ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 240: งานเลี้ยงกลางคืน
บทที่ 240: งานเลี้ยงกลางคืน
“คุณฉิน เชิญครับ” กระบวนการตรวจสอบใช่เวลาไม่นาน ไม่กี่นาทีต่อมา ชายในชุดสูทดำที่ทางเข้าก็ผายมือเชิญเด็กหนุ่ม และฉินเย่ก็ขึ้นไปบนเรือทันที
“ยินดีต้อนรับครับคุณฉิน” ไป๋อี้ชานแต่งกายในชุดสูทและยืนรออยู่ที่ด้านหน้าทางเดินที่อยู่ด้านหลังทางเข้า ทันทีที่เขาเห็นฉินเย่เดินขึ้นมา เขาก็รีบเดินไปมาด้วยรอยยิ้มทันที
ฉินเย่แย้มยิ้มบางและจับมือกับอีกฝ่าย บนเรือสำราญถือว่าค่อนข้างหรูหรา ทางเดินของพวกเขากว้างเป็นอย่างมาก อันที่จริงฉินเย่ก็ไม่รู้อะไรมากนัก มันไม่เหมือนทางเดินบนเรือเลยด้วยซ้ำ ที่ผนังของทางเดินถูกตกแต่งด้วยภาพเหมือนของประธานโรงประมูลเจียเต๋อคนก่อน ๆ ขณะที่ด้านข้างของทางเดินถูกตกแต่งด้วยต้นบอนไซที่ถูกตัดแต่งอย่างสวยงาม ฉากกั้นโบราณที่ถูกทำจากไม้แกะสลักถูกตั้งอยู่ที่ปลายสุดของทางเดิน
“เป็นคนรวยนี่ดีจริง ๆ นะครับ” ฉินเย่เอ่ยออกมาเบา ๆ และนั่นก็เรียกเสียงหัวเราะจากไป๋อี้ชานได้ทันที “โรงประมูลเจียเต๋อของเรานั้นเทียบไม่ได้เลยกับคุณฉิน ผู้ที่ขายไม้ฮวงหัวลี่มูลค่าหลายพันล้านเพื่อประมูลถ้วยพระเนตรสวรรค์เปลี่ยนสี”
ฉินเย่ไม่ได้เก็บคำพูดของไป๋อี้ชานมาใส่ใจ ขณะที่ได้รับการดูแลจากไป๋อี้ชาน เขาเดินไปตามทางเดินอย่างช้า ๆ ชื่นชมการตกแต่งและทัศนียภาพที่หรูหรา แต่แล้วคิ้วของเด็กหนุ่มก็ขมวดเข้าหากันมากขึ้นเรื่อย ๆ
อีกฝ่ายอดทนไม่เบา…
เขามั่นใจว่าพวกนั้นอยู่ขึ้นมาบนเรือแล้วแน่นอน ตอนที่เขาปล่อยพลังหยินออกมาก่อนหน้านี้ เขาสัมผัสได้ว่ามีแหล่งพลังปราณกว่าสิบที่ตอบรับเขาโดยสัญชาตญาณ นอกจากนี้ เด็กหนุ่มยังสามารถบอกได้ด้วยว่าแหล่งพลังปราณสองแหล่งนั้นอยู่ขั้นยมทูตขาวดำ ในขณะที่ส่วนที่เหลือนั้นอยู่ขั้นนักล่าวิญญาณ
อีกในหนึ่งก็คือที่นี่มีผู้ฝึกตนแฝงตัวอยู่ในทั่วทุกมุมของเรือ บรรดานักธุรกิจเหล่านี้มีแหล่งข้อมูลของตนและพวกเขาก็รับรู้ถึงสถานการณ์ของจีนในตอนนี้เป็นอย่างดี ดังนั้นมันคงจะไม่ใช่เรื่องที่เหนือความคาดหมายที่พวกเขาจะนำผู้ฝึกตนขั้นนักล่าวิญญาณติดตัวมาด้วย ซึ่งนั้นหมายความว่า…. หนึ่งในสองแหล่งพลังปราณที่ตอบรับเขาเมื่อครู่จะต้องมาจากองเมียวจิ !
แต่พลังของอีกฝ่ายหายไปอย่างรวดเร็ว
แหล่งพลังทั้งสองนั้นหายไปอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกันกับตอนที่มันตอบรับ ราวกับว่าเจ้าของพลังรู้ว่าฉินเย่กำลังพยายามจะทำอะไร พวกเขาจึงรีบเก็บพลังของตัวเองทันที ไป๋อี้ชานเดินนำเด็กหนุ่มไปที่ฉากกั้น เอ่ยคำชื่นชมเขาไม่หยุด หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งฉินเย่ก็เอ่ยแทรกขึ้นเสียงเบาว่า “พวกเราจะไปถึงที่ช่องแคบสึชิมะในตอนเที่ยงของวันมะรืนใช่ไหมครับ ?”
อีกฝ่ายผงะไปกับทำถามที่เอ่ยขึ้นกะทันหัน แต่เขาก็หันมองไปรอบ ๆ ก่อนจะเอ่ยตอบเสียงเบาว่า “ใช่ครับ”
“ผมอยากได้ข้อมูลของทุกคนที่นี่ ไม่ใช่แค่ผู้ที่ถือบัญชี VIP แบล็คการ์ด แต่รวมถึงผู้ที่เป็นผู้ติดตามของคนพวกนั้นด้วย” ฉินเย่หรี่ตาเล็กลงขณะที่มองไปรอบ ๆ
เมื่อเดินอ้อมไปหลังฉากกั้น เขาก็พบว่าด้านหลังของมันคือโถงขนาดใหญ่ที่ยาวกว่าร้อยเมตร ผู้คนในชุดราตรีและชุดสูทมากมายต่างกำลังเต้นรำไปตามจังหวะของมาเซอร์กาที่งดงามของชอแป็งซึ่งบรรเลงโดยนักเปียโนต่างชาติที่ยืนอยู่บนเวที
พรมบนพื้นนั้นนุ่มจนมันให้ความรู้สึกไม่ต่างอะไรกับเดินบนเมฆ โคมระย้าคริสตัลขนาดใหญ่แขวนอยู่เหนือศีรษะ ขณะที่ผนังของห้องถูกตกแต่งด้วยภาพวาดที่มีชื่อเสียงปลอม ๆ ประติมากรรมแกะสลักที่สุดแสนจะประณีตตกแต่งอยู่ทั่วทุกมุม ในขณะที่เก้าอี้นั่งและโต๊ะถูกตั้งอยู่ด้านล่างของเวที นักธุรกิจมากมายนั่งอยู่ตามโต๊ะต่าง ๆ กระซิบ พูดคุยกันอย่างมั่นใจด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม ทุกคนมีผู้ติดตามอย่างน้อยสองคนยืนอยู่ด้านหลัง
มันคืองานเลี้ยงที่ฟุ่มเฟือยราวกับงานเลี้ยงของราชวงศ์ไม่มีผิด
“คุณฉิน ?” ไป๋อี้ชานชะงักไป “คุณกำลัง…”
“ทำตามที่ผมบอกหากคุณไม่อยากตาย” ฉินเย่มองอีกฝ่ายด้วยสายตาแข็งกร้าวและไม่เอ่ยอะไรอีก ไป๋อี้ชานกัดฟันแน่นอยู่พักหนึ่งก่อนจะหยิบโทรศัพท์ของตนออกมาอย่างไม่เต็มใจและกดมันอย่างรุนแรง
“คุณฉิน… ผมส่งข้อมูลไปที่โทรศัพท์ของคุณแล้วครับ…” เขากัดริมฝีปากของตนขณะที่เอ่ยอย่างวิตก “คุณฉินครับ ข้อมูลที่ผมให้คุณไปนั้นเป็นข้อมูลลับสุดยอด คุณสามารถคิดได้ว่านี่เป็นการตอบแทนที่คุณช่วยชีวิตผม กรุณาอย่าเปิดเผยมันให้คนอื่น ๆ รู้เด็ดขาด”
ฉินเย่พยักหน้า และไป๋อี้ชานก็เดินจากไปโดยไม่เอ่ยอะไรอีก
ฉินเย่ไม่ได้มีเจตนาที่จะเดินเข้าไปในแวดวงของคนรวยเหล่านี้ตั้งแต่แรกแล้ว ดังนั้นโดยไม่คิดอะไรไปมากกว่านี้ เขาหยิบโทรศัพท์ของตนออกมาและดูสิ่งที่ไป๋อี้ชานส่งมาให้เขา
มันเป็นเอกสารที่เป็นไฟล์เวิร์ด เขาไล่ดูรายละเอียดต่าง ๆ และก็ต้องขมวดคิ้วอีกครั้ง
ไม่มี
พวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นคนท้องถิ่น และไม่มีตัวตนของใครเลยที่น่าสงสัย แต่ถึงกระนั้นฉินเย่ก็สามารถสาบานได้เลยว่าก่อนหน้านี้เขาตรวจพบแหล่งพลังขั้นยมทูตขาวดำสองแหล่งจริงๆ พวกองเมียวจิไม่ได้โง่ ดังนั้นพวกเขาจะต้องขึ้นมาบนเรือแล้วแน่นอน !
แต่ใครล่ะ ?
แล้วพวกเขาอยู่ที่ไหน ?
เด็กหนุ่มหันไปรอบ ๆ อย่างใจเย็นและเริ่มสังเกตโถงงานเลี้ยงที่อยู่ด้านหลังของเขาห่างออกไปประมาณ 20 เมตร ห้องพักผ่อนอยู่เบื้องหน้าและเขาก็ยังได้ยินเสียงของมาเซอร์กาดังเบา ๆ คลอมาเป็นพื้นหลัง
หลังจากครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งเขาก็เดินกลับไปที่โถงงานเลี้ยงอีกครั้ง
“พวกเขาตั้งใจปกปิดตัวตน…” หมิงชีหยินที่ถูกรัดไว้บนอกของฉินเย่กระซิบเสียงเบา “เจ้า… กำลังคิดที่จะระบุตำแหน่งของพวกเขาก่อนการตรวจสอบสินค้าครั้งสุดท้ายของโรงประมูลเจียเต๋อ เพราะหากเจ้าสามารถร่วมมือกับองเมียวจิได้ก่อนการตรวจสอบ มันก็จะทำให้มีความเป็นไปได้อย่างมากที่จะสามารถรักษาถ้วยพระเนตรสวรรค์เปลี่ยนสีเอาไว้ได้โดยที่ไม่ต้องเข้าไปใกล้ทะเลแห่งความตาย”
แม้แต่หมิงชีหยินก็รู้ว่าดินแดนสังหารที่ช่องแคบสึชิมะจะน่าสะพรึงกลัวเพียงใด
ฉินเย่ไม่ได้ปฏิเสธอะไร แววตาของเขายังคงสงบนิ่งขณะที่กระซิบตอบ “ถึงแม้ว่าโอกาสสำเร็จจะมีน้อย แต่มันก็คุ้มค่าที่จะลองดู”
“ทั้งโอดะโนบูนางะและอิซานามิต่างมีกำลังสนับสนุนจากกองทัพของตัวเอง ขณะที่อีกด้านหนึ่ง ข้ามีเพียงแค่ท่านเท่านั้น ในฐานะของฝ่ายที่อ่อนแอที่สุด มันจึงสำคัญที่จะรู้จุดยืนของตนเองและไม่ปล่อยให้โอกาสที่จะเสริมความแข็งแกร่งของตัวเองผ่านเลยไป”
โถงงานเลี้ยงเป็นสถานที่ดีที่สุดในการติดต่อกับผู้คนบนเรือ
มันคือห้องแห่งความลับ
ไม่ว่าองเมียวจิต้องการจะปกปิดตัวตนของตัวเองมากเพียงใด พวกเขาก็ต้องขึ้นมาบนเรืออย่างแน่นอน และหากพวกเขาขึ้นมาบนเรือ พวกเขาก็ต้องเข้าหาหนึ่งในพวกคนรวยพวกนี้
มันคุ้มค่าแก่เวลาและความพยายาม…
หมิงชีหยินที่ได้ยินเช่นนั้นเอ่ยขึ้นว่า “หากเจ้าสามารถรักษาบุคลิกนี้และสลัดท่าทางงี่เง่าและโง่เขลาที่เจ้ามักจะทำอยู่เสมอไปได้ เจ้าก็อาจจะเป็นจ้าวนรกที่ไม่เลวเลย”
“ข้าเรียกมันว่าความยืดหยุ่นทางบุคลิกภาพ ดังนั้นข้าจึงไม่รู้ว่าท่านกำลังพูดถึงเรื่องอะไร”
เขาถอยหลังออกมาประมาณ 20 เมตร หาเก้าอี้ตัวหนึ่งตรงมุมห้องและนั่งลง ทันใดนั้นเอง บริกรคนหนึ่งก็เดินนำค็อกเทลมาให้เขาเลือก จากนั้นเด็กหนุ่มเลือกเครื่องดื่มมาถือไว้ในมือขณะที่มองไปรอบ ๆ
ตอนนี้มีคนอยู่ในโถงไม่มากนัก ที่นั่งถูกจับจองอย่างกระจัดกระจายโดยเหล่าเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในจีน อันที่จริง มันยังมีคนคุ้มกันอีกจำนวนมากที่ยืนอยู่รอบห้องเพื่อปกป้องเจ้านายของพวกเขา ฉินเย่นั่งอยู่ที่มุมทางฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ของห้อง ฉากกั้นขนาดใหญ่ตั้งอยู่ทางขวาของเขา และมันก็บังเอิญว่ามีชายคนหนึ่งนั่งอยู่ทางซ้าย ซึ่งฉินเย่จำเขาได้ในทันที
ฉินเย่เคยเห็นอีกฝ่ายในโทรทัศน์และหนังสือพิมพ์ ผู้ชายคนนี้คือหนึ่งในผู้ที่ร่ำรวยที่สุดในจีน
ร่างกายของเขาค่อนข้างท้วม ผมสีดำหนาเว้นแต่จอนด้านข้างที่เริ่มเป็นสีขาว เขาดูใจดีและเป็นมิตร หากผู้ชายคนนี้ไม่เปิดเผยถึงประวัติของตระกูล มันก็คงไม่มีผู้ใดรู้เลยว่าชายตรงหน้าเขาอายุเกือบจะ 70 ปีแล้ว เขาคือหลงฉงหยุน ประธานของเทียนเซี่ยกรุ๊ป ยักษ์ใหญ่แห่งภัตตาคารจีน
กิจการของพวกเขามีตั้งแต่อาหารฟาสต์ฟู้ดไปจนถึงร้านอาหารระดับไฮเอน ไม่ว่าจะเป็นอาหารจีน มังสวิรัติ ตะวันตก ตะวันออกเฉียงใต้ ยุโรป อเมริกัน และอื่น ๆ อันที่จริง ทุกกิจการที่อยู่ภายใต้การรับรองและพัฒนาของพวกเขาจะต้องโด่งดังและกลายเป็นร้านอาหารที่ดีที่สุดในเมือง
นี่คือพลังของอิทธิพลและอำนาจ ฉินเย่ถอนหายใจออกมาในใจขณะที่จิบค็อกเทลในแก้วของตน ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมผู้คนถึงพยายามต่อสู้กันเพื่อให้ได้เข้ามาในแวดวงนี้ การมีเพื่อนแบบนี้คงสามารถอวดได้ไปตลอดชีวิต
น่าเสียดาย เขาไม่คิดว่าหนึ่งในคนเหล่านี้จะยอมเสียเวลาไปกับความสัมพันธ์ทางการเมืองจอมปลอมพวกนั้น
“สวัสดีครับ” เสียงหนึ่งดังมาจากด้านข้างของฉินเย่ในวินาทีเดียวกันกับที่เขาถอนหายใจออกมา เมื่อเด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นเขาก็สบตาเข้ากับหลงฉงหยุน อีกฝ่ายยกแก้วขึ้นเป็นเชิงทักทาย “ผมไม่เคยเห็นคุณมาก่อน ผมประธานของเทียนเซี่ยกรุ๊ป หลงฉงหยุน ไม่ทราบว่าผมควรจะเรียกคุณว่าอะไรดี ?”
นี่คือการรวมตัวกันที่หาได้ยากของเหล่าผู้ประกอบการ งานประมูลเป็นตัวกระตุ้นการรวมตัวของพวกเขาและเป็นจุดประสงค์หลัง แต่การสร้างสัมพันธ์นั้นก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน !
เหล่าคนที่มารวมกันบนเรือนี้มีบางคนที่เป็นถึงผู้ประกอบการทางเศรษฐกิจที่มีอำนาจมากที่สุดในจีน ดังนั้นมันจะไม่เป็นการเสียโอกาสหรอกหรือหากพวกเขายอมปล่อยโอกาสในการสร้างสายสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งไปในระหว่างที่อยู่ที่นี่?
ไม่มีใครสักคนบนนี้ที่มีภูมิหลังที่ธรรมดา
“ฉินเย่ครับ” ฉินเย่ยิ้มและชนแก้วกับชายสูงวัยผู้เป็นมิตร หลงฉงหยุนเลิ่กคิ้วขึ้นเล็กน้อยและกำลังจะเอ่ยต่อขณะที่ผู้ค้มกันที่อยู่ด้านหลังของเขาตัวสั่นเทา อีกฝ่ายจ้องฉินเย่อย่างหวาดระแวงและรีบเดินมาด้านข้างของหลงฉงหยุนก่อนที่เขาจะเอ่ยออกมาเบา ๆ
ยมทูตขาวดำ
ฉินเย่เข้าใจทุกอย่างได้ภายในการมองเพียงนิดเดียว แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังคงจิบค็อกเทลของตนเงียบ ๆ ในขณะที่แววตาของหลงฉงหยุนเปลี่ยนจากมึนงงเป็นตกตะลึง
“คุณฉิน” หลายวินาทีต่อมา ผู้คุ้มกันก็กลับไปยืนตรงอีกครั้งขณะที่สีหน้าของหลงฉงหยุนได้เปลี่ยนเป็นสดใสราวกับฤดูใบไม้ผลิขณะที่เขาเป็นฝ่ายเข้าไปชนแก้วกับฉินเย่อีกครั้ง พร้อมกับเสียงกริ้งที่ดังกังวาน หลงฉงหยุนแย้มยิ้มให้กับฉินเย่ “ช่างเป็นชายหนุ่มที่โดดเด่นและมีฝีมือมากจริง ๆ …ผมมั่นใจว่าเราจะได้พบกันอีกหลายครั้งในภายภาคหน้า ดังนั้นผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าคุณฉินจะจำผมได้เมื่อเวลานั้นมาถึง”
พวกเขากำลังใช้ชีวิตอยู่ในการระบาดครั้งยิ่งใหญ่ของเหตุการณ์เหนือธรรมชาติ แม้ว่าฉินเย่จะไม่รับรู้ถึงขอบเขตความเลวร้ายที่เกิดขึ้นกับส่วนอื่น ๆ ของจีน แต่หลงฉงหยุนรู้ดี อันที่จริงเขายังรู้ด้วยว่าผู้ฝึกตนขั้นยมทูตขาวดำนั้นหายากและมีค่ามากเพียงใดแม้แต่กับคนระดับสูงอย่างเขาเองก็ตาม
ฉินเย่นั้นถูกกักตัวอยู่ภายในเมืองเป่าอัน และข่าวสารเกี่ยวกับโลกด้านนอกก็ถูกลดลงอย่างมาก ไม่เช่นนั้นเขาคงพบว่า… แม้แต่ผู้ที่อยู่ขั้นยมเทพก็ถือว่าเป็นบุคคลที่มีค่ามากสำหรับส่วนอื่น ๆ ของจีน !
“แน่นอนครับ” ฉินเย่ยิ้มขณะที่พลิกการ์ดสีทองที่อีกฝ่ายส่งให้ไปมา แววตาของหลงฉงหยุนเป็นประกายขึ้น “บัตรนี้สามารถรูดได้ไม่จำกัดวงเงิน และมันยังสามารถใช้ได้ในทุกกิจการในเครือของเทียนเซี่ยกรุ๊ป รวมถึงโรงแรม รีสอร์ทและร้านอาหาร ถือว่านี่เป็นของแทนน้ำใจเล็ก ๆ น้อยจากผม หากคุณฉินมีเวลา เชิญมาที่นครเจียงฮั่น ผมจะพาคุณเที่ยวรอบ ๆ และเลี้ยงเครื่องดื่มดี ๆ ให้คุณเอง”
หลงฉงหยุนกำลังปูทางสำหรับอนาคต และฉินเย่เองก็กำลังคิดแบบเดียวกัน เพราะอย่างไรแล้ว เขาก็ต้องหาที่ไปหลังจากที่หน้าที่อาจารย์ผู้สอนของเขาจบลงในอีกสองปี
เด็กหนุ่มเคาะบัตรสีทองกับคางของตนก่อนจะถามออกไปว่า “เกิดอะไรขึ้น ? ที่เจียงฮั่นสถานการณ์ไม่ค่อยดีหรือครับ ?”
สีหน้าของชายสูงวัยเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม “มันแย่มาก อันที่จริงต้องบอกว่ามันย่ำแย่อย่างไม่น่าเชื่อ”
“ตอนนี้พวกเรากำลังคิดที่จะย้ายสำนักงานใหญ่ของเราไปที่เมืองเยียนจิง หากไม่ใช่เพราะข้อเท็จจริงที่ว่าทางการได้ออกคำสั่งว่าบริษัทขนาดใหญ่ไม่ได้รับอนุญาตให้ย้าย พวกเราก็คงย้ายไปนานแล้ว” เขาถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อนขณะที่ดื่มไวน์ในแก้วของตนอย่างขุ่นเคืองใจ “ทุก ๆ คืน พวกเราจะได้ยินประกาศสาธารณะเกี่ยวกับเหตุการณ์เหนือธรรมชาติไม่หยุดหย่อน เจ้าหน้าที่พิเศษจากทางหน่วยสอบสวนพิเศษเดินลาดตระเวนไปตามท้องถนนตั้งแต่หนึ่งทุ่มตรงของทุกวัน ในตอนกลางคืนทั้งเมืองจะกลายเป็นเมืองผี นักท่องเที่ยวเริ่มมาน้อยลง ไม่มีชีวิตชีวาและตอนนี้มันก็…”
เขาพยายามหาคำที่เหมาะสมในขณะที่ฉินเย่เอ่ยขึ้นว่า “อึดอัด ?”
“คุณฉินคงจะรู้ดี” หลงฉงหยุนแย้มยิ้มออกมาอย่างขมขื่นขณะที่ควงแก้วไวนท์ของตนและมองเพดาน “ทำไมเรื่องพวกนี้ถึงเกิดขึ้น…”
ฉินเย่เก็บการ์ดทองไปและฉีกยิ้มกว้าง “เช่นนั้นผมเดาว่าในอนาคต หากผมไปที่นครเจียงฮั่น ผมคงต้องรบกวนประธานหลงแล้ว”
คำพูดของฉินเย่ได้ทลายความสิ้นหวังที่เกาะกุมหัวใจของหลงฉงหยุนในทันที ชายสูงวัยหัวเราะเบา ๆ “ได้แน่นอนครับ”
บทสนทนาของพวกเขาไหลลื่นขึ้นทันทีที่การแนะนำตัวเสร็จสิ้น หลงฉงหยุนหยิบซิการ์ที่ถูกตัดปลายแล้วออกมาแต่เขากลับเลือกที่จะไม่จุดมัน เขาเพียงควงมันด้วยนิ้วของตนเองขณะพึมพำเบา ๆ ว่า “พูดถึงเรื่องนี้ ดูเหมือนจะมีแค่จีนเท่านั้นที่เกิดเหตุการณ์เหนือธรรมชาติพวกนี้ขึ้น”
“เหรอครับ ?” ฉินเย่กวาดสายตามองคนอื่น ๆ ที่อยู่ในโถง ‘พวกเขาอยู่ที่ไหนกัน ?’ เด็กหนุ่มมองจนทั่วแล้วแต่ก็ยังไม่เจอผู้ฝึกตนที่อยู่สูงว่าขั้นนักล่าวิญญาณเลยสักนิด อีกฝ่ายไม่ได้อยู่ที่นี่อย่างนั้นเหรอ ? หรือว่าแค่ซ่อนตัวดีเกินไป ?
หลงฉงหยุนไม่ได้สังเกตเห็นสายตาของฉินเย่เมื่อครู่นี้ เขายังคงยิ้มและเอ่ยต่อ “ที่ญี่ปุ่นเองก็ดูเหมือนจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นเช่นกัน เมื่อครู่นี้ผมเพิ่งเจอคุณอิวาซากิ เคียวยะ เขานำผู้คุ้มกันมาด้วยเพียงคนเดียวเท่านั้น”
ฉินเย่ชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะหันไปสบตากับคนข้าง ๆ ด้วยดวงตาที่ร้อนแรง “อิวาซากิ เคียวยะ ?”