ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 255: การปลดปล่อย
บทที่ 255: การปลดปล่อย
มันเป็นค่ำคืนที่ไร้ซึ่งแสงจันทร์
และตอนนี้ก็เป็นเวลาสี่ทุ่มตรง
ช่องแคบสึชิมะถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาทึบ จากจุดที่ฉินเย่อยู่ มันดูเหมือนกับรอยแยกอันน่ากลัวที่สามารถกลืนกินทุกสิ่งทุกอย่างที่เข้าไปใกล้
ในความเป็นจริงแล้ว พลังหยินที่เกาะกลุ่มอยู่บริเวณนั้นหนามากจนเริ่มก่อตัวเป็นรูปร่าง นี่คือผลของการรวมตัวกันของขั้นยมทูตขาวดำ นักล่าวิญญาณและทหารวิญญาณอีกจำนวนนับพันที่เตรียมพร้อมสำหรับการรบที่ช่องแคบสึชิมะ ความหนาแน่นของพลังหยินแถวนั้นเพียงพอที่จะทำลายสมดุลภายในแดนมนุษย์ให้เอนเอียงไปทางพลังหยินได้เลยด้วยซ้ำ
“นี่มันอะไรกัน ?!” หนึ่งในผู้เข้าร่วมประมูลมองออกไปด้านนอกด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เขาจ้องไปยังธงสงครามขนาดใหญ่ที่อยู่ท่ามกลางกลุ่มก้อนพลังหยิน
“มันคือการสำแดงพลังของความชั่วร้าย” เสื้อคลุมของนักบวชกระพรืออย่างรุนแรงขณะที่เขามองไปยังปลายขอบฟ้าด้วยความเย็นชา “และ… ผมก็เกรงว่ามันจะเป็นวิญญาณร้ายที่ทรงพลังมากเสียด้วย ! ท่านครับ ผมอยากให้คุณกลับที่ห้องของตัวเองโดยเร็วที่สุดและห้ามออกมาโดยเด็ดขาด นี่ไม่ใช่สนามรบที่ท่าจะสามารถก้าวเข้ามาได้”
“พวกมันเป็นวิญญาณร้ายที่กระหายเลือดและดุร้าย”
พึ่บ !! เสื้อของเขาฉีกออก เผยใช้เห็นอักขระสีทองอร่ามมากมายสว่างขึ้นทั่วร่างที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อของเขา ชายสูงอายุชาวจีนอีกคนหนึ่งที่มีเครายาวก้าวออกมาด้านหน้าพร้อมกลับเสื้อคลุมยาวของตนและดาบไม้มะฮอกกานีอีกจำนวนมากที่ลอยอยู่ข้าง ๆ และมันก็ยังมีชายในเสื้อคลุมยาวอีกคนหนึ่งที่ถือคัมภีร์กุรอ่านอยู่ด้านหน้าของเขา ขณะที่หน้ากระดาษเริ่มพลิกไปมาด้วยตัวเอง
ผู้ฝึกตนเหล่านั้นเดินออกมาทีละคน ๆ พวกเขามอบความมั่นใจให้กับนายจ้างของตนที่กำลังวิตกกังวลโดยการก้าวออกมายังหัวของเรือ ไม่แบ่งแยกเชื้อชาติแต่อย่างใด
คนเป็นและคนตายไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้ หากวิญญาณเข้ามาแทรกแซงกิจการของแดนมนุษย์ พวกเขา ผู้ฝึกตนมนุษย์ ก็จะไม่มีวันถอยหลังได้แม้แต่ก้าวเดียว !
แม้ว่าพวกเขาจะต้องตายไปในการต่อสู้ครั้งนี้ด้วยก็ตาม !
“การรวมกันของกองกำลังตรงหน้านั้นแข็งแกร่งจนฉันเองก็ตัวสั่นไปหมด…” หญิงชราคนหนึ่งที่กำลังหวีสางผมสีขาวเอ่ยขึ้นเบา ๆ “นี่ไม่ใช่แค่ขั้นยมทูตขาวดำทั่วไป… ฉันสัมผัสได้ถึงความโกรธแค้นที่เล็ดลอดออกมาจากใจกลางกลุ่มหมอกดำนั่น นอกจากนี้มันยังมีจิตสังหารที่รุนแรงพุ่งมาที่เรา แม้ว่ามันจะยังอยู่ห่างจากเรามาก็ตาม”
เส้นทางข้างหน้าเรียงรายด้วยโคมไฟสีเขียวหยกที่เห็นได้ชัดว่าเป็นของยมโลก นี่ไม่ต่างอะไรกับคลองน้ำที่นำไปสู่ทะเลแห่งความตายเลยสักนิด เหล่าผู้ฝึกตนทั้งหมดจับจ้องสายตาของพวกเขาไปที่ธงที่ชูขึ้นสูงที่อยู่ห่างออกไป มันคือสัญลักษณ์ที่เกิดจากการนำดอกไม้สามดอกมาไว้รวมกันในลักษณ์ของกระดองเต่า
อะซะอิ นะงะมะซะ !
เกาะนิรนามตรงหน้าใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ณ ใจกลางของหมอกพลังหยิน ชายสวมชุดเกราะสีขาวผู้หนึ่งยืนอยู่ที่หัวเรือของเรือรบหุ้มเกราะอย่างอาจหาญ เขาดูหนุ่มมาก แม้ว่าหน้าตาจะไม่ได้ถือว่าหล่อเหลามากมาย แต่เขาก็ยังดูแข็งแกร่งและดุดันอย่างไม่ต้องสงสัย พู่สีแดงสองอันห้อยลงมาที่ด้านข้างของหมวกที่สวมอยู่ ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นและกางมือไปด้านข้างอย่างสง่างาม ไม่สามารถข่มความรู้สึกตื่นเต้นภายในใจของตัวเองได้อีกต่อไป “ในที่สุด… เวลานี้ก็มาถึง…”
“โออิจิ… เจ้าเห็นหรือไม่ ?”
“ชายผู้เป็นต้นเหตุให้สามีของเจ้าต้องทำการคว้านท้องตัวเอง และไปสังหารลูกของเจ้าอย่างเลือดเย็น… ในที่สุด มันก็ถูกข้าลากมายังแดนสังหารแห่งนี้…”
“ข้าได้สาบานกับตัวเองว่าวันหนึ่งข้าจะต้องชำระหนี้แค้นในครั้งนั้นให้จงได้ และหลังจากผ่านไปมากกว่า 400 ปี… ในที่สุดเวลาแก้แค้นของข้าก็มาถึง !!!”
เขาลดมือลงช้า ๆ แม่ทัพญี่ปุ่นในชุดเกราะจำนวนมากยืนอยู่ด้านหลังของเขาในตอนนี้ แต่ถึงกระนั้น การมีอยู่ของพวกเขาทั้งหมดนั้นเป็นเพียง… ภาพลวงตาเท่านั้น !
หากพูดให้ถูกก็คือพวกเขายืนอยู่ระหว่างการมีตัวตนจริงและภาพลวงตา บางตนถืออาวุธที่มีความยามประมาณ 20 ฟุต บางคนสวมผ้าปิดตาหนึ่งข้าง ในขณะที่คนอื่น ๆ กำลังพัดให้ตัวเองด้วยพัดทรงกลม พวกเขาดูธรรมดา แต่สัญลักษณ์ที่สลักบนผืนธงที่พวกเขาถืออยู่นั้นสามารถสร้างความหวาดกลัวให้กับจิตใจของผู้ที่พบเห็นได้อย่างง่ายดาย
หนึ่งในสัญลักษณ์ที่โดดเด่นที่สุดคือโทโยโตมิ ฮิเดโยชิ ชายผู้รวบรวมญี่ปุ่นให้เป็นหนึ่งที่แบกธงที่มีสัญลักษณ์ 5–7 เพาโลเนียของตระกูลโทโยโตมิไว้บนหลัง
จากนั้นมันก็ยังมีโทกูงาวะ อิเอยาซุกับธงลายสามฮอลลี่ฮอคของตระกูลโทกูงาวะ
หนึ่งในนักรบผู้ยิ่งใหญ่ของญี่ปุ่น ซานาดะ ยูกิมูระที่มาพร้อมธงลายเหรียญหกเหรียญของตระกูลซานาดะ
นอกจากนี้ยังมีธงลายนกกระจอกสองตัวที่ถูกล้อมรอบโดยต้นไผ่ของตระกูลดาเตะที่ถูกถือโดยมังกรตาเดียว ดาเตะ มาซามูเนะ
และนี่ยังไม่รวมถึงสัญลักษณ์เพชรสี่เม็ดที่เรียบง่ายทว่าน่ากลัวของพยัคฆ์แห่งคาอิ ทาเกดะ ชิงเง็งแห่งตระกูลทาเกดะอีก
นี่คือการรวมตัวกันของหนึ่งในแม่ทัพที่น่ากลัวที่สุดในประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่น แม้ว่าจะพวกเขาบางตนจะมีสถานะสูงว่าชายในชุดเกราะสีขาวในขณะที่ยังมีชีวิต แต่วันนี้พวกเขาทั้งหมดกำลังยืนอยู่ด้านหลังของอีกฝ่าย
พวกเขาคือขุนศึกในยุคเซ็งโงกุ !
ชายที่ยืนอยู่ด้านหน้ายังคงจับจ้องไปที่ท้องฟ้าที่อยู่ห่างออกไปอยู่อีกสักพักใหญ่ก่อนจะเอ่ยสั่ง “ชูธง”
“ทำให้แขกของเราได้รู้ว่าตอนนี้พวกเขากำลังก้าวเข้ามาในอาณาเขตของผู้ใด”
“หลังจากผ่านไป 400 ปี ในที่สุดพวกเราก็จะได้แสดงให้ราชาปีศาจแห่งสวรรค์ชั้นที่ 6 ได้เห็นแล้วว่าราชาที่แท้จริงคือผู้ใด !”
เขาสูดหายใจเข้าช้า ๆ และหน้าอกของเขาก็พองขึ้นอย่างเห็นได้ชัด “ฆ่ามัน !!!”
เสียงที่ตะโกนออกไปนั้นดังสนั่นราวกับเสียงฟ้าร้อง เขาอ้าปากออกกว้างเกินหนึ่งเมตร ความเกลียดชังฉายชัดอยู่บนใบหน้า เหมือนอย่างที่ทุกคนคาดหวังที่จะได้เห็นจากวิญญาณร้ายที่น่าสะพรึงกลัว และพร้อมกับเสียงตะโกนดังกล่าว ธงสงครามพลันถูกชูขึ้น และพลังหยินที่อยู่ล้อมรอบพวกเขาก็เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว โครงกระดูกในชุดเกราะที่อยู่บนเรืออะตะเกะบุเนะทั้งหมดลืมตาขึ้นในทันที
ซ่ากกกกก !!! เสียงตะโกนตอบรับแม่ทัพของพวกตนดังก้องไปทั่ว และวิญญาณร้ายทั้งหมดก็เริ่มเคลื่อนไหวอยู่ภายในช่องแคบสึชิมะ
………
กลับมาที่บนเรือสำราญ ฉินเย่เดินนำอิวาซากิและทาดายูกิกลับเข้าไปที่ห้องเก็บสินค้าซึ่งอยู่ต่ำสุดของลำเรือพร้อมด้วยการคุ้มกันจากพระทั้งสอง
และภาพแรกที่พวกเขาได้เห็นก็ทำให้หางตาของคนทั้งหมดกระตุกอย่างไม่สามารถควบคุมได้
ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าตะปูเหล็กที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 30 เซนติเมตรกว่าร้อยตัวถูกตอกเข้ามาจากอีกด้านหนึ่งของลำเรือ และมันก็คือแหล่งที่มาของเสียงกึก ๆ เบา ๆ ที่ฉินเย่ได้ยินก่อนหน้านี้
ฉินเย่เห็นเช่นนี้ก็สามารถปะติดปะต่อเรื่องทั้งหมดได้ทันที ในขณะที่พวกเขายังอยู่ที่โถงประมูลก่อนหน้านี้ พวกกัปปะได้ลอบมาที่ใต้ท้องเรือและตอกตะปูพวกนี้เอาไว้ โดยที่ปลายอีกด้านหนึ่งของตะปูถูกผูกไว้กับร่างของมัน จากนั้น ด้วยการร่วมแรงร่วมใจเป็นหนึ่ง พวกมันสามารถเคลื่อนเรือไปได้โดยที่ไม่มีใครบนเรือรู้ตัว และจุดหมายของพวกมันน่ะหรือ ? แน่นอน มันคือช่องแคบสึชิมะ !
ในแง่นั้น มันสามารถพูดได้ว่าแผนการของพวกกัปปะนั้นประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ ตอนนี้เรือสำราญอยู่ห่างจากช่องแคบสึชิมอีกไม่มาก ฉินเย่พยายามทำทุกอย่างที่เขาสามารถทำได้เพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าโดยตรงกับกองกำลังของอิซานามิ แต่เรื่องทั้งหมดก็ยังกลับกลายมาเป็นแบบนี้
ถอยหรือ ?
นั่นจะเป็นเหมือนกับการวางรากฐานสำหรับการทำเล่มวิจัยก่อนที่จะทิ้งมันไว้กว่า 11 ชั่วโมง ดังนั้นการถอยจึงไม่ใช่หนึ่งในตัวเลือกอย่างแน่นอน
“พระ เมื่อไหร่พระนักรบของพวกคุณจะมาถึง ?” ฉินเย่รีบหันไปถามพระญี่ปุ่นทั้งสอง
“พวกเขาจะมาถึงภายในหนึ่งชั่วโมงครับ !” โดจินซังตอบ
จากนั้นฉินเย่จึงหันไปหาทาดายูกิ แต่ก่อนที่เขาจะได้ถามคำถามออกไป อีกฝ่ายก็ตอบทันทีว่า “กองกำลังเท็งงุเองก็ออกมาแล้ว พวกเขาจะมาถึงภายในหนึ่งชั่วโมงเช่นกันครับ !”
“ดี” ฉินเย่สูดหายใจเข้าช้าๆและนั่งลงกับพื้น “ช่วยคุ้มกันผมที”
ตอนนี้ถึงเวลาแล้วที่เหล่าขุนศึกในยุคเซ็งโงกุจะได้กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง !
อะซะอิ นะงะมะซะได้แต่งงานกับโออิจิ ผู้ที่ได้รับขนานนามว่าเป็นหนึ่งในผู้หญิงที่สวยที่สุดในยุคนั้นและเธอก็เป็นน้องสาวของโอดะโนบูนางะ แต่ถึงกระนั้น ความเกี่ยวโยงทางสายเลือดก็ไม่สามารถห้ามโนบูนางะไม่ให้ผลักดันนางจนฆ่าต้องตัวตายได้ โนบูนางะสังหารลูกชายคนโตของนาง และยังเนรเทศลูกชายคนที่สองให้ไปอยู่ในวัด และไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปที่ไหนอีกตลอดชีวิต นี่คือความแค้นที่ฝังรากลึกอยู่ในจิตวิญญาณของพวกเขา และมันก็ต้องได้รับการชดใช้อย่างสาสม แม้ว่านั่นจะหมายถึงการตามล่าที่ไม่รู้จบก็ตาม !
มันคือความแค้นที่สลักลงไปในสายเลือด
แต่ที่น่าเป็นกังวลมากที่สุดก็คือข้อเท็จจริงที่ว่าอะซะอิ นะงะมะซะอาจจะครอบครองสมุดแห่งความเป็นตายเอาไว้ การแสดงอำนาจของท่านเปาอาจจะพอเป็นประโยชน์ แต่มันก็คงไม่สามารถกำจัดกองกำลังทั้งหมดที่ทางยมโลกญี่ปุ่นส่งมาได้ !
ก่อนที่พวกเขาจะเดินทางมาที่ตงไห่ อาร์ทิสได้สอนเขาถึงวิธีการคลายผนึกของถ้วยพระเนตรสวรรค์เปลี่ยนสีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงหลับตาลงและเริ่มเรียกโอดะโนบูนางะออกมาในใจ
หมิงชีหยินที่เห็นเช่นนั้นก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยออกมาด้วยความประหลาดใจ “นี่มันไม่ถูกต้อง… ปกติเจ้าจะต้องตะโกนร้องสุดเสียงและพยายามหาทางหนี เหตุใดวันนี้เจ้าจึงทำตัวแปลกไปจากเดิม ?”
ฉินเย่เพียงเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เพราะว่ามันไม่มีทางให้หนีอีกแล้ว”
“และในเมื่อมันไม่มีทางให้หนี การทำตัวสิ้นหวังจะไปมีประโยชน์อะไร ?”
ใช่ เขาเป็นพวกขี้ขลาด แต่ความขี้ขลาดของเขาก็ไม่ได้ส่งผลใด ๆ ต่อการตัดสินสถานการณ์ของตนเอง อันที่จริง ในเวลานี้ตัวเขาเองรู้ดีกว่าใครว่ายิ่งเขาทำทุกอย่างด้วยความกลัวและความขี้ขลาดมากเท่าไหร่ เขาก็จะยิ่งตายเร็วขึ้นเท่านั้น ไม่มีความปราณีในสนามรบ ความหวังเดียวในการเอาชีวิตรอดของเขาก็คือการทำใจให้สงบและฝ่าวงล้อมแห่งความตายเพื่อหาทางรอดให้ตัวเอง
เด็กหนุ่มวางถ้วยพระเนตรสวรรค์เปลี่ยนสีลงตรงหน้า จากนั้นก็เริ่มประสานมือเป็นลักษณะต่าง ๆ พร้อมกับใส่พลังหยินของตัวเองเข้าไป ไม่กี่วินาทีต่อมา พร้อมกับเสียงบางอย่างดังขึ้นเบา ๆ ถ้วยตรงหน้าพลิกคว่ำลงและลอยขึ้นกลางอากาศ ชิ้นส่วนที่แตกอีกส่วนหนึ่งซึ่งไป๋อี้ชานได้มอบให้เขาก่อนหน้านี้ลอยออกมาจากชุดของฉินและประกบเข้าด้วยกัน
ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก …จังหวะที่คล้ายกับการเต้นของหัวใจดังก้องไปทั่วทุกมุมของห้องเก็บสินค้า พลังหยินที่ห่อหุ้มตัวถ้วยเอาไว้หนาขึ้นเรื่อย ๆ ครู่ต่อมาฉินเย่ก็ลืมตาขึ้นและประกบฝ่ามือเข้าด้วยกันเสียงดัง ทันใดนั้นเองสัญลักษณ์เหรียญทองแดงก็ปรากฏขึ้นที่ก้นถ้วย
สัญลักษณ์ดังกล่าวขยายใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งมันกลายเป็นกระแสน้ำวนสีดำสนิท
“อดทนไว้จนกว่าผมจะออกมา !” ฉินเย่เอ่ยเตือนคนทั้งหมดอีกครั้ง จากนั้น พร้อมกับเสียงกรีดร้องอันโหยหวน พลังหยินจำนวนมากเข้าห่อหุ้มร่างของเด็กหนุ่มเป็นเวลาหนึ่งก่อนที่จะเผยให้เห็นฉินเย่ในสถานะของยมทูตขาวดำ พร้อมด้วยหมวกทรงสูงและไม้ขกสังปั้งในมือ จากนั้นเขาก็พุ่งเข้าไปในมิติเสมือนจริงที่อยู่ภายในถ้วยทันที
อาณาเขตเวททั้งหมด รวมถึงมิติของถ้วยสามารถเปิดได้จากด้านในเท่านั้น เว้นแต่ว่าพวกมันจะถูกทำลายจากด้านนอกด้วยพลังที่แข็งแกร่งกว่า
ภายในห้องเก็บสินค้าถูกปกคลุมด้วยความเงียบอีกครั้ง
พร้อมกับการสูดหายใจเข้าช้า ๆ กริชวัชระลอยออกมาจากเสื้อคลุมและเริ่มเปล่งแสงสีทองออกมา ด้วยการประสานอินอย่างรวดเร็ว เมฆก้อนเล็ก ๆ ปรากฏขึ้นที่บริเวณเท้าของเขาและพาเขาไปที่กลางห้องเก็บของ จากนั้นชายร่างใหญ่ก็ยกแขนขึ้น ม้วนคัมภีร์ที่ดูเหมือนจะไร้สิ้นสุดก็ค่อย ๆ คลี่ตัวออกพร้อมกับเสียงดังเบา ๆ และเริ่มล้อมรอบทั้งห้องเอาไว้
อักขระภาษาสันสกฤตจำนวนมากเรืองแสงออกมาและจางหายไปอย่างรวดเร็ว ในทำนองเดียวกัน จินโกะซังเองก็เริ่มประสานอินก่อนจะตบฝ่ามือลงไปที่พื้น คัมภีร์อีกม้วนหนึ่งลอยออกมา เปล่งประกายแสงสีทองสุกใส
“นี่คือวิชาลับที่ทรงพลังที่สุดของภูเขาโคยะ แสงจันทร์เดือนหงาย” เขาหลับตาลงและจับคัมภีร์แน่น “ไม่คิดเลยว่าจะได้มีโอกาสใช้พลังของมันอย่างเต็มรูปแบบ”
“อะซะอิ นะงะมะซะ …ช่างเป็นชื่อที่น่าเกรงขามจริง ๆ เช่นนั้น มาดูกันว่าระหว่างไดเมียวผู้ยิ่งใหญ่จากเมื่อ 400 ปีก่อนกับภูเขาโคยะในยุคสมัยปัจจุบัน ฝ่ายไหนแข็งแกร่งกว่ากัน !”
ฟึ่บ !!! ประกายแสงสีเงินสว่างวาบออกมาจากคัมภีร์ และดอกบัวที่บานสะพรั่งก็ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ มันบานออกทีละชั้น ๆ จนกระทั่งจางหายเข้าไปในกำแพงของห้องเก็บสินค้าในท้ายที่สุด ในขณะที่ดอกบัวจางหายไป ผนังด้านในของห้องก็เต็มไปด้วยแผ่นยันต์จำนวนนับไม่ถ้วน
ฉินเย่ไม่รับรู้ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดเลยแม้แต่น้อย ตัวเลือกของเขาเพียงอย่างเดียวตอนนี้ก็คือเชื่อใจคนพวกนั้น ในความเป็นฏิปักษ์อันรุนแรงระหว่างฝั่งของศัตรูของพระพุทธและฝั่งของภูเขาโคยะและองเมียวจิ และเขาก็ไม่มีเวลาให้มาคิดเรื่องพวกนี้เช่นกัน เพราะตอนนี้เขากำลังบินผ่านช่องมิติเวลาที่คับแคบและวัดโบราณก็ได้ปรากฏขึ้นที่ปลายอีกด้านหนึ่งของช่องมิตินี้แล้ว !
ตุบ ทันทีที่เด็กหนุ่มก้าวออกมา เขาก็ต้องชะงักไป
เสียงของม้าและทหารม้าดังก้องไปทั่ว
วัดฮนโนยังคงดูเก่าดังเดิม แต่ ณ เวลานี้เบื้องหน้าของวัดกลับมีทหารวิญญาณมากกว่า 2,000 ตนยืนเรียงต่อกันอย่างเป็นระเบียบ พวกเขาทั้งหมดสวมชุดเกราะหนา และสวมหน้ากากผีร้ายเพื่อบดบังใบหน้าของตัวเอง พลังหยินอันรุนแรงแผ่ออกมาจากค่ายกลทหารที่กำลังนั่งอยู่บนม้าศึกโครงกระดูกของตน ธงสงครามของตระกูลโอดะปลิวไสวอย่างบ้าคลั่งราวกับมหาสมุทรที่ดุร้ายซึ่งอยู่ในส่วนลึกของยมโลก
ฉินเย่ที่เห็นเช่นนั้นก็สามารถบอกได้เลยว่าทหารม้าพวกนี้แตกต่างจากทหารม้าทั่วไป
เครื่องแต่งกายของพวกเขาเป็นสีแดงดำ และแต่ละตนก็สวมโครงไม้ไผ่ที่คลุมด้วยผ้าไว้ที่หลังอีกชั้นหนึ่ง ราวกับกระดองเต่า
พวกเขาทั้งหมดคือซามูไรขี่ม้า หรือซามูไรคุ้มกันของโอดะโนบูนางะนั่นเอง
พวกเขาคือเหล่าทหารม้าชั้นยอดที่ติดตามราชาปีศาจแห่งสวรรค์ชั้นที่ 6 และเกือบจะรวมญี่ปุ่นให้เป็นหนึ่งได้สำเร็จ ! กองกำลังสีแดงและกองทหารสีดำของโอดะโนบูนางะ !
โนบูนางะประจำอยู่ที่ด้านหน้าสุดของค่ายกลพร้อมด้วยหน้ากากสีทองที่สวมอยู่บนใบหน้า มุไร ซาดาคัตสึประจำอยู่ทางซ้าย ในขณะที่โอดะโนบูทาดะทางด้านขวา ทั้งสองต่างขี่ม้าโครงกระดูกขนาดใหญ่ที่สูงประมาณคนสองคนต่อกัน พลังหยินอันไร้ขอบเขตไหลออกมาจากกระดูกของพวกเขา โดดเด่นออกมาจากเหล่าม้าโครงกระดูกทั้งหมดราวกับดวงดาวที่สว่างขึ้นในยามราตรี เมื่อเห็นการมาถึงของฉินเย่ โอดะโนบูนางะก็เงยหน้าขึ้นฟ้าและหัวเราะออกมาเสียงดังขณะที่ใช้ดาบคาตานะในมือของตนไปที่ฉินเย่ “ยมทูตจีน นั่นคือร่างที่แท้จริงของเจ้าเช่นนั้นหรือ ?”
“ถูกต้อง ข้ามาแล้ว” ฉินเย่ยืนอยู่ตรงหน้าของทหารม้าทั้งหมด เขาสัมผัสได้ถึงความดุร้ายที่แผ่ออกมาจากกองกำลังทั้งหมด ดวงตาของเหล่าทหารม้าแต่ละตนต่างลุกโชนด้วยเปลวไฟสีแดงเข้มซึ่งหมายความว่าพวกเขาได้สังหารคนอย่างโหดเหี้ยมในขณะที่ยังมีชีวิต
“มาสิ ไหนบอกข้าที….” เวลานี้ แม้แต่ร่างของโนบูนางะเองก็สั่นเทาเล็กน้อย “ผู้ใดกำลังรอข้าอยู่ด้านนอกนั่น ?”
ฉินเย่ยิ้ม รอยยิ้มของเขาในขณะที่อยู่ในสถานะยมทูตนั้นค่อนข้างน่ากลัว แต่มันกลัวเหมาะกับสถานการณ์ในตอนนี้เป็นที่สุด
“อะซะอิ นะงะมะซะ”
“ฮ่า ๆๆๆๆ!!!” ราชาปีศาจแห่งสวรรค์ชั้นที่ 6 หัวเราะออกมาเสียงดังลั่นขณะที่เขาชูดาบคาตานะของตัวเองขึ้นไปบนอากาศ “ในที่สุด ! สวรรค์ก็ตอบรับคำขอของข้า !!!”
“เร่งมือเข้า ! รีบปลดผนึกที่จองจำข้ามานับร้อย ๆ ปีเสีย” ความคับแค้นใจระเบิดออกมาจากภายใต้หน้ากากสีทอง คลื่นพลังหยินที่ปะทุออกมาทำให้วัดฮนโนเริ่มส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าด และต้นไม้ที่อยู่โดนรอบก็เอนไปมา
“ข้ารอคอยวันนี้มานานเต็มทนแล้ว !”