ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 247: สถานการณ์ฉุกเฉิน
บทที่ 247: สถานการณ์ฉุกเฉิน
ทั้งห้องถูกปกคลุมด้วยความเงียบ
สายตาของคนทั้งหมดจับจ้องไปที่ชายสูงวัยทันที ในขณะที่ชายทั้งสามที่เพิ่งแสดงความหวาดกลัวต่อฉินเย่เมื่อครู่ได้เคลื่อนตัวไปยืนล้อมรอบร่างของอิวาซากิทันที
“คุณรู้จักผมด้วยหรือ ?” ชายสูงวัยเอ่ยออกมาในที่สุด เขาเหมาะสมที่จะได้รับชื่อเสียงในฐานะประธานของมิตซูบิชิคอร์ปอเรชั่นที่อยู่เหนือบริษัทคู่แข่งมากมายในตลาดมาตลอดหลายสิบปีอย่างแท้จริง ถึงขนาดที่สามารถรักษาสีหน้าที่นิ่งสงบเอาไว้ได้ทั้ง ๆ ที่กำลังเผชิญหน้ากับภัยคุกคามเช่นนี้ แม้แต่น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาก็ไม่แสดงถึงความหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย
“ผมเคยเห็นคุณจากหนังสือพิมพ์และรายการโทรทัศน์ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้เจอคุณ” ฉินเย่แย้มยิ้ม
อิวาซากิไม่ได้เอ่ยอะไรอีก เพราะอย่างไรก็ตาม คนที่มีสถานะแบบเขาได้รับสิทธิ์ในการเข้าถึงกลุ่มข้อมูลที่คนทั่วไปไม่สามารถเข้าถึงได้ และในสังคมที่พื้นฐานจากระบบทุนนิยม ผู้ที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจนั้นก็มีความสำคัญและอิทธิพลพอ ๆ กับรัฐบาลเลยทีเดียว !
เขาไตร่ตรองกับตัวเองเป็นเวลากว่าสามนาทีเต็มก่อนที่จะตอบออกไปในที่สุด “ตอนแรกที่ผมได้รู้เรื่องการปรากฏขึ้นอีกครั้งของถ้วยพระเนตรสวรรค์เปลี่ยนสี ผมก็นึกถึงคำสั่งเสียของบรรพบุรุษที่ได้ทิ้งไว้ขึ้นมาได้ พวกเขาบอกว่านี่คือสมบัติที่ไม่สามารถประเมินค่าได้ของญี่ปุ่น ซึ่งมันก็เป็นหน้าที่ของตระกูลอิวาซากิที่จะต้องปกป้องและรักษามันเอาไว้ นี่คือเหตุผลว่าทำไมเราถึงเลือกใช้กล่องเวทมนตร์”
“แต่ผมก็ไม่รู้เลยว่าดวงวิญญาณของโอดะโนบูนางะจะสิงอยู่ในถ้วยด้วย”
“นั่นคือเหตุผลว่าทำไมมันถึงไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์สามารถรับมือได้” น้ำเสียงของฉินเย่จริงจังมากขึ้น “เมื่อยมโลกของญี่ปุ่นได้เริ่มก่อสงครามขึ้น ทางตะวันออกจะตกอยู่ในความวุ่นวายทันที กำแพงป้องกันระหว่างประเทศจะไม่สามารถใช้งานได้ และวิญญาณร้ายมากมายก็จะมีอิสระในการเตร็ดเตร่ไปมาและรุกรานชาติอื่น ๆ ตามต้องการ …หากเมื่อถึงเวลานั้น แม้แต่เจ้าหน้าที่รัฐก็จะไม่สามารถใช้ชีวิตอย่างสงบสุขและปราศจากความหวาดกลัวในชีวิตได้”
นี่เป็นข้อสรุปที่ไม่สามารถโต้แย้งได้
ทาดายูกิและชายอีกสองคนยังคงยืนล้อมรอบอิวาซากินและปกป้องชายสูงวัยอยู่ขณะที่โดจินซังเอ่ยถามขึ้น “ขออภัยที่ต้องถาม แต่คุณคิดจะทำอย่างไรกับดวงวิญญาณของโอดะโนบูนางะ ?”
“ผมจะพาเขากลับไปที่จีน” ฉินเย่เอ่ยตอบเสียงเรียบ
“พากลับ ?” ดวงตาของจินโกะซังหรี่ลง “เช่นนั้นผมคงต้องถามว่าคุณวางแผนที่จะทำอย่างไรกับเขาเมื่อกลับไปที่จีน ? นอกจากนี้ เขายอมตกลงที่จะพบกับคุณแล้วหรือ ?” ประโยคสุดท้ายของเขาแฝงไปด้วยความก้าวร้าว แต่นั่นก็หายไปอย่างรวดเร็วเมื่อเขาสบตากับฉินเย่
“ดูเหมือนคุณจะไม่เข้าใจสถานการณ์ของตัวเองในตอนนี้เท่าไหร่นัก” ฉินเย่เอียงศีรษะเล็กน้อย คลื่นพลังหยินที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าเริ่มหลั่งไหลออกมาจากร่างของเขา ส่งผลให้เสื้อผ้าที่สวมอยู่กระพืออย่างรุนแรง สายตาของเด็กหนุ่มคบกริบ “เทพเจ้าแห่งความตายผู้ยิ่งใหญ่ของพวกคุณ จอมขี้เกียจอิซานามิกำลังวางแผนที่จะใช้ราชาปีศาจแห่งสวรรค์ชั้นที่ 6 ในการกระตุ้นให้เกิดสงครามระหว่างโลกใต้พิภพขึ้นอีกครั้ง และทางเดียวที่จะสามารถป้องกันเรื่องนี้ได้ก็คือเนรเทศดวงวิญญาณของโนบูนางะให้ไปอยู่ในจุดที่อิซานามิไม่กล้าที่จะต่อต้าน”
“และนั่นคือที่ไหนล่ะ ?” ฉินเย่จ้องมองคนทั้งหมดด้วยสายตาที่ราวกับเหยี่ยว “ลึกเข้าไปในภูเขาโคยะอย่างนั้นหรือ ?”
“ยมโลกของจีนเป็นสถานที่แห่งเดียวในโลกนี้ที่อิซานามิไม่มีทางกล้าก้าวเท้าเข้ามา”
เขาสูดลมหายใจและเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น “ประการแรก ถ้วยพระเนตรสวรรค์เปลี่ยนสีได้สร้างมิติเสมือนจริงขึ้นมาแล้ว ผมไม่ได้ต้องการที่จะดูถูกภูเขาโคยะ แต่ผมเชื่อว่าพวกคุณต้องใช้เวลาอย่างน้อย 200 ปีในการทำลายผนึกของมิตินั้น คุณสามารถแน่ใจได้หรือว่าตัวเองจะไม่สร้างความผิดพลาดอะไรระหว่างกระบวนการพวกนี้หรือปล่อยให้ถ้วยตกไปอยู่ในมือของพวกยมทูตญี่ปุ่น ?”
สีหน้าของโดจินซังเปลี่ยนเป็นเหยเกทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น ผู้ที่พวกเขากำลังพูดถึงคือศัตรูของพระพุทธ ตัวตนที่จะต้องถูกผนึกไว้ภายในวัดของพวกเขาในภูเขาเคียวยะเพื่อผ่านกระบวนการชำระ นี่คือทางเดียวที่พวกเขาจะสามารถชำระล้างความชั่วร้ายภายในของมันได้อย่างสมบูรณ์
เขาเปิดปากและมองไปที่หมิงชีหยินอย่างหวาดระแวง ก่อนที่เขาจะต้องเงียบไปอีกครั้ง
ฉินเย่ค่อย ๆ เอ่ยต่อ “ประการที่สอง ตอนนี้มีดวงวิญญาณทั้งสิ้น 2,500 ตนอาศัยอยู่ภายในถ้วยพระเนตรสวรรค์เปลี่ยนสี พวกคุณมั่นใจหรือเปล่าว่าทางภูเขาเคียวยะสามารถจัดการกับวิญญาณทั้งหมดได้ ? หรือต่อให้พวกเขาสามารถเข้าไปในมิติเสมือนจริงได้สำเร็จ คุณแน่ใจหรือว่าพวกเขาจะไม่ถูกกำจัดโดยกองกำลังของอีกฝ่ายที่อยู่ในนั้นภายในไม่กี่วินาทีต่อมา ?”
การเจรจากับองเมียวจิได้เริ่มขึ้นในสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดที่สุด
อย่างไรก็ตาม เวทีได้ถูกจัดเตรียมไว้อย่างดีเป็นที่เรียบร้อยแล้วสำหรับการเจรจาของเขา ‘คำพูด’ ของสการ์เล็ต 01 ได้สร้างความสงสัยขึ้นในจิตใจของคนทั้งหมด และสมดุลของการเจรจาก็เอนมาทางเด็กหนุ่มเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ฉินเย่ไม่จำเป็นจะต้องขอร้องให้องเมียวจิมาร่วมมือกับเขาอีกต่อไป กลับกันเขาเพียงต้องทบทวนสิ่งที่กลุ่มคนตรงหน้ากำลังเผชิญอยู่ และหลังจากนั้น ทั้งหมดที่ต้องทำก็มีเพียงชื่นชมและพูดเกี่ยวกับพลังของยมโลกในการรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเพื่อที่จะทำให้อีกฝ่ายเข้าใจถึงแตกต่างระหว่างจุดยืนระหว่างพวกเขา แค่นั้นก็มากเกินพอที่จะก่อให้เกิดผลลัพธ์ตามที่เขาต้องการ
แถมเขาอาจจะยังมีโอกาสในการได้ถ้วยพระเนตรสวรรค์เปลี่ยนสีมาไว้ในครอบครองโดยที่ไม่ต้องไปแย่งมาเลยด้วยซ้ำ !
“วิญญาณ 2,500 ดวง ?!”
“เป็นไปได้ยังไง ?!”
“นั่นมันเหลือเชื่อเกินไปแล้ว !”
ผู้ฝึกตนชาวญี่ปุ่นทั้งสามเอ่ยออกมาพร้อมกันด้วยความตกตะลึง พวกเขาคิดว่าอย่างมากที่สุดมันก็น่าจะมีวิญญาณประมาณสิบตนที่ซ่อนตัวอยู่ในมิติเสมืองจริง แต่จำนวนที่ยมทูตจีนตรงหน้าพูดออกมานั้นไม่ใช่สิ่งที่ผู้ฝึกตนหนึ่งนิกายจะสามารถรับมือได้เพียงลำพัง
“พวกเราได้เตรียมการทุกอย่างที่จำเป็นสำหรับการนำดวงวิญญาณของเขาไปที่ยมโลกไว้หมดแล้ว ! หรือพวกคุณกำลังจะบอกผมว่าพวกคุณต้องการให้พวกเราเข้ามาจัดการเรื่องนี้หลังจากที่ทุกอย่างมันบานปลายไปแล้ว ? เราควรตัดไฟแต่ต้นลมไม่ใช่หรือ ? หรือหากพวกคุณมีความสามารถที่จะจัดการเรื่องทั้งหมดด้วยตัวเอง เช่นนั้นก็เอาเลย ! แต่ถ้าไม่… งั้นก็หุบปากไปซะ !”
ฉินเย่ไม่คิดที่จะระวังคำพูดเลยแม้แต่น้อย ด้วยเขารู้ดีว่าท่าทีพวกนี้สามารถใช้ได้กับชื่อเสียงที่ยิ่งใหญ่ของยมโลก
พระทั้งสองมองหน้ากันไปมาและไม่พูดอะไร
เรื่องนี้ร้ายแรงกว่าที่พวกเขาคิด และพวกเขาก็ไม่สามารถฝากฝังทุกอย่างไว้ในมือของยมทูตต่างชาติตนนี้ได้
“ขอโทษนะครับ” ในที่สุดทาดายูกิก็เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม “ทุกสิ่งที่เราได้ยินนั้นมาจากคุณทั้งสิ้น มันไม่มีหลักฐานยืนยันคำพูดของคุณที่บอกว่ามันมีวิญญาณ 2,500 ตนสิ่งอยู่ในมิติเสมือนจริงที่อยู่ภายในถ้วย รวมถึงเรื่องที่ว่าทางจีนจะดำเนินการทุกอย่างตามที่คุณพูด สิ่งที่พวกเรากังวลก็คือ…”
เขาเงียบไปครู่หนึ่งเพื่อเลือกใช้คำอย่างระมัดระวัง “มันไม่มีสิ่งใดรับประกันได้ว่าคุณจะไม่กลับคำและปล่อยให้เขากลับมาสร้างความหายนะให้กับแดนมนุษย์อีกครั้ง”
นี่คือความกังวลของประเทศเล็ก ๆ
พวกเขาไม่แม้แต่จะคิดถึงความเป็นไปได้ที่ยมโลกของจีนจะตกอยู่ภายใต้ระบอบการปกครองใหม่และตั้งใจที่จะแย่งดวงวิญญาณของโอดะโนบูนางะไปเป็นของตัวเองเลยด้วยซ้ำ !
นี่ล้อกันเล่นหรือเปล่า ?
ด้วยกองกำลังของยมโลก อย่างมากที่สุด โนบูนางะก็จะได้รับแต่งตั้งให้เป็นหนึ่งในแม่ทัพของกองกำลังมากมายของพวกเขาเท่านั้น
ฉินเย่หัวเราะเสียงต่ำ
เป็นอย่างที่คิด การเจรจาคงไม่สามารถก้าวผ่านไปได้ง่าย ๆ เพราะอย่างไรแล้ว มันก็ไม่มีใครเป็นคนโง่ และพวกเขาก็จะไม่ย่อมเชื่อจนกว่าจะได้เห็นหลักฐานที่สามารถเชื่อถือได้
พรึ่บ… ทันทีที่ทาดายูกิเอ่ยจบ ม้วนกระดาษยาวม้วนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นและคลี่ตัวออกกลางอากาศ ทั้งสี่ไล่สายตาดูเนื้อหาทั้งหมดอย่างรวดเร็ว จากนั้น… เมื่อพวกเขามาถึงตอนท้ายของเอกสาร ดวงตาของคนทั้งหมดก็พลันหรี่ลงพร้อมกัน
มันคือตราประทับประจำตัวของโอดะโนบูนางะ
ว่ากันว่าตราประทับนี้ถูกเผาในเหตุการณ์ที่วัดฮนโนไปแล้ว ดังนั้นผู้เดียวที่สามารถครอบครองตราประทับนี้อยู่จะต้องเป็นผู้ใดไปไม่ได้นอกจากตัวของโอดะโนบูนางะเอง
“นี่มัน…” ผู้ฝึกตนทั้งสามก้าวไปข้างหน้าเพื่อดูให้ใกล้ ๆ ทว่าฉินเย่กลับเก็บมันไปอย่างรวดเร็ว
พวกเขาได้อ่านเพียงการรับรองของโอดะโนบูนางะที่บอกว่าเขามีทหารวิญญาณ 2,500 ตนอยู่ใต้บังคับบัญชาเท่านั้น
พวกเขาไม่มีโอกาสได้อ่านเนื้อหาที่เหลือ รวมถึงเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับ ‘หนึ่งยมโลก สองระบบ’ หรือ ‘เขตปกครองพิเศษ’ เลยสักนิด
“นี่คือสัญญาส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนของจีน และเนื้อหาทั้งหมดก็เป็นความรับผิดชอบของผม พวกคุณไม่มีสิทธิ์ที่จะอ่านเนื้อหาทั้งหมด” เขาม้วนกระดาษกลับตามเดิม “พวกเรายอมให้พวกคุณดูสัญญาและการประทับตรารับรองของโอดะโนบูนางะก็เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจของเราเท่านั้น ผมพิสูจน์ให้พวกคุณเห็นแล้วว่าผมพูดความจริง หากคุณยังมีข้อสงสัยอะไรอีก ผมเชื่อว่าพวกคุณจะต้องมีผู้ใต้บังคับบัญชาที่สามารถยืนยันได้รอยประทับนี่เป็นของจริงหรือของปลอม”
“เจ้านี่เก่งจริง ๆ!” หมิงชีหยินเอ่ย “เจ้าเข้าใจจิตใจและความคิดของมนุษย์เป็นอย่างดี และยังใช้ประโยชน์จากสถานการณ์ที่กดดันและใช้ชื่อเสียงที่ยิ่งใหญ่ของยมโลกเพื่อปิดตาพวกเขาและปิดกั้นพวกเขาจากการรับรู้ถึงความลับที่อาจส่งผลเสียต่อยมโลก เพราะอย่างไรแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็ไม่ใช่รายละเอียดของเนื้อหา แต่คือตราประทับของโอดะโนบูนางะ …ถูกหรือไม่ ?”
“ท่านพูดถูกแล้ว” ฉินเย่พยายามที่จะสื่อสารกับหมิงชีหยินผ่านทางกระแสจิต และไม่นาน ความคิดของเขาก็ถูกถ่ายทอดออกไปเป็นเสียงของเขาที่ส่งไปที่หมิงชีหยินโดยตรง “นี่ไม่ใช่กรณีทั่วไป แต่มันเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับทั้งตะวันออก ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ ความสนใจของพวกเขาที่มีต่อเนื้อหาของข้อตกลงคงไม่มากเท่าตัวตนของผู้ที่ลงนามในตอนท้าย การยืนยันของโนบูนางะหมายความว่าเขาไม่ได้มองพวกเราเป็นศัตรู นอกจากนี้มันยังเป็นการเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับสิ่งที่เราเพิ่งพูดไปก่อนหน้านี้ ตลอดจนข้อเท็จจริงที่ว่าเราจะนำตัวของโอดะโนบูนางะไปด้วย ดังนั้นแค่ตราประทับนี้เป็นของจริงก็พอแล้ว จะว่าไป ระบบการสื่อสารของท่านไม่เลวเลย”
หมิงชีหยินเงียบไป หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งมันก็เอ่ยขึ้นว่า “เจ้าลืมไปแล้วใช่หรือไม่ว่าข้าคือตัวตนที่สร้างความหวั่นเกรงภายในจิตใจของผู้คนนับไม่ถ้วน ? อย่างน้อยข้าก็ควรจะทำเรื่องพวกนี้ได้”
ฉินเย่ไม่สนใจคนขี้อวดที่กำลังพร่ำชมตัวเองไม่หยุด เขาหันไปมองคนทั้งหมด “ยังมีใครมีข้อสงสัยอะไรอีกไหม ?”
แววตาของหมิงชีหยินเป็นประกายขึ้น
ฉินเย่เอ่ยต่อเสียงเรียบ “เอาล่ะ หากพวกคุณมีความคิดเห็นอะไรก็เก็บเอาไว้ก่อน ผมไม่มีเวลามาต่อล้อต่อเถียงกับพวกคุณทั้งหมด… คุณอิวาซากิ คุณมีความคิดเห็นว่าอย่างไร ?”
เขาสบตากับอิวาซากิอย่างตรงไปตรงมา
ชายสูงวัยถอนหายใจออกมา จากนั้นก็หัวเราะอย่างขมขื่น “หลังจากที่คุณชำระล้างถ้วยใบนี้แล้ว ผมยังมีโอกาสที่จะซื้อมันต่อจากคุณได้หรือเปล่า ?”
หืม ?? ข้อเสนอนี้… ยอดเยี่ยมจริง ๆ…
“แน่นอน” ฉินเย่พยายามอย่างมากที่รักษาใบหน้าที่นิ่งสงบของตัวเองไว้ จู่ ๆ หัวใจของเขาก็รู้สึกราวกับเป็นทุ่งดอกไม้ที่เบ่งบานเมื่อได้ยินข้อเสนอของอิวาวากิ
“ถ้าอย่างนั้นก็ตกลง” อิวาซากิกัดฟันแน่นและพยักหน้า เขารู้ดีว่าควรตัดสินใจอย่างไร ซึ่งทันทีที่ได้ยินคำตอบจากชายสูงวัย คนอื่น ๆ ก็พากันส่ายหน้าไปมาทันที
ฉินเย่ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ใครจะไปคิดว่าการเจรจากับองเมียวจิจะผ่านไปอย่างราบรื่นแบบนี้ ? เขาสามารถพูดได้เลยว่าความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ในการเจรจาพวกนี้ได้เปลี่ยนทิศทางของสถานการณ์ทั้งหมดไปอย่างสิ้นเชิง !
ลำดับเหตุการณ์ทั้งหมดดำเนินไปอย่างราบรื่นราวกับม้าแข่งที่วิ่งอย่างบ้าคลั่งตั้งแต่ต้นจนจบ !
เด็กหนุ่มได้ใช้ประโยชน์จากยมโลกแห่งเก่าและตราประทับส่วนตัวของโอดะโนบูนางะอย่างเต็มที่จนไม่จำเป็นจะต้องมุ่งหน้าไปที่ช่องแคบสึชิมะเลยด้วยซ้ำ ! เจ้าบ้าอะซะอิ นะงะมะซะนั่นไม่มีทางรู้ว่าเขาคือใคร ! เมื่อกล่องถูกเปิด เขาจะแย่งถ้วยพระเนตรสวรรค์เปลี่ยนสีมาไว้ในครอบครองและกลับไปที่ตงไห่ ทุกอย่างสมบูรณ์แบบ !
“เช่นนั้น…” ฉินเย่สูดหายใจเข้าช้า ๆ และข่มความดีใจที่เอ่อล้นขึ้นมาในจิตใจ แต่ทันใดนั้นเอง เสียง ๆ หนึ่งก็พลันดังแทรกขึ้น
“พวกคุณกำลังจะเปิดกล่องเวทมนตร์หรือครับ ?” เสียงแหบแห้งทว่าอ่อนแรงดังขึ้น
หัวหน้าใหญ่ชูยืนอยู่ที่ทางเข้า เขามองไปรอบ ๆ และตัวสั่นเล็กน้อยเมื่อมองไปยังทาดายูกิ “คุณจะไม่ประมูลถ้วยแล้วเหรอครับ ? นี่ไม่ใช่สิ่งที่เราตกลงกันเอาไว้นี่ ! พวกเรากำลังจะทำการประมูลในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน ! ชื่อเสียงของเราจะต้องถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ !”
“ผมไม่เคยคิดที่จะประมูลมันอยู่แล้ว” ทาดายูกิมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเรียบนิ่ง “หากไม่ใช่เพราะการเข้ามามีส่วนร่วมของมิตซูบิชิคอร์ปอเรชั่น รวมถึงการใช้ระบบรักษาความปลอดภัยที่ไม่สามารถทำลายได้อย่างกล่อมเวทมนตร์ ตอนนี้คุณก็คงไม่ได้มีสมบัติล้ำค่าชิ้นนี้อยู่ในมือด้วยซ้ำ”
พรึ่บ ! เขาโบกมือเบา ๆ และนกกระดาษก็บินไปที่หัวหน้าใหญ่ชู “คุณไปนอนพักเถอะ ทางเราจะชดใช้ค่าเสียหายทั้งหมดให้คุณเอง”
“ไม่มีทาง !!!!” เสียงของหัวหน้าใหญ่ชูดังแทรกขึ้นอีกครั้ง ทันทีที่นกกระดาษบินไปอยู่ตรงหน้าของเขา เขาก็ใช้มือทุบเข้าที่กลางอกของตัวเอง จากนั้นด้วยสีหน้าที่บิดเบี้ยวและริมฝีปากที่สั่นเทา เขาหันไปหาอิวาซากิ “คุณอิวาซากิ… คุณเอง… ก็จะถอนตัวจากการประมูลเช่นกันหรือครับ ?”
ชายสูงวัยหลับตาลงขณะที่เอ่ยตอบอ้อม ๆ “มนุษย์เรา บางครั้งก็ต้องรู้จักปล่อยวาง”
ทันที่ที่หัวหน้าใหญ่ชูได้ยินคำพูดของอีกฝ่ายก็รู้สึกเหมือนกับถูกสายฟ้าผ่าลงมาที่ตน ร่างของเขาสั่นระริก เขาเผลอก้าวถอยหลังไปสองสามก้าวขณะที่มองคนทั้งหมดด้วยความตกตะลึง จากนั้นเขาก็ส่ายศีรษะไปมาราวกับกำลังพยายามตั้งสติ “ถ้าเช่นนั้น… พวกคุณได้คิดบ้างหรือเปล่าครับว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับโรงประมูลเจียเต๋อ ?!”
“พวกเราประกาศออกไปให้ทั้งโลกได้รู้และเตรียมการทั้งหมดก็เพื่องานประมูลใหญ่ในครั้งนี้ แต่ขณะที่มันกำลังจะเริ่มต้นขึ้น พวกคุณกลับมาเปลี่ยนใจเนี่ยนะ ?! แล้วแบบนี้อนาคตของโรงประมูลเจียเต๋อจะเป็นอย่างไร ?! อนาคตของพนักงานทั้งหมดของเราจะเป็นอย่างไร ?!”