ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 228: ถึงที่ตงไห่
บทที่ 228: ถึงที่ตงไห่
“มานี่ ยิ้มกว้าง ๆ นะครับ พูดชีส !” พร้อมกับเสียงกดชัตเตอร์ ชายหนุ่มคนหนึ่งยื่นโทรศัพท์คืนให้กับหลินฮั่น อาจารย์หนุ่มแย้มยิ้มกว้างและโบกมือ “ขอบคุณครับ”
ตอนนี้เป็นช่วงต้นเดือนมิถุนายน ดวงอาทิตย์ฉายแสงสดใส
ตอนนี้พวกเขากำลังยืนอยู่ที่ริมแม่น้ำแห่งหนึ่ง อาคารสูงเสียดฟ้าที่รู้จักกันในอีกชื่อว่าหอไข่มุกตะวันออกตั้งอยู่ตรงข้ามกับฝั่งแม่น้ำที่พวกเขายืนอยู่ อันที่จริง มันตั้งอยู่ท่ามกลางตึกระฟ้าอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นศูนย์การเงินนานาชาติผิงอัน ธนาคารแห่งการสื่อสาร ธนาคารแห่งชาติ หรือศูนย์ประชุมนานาชาติ…. ตึกระฟ้าเหล่านี้สะท้อนแสงระยิบระยับกับอาทิตย์จนเกิดเป็นเส้นขอบฟ้าที่สวยงามในช่วงต้นฤดูร้อน
เรือสำราญแล่นไปตามแม่น้ำอันกว้างใหญ่ขณะที่นักท่องเที่ยวต่างชาติกว่าพันคนถือกล้องถ่ายรูปของตนขึ้นจากฝั่งตรงข้ามของแม่น้ำ พยายามเก็บทัศนียภาพอันสวยงามของเมืองใหญ่ การจราจรของผู้คนถนนเองก็แออัดไม่แพ้กัน
แต่มันช่างน่าแปลกนัก
ทั่วทั้งเมืองกำลังส่งเสียงดังเป็นอย่างมาก แต่การยืนอยู่ข้างแม่น้ำกลับให้ความเงียบสงบที่ไม่สามารถอธิบายได้
พวกเขาเพิ่งมาถึงเมื่อเช้าตรู่ของวัน การเดินทางจากมณฑลอันฮุ่ยมายังตงไห่ใช่เวลาไม่ถึงสามนาที จากที่นั่น พวกเขาใช้เวลาขับรถไม่นานก็เดินทางมาถึงที่ใจกลางเมืองเพื่อลงทะเบียนมาถึงกับทางเจ้าหน้าที่ของอาคารตงไห่ 653 ก่อนปฏิเสธการพาชมรอบ ๆ ของพวกเขาอย่างสุภาพ ๆ และออกมาเดินเที่ยวรอบเมืองด้วยตัวเอง
“ทำไมคุณต้องทำหน้าแบบนั้นในทุกรูปที่เราถ่ายด้วยกันด้วย ?” อาจารย์ผู้สอนทั้งสามท่านแต่งตัวด้วยชุดลำลองของพวกเขา และหลินฮั่นก็กำลังเลื่อนดูรูปที่พวกเขาถ่ายด้วยกันอย่างไม่พอใจ “การถ่ายรูปร่วมกับผมมันทรมานใจมากเลยเหรอ ? ผมจะบอกให้นะว่าผมน่ะเป็นหนึ่งในผู้ชายที่หน้าตาดีที่สุดตั้งแต่ชั้นประถมจนถึงมหาวิทยาลัยเลย แล้วแบบนี้ผมจะยังดีไม่พอที่จะถ่ายรูปกับคุณได้ยังไง ?”
ฉินเย่กลอกตา มันเป็นนิสัยของเขาอยู่แล้วที่จะปฏิเสธการบันทึกภาพทุกรูปแบบ น่าเสียดายที่หลินฮั่นนั้นดูจะตื่นเต้นกับการเดินทางเป็นอย่างมากจนเขาไม่สามารถปฏิเสธคำขอถ่ายรูปกลุ่มของอีกฝ่ายได้ และมันก็เป็นตอนนั้นเองที่เด็กหนุ่มยอมยกเว้นให้กับเจ้าฮัสกี้ที่ตื่นเต้นจนเกินจริงตรงหน้า
“เราจะไปที่ไหนต่อดี ?” หลินฮั่นหันมาถามอย่างตื่นเต้น ในขณะที่ฉินเย่กลับตอบอย่างเกียจคร้าน “กลับไปนอนพักที่โรงแรม”
“…ในฐานะของคนรุ่นใหม่ คุณไม่คิดบ้างหรือว่าตัวเองไม่ค่อยมีความทะเยอทะยานในชีวิตเท่าไหร่นัก ? ในอนาคตข้างหน้า เราอาจจะไม่โอกาสแบบนี้อีกแล้วนะ”
“ช่างโอกาสเถอะ” ซู่เฟิงเองก็รู้สึกเหนื่อยเล็กน้อยเช่นกัน เขาจิบเครื่องดื่มและอาบแสงแดดอุ่น ๆ ราวกับแมวตัวหนึ่ง “พวกเรายังมีเวลาอีกหนึ่งเดือนเต็ม ๆ โดยทั่วไปแล้วการประชุมแลกเปลี่ยนทางวิชาการจะใช้เวลาไม่เกินหนึ่งอาทิตย์ เรายังมีเวลาอีกสามอาทิตย์ในการที่จะไปเที่ยวตามต้องการ แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว”
“น่าเบื่อชะมัด !” หลินฮั่นไม่พอใจกับปฏิกิริยาของเพื่อนอาจารย์ผู้สอนอีกสองคนของตนเป็นอย่างมาก “ถ้าอย่างนั้นพวกคุณก็กลับไปก่อนเถอะ ผมขอเดินเที่ยวรอบ ๆ ต่ออีกนิด”
ฉินเย่ไม่ได้เอ่ยถามอะไรอีก เขาขึ้นแท็กซี่พร้อมกับซู่เฟิงและกลับไปที่โรงแรมซึ่งตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ ห้องของเขาอยู่บนชั้นที่ 32 จากจุดนี้เขาสามารถมองเห็นภาพทิวทัศน์ของเขตเศรษฐกิจได้อย่างทั่วถึง
เขาค่อย ๆ ดึงม่านปิด สูดหายใจเข้าช้า ๆ จากนั้นจึงดึงกระเป๋าออกมาจากใต้เตียง และทันทีที่เด็กหนุ่มเปิดมัน ฉินเย่ก็ต้องผงะไป เขามองดูกระเป๋าของตนราวกับเห็นผี
กระเป๋าเดินทางที่ควรจะเต็มไปด้วยกองเสื้อผ้า อุปกรณ์อาบน้ำและของใช้ส่วนตัวที่ถูกจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบ บัดนี้ เสื้อผ้าทั้งหมดยังคงอยู่ แต่สิ่งที่เพิ่มเติมมาคือตัวหนังสือสีแดงที่ถูกเขียนอยู่ทั่วทุกมุมของกระเป๋า “ไปตายซะ !”
“กล้าดีอย่างไรถึงมัดข้าแบบนี้ ?!”
“ข้าขอเตือนไว้เลยนะ ! ข้าจะฟ้องเจ้าข้อหาทำร้ายร่างกายผู้สูงอายุหากเจ้าไม่นำข้าออกไปเดี๋ยวนี้ !”
มุมปากของฉินเย่กระตุกอย่างไม่สามารถควบคุมได้ด้วยความโมโห แต่ก่อนที่เขาจะได้เอ่ยอะไรออกมา เสียงที่น่าสะพรึงกลัวก็ดังมาจากส่วนลึกของกระเป๋า หมิงชีหยินลอยออกมาภายใต้กองเสื้อผ้า เขาได้ฟื้นคืนพลังจนไม่จำเป็นจะต้องสื่อสารผ่านการตัวอักษรอีกแล้ว ตอนนี้เขาสามารถพูดสื่อสารได้ดังเดิม
“ประหลาดใจจริง ๆ ที่เจ้ายังจำได้ว่ามีข้าอยู่…”
ชายหนุ่มและกระจกประจันหน้ากัน ฉินเย่หน้าซีดลงเล็กน้อย “ท่าน….”
“ไม่ได้ ! ไม่มีทาง ! ข้าไม่ทำ ! มันจบไม่สวยแน่ ! เจ้าคิดว่าตัวเองเก่งมากเลยใช่หรือไม่ ? หนีออกไปข้างนอกโดยไม่คิดที่จะเปิดกระเป๋าให้ข้าออกมาเลยแม้แต่น้อย ?! เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้างในนี้มันอึดอัดแค่ไหน ?! เจ้าจะชดใช้ให้ข้าอย่างไรหากข้าสติแตกขึ้นมา ?!”
ฉินเย่ตกตะลึงกับการต่อว่าอย่างกะทันหันนี้ ทว่าก่อนที่เขาจะได้รวบรวมความคิดและโต้แย้งข้อกล่าวหาพวกนี้ วาจาที่ดุร้ายก็ยังคงดำเนินต่อไป “อยู่ในยมโลกก็ดีอยู่แล้ว แต่เจ้ากลับยืนยันที่จะให้ข้าตามมาด้วย นั่นยังพอทน แต่เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงเก็บข้าไว้ในกระเป๋ากับอุปกรณ์อาบน้ำพวกนั้น ?! ข้าอาจจะยังสามารถมองข้ามเรื่องนั้นไปได้หากไม่ใช่เพราะข้อเท็จจริงที่ว่ามันยังมีชั้นในเก่า ๆ ของเจ้าวางอยู่ข้าง ๆ ข้า และยังเต็มไปด้วยกลิ่นของเจ้า ! ทว่าข้าก็สามารถทนมันได้หากเป็นระยะเวลาสั้น ๆ แต่เจ้ากลับขังข้าอยู่ในนั้นเป็นชั่วโมง ! เจ้าอยากจะตายอย่างทรมานมากขนาดนั้นเลยใช่หรือไม่ ?!”
หะ ?
ฉินเย่หยิบชั้นในของตนออกมาจากด้านล่างของกระเป๋าด้วยความสยดสยองจนแทบจะเหมือนกับเพิ่งเห็นผี ชั้นในแต่ละตัวของเขาถูกเขียนด้วยตัวอักษรสีแดงฉาน – “สั้น !” “อ่อน !” “ไร้ประโยชน์ !” “สวะ !” “เท่าเข็ม !”
เงียบ
ห้าวินาทีต่อมา หน้าต่างบานหนึ่งบนชั้นที่ 32 ของอาคารเปิดออก และแขนที่ถือกระจกก็ยื่นออกมาจากช่องว่างที่เปิดออกนั้น ฉินเย่กัดฟันกรอดและโพล่งกลับไปพร้อมกับเขย่ากระจกในมืออย่างแรง “ข้าให้เวลาท่านสามวินาทีในการเอ่ยคำขอโทษ ! ท่านรู้หรือไม่ว่าการตกในแนวดิ่งคืออะไร ? อยากจะลองดูหรือไม่ ? เพียงแค่พูดมา และข้าจะส่งท่านขึ้นสวรรค์ตอนนี้เลย !”
“หึหึ! เอาสิ ! โยนข้าเลย ! รออะไรอยู่เล่า ?! อ้อ ข้ากลัวเหลือเกิน… ข้าตัวสั่นไปหมดแล้ว แน่จริงก็เอาเลย !”
“ให้ตายเถอะ… ต่อไปท่านคงจะเดินข้ามหัวข้าแน่ ๆ หากวันนี้ข้าไม่สอนบทเรียนให้ท่านเสียบ้าง! ข้าจะปล่อยแล้วนะ ! ข้าจะปล่อยท่านจริง ๆ แล้ว ! ข้าขอเตือน ! นี่คือโอกาสสุดท้ายของท่านที่จะเอ่ยขอโทษ !”
“ฮ่า ๆๆๆๆ! ข้ากลัวเหลือเกินนนนน ! ข้าจะบอกอะไรเจ้าให้นะ ในการเดินทางนี้ เจ้าจะไม่สามารถทำอะไรได้เลยหาปราศจากข้า ! ข้าไม่สน ข้าจะไม่ยอมปล่อยเรื่องนี้ไป ! หากข้าไม่สามารถทำให้เจ้าเอ่ยคำขอโทษออกมาได้ในวันนี้ก็อย่ามาเรียกข้าว่าหมิงอีกเลย !”
นี่คือผลของการปะทะกันทางนิสัย
ทุกอย่างดำเนินไปเช่นนั้น ทั้งสองฝั่งตะโกนใส่กันไปมาอย่างดุเดือดอย่างไม่มีใครยอมใคร ทว่าทันใดนั้น… ราวกับตระหนักได้ว่านี่เป็นการโต้แย้งที่ไม่มีที่สิ้นสุด ฉินเย่เตรียมจะหดแขนกลับเข้ามาหลังจากผ่านไปสิบกว่าวินาที และวินาทีนั้นเอง ขณะที่เขากำลังจะนำกระจกกลับเข้ามาในห้องและโยนมันไปที่เตียง แขนของเขากลับกระแทกเข้ากับกรอบหน้าต่างโดยบังเอิญ ทำให้เด็กหนุ่มเผลอคลายมือออกด้วยความเจ็บปวด กว่าเขาจะตอบสนองได้ทัน หมิงชีหยินก็พลันตกลงไปพร้อมกับเสียงร้องที่ดังลั่นไปทั่ว
“ไปตายซะ… เจ้า… เจ้ากล้าทำมันจริง ๆ!…” หมิงชีหยินกรีดร้องออกมาสุดเสียงด้วยความโกรธขณะที่ตกลงไปด้านล่าง ฉินเย่แน่นิ่งไปด้วยความหวาดกลัว หัวใจของเขาตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่มทันที
ชิบหายแล้ว !
เขาเพิ่งทำตัวช่วยเพียงหนึ่งเดียวในตอนนี้ร่วงลงไป ?!
หากปราศจากความช่วยเหลือจากหมิงชีหยิน เขาก็ไม่รู้เลยว่าตัวเองจะรับมือกับยมทูตญี่ปุ่นได้อย่างไร !
เขาหมุนตัวกลับและเตรียมจะวิ่งลงไปด้านล่างทันที แต่ทันใดนั้นเขาก็ชะงักและชะโงกหน้าออกไปนอกหน้าต่างอีกครั้งอย่างกระวนกระวายใจ อย่างน้อยเขาก็ต้องรู้ว่ามันจะตกลงไปตรงไหน และมันจะโดนใครหรือเปล่า หัวใจของเด็กหนุ่มกำลังถูกฉีกกระชากจากผลที่จะตามมา และตอนนี้หัวใจของเขาก็ตกลงไปด้านล่างเช่นเดียวกับหมิงชีหยินเมื่อครู่นี้ ครู่ต่อมา ฉินเย่ประสานมือทั้งสองข้างเข้าด้วยกันคล้ายกับกำลังภาวนาขณะที่ชะโงกหน้าออกนอกหน้าต่างและมองลงไปด้านล่าง “อย่าแตกนะ… อย่าแตก ! ท่านเป็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์ของยมโลกไม่ใช่หรือ ? ท่านคงจะไม่พังเพราะเรื่องแค่นี้ใช่ไหม !”
แต่ปาฏิหาริย์ก็ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งนัก
สายตาของผู้ที่อยู่ขั้นยมทูตขาวดำนั้นดีกว่ามนุษย์ทั่วไปมาก ดังนั้นเขาจึงไม่เพียงเห็นว่าหมิงชีหยินยังคงตกลงไปเท่านั้น แต่เขายังเห็นด้วยว่า… วิถีของมันยังตกลงไปบนศีรษะของใครบางคนที่อยู่ข้างล่างด้วย !
“ชิบหายแล้ว…” โลกของเขาแตกสลายอย่างสมบูรณ์ เขารู้สึกว่าขาทั้งสองข้างของตัวเองไร้เรี่ยวแรง จากนั้น หนึ่งวินาทีต่อมา หมิงชีหยินก็กระแทกเข้ากับศีรษะของใครบางคนเสียงดัง !
มันจบแล้ว…
ฉินเย่ส่งเสียงคร่ำครวญออกมาอย่างทุกข์ทรมานใจขณะที่เขาใช้มือของตัวเองเสยผมไปข้างหลังอย่างหมดหวังและทรุดตัวลงคุกเข่าอย่างเจ็บปวด
หมดหวังแล้ว… กระจกโบราณบานนั้นจะรอดจากการตกลงไปจากชั้น 32 ได้ยังไง ? ใครจะไปคิดว่าการเดินทางมาที่ตงไห่ที่ดูเหมือนจะไม่มีอันตรายอะไรจะทำให้เขากลายเป็นฆาตกร นิยายเรื่องนี้อาจจะต้องจบลงตรงนี้เสียแล้ว….
“เอ๊ะ ?” ทันใดนั้นเอง แววตาที่สิ้นหวังของเขาก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม ฉินเย่ลุกยืนขึ้นและมองลงไปด้านล่างอีกครั้ง
ฟึ่บ… ด้านล่างไม่มีเหตุการณ์นองเลือดอย่างที่เขาคาดว่าจะได้เห็น กลับกัน… มันมีเพียงกลุ่มก้อนพลังสีดำที่กระจายตัวไปรอบ ๆ ราวกับดอกปี่อั้นสีดำที่บานออกเท่านั้น
“นี่มัน… พลังหยิน…” ฉินเย่อ้าปากค้าง ภายในหัวของเขาตื้อไปหมด ความคิดแรกที่แวบเข้ามาในหัวของเขาก็คือเขาควรออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้ !
พลังหยิน… ย่ำตะวัน ! นี่จะต้องเป็นวิญญาณที่อยู่ขั้นยมทูตขาวดำเป็นอย่างต่ำ !
ตู้ม !
ร่างของผู้เคราะห์ร้ายที่อยู่ด้านล่างขยายออกราวกับลูกโป่งก่อนจะระเบิดพลังหยินออกมาราวกับน้ำพุร้อนขนาดใหญ่ ผู้คนที่อยู่โดยรอบต่างกรีดร้องออกมาอย่างหวาดกลัวขณะที่พวกเขารีบวิ่งออกจากบริเวณ ในขณะเดียวกันเหล่าเจ้าหน้าที่ตำรวจก็เริ่มวิ่งมาจากรอบด้าน
“ไม่… นี่ไม่ใช่แค่พลังหยินธรรมดา” หลังจากพิจารณาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้านล่างอยู่ประมาณสองวินาที ฉินเย่ก็เลียริมฝีปากและเอ่ยออกมาเสียงดัง “นี่มัน… พลังหยินของยมทูต !”
“และเป็นยมทูตนอกอาณาเขตด้วย…” เขาหันไปมองทางปากแม่น้ำ “ยมทูตของญี่ปุ่น”
“พวกเขา… มาถึงแล้ว !”
ความคิดมากมายเริ่มหลั่งไหลเข้ามาในหัว ยมทูตญี่ปุ่นมาถึงแล้ว… แต่ทำไมถึงเป็นตงไห่ ? นั่นมีเพียงเหตุผลเดียวเท่านั้น
“อีกฝ่ายก็คิดเหมือนกันกับเรา โรงประมูลเจียเต๋อจะไม่เดินทางไปที่ทะเลหลวงโดยผ่านเมืองเยียนจิง และตงไห่ก็เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด ดังนั้น….”
เขาสูดหายใจเข้าช้า ๆ และหรี่ตาลง “พวกเขาจึงตัดสินใจ… มาสกัดการขนย้ายถ้วยพระเนตรสวรรค์เปลี่ยนสีในขณะที่มันหยุดพักระหว่างทาง ! พวกเขาไม่เปิดโอกาสให้มันไปถึงที่สถานที่ประมูลด้วยซ้ำ !”
“หากเกิดเรื่องผิดพลาด กรณีที่แย่ที่สุดก็คือโอดะโนบูนางะตื่นขึ้นอย่างสมบูรณ์และเราก็ไม่สามารถแย่งวิญญาณของเขามาได้ แต่นี่ก็ยังอยู่บนแผ่นดินจีน ! มันจะต้องเป็นเรื่องยากมากที่โอดะโนบูนางะจะกลับไปที่ญี่ปุ่น และสิ่งนั้นก็จะทำให้พวกเขามีเวลาเตรียมตัว…”
เขาหรี่ตาลง ทันใดนั้นเอง ความคิดของฉินเย่ก็ถูกทำลายด้วยเสียงกรีดร้องที่ดังสนั่น “อ๊ากกกกกก–!!” กระจกโบราณพุ่งกลับขึ้นมาบนชั้นที่ 32 ขับเคลื่อนด้วยน้ำพุพลังหยินขนาดใหญ่ ฉินเย่ที่เห็นเช่นนั้นรีบคว้ามันเอาไว้อย่างรวดเร็ว กระจกโบราณตกใจกับความพลิกผันของเหตุการณ์จนลืมว่าตนสามารถพูดได้แล้ว ข้อความแถวหนึ่งปรากฏขึ้นบนผิวหน้าของกระจกอย่างรวดเร็ว “พะ พะ พอกันที ! ข้าเพิ่งกระแทกเข้ากับ…”
“ยมทูต” ฉินเย่รีบเก็บกระจกกลับเข้าไปในกระเป๋าและรีบมุ่งไปที่แผนกต้อนรับทันที “มีความเป็นไปได้ 99% ที่มันจะเป็นยมทูตญี่ปุ่น พวกนั้นวางแผนที่จะลงมือที่นี่ ! พวกเราต้องออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้ หากช้ากว่านี้… เราจะกลายเป็นเป้าสายตาของอีกฝ่าย !”
ด้วยเหตุนี้เด็กหนุ่มจึงรีบเช็คเอาท์ออกจากโรงแรมทันที โชคดีที่เมืองตงไห่มีโรงแรมอยู่เกลื่อนไปหมด ฉินเย่จึงไม่มีปัญหาอะไรกับการหาที่อยู่ใหม่ ถึงแม้ว่าตำแหน่งของโรงแรมนี้จะไม่ได้ดีเหมือนกับโรงแรมแรก แต่เขาก็สามารถมองเห็นโรงแรมแห่งแรกที่เขาเคยพักได้จากห้องพักของเขาตอนนี้
และทันทีที่เขาเปิดหน้าต่าง รูม่านตาของเขาก็หดเล็กลงทันที
พลังหยิน…
พลังหยินที่มีลักษณะพิเศษสามสายพุ่งมารวมตัวกัน ณ จุดเกิดเหตุอย่างรวดเร็ว แต่ละกลุ่มก้อนพลังเปลี่ยนเป็นพายุที่รุนแรง เบื้องหน้าของพายุพวกนั้นมีตุ๊กตาคนกระดาษที่แบกธงไว้ด้านหลังติดอยู่ พวกมันก็กรีดร้องออกมาอย่างโหยหวนขณะที่พุ่งตรงไปที่โรงแรม !
“ยมทูตนอกอาณาเขต ! ขั้นยมทูตขาวดำทั้งสามตนเลยด้วย !” หมิงชีหยินอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึงระคนหวาดกลัว มันหลุดออกมาจากกระเป๋าเดินทางเมื่อครู่นี้และตอนนี้ก็กำลังมองไปยังกลุ่มพายุทั้งสามที่ก่อตัวขึ้นอย่างตกตะลึง จากนั้นจึงเอ่ยออกมาอย่างเดือดดาล “ไอ้พวกเวรนี่ ! กล้าดีอย่างไรถึงกล้าขึ้นมาเหยียบแผ่นดินจีน ?! หากเป็นเมื่อก่อน ยมทูตนอกอาณาเขตทุกตนจำเป็นจะต้องรายงานให้พวกเราได้ทราบทุกครั้ง แม้ว่าพวกมันจะแค่เดินทางผ่านอาณาเขตน่านน้ำของเราก็ตาม ! ไม่มีผู้ใดกล้าเคลื่อนไหวหากไม่ได้รับอนุญาต ! ทุกอย่างกลายเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร….”
ฉินเย่นิ่งเงียบ
หากพูดกันตามจริง เขารู้สึกว่าแก้มทั้งสองข้างของตัวเองร้อนขึ้น และเปลวไฟที่ร้อนรุ่มก็เริ่มลุกโชนขึ้นในใจ
นี่เป็นผลของการที่อยู่กับอาร์ทิสมากเกินไป เขาเริ่มยอมรับข้อเท็จจริงที่ว่าตัวเองจะต้องเป็นจ้าวนรกองค์ต่อไปของยมโลก และตอนนี้… หลังจากได้ยินอาร์ทิสพูดถึงความรุ่งโรจน์ของยมโลกแห่งเก่าอยู่บ่อยครั้ง บวกกับการที่มียมทูตญี่ปุ่นบุกรุกเข้ามาในอาณาเขตของเขา ฉินเย่พลันรู้สึกไม่พอใจอย่างไม่น่าเชื่อ
นี่มันเป็นการหยามหน้าเขาชัด ๆ!