ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 244: การเผชิญหน้าที่มองไม่เห็น (2)
บทที่ 244: การเผชิญหน้าที่มองไม่เห็น (2)
“เวรเอ้ย !” ห้องเก็บสินค้าสั่นสะเทือนด้วยคลื่นกระแทกอย่างรุนแรง ภาพมายาของพระกษิติครรภโพธิสัตว์ปรากฏขึ้นกลางอากาศ ในขณะเดียวกัน เปลวไฟนรกสีเขียวหยกที่น่าขนลุกก็พุ่งไปล้อมรอบภาพดังกล่าว ราวกับนี่เป็นภาพจากนรก
“พลังของอีกฝ่ายไม่ได้น้อยไปกว่าเรา !”
“พวกมันคืออะไรกันแน่ ? ทำไมเราถึงมองไม่เห็น?”
โดจินซังและจินโกะซังยืนหันหลังชนกัน มองไปรอบ ๆ อย่างหวาดระแวง วิญญาณร้ายทั้งสองซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางกลุ่มก้อนพลังหยินพวกนี้
แต่พวกเขากลับไปสามารถมองเห็นตัวของพวกมัน
ทั้งสองได้ใช้วิชาลับของนิกายไปหลายวิชาแล้ว แต่พวกเขาก็ยังไม่สามารถทำให้ฝ่ายตรงข้ามปรากฏตัวออกมาได้ ตอนนี้ทั้งสองมีคางคกสีขาวเกาะอยู่บนไหล่คนละตัว หากคางคกพวกนี้หันไปร้องใส่ทิศทางใด พวกเขาก็จะโจมตีไปทางนั้นทันที ไม่เช่นนั้นตอนนี้พวกเขาคงกลายเป็นเพียงผุยผงไปแล้ว
เขาไม่สามารถทนได้นานกว่านี้อีกแล้ว…
โดจินซังคำนวณพลังปราณที่เหลืออยู่ของตัวเอง เขามีพลังเหลืออีกไม่มาก การโจมตีของฝ่ายตรงข้ามไม่ได้เร็วมาก แต่มันต่อเนื่อง และการโจมตีแต่ละครั้งก็เต็มไปด้วยพลังหยินที่หนาแน่นซึ่งยากที่จะทำลาย… เขามองไปที่เพื่อนของตน และสบเข้ากับแววตาที่มาดมั่น
โดจินซังผงะไปเล็กน้อย จากนั้นก็กัดริมฝีปากของตัวเองอย่างแรง “เราจะต้องใช้มันจริง ๆ น่ะหรือ ?”
“หรือจะรอความตายแบบนี้ต่อไป ?” จินโกะซังเช็ดเลือดจากมุมปากของตัวเอง “คุณคิดว่าจะมีคนมาช่วยเราในตอนนี้หรือไง ? ผมไม่คิดเลยว่ามันจะมีกลุ่มอื่นที่หมายตาโอดะโนบูนางะอยู่เช่นกัน แถมพวกเขายังแข็งแกร่งมาด้วย !!”
โดจินสูดหายใจเข้าช้า ๆ และกำลังจะเอื้มมือเข้าไปในเสื้อด้านในของตัวเอง ทันใดนั้น ราวกับวิญญาณร้ายที่ซ่อนตัวอยู่ในหมอกสัมผัสได้ถึงความสิ้นหวังของพวกเขา พลังหยินที่อยู่ล้อมรอบเริ่มหมุนวนอย่างน่าสะพรึงกลัว จากนั้น ไม่กี่เสี้ยววินาทีต่อมา พวกมันก็เริ่มรวมตัวกันเป็นร่างของนินจาญี่ปุ่นในยุคสมัยสงครามระหว่างแคว้น ทั้งหมดถือคันธนูและหันหน้ามาทางคนทั้งสี่ที่ยังคงยืนอยู่
พวกเขาล้อมรอบอยู่ทุกที่และมีจำนวนนับไม่ถ้วน !
น้ำเสียงแหบพร่าดังมาจากความมืด “พวกเจ้าต้องขอบคุณบุญบารมีและพระพรแห่งคุณธรรมของตนของตัวเอง มันคงต้องใช้เวลาฝึกฝนอีกร้อยปีกว่าที่เราจะฆ่าพวกเจ้าได้ แต่… มันก็ยังเป็นความผิดของเจ้าที่ต้องการจะครอบครองสิ่งที่ไม่ใช่ของตน”
“ตาย !!!”
“วิชานินจา… การร่ายรำของวิญญาณร้อยตน !!”
สิ้นสุดเสียงพูด ร่างในความมืดทั้งหมดก็หมุนศีรษะของตน 180 องศา พลังหยินมากมายหมุนวนอย่างน่ากลัวอยู่ล้อมรอบร่างของพวกเขา ดวงตาสีแดงเข้มปรากฏขึ้นบริเวณกลางไปหน้า จิตสังหารปกคลุมไปทั่ว จากนั้น พวกเขาก็ยิงธนูไปที่คนทั้งสี่ !
ฉึก ฉึก ฉึก ฉึก ! ห้องเก็บสินค้านั้นตั้งอยู่ในจุดที่เป็นท้องเรือ และพื้นที่ของมันก็กว้างมาก จากมุมมองของคนทั้งสี่ มันดูเหมือนว่าลูกธนูนั้นถูกยิงมาที่พวกเขาจากทุกทิศทาง ปลายของลูกธนูลุกโชนด้วยเปลวไฟสีเขียวหยกที่น่าขนลุก ในชั่วพริบตา บริเวณโดยรอบพวกเขาเต็มไปด้วยลูกธนูเพลิงที่พุ่งเข้ามา !
มันเป็นภาพที่น่าเศร้า ทว่างดงาม
มันแทบจะดูเหมือนกับฝูงหิ่งห้อยในคืนฤดูร้อนที่โบยบินและเปล่งแสงสว่างจากร่างของตนเอง เพียงแต่แสงไฟเหล่านี้กลับเต็มไปด้วยเจตนาฆ่าที่รุนแรง
จากนั้น ในวินาทีต่อมา ร่างในหมอกดำต่างชักดาบคาตานะจากข้างเอวของตนและพุ่งเข้าหาชายทั้งสี่พร้อมกับกู่ร้องออกมาเสียงดัง ด้วยการสนับสนุนของพลังหยินที่ด้านหลัง พวกเขาดูไม่ต่างอะไรกับงูนับพันตัวที่พุ่งออกมาจากรังที่มืดมิดและตรงเข้าหาเหยื่อต่อไปของพวกมัน !
คมดาบของพวกเขาส่องประกายอย่างน่าหวาดกลัว มันดูคล้ายกับทางช้างเผือกของเปลวเพลิงนรก !
แข็งแกร่งมาก…
ความเย็นยะเยือกเข้าเกาะกุมหัวใจของจิงโกะซัง วิญญาณร้ายของญี่ปุ่นแข็งแกร่งขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ? ภูเขาโคยะของพวกเขาขาดการติดต่อจากโลกภายนอกมานานเกินไปอย่างนั้นหรือ ?
“เร็วเข้า !!” เขารีบหันไปตะโกนใส่โดจิน
ไม่จำเป็นต้องเอ่ยอะไร โดจินซังหยิบม้วนคัมภีร์สีเงินออกมาจากแขนเสื้อของตนเป็นที่เรียบร้อยแล้วและกำลังคลี่มันออก เขาประสานอินอย่างรวดเร็ว และม้วนคัมภีร์ก็เปล่งประกายมากขึ้นเรื่อง ๆ จากนั้นร่างหญิงสาวผู้หนึ่งก็ก้าวออกมาจากคัมภีร์
“แสงจันทร์เดือนหงาย !!” โดจินซังตะโกนออกมาเสียงดังพร้อมกับประกบฝ่ามือเข้าด้วยกัน ! แต่มันสายเกินไปแล้ว การโจมตีของฝ่ายตรงข้ามนั้นรวดเร็วเกินไป และเขาก็ไม่สามารถปลดปล่อย ‘แสงจันทร์เดือนหงาย’ ในสภาวะที่แข็งแกร่งที่สุดได้ สิ่งที่เขาสามารถหวังได้ในตอนนี้ก็คือขอให้มันเพียงพอที่จะต้านการโจมตีพวกนั้นได้ !
ตู้มมมม !!!
เสียงระเบิดดังสนั่น พระทั้งสองกัดฟันแน่นและหลับตาลง
ฟิ้ว… ฟิ้ว… สายลมรุนแรงพัดผ่าน หนึ่งวินาที… สองวินาที… สามวินาที… จากนั้นเขาก็ลืมตาขึ้นอีกครั้ง และก็ต้องพบว่า….
กลุ่มพลังหยินที่รายล้อมพวกเขาอยู่เมื่อครู่ค่อย ๆ หายไป !
หากพูดกันตามตรง พลังหยินที่ยังเหลืออยู่ได้ถอยไปรวมกันอยู่ที่ฝั่งหนึ่งของห้อง มันหนาแน่นมากจนดูเหมือนกับจะก่อตัวเป็นรูปร่าง มันดูเหมือนกับ… น้ำหมึกสีดำสนิท !
“สำเร็จ…” ใบหน้าของทาดายูกิเวลานี้เปียกโชกไปด้วยเหงื่อ เขากะพริบตาหลาย ๆ ครั้งและหันกลับไปตะโกนอย่างดีใจ “พวกคุณทำสำเร็จ ! โดจินซัง จินโกะซัง พวกคุณทำสำเร็จ !!”
“ไม่…” พระทั้งสองหน้าซีดไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ริมฝีปากของโดจินซังสั่นเทาขณะที่เขาเอ่ยต่อ “นั่นไม่ใช่พวกเรา… เราไม่สามารถใช้ ‘แสงจันทร์เดือนหงาย’ ได้… นั่นคือไพ่ตายของเรา และมันก็มีพลังที่จะกำจัดภูตผีนับพันตนพร้อมกัน หากไม่ใช่เพราะข้อเท็จจริงที่ว่าศัตรูของพระพุทธได้ปรากฏตัวขึ้นมาบนโลกอีกครั้ง ทางภูเขาโคมะก็คงไม่ยอมมอบสิ่งที่มีอานุภาพเช่นนี้ให้เรา แต่การจะใช้มันจำเป็นจะต้องใช้เวลาเป็นอย่างมาก และสิ่งที่คุณเพิ่งเห็น… ไม่ใช่ฝีมือของเรา !”
ไม่ใช่พวกคุณหรอกหรือ ?!
หัวหน้าตระกูลคาโม่แทบจะเสียสติ แล้วมันเป็นฝีมือใคร ? การระเบิดเมื่อครู่นี้ทรงพลังจนทำให้ภายในหัวของเขาตื้อไปหมด ! ใครจะสามารถทำสิ่งนี้ได้นอกจากผู้ฝึกตนขั้นยมทูตขาวดำทั้งสอง ?
และทันใดนั้น เขาก็ต้องชะงักไป
หลังหยินอีกกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นที่ด้านหลังของเขา
และแหล่งพลังนี้ก็ได้ไม่ด้อยไปกว่าพลังหยินสองแหล่งเมื่อคู่เลยสักนิด อันที่จริง เขาสามารถบอกได้เลยว่ามันเป็นแหล่งพลังงานที่บริสุทธิ์ยิ่งกว่า หากอธิบายแหล่งพลังหยินก่อนหน้านี้ว่าเป็นพลังที่เยือกเย็น มุ่งร้าย และไร้เหตุผล เช่นนั้นแหล่งพลังที่อยู่ด้านหลังของเขาตอนนี้ก็คงจะสามารถอธิบายได้ว่าเป็นส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างความเป็นและความตาย
คนทั้งหมดหันหน้าไปมองยังทางเข้าของห้องเก็บสินค้า และพวกเขาก็พบกับร่างเลือนรางของเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังเอนตัวพิงกับขอบประตูอย่างสบาย ๆ มันแทบจะเหมือนกับว่าเขายืนดูการเผชิญหน้าของทั้งสองฝ่ายมาเป็นเวลานานแล้ว และราวกับรับรู้ถึงสายตาของคนทั้งหมด อีกฝ่ายเพียงยกมือขึ้น โบกทักทายและเอ่ยว่า “หวัดดี…”
“คุณ… เป็นใคร ?” จินโกะซังถามอย่างหวาดระแวง
“อยากให้ช่วยไหม ?” ฉินเย่แบมือออกมาก่อนที่หมิงชีหยินจะเปลี่ยนร่างเป็นลำแสงและพุ่งไปอยู่ในมือของเขา จากนั้นเด็กหนุ่มก็หันไปมองหัวหน้าตระกูลคาโม่คนปัจจุบันและแย้มยิ้มบางให้อีกฝ่าย “คุณคาโม่ เจอกันอีกแล้ว นี่คุณ… มาที่นี่เพื่อเป็นพยานในการโจรกรรมด้วยสายตาของตัวเองเลยหรือ ?”
“คุณ ?!” ทาดายูกิแทบจะไม่เชื่อสายตาของตัวเอง นี่คือเด็กหนุ่มที่เขาเคยเจอเมื่อตอนอยู่ที่ตลาดไสยเวทย์ ! และตอนนี้อีกฝ่ายก็ยืนอยู่ตรงหน้าของเขาบนเรือสำราญลำเดียวกัน !!
คนตรงหน้า… แข็งแกร่งขนาดนี้มาโดยตลอดเลยอย่างนั้นหรือ ?
คืนนั้น… ตอนที่เขาถูกจู่โจมจนดูเหมือนตัวตุ่นในเกมตีตัวตุ่น… ไม่ได้เกิดขึ้นโดยไร้เหตุผล ?
แต่นี่ไม่ใช่เวลามานึกถึงอดีต เขากัดฟันแน่นและสะบัดข้อมือของตัวเอง นกกระดาษตัวหนึ่งพุ่งไปหาฉินเย่ราวกับสายฟ้า “ถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้ดีใจนักที่ได้พบกันคุณอีกครั้ง แต่… ขอบคุณ ตระกูลคาโม่จะจดจำหนี้ครั้งนี้เอาไว้ ! โปรดนำนกกระดาษตัวนี้ไปที่หัวเรือและปล่อยมัน ! ตระกูลของเรามีองเมียวจิ 300 คน ทหารเท็งงุอีก 1,000 คน พวกเขากำลังรอฟังคำสั่งของผมอยู่ไม่ไกลนัก ! เมื่อใดที่พวกเขาได้รับสัญญาณ พวกเขาจะมาที่นี่ทันที !”
ประมาณ 1,500 คน…
หัวใจของฉินเย่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น ทหารของโนบูนางะมีประมาณ 2,000 นาย ในขณะที่ตระกูลคาโม่มีอีกประมาณ 1,500 คน… นี่ก็เท่ากับมีทหารทั้งสิ้น 4,000 นาย ! [1]
และพวกเขาทั้งหมดยังเป็นทหารชั้นยอดอีกด้วย ! ด้วยพันธมิตรเหล่านี้ พวกเขาจะต้องสามารถสู้กับกองกำลังของอิซานามิที่ช่องแคบสึชิมะได้แน่
ไม่… บางทีมันอาจจะไม่ต้องเดินทางไปถึงช่องแคบสึชิมะเลยด้วยซ้ำ…
สายตาของเขาเหลือบไปมองเหล่าคนที่ยังไม่ได้สติบนพื้น มันไม่มีโอกาสไหนที่ดีไปกว่าตอนนี้… แต่เขาจะต้องจัดการกับปัญหาใหญ่ตรงหน้าให้ได้เสียก่อน
เขาจ้องไปยังพื้นที่ว่างตรงหน้าอย่างเย็นชา ฉินเย่มองเห็นร่างผอมเพียวของนินจาสองตนที่ยืนอยู่ที่จุดกึ่งกลางของกลุ่มก้อนพลังหยินที่พุ่งพล่านพวกนี้ เขาหัวเราะออกมาและยกกระจกโบราณในมือขึ้น “ว่าไง… พวกเจ้าพอจะรู้สึกถึงความคุ้นเคยระหว่างเราบ้างหรือไม่ ?”
สองวินาทีต่อมา เสียงตะโกนอันแหบพร่าก็ดังขึ้ง “เจ้า !!! เจ้าคือผู้ที่สังหารสการ์เล็ต 17 !”
เสียงตะโกนของพวกเขาดังขึ้นพร้อมกับการระเบิดของวังวนพลังหยินที่รุนแรง ! จากนั้น พลังหยินมหาศาลก็หมุนไปรอบ ๆ ก่อนจะก่อตัวเป็นหอกสองเล่มที่พุ่งเข้าหาอกของฉินเย่ !
“จงชดใช้ด้วยชีวิต !”
“กล้าดีอย่างไรถึงทำเช่นนี้กับนินจาลับแห่งคามากุระ ?!!”
หอกพลังหยินพุ่งผ่านอากาศด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ ขั้นยมทูตขาวดคือผู้ที่รับผิดชอบเมืองหนึ่งเมืองในยมโลก หากพูดอีกอย่างก็คือ พวกเขามีพลังมากพอที่จะทำลายเมืองได้ทั้งเมืองให้ราบคาบหากเกิดเหตุจลาจล การที่จะรับรู้ถึงพลังของหอกอันทรงพลังทั้งสองเล่มนี้คงทำได้เพียงจินตนาการเท่านั้น
อากาศภายในห้องถูกปกคลุมไปด้วยเสียงจากคลื่นกระแทก ขณะที่หอกทั้งสองเล่มเข้าไปใกล้ฉินเย่ แรงกดทับของมันก็ทำให้ด้านบนของห้องเก็บสินค้าทรุดตัวลง
“หลบเร็ว !!!”
“ถ้าเราร่วมมือกันมันอาจจะมีความหวังอยู่บ้าง ! พวกเรามองไม่เห็นตัวมัน !” โดจินซังและจินโกะซังร้องออกมาพร้อมกัน
แต่ฉินเย่กลับยังยืนนิ่งไม่ขยับไปไหน
และขณะที่ปลายหอกจะปะทะเข้ากับร่างของเขา เด็กหนุ่มก็ทำมือราวกับคว้าอะไรบางอย่างกลางอากาศ เสียงกรีดร้องอันน่าสะพรึงกลัวดังขึ้น ส่งผลให้ทาดายูกิและชายอีกสองคนต้องรีบยกมือปิดหูของตนทันที ธงวิญญาณผืนหนึ่งปรากฏขึ้นในมือของฉินเย่
ตู้ม !
ทั่วทั้งห้องเก็บสินค้าสั่นไหวอย่างรุนแรง มันรุนแรงจนผู้ที่อยู่บนดาดฟ้าเรือสามารถสัมผัสได้ ดวงตาของหัวหน้าใหญ่ชูสั่นไหวด้วยความหวาดกลัว
ผู้โดยสารคนอื่น ๆ ที่ยังคงตื่นอยู่ก็ขมวดคิ้วยุ่งพร้อมกับสงสัยว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้น
ฉินเย่เพียงแค่ขยับมือเพียงครั้งเดียวเท่านั้น
ปลายหอกทั้งสองแตกสลายไปด้วยการสะบัดธงวิญญาณเพียงครั้งเดียว !
“พวกคุณมองไม่เห็นเหรอ ?” พลังหยินจำนวนมากเริ่มหลั่งไหลออกมาจากทวารทั้งเจ็ดของฉินเย่ ราวกับวิญญาณร้ายที่คลานออกมาจากหลุม ในวินาทีนั้น วังวนพลังหยินขนาดใหญ่ก็เริ่มก่อตัวขึ้นรอบเขา ปกปิดร่างทั้งหมดของเด็กหนุ่มโดยเหลือไว้แต่ดวงตาที่ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ
“ดีมาก… ผมเองก็มองไม่เห็นมันเช่นกัน…”
ฟึ่บ ! พลังหยินระเบิดออกจากร่างของเขาราวกับกระแสน้ำ จากนั้น เบื้องหน้าของคนทั้งหมด วังวนพลังหยินที่ระเบิดออก เผยให้เห็นร่างในเสื้อคลุมยาวสีขาวที่ปักดิ้นเป็นรูปของเซี่ยจื้อ สวมหมวกทรงสูงลายฉลุ เส้น ผมสีเขียวหยก และลิ้นที่ยืดยาวออกมาจากปากสามฟุตก้าวออกมา
“ด้วยคำพิพากษาจากนรก เหล่าวิญญาณทั้งปวงจงสูญสิ้น !”
“ข้าตามหาพวกเจ้ามาตั้งแต่ที่สถานีตงไห่เหนือ มันคงถึงเวลาแล้วที่จะต้องยุติการไล่ล่าในครั้งนี้ลงเสียที… เพราะอย่างไรแล้ว ข้ายังคงจดจำของขวัญที่พวกเจ้าทิ้งไว้ให้ได้อย่างชัดเจน…”
ฟึ่บ… ร่างของฉินเย่ปรากฏต่อสายตาของมนุษย์ที่อยู่ในห้องเก็บสินค้าเพียงครู่หนึ่งเท่านั้นก่อนที่จะหายตัวไปอย่างรวดเร็ว
คนทั้งหมดมึนงงเป็นอย่างมาก
“ยมทูต… เขาคือยมทูต !! ยมทูตของจีน !!” โดจินซังที่เพิ่งได้สติกลับมาจ้องไปยังตำแหน่งที่ฉินเย่เคยยืนอยู่ก่อนหน้านี้เขม็ง “ถ้าอย่างนั้น… พวกวิญญาณร้ายที่เราเผชิญหน้าด้วยเมื่อครู่นี้ล่ะ…”
“พวกนั้นก็เป็นยมทูตเช่นกัน” สีหน้าของจินโกะซังซีดเผือด “แต่…ยมทูตพวกนั้นพยายามจะฆ่าเรา”
“เขา… เป็นยมทูตจริง ๆ เหรอ ?!” ทาดายูกิเอ่ยออกมาอย่างตกตะลึง เม็ดเหงื่อเย็นเริ่มผุดขึ้นมาบนหน้าผากของเขา
ก่อนหน้านี้… เขารนหาที่ตายชัด ๆ!
ความรู้สึกโล่งอกเข้าเกาะกุมหัวใจ เขาอดไม่ได้ที่จะทาบมือขึ้นที่อกของตัวเองและสูดหายใจเข้าออกช้า ๆ
ในเวลาเดียวกัน ภายใต้การมองไม่เห็นของมนุษย์ทั้งหมด ยมทูตทั้งสามกำลังยืนเผชิญหน้ากันอย่างเงียบเชียบ
หนึ่งในนินจาห้อยลิ้นออกมาและเลียริมฝีปากของตนอย่างกระหาย “ยมทูตจีน… พวกเจ้าไม่ได้แสดงตนมากว่าร้อยปีแล้ว เจ้าเป็นเพียงสุนัขที่ไร้เจ้าของ ไม่มีอำนาจอยู่ในมือด้วยซ้ำ… แต่เจ้ากลับกล้าเผชิญหน้ากับพวกเรา ยมทูตผู้ยิ่งใหญ่แห่งญี่ปุ่นอย่างนั้นหรือ ? ข้าขอชื่นชมในความใจกล้าของเจ้าจริง ๆ”
ฉินเย่หัวเราะ
แต่มันเป็นเสียงหัวเราะที่เย็นยะเยือกเป็นอย่างมาก
นินจาทั้งสองไม่รู้เลยว่าหมิงชีหยินคืออะไร กระจกโบราณเพียงลอยไปมาอยู่ใกล้ฉินเย่และกระซิบเสียงเบา “ตอนนี้พวกเรายังไม่ออกนอกอาณาเขตของจีน ดังนั้นพลังของพวกมันยังถูกกดไว้อยู่ ความสามารถของพวกมันตอนนี้อยู่ในระดับเดียวกันกับเจ้า ขั้นยมทูตขาวดำระดับต้น ข้าไม่แน่ใจว่าอิซานามิใช้ความพยายามไปมากเพียงใดถึงทำให้ยมทูตพวกนี้สามารถก้าวเข้ามาในแผ่นดินจีนได้ แต่ความเป็นไปได้มากที่สุดก็คือนี่เป็นผลจากการล่มสลายของยมโลก และการป้องกันที่อ่อนกำลังลงของบาเรียบริเวณชายแดนจีน”
“หาเกิดเหตุไม่คาดคิด เจ้าสามารถปลดปล่อยพลังของข้าใส่พวกมันได้ทันที” หมิงชีหยินเอ่ยอย่างต่อเนื่องราวกับกำลังกระซิบบทสวดมนต์ใส่หูของฉินเย่ แต่เด็กหนุ่มกลับขมวดคิ้วและเอ่ยเพียงว่า “หุบปากไปเลย”
หืม ? เจ้าอยากจะจัดการพวกมันด้วยกำลังของตัวเองอย่างนั้นหรือ ?
กระจกโบราณเงียบไปทันที
ฉินเย่มองยมทูตญี่ปุ่นทั้งสองและเอ่ยว่า “แผ่นดินจีนของเรานั้นเป็นสถานที่ซึ่งให้ความสำคัญกับเรื่องมารยาทเป็นอย่างมาก มันคงไม่สุภาพนักหากเราจะไม่ตอบแทนเวลาผู้อื่นมอบของให้ เพราะฉะนั้น บอกข้าทีว่าข้าควรตอบแทนของขวัญอันแสนล้ำค่าที่พวกเจ้าใช้ชีวิตมนุษย์กว่า 70 ชีวิตเพื่อสร้างมันขึ้นมาและมอบมันให้กับข้าอย่างไรดี ?”
[1] นี่มันเป็นการปัดเศษขึ้นที่เยอะมากจริง ๆ