมญี่ปุ่นให้เป็นหนึ่ง แต่ตอนนี้ผู้ปราบปรามกลับกำลังเผชิญหน้ากับโอกาสที่จะถูกปราบปราม เช่นนี้แล้วเขาจะพอใจได้อย่างไร ?”
ดวงตาของฉินเย่เป็นประกายขึ้น เขากระดิกนิ้วเล็กน้อย และแท่งชอล์กก็ลอยมาอยู่ในมือ จากนั้นเด็กหนุ่มก็เริ่มวาดแผนผังความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสามฝ่ายลงบนพื้นขณะที่เอ่ยพึมพำกับตัวเอง “ดูสิ แท้จริงแล้วฝ่ายเดียวที่เราจะต้องเผชิญหน้าด้วยมีเพียงกองกำลังของอิซานามิเท่านั้น มันไม่จำเป็นจะต้องเปิดศึกกับฝ่ายอื่นเลยสักนิด อันที่จริง มันอาจจะมีโอกาสสำหรับการร่วมมือด้วยซ้ำ… ถูกไหม ?”
“ร่วมมือกับองเมียวจิและสัญญาว่าจะนำวิญญาณของโอดะโนบูนางะกลับมา จากนั้นก็ติดต่อกับโอดะโนบูนางะและล่อลวงเขาด้วยข้อเสนอในการยึดครองญี่ปุ่นอีกครั้ง ด้วยวิธีนั้น ฝ่ายเดียวที่เราจะต้องเผชิญหน้าด้วยก็มีเพียงกองกำลังจากยมโลกของอิซานามิเท่านั้น” อาร์ทิสเอ่ยเสริมอย่าเห็นด้วย
ฉินเย่โยนชอล์กในมือออกไปอย่างตื่นเต้น “เรียบร้อย ! ปฏิบัติการในครั้งนี้จะถูกใช้ชื่อว่า ‘ปกป้องโนบูนางะ’ …ไม่สิ ‘ปกป้องไดเมียวโนบุนางะ’ ! แล้วกัน”
“เตรียมตัวให้พร้อม” เขาหันไปมองอาร์ทิสด้วยท่าทีที่ค่อนข้างเป็นธรรมชาติ “ท่านมีแผนที่จะไปคุยแต่ละฝ่ายเมื่อใด ?”
แววตาของอาร์ทิสเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวทันที “ข้าหรือ ?”
ฉินเย่กะพริบตาปริบ ๆ ก่อนจะชี้ตัวเองอย่างสยดสยองและตกตะลึง “ท่านคิดจะให้ข้าไปจริง ๆ น่ะหรือ ? นี่ท่านกำลังพยายามทำให้ยมโลกเสื่อมเสียเกียรติหรืออย่างไรกัน ?”
“นี่เจ้าอยากจะถูกแม่บีบคอจนตายหรืออย่างไร เจ้าลูกนอกคอก ?!!” อาร์ทิสระเบิดอารมณ์ออกมาอย่างไม่พอใจ ผมของนางพุ่งออกไปราวกับกระแสน้ำ มัดร่างของฉินเย่ ตรึงแขนและขาของเขาเอาไว้ขณะที่กัดฟันกรอดและเอ่ยว่า “คนเป็นและคนตายไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้ ! ข้อได้เปรียบทั้งหมดที่เรามีนั่นคือการที่เจ้าเป็นบุคคลของทั้งสองโลก และพวกยมทูตของญี่ปุ่นก็ไม่สามารถทำในสิ่งที่เจ้าสามารถทำได้ ! เจ้าคือผู้เดียวที่จะสามารถทำให้แผนการเหล่านี้บรรลุผล ! แล้วเจ้ากล้าดีอย่างไรถึงปัดความรับผิดชอบของตัวเองเช่นนี้ ?!”
“ใจเย็น ๆ! ใจเย็น ๆ!” ฉินเย่เหงื่อตก “นี่มันน่าอับอายเกินไปแล้ว นี่มันเป็นการทำให้ยมโลกเสื่อมเสียเกียรติอย่างถึงที่สุด ! ความอับอายของบุรุษ ! ความอัปยศ !”
“เจ้าต่างหากที่กำลังทำให้ยมโลกเสื่อมเสียเกียรติ ! นี่เจ้าไม่มีจิตสำนึกบ้างเลยหรืออย่างไร ?!”
“ไม่… ข้าหมายถึง ข้าไม่เคยมีประสบการณ์เช่นนี้มาก่อน… ท่านช่วยเบามือกว่านี้สักนิดไม่ได้หรือ… อ่าา พระเจ้า…”
เจ้าหนู… เตรียมพบกับจุดจบของเจ้าซะ !
เส้นผมสีดำขลับของนางฟาดลงไปราวกับแส้ โจมตีฉินเย่อย่างไร้ความปรานี จากนั้น… หลังจากผ่านไปประมาณสิบนาที อาร์ทิสก็คลายการจองจำของตนเองในที่สุดและมองไปที่ฉินเย่อย่างน่าสะพรึงกลัว “นั่นคือยมโลกแห่งอื่น ยมทูตจะไม่สามารถข้ามอาณาเขตได้โดยปราศจากคำอนุญาตของยมโลกนั้น ๆ น่าเสียดายที่ยมโลกแห่งใหม่ยังไม่มีแม้แต่โครงสร้างพื้นฐานที่จะอนุมัติกฎนี้ในตอนนี้ อันที่จริง มันยังไม่สามารถแต่งตั้งให้ข้ากลับไปเป็นยมทูตดังเดิมได้ด้วยซ้ำ แต่เจ้านั้นแตกต่างออกไป เจ้าสามารถเข้าร่วมงานประมูลได้อย่างเปิดเผยในฐานะของมนุษย์ ดังนั้นนี่จึงเป็นสิ่งที่มีแค่เจ้าเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถทำได้”
ฉินเย่นอนลงกับพื้น หอบหายใจอย่างหนัก เสื้อผ้าของเขาขาดวิ่น และเขาก็คร่ำครวญออกมาอย่างอ่อนแรงราวกับหมูที่กำลังจะตาย
รอก่อนเถอะ… ข้าจะตัดสินโทษให้ท่านลงไปชดใช้ที่ขุมนรกแห่งการลงทัณฑ์ทั้ง 18 ทันทีที่ข้าขึ้นเป็นขั้นตุลาการนรก !
………………………………………………………..
ณ เวลา 00.30 น.ของคืนต่อมา ฉินเย่คลานออกไปด้านนอกโดยใช้พุ่มดอกกุหลาบพุ่มเดิม ทันทีที่เขาออกมาจากปลายอีกด้านหนึ่งของพุ่มไม้ เขาก็พบว่าไป๋อี้ชานกำลังรอตนอยู่ก่อนแล้ว
อีกฝ่ายกำลังเดินไปมาอย่างร้อนใจขณะที่รอฉินเย่อยู่ตรงหน้าโรงแรมที่อยู่ติดริมถนน และเขาก็รีบวิ่งมาทันทีที่เห็นฉินเย่
“คุณฉิน !” แม้ว่าจะไม่ได้เจอกันเพียงแค่วันเดียว แต่ไป๋อี้ชานกลับดูซีดเซียวกว่าเดิม เบ้าตาของเขาจมลึกมากขึ้นและร่างกายของเขาก็แสดงถึงความวิตกกังวลที่เขามีได้อย่างชัดเจน เขาโค้งคำนับให้ฉินเย่ “ขอบคุณสำหรับคำแนะนำครับ อย่างน้อย… ผมก็สามารถรอดมาจากเมื่อคืนได้ เกี่ยวกับสิ่งที่จะทำให้ผมปลอดภัย…”
“แน่นอน ผมเอามาด้วย” ฉินเย่หยิบแผ่นยันต์ที่ได้เขาได้รับมาจากอาร์ทิสออกมา ยันต์แผ่นนี้ถูกอาบด้วยพลังขั้นตุลาการนรกของนาง ตราบใดที่คู่ต่อสู้ไม่ได้แข็งแกร่งกว่าขั้นตุลาการนรก พวกมันจะไม่สามารถทำร้ายผู้ที่เป็นเจ้าของยันต์แผ่นนี้ได้แม้แต่น้อย
อย่างไรก็ตาม ยันต์แผ่นนี้สามารถใช้ได้เพียงแค่ห้าครั้งเท่านั้น
ดวงตาของไป๋อี้ชานเป็นประกาย เขาหมดหวังมากจนเชื่อทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉินเย่พูดออกมาในตอนนี้ เขารีบยื่นมือออกไปรับมันไว้แต่แล้วก็ต้องพบว่าฉินเย่กลับไม่ยอมปล่อยมือ
“แล้วเรื่องที่ผมขอให้คุณไปจัดการเมื่อวานนี้ล่ะ ?”
เรื่องอะไร ?
ไป๋อี้ชานมึนงงอยู่ครู่หนึ่ง แต่เมื่อเขาเห็นฉินเย่เริ่มมีสีหน้าแย่ขึ้นเรื่อย ๆ เขาก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้
ใช่ ! ก่อนที่พวกเขาจะแยกกัน ฉินเย่พูดถึงอะไรสักอย่างที่มีมูลค่าพันล้าน….
“คุณไม่ได้ถามสินะ” ประโยคที่ฉินเย่เอ่ยออกมาทำให้ไป๋อี้ชานเหงื่อตก เขารีบทรุดตัวลงกับพื้นต่อหน้าฉินเย่อย่างไม่ลังเล จับขากางเกงของเด็กหนุ่มแน่นขณะที่อ้อนวอนเสียงอ่อน “คุณฉิน ผมขอโทษจริง ๆ ครับ ! อย่างที่คุณทราบ ผมเหมือนตกอยู่ในนรกตลอดหลายวันที่ผ่านมา วันนี้ครับ ! ผมสัญญาว่าคุณจะได้คำตอบที่น่าพึงพอใจภายในเวลาสี่โมงเย็นอย่างแน่นอน !”
ฉินเย่มองคนตรงหน้าและวางยันต์ลงบนศีรษะของอีกฝ่าย “คุณจำได้หรือเปล่าว่าผมขอให้คุณทำอะไร ?”
ไป๋อี้ชานส่ายหน้าอย่างเจื่อน ๆ
“ไม้ฮวงหัวลี่” ฉินเย่จ้องลึกเข้าไปในตาของอีกฝ่าย “ผมอยากจะขายไม้ฮวงหัวลี่มูลค่าพันล้านหยวนเพื่อที่จะได้สามารถประมูลถ้วยพระเนตรสวรรค์เปลี่ยนสีมาได้ หากคุณไม่สามารถจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยได้ภายในเดือนนี้ล่ะก็….”
ฉินเย่มองยังที่แผ่นยันต์อย่างสื่อความหมาย ไป๋อี้ชานที่เห็นเช่นนั้นก็รีบเก็บมันไปทันที ในที่สุดเขาก็รู้สึกมั่นใจขึ้น ความวิตกกังวลของเขาคลายลงในที่สุด
หลังจากถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ไป๋อี้ชายก็รู้สึกสงบและมีสติมากกว่าเดิม เขาจับที่หน้าอกของตัวเอง ณ ตำแหน่งที่เขาเก็บแผ่นยันต์เอาไว้และพึมพำเบา ๆ “คุณฉินครับ ดูเหมือนว่าคุณได้ตรวจสอบเกี่ยวกับการแข่งขันในงานประมูลที่จะมาถึงมาบ้างแล้ว สินค้าชิ้นเดียวที่มีมูลค่าพันล้านหยวนนั้นไม่เคยมีมาก่อน สินค้าราคาสูงที่สุดที่เราเคยประมูลมาจนถึงตอนนี้คือภาพวาดของปิกัสโซ่ที่มีชื่อว่า ‘เจ้าหนุ่มสูบไปป์’ และราคาของมันก็คือ 100 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่ถึงอย่างนั้น… ผมเกรงว่าแค่เงินพันล้านหยวนอาจจะไม่เพียงพอสำหรับงานประมูลในครั้งนี้”
เขาลอบมองสีหน้าของฉินเย่ก่อนจะเอ่ยต่อ “สิ่งที่เรากำลังพูดถึงคือสมบัติของชาติ นอกจากนี้… โรงประมูลเจียเต๋า… ไม่ได้เปิดบัญชี VIP ระดับสูงให้กับคนจีนเท่านั้น”
แววตาของฉินเย่วูบไหวเล็กน้อย “คุณกำลังจะบอกว่ามันยังมีพวกมหาเศรษฐีต่างชาติที่สนใจมันเช่นกันอย่างนั้นเหรอ ?”
ไป๋อี้ชานพยักหน้า “ถ้วยนี้ถูกผลิตออกมาเป็นคู่ เดิมทีถ้วยอีกใบหนึ่งอยู่ในมือของโทกูงาวะ อิเอยาซุ แต่ต่อมามันก็ถูกส่งต่อให้กับหนึ่งในหกกลุ่มบริษัทญี่ปุ่นรายใหญ่อย่างมิตซูบิชิ อิวาซากิโคยาตะ ประธานบริษัทคนก่อนมีความฝันที่จะสะสมถ้วยทั้งสองด้วยกันมาโดยตลอด ซึ่งมันก็บังเอิญว่าหนึ่งในผู้ถือบัญชีแบล็คการ์ดของเราคือประธานบริษัทคนปัจจุบันของกลุ่มบริษัทมิตซูบิชิพอดี ยิ่งกว่านั้น เขายังเป็นทายาทสายตรงของตระกูลอิวาซากิด้วย”
ฉินเย่ขมวดคิ้วยุ่ง “เขา…”
“เขาได้แสดงเจตจำนงว่าจะไม่ยอมให้สมบัติของชาติของตนตกไปอยู่ในมือของต่างชาติเป็นอันขาด หรือจะให้พูดอีกอย่างก็คือเขาเตรียมพร้อมที่จะซื้อมัน ไม่ว่าจะราคาเท่าไหร่ก็ตาม” ไป๋อี้ชานอธิบายอย่างจริงจัง “จากการคาดคะเนของเรา ถ้วยใบนี้น่าจะสามารถมีราคาสูงถึง 1.5 พันล้านหยวนได้อย่างง่ายดาย เพราะอย่างไรแล้ว นี่ก็เป็นครั้งแรกที่สมบัติของชาติปรากฏขึ้นในงานประมูล มันอาจจะไม่เป็นการพูดเกินจริงเลยหากจะบอกว่าราคาของมันอาจจะเกิน 2 ล้านหยวน”
ฉินเย่กะพริบตาปริบ ๆ อยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะพยักหน้าพร้อมกับถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน “เข้าใจแล้ว คุณไปเตรียมการทุกอย่างที่จำเป็นซะ บอกพวกเขาว่าไม่มีขีดจำกัดในเรื่องสต็อกของไม้ฮวงหัวลี่ แล้วก็บอกด้วยว่าผมรับเฉพาะเช็คที่สามารถนำไปขึ้นเงินได้ทั่วโลกเท่านั้น”
ในที่สุดไป๋อี้ชานก็จากไปพร้อมกับคำขอบคุณมากมาย
ทว่าฉินเย่กลับเดินไปเดินมาอยู่แถวนั้นอีกสักพัง เดินไปตามขอบถนนขณะที่มองไปยังความมืดข้างหน้า
เขาเคยคิดอยู่เหมือนกันว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากมีใครบางคนแย่งถ้วยพระเนตรสวรรค์เปลี่ยนสีไปได้ก่อนที่งานประมูลจะเริ่มขึ้น แต่แล้วเมื่อครู่นี้เขาก็เข้าใจเรื่องสำคัญบางอย่าง… ว่างานประมูลจะยังดำเนินต่อไป
ตอนนี้มีอยู่สี่ฝ่ายที่กำลังแข่งกัน และทั้งสี่ฝ่ายต่างก็รู้ดีว่าถ้วยพระเนตรสวรรค์เปลี่ยนสีได้แตกออกเป็นสองส่วนและมีเพียงส่วนเดียวเท่านั้นที่จะถูกขายในงานประมูล มันไม่มีเหตุผลอะไรที่จะสู้เพื่อเศษชิ้นส่วนที่จะถูกประมูลหากพวกเขาไม่ได้มีอีกส่วนหนึ่งเพื่อทำให้มันสมบูรณ์ ดังนั้นฝ่ายเดียวที่จะเคลื่อนไหวก่อนที่งานประมูลจะต้องเป็นฝ่ายที่มีอีกครึ่งหนึ่งของถ้วยอย่างแน่นอน และการลงมือตอนนี้ก็จะเท่ากับการประกาศให้ฝ่ายอื่น ๆ รู้ว่าพวกเขามีอีกครึ่งหนึ่งของถ้วยพระเนตรสวรรค์เปลี่ยนสีอยู่ในครอบครอง ! นี่คือเหตุผลว่าทำไมทุกคนถึงกำลังรอเวลา รอให้การประมูลจบลงเพื่อที่จะได้รู้ว่าฝ่ายใดกันที่จะได้รับเศษชิ้นส่วนประมูลไป จากนั้น… การแข่งขันเพื่อแย่งชิงถ้วยพระเนตรสวรรค์เปลี่ยนสีถึงจะเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ
“การแย่งชิงระหว่างองเมียวจิ ยมโลกของญี่ปุ่น กองกำลังของโอดะโนบูนางะ รวมถึงมหาเศรษฐีลำดับต้น ๆ ของโลก หึหึหึ…” สายลมยามค่ำคืนที่เย็นสบายพัดผ่านเส้นผมของเขาเบา ๆ “มันจะน่าตื่นเต้นแค่ไหนกัน….”
“อยากจะรู้จริง ๆ ว่าเมื่อทุกอย่างเริ่มต้นขึ้น จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อคนขี้ขลาดอย่างเราก้าวเข้าไปอยู่ในการแข่งขันเดียวกันกับคนพวกนั้น ?”
เขาหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้และส่ายหน้าไปมา
ที่เขาทำทุกอย่างมาจนถึงตอนนี้ก็เพียงเพื่อเอาชีวิตรอด
มีทั้งราชาผีทั้งสามของกงล้อแห่งสังสารวัฏ และยังมีภัยคุกคามจากตี้ทิงที่สามารถปะทุพร้อมกับหายนะที่ตามมาได้ตลอดเวลา
และการเดินทางไปที่ตงไห่ครั้งนี้ก็เพื่อเป้าหมายสองประการ ประการแรกคือเพื่อให้ได้มาซึ่งถ้วยพระเนตรสวรรค์เปลี่ยนสี และประการที่สองก็คือเพื่อสร้างเส้นทางการค้าทองคำสำหรับยมโลกโดยการขายไม้ฮวงหัวลี่ หากเขาทำสำเร็จ… นี่ถึงจะเป็นจุดเริ่มต้นที่แท้จริงของยมโลก !