ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 23 ร่องรอยของเศษตราชิ้นถัดไป
บทที่ 23 ร่องรอยของเศษตราชิ้นถัดไป
ทัศนียภาพตรงหน้าของเขายังคงห่างออกไปเรื่อย ๆ เขามองเห็นเมืองชิงซีที่คุ้นเคย ถนนที่ทอดยาวออกไปและทุ่งหญ้ากว้างในเขตชานเมือง…มันยังคงไล่ไปตามทางที่คดเคี้ยวต่อไปจนกระทั่งถึงด่านเก็บเงินขนาดเล็ก คำสลักขนาดใหญ่ปรากฏสู่สายตา
นครเซี่ยเจียง
นครขนาดใหญ่ที่มีเมืองชิงซีเป็นส่วนประกอบย่อย นี่คือด่านเก็บเงินของ นครเซี่ยเจียง! แต่ภาพตรงหน้ายังไม่หยุดอยู่แค่นั้น มันยังคงเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ลึกเข้าไปในนคร ผ่านใจกลางเมืองไปจนถึงเขตชานเมือง ก่อนจะหยุดลงตรงหน้าสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่
มันค่อนข้างมืดมนและแข็งกร้าว กำแพงเหล็กสีเทาสู้กว่า 10 เมตรตั้งอยู่รอบอาคาร หลอดไฟขนาดใหญ่ถูกติดตั้งอยู่เหนือตัวกำแพงยังคงหมุนไปรอบ ๆ อย่างระแวดระวัง ประกายของลวดไฟฟ้าสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนในความมืด รัศมีอันน่าเกรงขามที่แผ่ออกมาจากตัวตึกทำให้มันดูคล้ายกับสัตว์ประหลาดที่กำลังเดินหากินในยามราตรี
“นี่มัน…” ฉินเย่กุมขมับของตัวเอง คราบเลือดจำนวนนับไม่ถ้วนเปรอะเปื้อนอยู่บนกำแพง ขณะที่เสียงครวญครางดังขึ้นให้ได้ยินจากอีกด้านหนึ่งของกำแพง เมื่อสายตาเทพของเขาเคลื่อนเข้าไปใกล้บริเวณนั้น เขาก็สังเกตเห็นถึงรายละเอียดเล็กน้อยบางอย่าง รวมทั้งราวจับเหล็กที่ปกคลุมด้วยสนิมและขั้นบันไดที่ผุกร่อนจนเป็นสีดำ…จากนั้น ในเสี้ยววินาทีต่อมา ดวงตาสีแดงเลือดคู่หนึ่งพลันเบิกกว้างขึ้น จ้องมองทะลุผ่านกำแพงตรงมาที่เขา
ฉินเย่เองก็มองเห็นอีกฝ่ายเช่นกัน
ดวงตาที่สามของเขาทั้งคู่ผสานกันแม้ว่าร่างกายของพวกเขาจะอยู่ห่างกันหลายร้อยไมล์
พลังหยิน มันคือคลื่นพลังหยินที่แข็งแกร่งว่าพลังของผีสาวที่เขาเจอก่อนหน้านี้ อันที่จริง พลังหยินของที่นี่แข็งแกร่งมากจนฉินเย่สามารถสัมผัสได้แม้ว่าจะอยู่ห่างกันมากก็ตาม
ประมาณสามวินาทีต่อมา ภาพทั้งหมดก็หายไปในอากาศ แต่ถึงอย่างนั้น เหมือนกับพวกนักสู้หลายคน ออร่าของพวกเขาต่างได้ถูกสลักและตราตรึงอยู่ภายในส่วนลึกของจิตใจของกันและกันแล้ว
“ทำไมเจ้าไม่บอกข้าว่าทันทีที่ข้าจับเศษตราจ้าวนรก เจ้าของเศษตราชิ้นต่อไปจะสามารถมองเห็นข้าได้ในทันที?” ฉินเย่หันไปหาอาร์ทิสและเอ่ยลอดไรฟัน
ถูกต้องแล้ว แม้ว่ามันจะเป็นการเผชิญหน้ากับไม่กี่วินาที แต่เขาก็รับรู้ได้ทันทีว่ามันหมายความว่าอย่างไร วัฏจักรอันไร้ที่สิ้นสุดเริ่มหมุนแล้ว และสุดท้าย…มีเพียงผู้ที่ครอบครองเศษตราจ้าวนรกได้ทั้งหมดเท่านั้นที่จะสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไป
“ข้าลืมไปน่ะ” อาร์ทิสเอ่ยตอบอย่างไม่จริงใจนัก “ไม่ว่าในสถานการณ์ไหน การจับเศษตราจ้าวนรกก็เป็นเพียงทางเดียวที่จะสามารถออกไปจากที่นี่ได้ หรือว่าเจ้าอยากที่จะกำจัดมนุษย์สี่คนที่รอเจ้าอยู่ด้านนอกนั่น?”
ฉินเย่ยิ้มแหยพร้อมกับนวดขมับของตัวเอง “ข้าอุตส่าห์เริ่มคิดว่าจะสามารถเชื่อใจเจ้าได้บ้างแล้ว…”
อาร์ทิสที่ได้ยินเช่นนั้นเพียงพึมพำเบา “อย่างนั้นหรือ…ช่างน่าเสียดาย…”
แต่ก่อนที่จากจะพูดจบ ฉินเย่ก็พุ่งตัวไปที่กำแพงกระจกที่อยู่ล้อมรอบดาดฟ้าเสียแล้ว
เพล้ง!!
ชายทั้งสี่ที่ยืนอยู่รอบตึกต่างผงะไปในทันที ภาพที่พวกเขาเห็นก็คือแผ่นกระจกที่แตกออกเป็นเสี่ยง ๆ ขณะที่ผู้ชายสวมชุดคลุมยาวสีดำพุ่งออกมาจากอาคารราวกับนกฮูกในตอนกลางคืน เขาสวมหมวกทรงสูงที่มีคำว่า “ใครพบเจอข้าความตายจะมาเยืยนเจ้า” เขียนเอาไว้ ใบหน้าของอีกฝ่ายซีดเซียวไร้สีเลือด…
“นี่มัน…” ชายทั้งสี่ชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน “ยมทูตขาวดำอย่างนั้นเหรอ?!”
ฟึ่บ….ไม่มีใครสนใจกับร่มที่ตนเองถืออยู่เลยสักนิด ร่มทั้งสี่คันถูกพัดพาไปตามสายฝนที่โปรยปรายลงมา ในขณะที่สายฝนเริ่มเบาบางลง หยาดฝนที่ควรจะตกกระทบกับร่างกลับลอยอยู่เหนือผิวหนังของพวกเขาราวกับพวกเขาคือเรือที่แล่นผ่านผืนน้ำ และในขณะเดียวกัน เสื้อผ้าของพวกเขาก็เริ่มปลิวไสวโดยปราศจากสายลม
ทว่าชายลึกลับกลับไม่รอให้ผู้ฝึกตนทั้งสี่ได้มีปฏิกิริยา ใด ๆ อันที่จริง เขาไม่แม้แต่จะหยุดลงสักนิดเลยด้วย เขายังคง…ทะยานขึ้นไปบนทางฟ้าราวกับเหยี่ยว!
อึก! ชายทั้งสี่ที่เตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ยืนนิ่งเป็นก้อนหินทันที ร่างลึกลับทะยานผ่านพวกเขาไปอย่างรวดเร็ว วินาทีต่อมา หลังจากที่พวกเขาได้สติจากอาการตกตะลึง พวกเขาก็มองไปบนฟ้าอย่างไม่เชื่อสายตาของตัวเอง
ครื้น! สายฟ้าฟาดลงมา และร่างลึกลับดังกล่าวก็หายตัวไปเสียแล้ว
ไม่มีใครเอ่ยอะไรทั้งสิ้น
และก็ไม่มีใครกล้าขยับตัวเลยสักคน
หยาดฝนไม่ได้ลอยอยู่เหนือร่างของพวกเขาอีกต่อไป กลับกัน มันกลับสาดกระเซ็นไปทั่วใบหน้าของทั้งสี่ แต่มันคล้ายกับว่าพวกเขาไม่ได้ตระหนักถึงสิ่งนี้มากนัก พวกเขายังคงมองดูท้องฟ้ายามค่ำคืนที่ฉินเย่มุ่งหน้าไป
“บิน…” หลายวินาทีต่อ หนึ่งในชายสวมชุดสูทก็เปิดปากพูดออกมาด้วยเสียงสั่นเทา “บินเหรอ? เขาบินจริง ๆ เหรอ? ฉันตาฝาดไปหรือเปล่า?”
“ไม่…” ชายที่ติดตามฉินเย่เป็นคนแรก AC-285 เองก็เอ่ยด้วยเสียงที่สั่นไม่แพ้กัน แม้แต่มือของเขาเองก็สั่นระริกราวกับเพิ่งเห็นผี จากนั้นจึงส่ายศีรษะไปมาอย่างจนปัญญา “เขาบินไป จริง ๆ…เขาบินขึ้นไปจริง ๆ…”
“ตะ..แต่มันจะเป็นไปได้อย่างไร?! แม้แต่หัวหน้าหน่วยก็ยังไม่สามารถทำอย่างนี้ได้! ผู้ชายคนนั้นคือยมทูตขาวดำจริง ๆ อย่างนั้นเหรอ?!”
เกิดอะไรขึ้นกับข้อตกลงที่ว่านี่จะเป็นแค่การเผชิญหน้ากันของผู้ที่อ่อนแอ? มันเหมือนกับว่าขณะที่ทุกคนกำลังเล่นกันอยู่ในบ่อน้ำเล็ก ๆ จู่ ๆ ชายคนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นและบอกว่าเขาได้จองบ่อน้ำนี้ไว้แล้ว นี่มันหมายความว่าอะไรกัน?
“ค่าระดับพลังเขาคือเท่าไหร่?!” ชายที่พูดขึ้นเป็นคนแรก AC-276 ที่ในที่สุดก็ได้สติรีบตะโกนถามเพื่อนเสียงดัง “เร็วเข้า! ค่าระดับพลังของเขาคือเท่าไหร่?!”
แต่ชายอีกสามคนได้เปิดแผนผังแปดทิศ [1] ของตนดูไปแล้วก่อนที่ AC-276 จะเอ่ยจบ ทว่าทันทีที่ดวงตาทุกคู่จ้องมองไปยังกระดานในมือของตัวเอง พวกเขาก็ต้องเบิกตากว้างขึ้นอย่างตกตะลึง
“เกิดข้อผิดพลาด…ไม่สามารถตรวจสอบได้ครับ…” AC-285 อ้าปากค้างขณะที่จ้องมองเข็มบนกระดานหมุนไปมาอย่างบ้าคลั่ง “มะ…มันมากเกินว่าที่จะอ่านค่าได้…”
ติ้ด! ติ้ด!…ทันใดนั้นเอง เสียงโทรศัพท์ของ AC-276 ก็ดังขึ้น ร่างของเขาสะดุ้งโหยงและรีบรับสายโทรศัพท์ทันที เสียงพูดดังออกมาจากอีกด้านหนึ่งของปลายสาย “หัวหน้าครับ! ทางเราตรวจจับได้ถึงพลังเหนือธรรมชาติที่ไม่สามารถวัดค่าได้จากทางฝั่งตะวันออกครับ! อนุญาตคำสั่งยิงหรือไม่ครับ? โปรดสั่งการด้วย!”
เสียงของอีกฝ่ายดังออกมาผ่านลำโพงโทรศัพท์ แต่ก่อนที่เขาจะเอ่ยจบ ทั้งสี่ก็รีบพูดออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน “ไม่! อย่าเปิด!”
ล้อเล่นหรือเปล่า?! นี่มันเกินกว่าความเข้าใจของพวกเราไปแล้วนะ บุคคลที่สามารถบินได้คนนั้น…อาจจะเป็นยมทูตขาวดำตัวจริงก็ได้! ถ้าหากพวกเขายิงอีกฝ่าย ผลที่ตามมาคงจะเลวร้ายจนล้นพ้นแน่ ๆ!
“แจ้งทางกองบัญชาการให้ทราบเรื่องนี้ทันที กองบัญชาการนคร….ไม่! กองบัญชาการมณฑล! บอกพวกเขาว่าทางหน่วยสืบสวนพิเศษขอการเข้าถึงสัญญาณดาวเทียม! ไม่…ไม่ใช่ นี่ไม่ใช่แค่คำขอ! บอกพวกเขา ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหน เราก็ต้องติดตามรอยของชายที่เพิ่งออกไปจากที่นี่ให้ได้!”
“รับทราบ!”
หลังจากวางสาย ชายทั้งสี่ก็มองหน้ากันอย่างสับสนอีกครั้ง ไม่รู้ว่าตัวเองควรพูดอะไรออกมา
สิ่งที่พวกเขาได้ประสบในครั้งนี้มันเลวร้ายมากเกินไป มันได้ทำลายแนวคิดเกี่ยวกับคำว่า ‘พลัง’ ที่อยู่ในใจของพวกเขาไปอย่างสิ้นเชิง นี่คือพลังที่แท้จริงของยมทูตขาวดำอย่างนั้นหรือ?
ความกังวลลึก ๆ ผุดขึ้นในใจของพวกเขา การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ประเทศจีนกำลังประสบนั้นไม่ได้เป็นความลับต่อหน่วยงานระดับบนของรัฐบาลแต่อย่างใด ในความจริงแล้ว ประเทศจีนได้เริ่มใช้มาตรการตอบโต้หลายมาตรการตั้งแต่เมื่อหลายสิบปีก่อน แต่ตอนนี้…บุคคลในตำนานอย่างยมทูตขาวดำกลับเริ่มปรากฏตัวขึ้นแล้วอย่างนั้นเหรอ?
ครื้น!….เสียงฟ้าร้องดังขึ้นอีกครั้งหนึ่ง AC-276 ยังคงมองไปยังท้องฟ้าที่ห่างไกลพร้อมกับใบหน้าที่ฉายชัดถึงความกังวล เขากัดฟันแน่นและเอ่ยสั่งการผู้ใต้บังคับบัญชาของตน “ติดต่อเจ้าหน้าที่ทหารที่ประจำการที่นครเซี่ยเจียง ขออนุญาตในการระดมพลทหารทั้งหมดให้เคลื่อนย้ายไปที่เมืองชิงซี ผมต้องการตัวเจ้าหน้าที่ทั้งหมด…ไม่ว่าจะอยู่ระดับใดก็ตาม!”
“AC-285 เดี๋ยวคุณช่วยจัดระเบียบรายงานลำดับเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ที่เกี่ยวกับเรื่องเหนือธรรมชาติ โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับการปราบผีและส่งทั้งหมดมาให้ผมที แล้วก็ติดต่อผู้ตรวจสอบระดับนครและขอข้อมูลสำรองของเมืองชิงซีด้วย ผมต้องการอ่านรายงานโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้”
“รับทราบ”
….
ฉินเย่ไม่ได้รับรู้สึกบทสนทนาและคำสั่งเหล่านี้เลยสักนิด พลังหยินที่ไร้ขอบเขตยังคงปกคลุมร่างของเขา พาเขาข้ามฟากฟ้าโดยที่เกิดกระแสพลังสีดำตามหลัง นับว่าเป็นโชคดีที่วันนี้ฝนตกหนัก ไม่เช่นนั้นการเคลื่อนไหวของชายหนุ่มคงเป็นภาพที่สะดุดตาผู้คนจำนวนมากอย่างไม่ต้องสงสัย
หลังจากนั้น เมื่อเขาออกมาห่างจากตัวตึกของบริษัทไฮแอตต์คอร์ปได้ประมาณ 300 เมตร เขาก็มองเห็นกองกำลังอาวุธครบมือมากกว่า 200 นายในชุดลายพรางปรากฏตัวขึ้นจากทางแยกทั้งสามสายที่มุ่งหน้าไปสู่บริษัทไฮแอตต์คอร์ป มีบางนายที่ถือปืนไรเฟิลและซุ่มอยู่ที่ชั้นดาดฟ้าของตึกในบริเวณใกล้เคียง ขณะที่คนอื่นถือโล่ที่ใช้ในการปราบจลาจลและยืนหันหน้าเข้าหาตึกของบริษัทไฮแอตต์คอร์ป
ฉินเย่ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก แม้ว่าเขาจะสามารถกำจัดชายทั้งสี่ได้อย่างง่ายดาย แต่มันก็ไม่ใช่ความคิดที่ดีนักที่จะต้องต่อสู้กับกลุ่มเจ้าหน้าที่ระลอกสอง ที่ประกอบด้วยปืนบรรจุกระสุนจำนวนไม่ถ้วนเช่นนั้น
อันที่จริง สิ่งที่ทำให้เขาหวาดกลัวที่สุดก็คือความจริงที่ว่า ณ กึ่งกลางของกองกำลังเจ้าหน้าที่ทั้งหมดนั้นมีสิ่งที่คล้ายกับศาลบรรพชนสีดำของอะไรบางอย่างที่ถูกปกคลุมด้วยยันต์สีเหลืองจำนวนมากและถูกมัดไว้ด้วยโซ่เหล็กเส้นใหญ่ตั้งอยู่ นอกจากนั้นมันยังปล่อยกลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัวออกมาอีกด้วย
“นั่นมันอะไรกัน?” เขาเอ่ยเบา ๆ ขณะที่พุ่งตัวผ่านหมู่เมฆ
อาร์ทิสครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบว่า “หากเราพูดว่าเส้นตรวจจับตัวตนเหนือธรรมชาติคือถุงยางอนามัย สิ่งนี้ก็คงเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากถุงยางอนามัย 3D มันคือที่มาของการป้องกันของมณฑลชิงซี และยังเป็นคือหัวใจสำคัญของสิ่งที่ตรวจจับเหตุการณ์เหนือธรรมทั้งหมดที่เกิดขึ้นในมณฑลชิงซีเช่นกัน เจ้าเข้าใจหรือยัง?”
เข้าใจในทันทีเลยล่ะ!
แต่แล้วมันคืออะไรกันแน่?
“ดูเหมือนว่าเจ้าหน้าที่ทั้งหมดจะถูกเรียกตัวมาที่นี่สินะ…” ฉินเย่พึมพำกับตนเองขณะที่ถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน
นี่ไม่ใช่สัญญาณที่ดีเลยสักนิด กลไกของรัฐในแต่ละประเทศจำเป็นจะต้องมีความสามารถในการตรวจสอบและรับมือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในท้องถิ่นของตนเอง เมื่อเหตุการณ์เหนือธรรมชาติเกิดขึ้นบ่อยขึ้น มันก็จะต้องมีวันที่ทางรัฐบาลจะรับมือกับปัญหานี้อย่างเปิดเผยเละสาธารณะ
และเมื่อถึงวันนั้น…มันก็ย่อมหมายความว่าทั้งประเทศจะต้องถูกเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด และมันก็ยิ่งทำให้การปกปิดตัวตนของเขายากยิ่งขึ้น
“ค่อย ๆ จัดการไปทีละขั้นก็แล้วกัน” ฉินเย่เอ่ยพร้อมกับส่ายศีรษะก่อนจะหายตัวไปจากขอบฟ้า และเพียงไม่นาน เขาก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งภายในร้านชีวิตหลังความตาย
ข้อดีเพียงอย่างเดียวของมาตรการเคอร์ฟิวทั่วประเทศก็คือความจริงที่ว่าหากมีใครสักคนออกไปข้างนอกในตอนกลางคืน มันจะไม่มีใครรู้เลยว่าเขาออกไปทำอะไร และมันก็ยิ่งเป็นความจริงสำหรับประเทศที่ยังไม่พัฒนาอย่างประเทศของเขา
ฟู่ววว…คลื่นพลังหยินที่ห่อหุ้มร่างของเขาเอาไว้สลายหายไปอย่างรวดเร็ว เผยให้เห็นรูปร่างและเสื้อผ้าแบบเดิมที่เขาสวมใส่ รู้สึกเหนื่อยเป็นอย่างมาก เด็กหนุ่มทรุดตัวลงบนโซฟาทันที ตอนแรกเขาต้องสู้กับผีสาว จากนั้นก็ต้องหนีสุดชีวิตเพื่อเอาตัวรอดจากกองกำลังเจ้าหน้าที่ ช่างเป็นค่ำคืนที่วุ่นวายจริงๆ
เมื่อความเหนื่อยล้าที่ถาโถมเข้ามา เด็กหนุ่มก็รีบหลับตาลงและปิดการรับรู้ต่าง ๆ ทันที ทว่าเขากลับไม่สามารถข่มใจให้หลับได้ เมื่อลืมตาขึ้นและหันไปมองทางนาฬิกาเรือนใหญ่ที่อยู่ในห้อง ฉินเย่ก็พบว่ามันเพิ่ง 6.00 นาฬิกาเท่านั้น
“เจ้าจะไม่พักต่ออีกสักนิดหรือ?” อาร์ทิสถาม
ฉินเย่ส่ายศีรษะ มีบางอย่างยังคงรบกวนจิตใจของเขาอยู่ และเขาก็คงจะไม่สามารถพักผ่อนได้จนกว่าจะได้ทางออกที่น่าพึงพอใจ หลังจากอาบน้ำเสร็จเรียบร้อย เด็กหนุ่มก็เดินไปนั่งลงตรงหน้าเครื่องคอมพิวเตอร์และเริ่มพิมพ์แป้นคีย์บอร์ดอย่างรวดเร็ว
“เจ้ากำลังทำอะไร?” ลูกบอลผนึกลอยมาใกล้และมองดูสิ่งที่ฉินเย่กำลังทำอย่างอยากรู้
“ระบุพิกัด GPS มันคือระบบนำทางที่ใช้สัญญาณดาวเทียมที่คำนึงถึงปัจจัยหลาย ๆ อย่างรวมทั้งความแตกต่างของสภาพอากาศและเวลา มันเป็นทางออกที่ใช้ต้นทุนต่ำ แต่สามารถสร้างข้อมูลที่มีความแม่นยำสูงอย่างค่าสามมิติของตำแหน่งที่ตั้ง ความเร็ว และเวลา เบื้องต้นแล้วมันจะวัดระยะห่างของดาวเทียมแต่ละดวงกับตำแหน่งของเครื่องรับสัญญาณ รวมข้อมูลทั้งหมดและสร้างข้อมูลของตำแหน่งที่แน่นอนให้กับเครื่องรับ…”
อาร์ทิสที่ได้ยินเช่นนั้นก็เอ่ยอย่างตกตะลึง “มันฟังดูซับซ้อนชะมัด แต่เจ้ากลับรวมทุกอย่างและอธิบายมันออกมาโดยไม่ถึงร้อยคำ สุดท้ายแล้ว…ข้าก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่าเจ้ากำลังทำอะไรอยู่”
ฉินเย่กดปุ่ม “Enter” และภาพจำนวนมากก็ปรากฏขึ้นมาบนหน้าจอ “เจ้าถูกกักขังตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“…เจ้าเด็กนี่! ระวังคำพูดของเจ้าด้วย ข้าแค่ปฏิบัติตามนโยบายการปฏิรูปของเจ้าหน้าที่ก็เท่านั้น มันไม่ได้แย่อยากที่เจ้าพูด…”
ฉินเย่เหลือบสายตามองอีกฝ่ายราวกับตนเองเพิ่งเห็นผี มันก็คือเข้าคุกเหมือนกันไม่ใช่หรือไง? ท่านคือเจ้าหน้าที่นรกระดับมณฑลที่ถูกส่งไปที่หุบเหวลึกไร้ก้นบึ้งของนรกเพื่อให้สำนึกต่อข้อผิดพลาดของตัวเอง แต่ท่านก็ยังอ้างถึงนโยบายการปฏิรูปแรงงานพวกนั้นเนี่ยนะ? ข้าคิดว่าเวลานี้ ท่านควรที่จะให้ความสนใจเกี่ยวกับการแต่งตัวมากกว่าการใช้ชีวิตนะ…เพราะตอนนี้ ความปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่ของท่านมันก็แข็งแกร่งมากพอแล้ว….
ดวงวิญญาณของอาร์ทิสกระแอมเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยว่า “ข้าจำปีที่แน่นอนไม่ได้ แต่ข้ารู้แค่ว่าปีนั้นเป็นปีที่ข้างฆ่าคนไปมากพอสมควร ในตอนนั้น ข้ากำลังคิดว่าจะหาคำอธิบายให้กับตัวเองในรายงานประจำปีตอนที่อุกกาบาตพุ่งเข้ามาสู้ชั้นสตราโตสเฟียร์ของโลกว่าอย่างไร ข้าคว้าอุกกาบาตลูกนั้นไว้ คิดที่จะใช้มันในการเล่นสนุกกับระบบขนส่งอุกกาบาตเพื่อสร้างทางหลบหนีให้กับตัวเอง แต่โชคไม่ดี ข้าไม่มีกำลังมาพอ และอุกกาบาตก็เปลี่ยนทิศทางและพุ่งเข้าชนกรุงปักกิ่ง….หากจำไม่ผิด รู้สึกว่าผู้ที่เป็นจักรพรรดิในยามนั้นจะเรียกเหตุการณ์ครั้งนั้นว่าวันสิ้นโลก”
อะไรนะ?! เจ้าเรียกสิ่งนั้นว่าเล่นสนุกเหรอ?!
ฉินเย่ชะงักเล็กน้อย หางตากระตุก “เดี๋ยวนะ…ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าการเล่นสนุกของท่านเป็นต้นเหตุของหนึ่งในภัยคุกคามต่อมนุษยชาติที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข เหตุระเบิดหว่างกงฉ่าง [2] อย่างนั้นเหรอ?”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร ‘การเล่นสนุก’? นี่มันเรียกว่าการปรับใช้ทรัพยากรในรูปแบบที่เหมาะสม เจ้าควรอ่านหนังสือให้มากกว่านี้ เจ้าเรียกการปฏิบัติการของนรกว่า ‘การเล่นสนุก’ น่ะหรือ?”
“แต่ทุกอย่างก็อยู่เหนือการควบคุมไม่ใช่หรือไง?”
“…มีหลายครั้งที่เรื่องจริงไม่ได้เป็นเหมือนอย่างความฝันและความคาดหวัง…” เมื่อรู้สึกว่าตนถูกต้อนจนจมมุม อาร์ทิสกระแอมเล็กน้อยและเอ่ยต่อว่า “มันไม่ได้แตกต่างกันมากนัก….ก็แค่ ไม่กี่หมื่นลี้….”
ฉินเย่พูดอะไรไม่ออก
ไม่กี่วินาทีต่อมา เขาก็ยกมือขึ้นนวดขมับตัวเองอีกครั้ง “มันยังคงมีช่องว่างเป็นพันปีระหว่างยุคสมัยของพวกเราอยู่ เอาแบบนี้ก็แล้วกัน คอมพิวเตอร์ไม่ได้มีไว้เพื่อใช้โพสต์ในเว็บเท่านั้น แต่มันยังสามารถใช้ตรวจสอบทุกสิ่งที่ข้าเพิ่งเห็นได้ด้วย ตอนที่ข้าจับตราจ้าวนรก ข้าเห็นผู้ครอบครองเศษตราจ้าวนรกชิ้นต่อไป และคนคนนั้นก็เห็นข้าเช่นกัน หากข้าจำกัดขอบเขตการค้นหาให้แคบลงโดยใช้องค์ประกอบต่าง ๆ เกี่ยวกับตำแหน่งที่ข้าเห็นก่อนหน้านี้ มันก็อาจจะทำให้ข้าสามารถหาตำแหน่งที่แท้จริงของเขาได้ เดี๋ยวก่อนนะ ข้ามีอะไรจะถาม…ทำไมคนแก่อย่างท่าน ที่ไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ถึงเข้าใจถึงของอย่างดนตรีและพวกวัฒนธรรมเคป๊อปได้?”
“นี่เจ้ากำลังเลือกปฏิบัติกับสตรีผู้มีอายุมากเช่นข้าอย่างนั้นหรือ?”
ฉินเย่ที่ได้ยินเช่นนั้นก็เลือกที่จะไม่สนใจอีกฝ่ายอีก เขาก็เริ่มไล่ดูรูปภาพที่ปรากฏขึ้นในผลการค้นหาของตนเอง ในเมื่อทั้งสองฝ่ายเห็นหน้ากันและกันแล้ว ทุกอย่างก็ชัดเจน แม้กว่าเขาจะไม่ได้ไปตามหาผู้ถือเศษตราคนต่อไป อีกฝ่ายก็จะมาหาเขาเอง แต่เขายังคงเชื่ออยู่ดีว่าฝ่ายที่เริ่มก่อนย่อมเป็นฝ่ายได้เปรียบ
หากไม่สามารถหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าได้ มันก็ไม่มีเหตุผลที่จะหลีกเลี่ยงอีกต่อไป! เท่าที่เขาจำได้ ผู้ถือครองเศษตราจ้าวนรกชิ้นต่อไปอยู่ในสถานที่ที่ล้อมรอบด้วยกำแพงสูง 10 เมตร ไฟสปอตไลท์ และรั้วเหล็ก ในความคิดของเขา มีสถานที่เพียงแห่งเดียวเท่านั้นที่ตรงตามข้อกำหนดนี้
เรือนจำ!
[1] แผนผังแปดทิศหรือปากั้ว สัญลักษณ์แห่งฟ้าดินที่สามารถทำนายหยั่งรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างฟ้า ดิน และมนุษย์
Ref: ( http://www.jiewfudao.com/เครื่องหมายและเครื่องใช้มงคล/แผนผังแปดทิศ.html )
[2] เหตุระเบิดหว่างกงฉ่าง ในปีค.ศ. 1626 ได้เกิดการระเบิดครั้งใหญ่ขึ้นในเมืองปักกิ่ง ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตราวสองหมื่นคน ถือได้ว่าเป็นเหตุการณ์ประหลาดที่นักประวัติศาสตร์และนักวิทยาศาสตร์ยังหาสาเหตุแน่ชัดไม่ได้จนถึงทุกวันนี้
Ref: เพจเรื่องแปลกจากจีน (https://www.facebook.com/strangestoriesfromchina/posts/425792734511466/)