ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 257: หยินและหยาง (2)
บทที่ 257: หยินและหยาง (2)
อึก… โม่ฉางชิงปิดจมูกและปากของตัวเองขณะที่จมลงไปใต้ทะเลลึก มันเป็นตอนนั้นเองที่เขารู้สึกถึงความเจ็บปวดที่แผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย
มันรู้สึกไม่ต่างอะไรกับการที่แขนขาของเขาถูกดึงจนขาดเลยสักนิด แรงกระแทกมหาศาลของคลื่นสึนามิที่ถาโถมลงมานั้นยากเกินจะต้านทาน และคงต้องขอบคุณดวงดาวนำโชคของตัวเองหากเขาสามารถรอดพ้นจากบททดสอบครั้งนี้ไปได้โดยที่ยังมีชีวิต
เขามึนงงเป็นอย่างมากขณะที่พยายามว่ายขึ้นมาเหนือผิวน้ำ แต่ทันใดนั้นเอง ผิวน้ำทะเลที่วาววับด้วยแสงสลัวจากดวงดาวที่สาดส่องลงมาก็ถูกทำลายโดยเหล่าวิญญาณร้ายจำนวนมาก
และมันยังมีลูกไฟสีเขียวหยกจำนวนนับไม่ถ้วนลอยไปมาเหนือน้ำอย่างน่าขนลุก
จากจุดที่เขาอยู่ ลูกไฟพวกนั้นไม่ต่างอะไรกับกลุ่มดวงดาวบนท้องฟ้าเลยสักนิด ส่องประกายระยิบระยับสีเขียว และจากนั้น ร่างในชุดเกราะสีขาวก็ปรากฏตัวขึ้น… อะซะอิ นะงะมะซะ !
“อึก…” โม่ฉางชิงสำลักออกมาด้วยความตกตะลึงก่อนที่จะรีบปิดปากตัวเองอีกครั้ง
เต็มไปด้วยความน่าเกรงขาม…. และความชั่วร้าย… นี่คือขั้นยมทูตขาวดำ นอกจากนี้มันยังเป็นขั้นยมทูตขาวดำที่เต็มไปด้วยความคับแค้นใจอีกด้วย ! รังสีความอาฆาตที่แผ่ออกมาจากตัวของอีกฝ่ายนั้นมากเกินกว่าผีตัวไหน ๆ ที่เขาเคยเจอหน้ามา !
นี่คือวิญญาณอาฆาตที่อายุอย่างน้อย 200 ปี !
เป็นไปได้อย่างไร… วิญญาณอาฆาตที่ทรงพลังเช่นนี้มาปรากฏตัวที่ช่องแคบสึชิมะได้อย่างไร ?!
มือและเท้าของเขาเย็นชืดด้วยความกลัวขณะที่สายตายังคงจับจ้องไปที่นรกบนดินด้วยความสิ้นหวัง เขายังคงอยู่ใต้น้ำ แต่เขาก็ยังสามารถได้ยินเสียงร้องครวญครางอันน่าขนลุกของเหล่าวิญญาณร้ายที่ดังสะท้อนความเกลียดชังและความโกรธแค้นของอะซะอิ นะงะมะซะ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นี่เป็นความเกลียดชังที่ฝักลึกซึ่งเกิดจากการบังคับให้ต้องฆ่าตัวตาย รวมถึงความโกรธแค้นที่บุตรของตนถูกสังหาร มันเป็นความแค้นที่สั่งสมมาตลอด 400 ปี วิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนสวมชุดเกราะหนา เจตนาฆ่าที่แผ่ออกมานั้นรุนแรงจนทะลุผ่านกระแสน้ำและทิ่มแทงมาที่ทุกรู้ขุมขนของเขาราวกับเข็มขนาดเล็ก
พรึ่บ… เปลวไฟสีแดงลุกโชนขึ้นภายใต้หมวกนักรบ ในขณะที่เงาดำของเขาปกคลุมผืนน้ำ จากนั้นมันก็มองไปรอบ ๆ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ดังก้อง “ข้าคือซารุ ยาชามารุ หนึ่งในยมทูตผู้ยิ่งใหญ่แห่งโลกใต้พิภพของญี่ปุ่น ผู้ใดก็ตามที่เข้ามาขัดขวางแผนการของข้าจะต้องตายสถานเดียว !” [1]
เสียงที่เอ่ยออกมาของเขานั้นสั่นเทาด้วยความตื่นเต้น “ข้าจะให้โอกาสเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย จงยอมมอบตัวซะ มิเช่นนั้น… ข้าก็ยินดีที่จะเปลี่ยนให้สถานที่แห่งนี้กลายเป็นทะเลเลือด ผู้ที่เข้าใจในสิ่งที่ข้าพูดจงยกมือขึ้นเพื่อยอมมอบตัวแต่โดยดี”
มันยังมีร่างเงาจำนวนหนึ่งที่ลอยอยู่ใต้ผิวน้ำ เพราะไม่ว่าอย่างไรแล้ว ผู้ฝึกตนก็ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่ตายได้ง่ายขนาดนั้น แต่หลังจากที่ได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย สีหน้าตื่นตระหนกของพวกเขาก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม
วิญญาณร้ายจำนวนมากได้ปรากฏตัวในแดนมนุษย์ ทำลายกฎเหล็กที่ระบุเอาไว้ว่าโลกของคนเป็นและคนตายห้ามยุ่งเกี่ยวซึ่งกันและกัน ดังนั้น ไม่ว่าจะอีกฝ่ายจะมีเหตุผลอะไร พวกเขาก็จะต้องยืนหยัดเป็นแนวหน้าเพื่อต่อต้านการรุกรานของกองกำลังวิญญาณพวกนี้อย่างไม่ลังเล !
นี่คือหน้าที่ของผู้ฝึกตนและตัวแทนของแดนมนุษย์ !
มันถึงเวลาที่พวกเขาจะต้องตอบแทนสังคมสำหรับการสนับสนุนและการดูแลตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา
นอกจากนี้ หากพวกเขาหนีไปตอนนี้ ทางหน่วยสอบสวนพิเศษจะต้องรับรู้ถึงเรื่องนี้อย่างแน่นอน และบทลงโทษของความผิดนี้ก็จะยิ่งเลวร้ายกว่าการตายในสนามรบเสียอีก
ระบอบการปกครองแบบพิเศษทั้งหมดได้รับการสนับสนุนโดยกฎข้อบังคับพื้นฐานที่เคร่งครัด ซึ่งในแง่นี้ การเข้าร่วมกับหน่วยสอบสวนพิเศษนั้นมีข้อบังคับเพียงข้อเดียวเท่านั้น ห้ามหนีในสนามรบ ! มิเช่นนั้นจะถูกประหารในข้อหากบฏ !
หัวใจของโม่ฉางชิงไม่ได้เต้นรัวดั่งเช่นตอนแรกอีกต่อไป เขาแนบมือทั้งสองข้างไปที่เอว จับที่อาวุธของตนเองแน่น จากนั้นจึงหันไปมองผู้ฝึกตนคนอื่น ๆ ที่ยังคงอยู่ใต้ผิวน้ำเช่นกัน ไม่มีใครยกมือยอมแพ้เลยแม้แต่คนเดียว
“ดี” ไม่กี่วินาทีต่อมา อะซะอิ นะงะมะซะแค่นหัวเราะออกมาอย่างดูถูก “ชายผู้นั้นจะได้มีมนุษย์อีกกลุ่มหนึ่งตามตนไปที่หลุมศพ ดีมาก… ดีจริง ๆ…”
“อย่างไรเสีย นี่ก็เป็นการกลับมารวมตัวอีกครั้งของเรา… หากจะไม่มีการเสียเลือดเลย มันก็คงจะไม่สมบูรณ์ใช่หรือไม่ ?”
“โจรสลัดฮาจิมัง ไม่ต้องสนใจพระพรแห่งคุณธรรม ข้ารอคอยวันนี้มานานกว่า 400 ปี วันที่ข้าจะได้แก้แค้น ! ต่อให้ดวงวิญญาณของข้าจะต้องสูญสิ้นไปหลังจากที่ได้สังหารโอดโนบูนางะ ข้าก็ไม่เสียดาย !”
ฟึ่บ ! …ทันทีที่เอ่ยจบ ร่างของอะซะอิ นะงะมะซะก็เปลี่ยนเป็นเปลวไฟนรกที่กระจายตัวไปโดยรอบอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้น โม่ฉางชิงก็รู้สึกว่าสายน้ำด้านล่างของเขาสั่นเทาเล็กน้อย
ก้นทะเลที่เคยสงบนิ่งพลันมีชีวิตขึ้นมา และโม่ฉางชิงก็พบว่าตนถูกสายน้ำด้านล่างซัดไปมาอย่างไม่สามารถควบคุมได้
นี่คือ… ความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในหัว และเขาก็ก้มลงมองด้านล่างด้วยความตกตะลึง
ก้นบึ้งของทะเลในเวลานี้ไม่ต่างอะไรกับขุมนรกที่ไร้ก้นบึ้งเลยสักนิด !
วินาทีนั้น เสียงคำรามที่น่าสะพรึงกลัวก็ดังมาจากขุมนรกที่ดำมืดด้านล่าง โม่ฉางชิงขดตัวเข้าหากันด้วยความหวาดกลัว ก่อนจะรีบพยายามว่ายขึ้นไปยังผิวน้ำอย่างรวดเร็ว
นั่นไม่ใช่เสียงคำรามของวิญญาณแค่ตนเดียว
แต่มันคือเสียงคำรามของวิญญาณร้ายจำนวนนับไม่ถ้วนพร้อมกัน ! นี่คือเหล่าภูตผีที่น่าสยดสยองที่กำลังแสดงความกระหายเลือดเนื้อที่ไม่รู้จักพอของพวกมัน !
ผู้ฝึกตนคนอื่น ๆ ที่ยังคงจมอยู่ใต้น้ำเองก็มีความคิดเช่นเดียวกันขณะที่พวกเขารีบขึ้นสู่ผิวน้ำ และขณะที่พวกเขากำลังพยายามเพื่อเอาชีวิตรอด ลูกไฟนรกจำนวนมากก็ปรากฏขึ้นที่ก้นทะเลราวกับกลุ่มดาว
พวกมันคือเหล่าโครงกระดูกที่แต่งกายด้วยชุดของศาลเจ้าญี่ปุ่นในสมัยโบราณพร้อมกับหมวกทรงสูง
โครงกระดูกทั้งหมดอ้าปากกว้าง ดวงตาของมันวาววาบด้วยเปลวไฟนรกสีเขียวหยก ในขณะที่ผมเผ้าสยายอยู่ในน้ำอย่างยุ่งเหยิง พวกมันแต่ละตนล้วนมีธงของตระกูลอะซะอิอยู่ที่หลังขณะที่พุ่งตัวออกมาจากใต้น้ำทะเลลึกพร้อมกัน
ศพขี้ผึ้ง !
หัวใจของโม่ฉางชิงกระตุก ศพขี้ผึ้งคือศพที่ยังคงยืนตั้งตรงแม้ว่าหลังจากเสียชีวิตด้วยการจมน้ำก็ตาม นี่คือปรากฏการณ์ที่ไม่สามารถเกิดขึ้นได้เว้นแต่ว่าผู้ที่ถูกฆ่านั้นได้สั่งสมความแค้นเอาไว้มากในขณะที่ยังมีชีวิต อันที่จริง ความแค้นที่ศพเหล่านี้มีอยู่นั้นรุนแรงจนแม้แต่ช่างฝีมือแห่งโลกใต้พิภพก็ไม่คิดที่จะเข้ามาแตะต้องพวกมันเว้นแต่ว่าจะมีเหตุจำเป็นจริง ๆ
แต่ ในเวลานี้พวกมันกลับปรากฏตัวขึ้นพร้อมกัน และกำลังพุ่งเข้าใส่ผู้ฝึกตนทั้งหมดจากทุกทิศทางราวกับปลาปิรันย่าที่ได้กลิ่นเลือดอันหอมหวน !
“บัดซบ !!” เขาสบถในใจ ศพพวกนี้เคลื่อนที่ได้เร็วอย่างน่าเหลือเชื่อแม้ว่าจะอยู่ในน้ำก็ตาม แถมพวกมันยังตามความเร็วของพวกผู้ฝึกตนทันภายในไม่ถึงสิบวินาที ! และเมื่อมันเข้ามาใกล้ พวกมันก็หันไปมามองทางเดียวกัน
ซากศพทั้งหมดกำลังจ้องมาที่เขาที่ลอยอยู่กลางทะเล
หัวใจของโม่ฉางชิงหยุดเต้นไปชั่วขณะ จากนั้นภายในเสี้ยววินาทีต่อมา ศพขี้ผึ้งก็อ้าปากกว้างและกรีดร้องออกมาอย่างน่าสะพรึงกลัวพร้อมกับพุ่มมาหาเขาราวกับฝูงปลาปิรันย่า !
“เส้นทางแห่งความชอบธรรม ! เกราะทมิฬ ! วิถีแห่งสวรรค์ ! ไขว่คว้านภา !” ดวงตาของโม่ฉางชิงแดงก่ำ เขาไม่คิดจะปิดจมูกและปากของตัวเองอีกต่อไปขณะที่รีบทำมือเป็นสัญลักษณ์ต่าง ๆ โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ชายหนุ่มประกบฝ่ามือของตนเข้าด้วยกันอย่างแรง ทำให้เกิดประกายแสงสีทองห่อหุ้มร่างของเขาเอาไว้ อักษรมากมายที่ไม่สามารถอ่านออกปรากฏขึ้นเต็มตัว ภายในเสี้ยววินาที กลุ่มควันหนาก็เข้าปกคลุมรอบ ๆ ร่างของเขาเอาไว้ และความเร็วของเขาก็เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าขณะรีบพุ่งขึ้นไปเหนือผิวน้ำอย่างรวดเร็ว !
และมันก็ไม่ใช่เขาเพียงคนเดียว แต่ผู้ฝึกตนคนอื่นเองก็มีปฏิกิริยาแบบเดียวกัน ฝ่ายตรงข้ามมีมากเกินไป ! ศพพวกนี้มีจำนวนหลายร้อย และอาจจะหลายพัน ! นอกจากนี้ ระดับความแข็งแกร่งที่ต่ำที่สุดของพวกมันก็อยู่ที่ขั้นยมเทพอีกด้วย !
มันคือการเดินทัพของทหารวิญญาณ !
มันคือทหารวิญญาณที่เป็นกองกำลังของยมโลก กลุ่มตัวตนที่พวกเขาไม่สามารถเอาชนะได้ง่าย ๆ!
นอกจากนี้พวกมันทั้งหมดนี้ก็เป็นเพียงกองกำลังทหารที่อยู่ภายใต้การบัญชาการของแม่ทัพตนเดียว แต่มันยังมีกองกำลังของแม่ทัพตนอื่น ๆ ที่รอพวกเขาอยู่ที่ช่องแคบสึชิมะอีก ไม่ว่าจะเป็นโทโยโตมิ ฮิเดโยชิ โทกูงาวะ อิเอยาซุ ซานาดะ ยูกิมูระ ดาเตะ มาซามูเนะ ตลอดจนทาเกดะ ชิงเง็งและยังคนอื่น ๆ ไดเมียวผู้ยิ่งใหญ่พวกนี้ยังไม่ได้ลงมืออะไรเลยสักนิด !
พวกเขากำลังรอ
รอเวลาและเตรียมตัวสำหรับการปรากฏตัวของโอดะโนบูนางะ เมื่อถึงเวลานั้น… พวกเขาจะได้สะสางความแค้นตลอดหลายร้อยปีให้จบลงจริง ๆ เสียที !
หนึ่งในผู้ฝึกตนกัดฟันแน่น เขาเพิ่งบรรลุเป็นขั้นนักล่าวิญญาณได้เมื่อไม่นานมานี้ และเขาก็ไม่มีไพ่ตายใด ๆ ของขั้นนักล่าวิญญาณซ่อนอยู่เลยสักนิด โดยธรรมชาติแล้ว เขาจึงเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้ฝึกตนที่อยู่รั้งท้ายสุด แม้ว่าศพที่ไล่ตามเขามาจะมีไม่มาก แต่จำนวนของมันก็ยังไม่ใช่จำนวนที่เขาจะสามารถรับมือได้ด้วยตัวคนเดียวอยู่ดี
เร็วเข้า… เร็วอีก ! ถ้าเราสามารถกลับขึ้นไปบนเรือสำราญได้ เราก็จะสามารถแจ้งกับทางหน่วยสอบสวนพิเศษเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ และตอนนั้น พวกเขาก็จะส่งใครสักคนมาอย่างแน่นอน ! ตอนนี้ เขาได้ใช้เคล็ดวิชาเพิ่มความเร็วให้กับร่างของตัวเองจนสามารถเคลื่อนที่ได้เร็วกว่าฝ่ายตรงข้าม และเขาก็คิดว่ามันเหลือระยะทางอีกเพียงร้อยเมตรเท่านั้นก่อนที่เขาจะขึ้นสู่ผิวน้ำ
อย่างไรก็ตาม ในไม่กี่วินาทีต่อมา เขาก็รู้สึกราวกับว่าเลือดที่ไหลเวียนอยู่ภายในร่างกายของตัวเองแข็งตัวอย่างกะทันหัน
ฟึ่บ… ร่างขนาดใหญ่ร่างหนึ่งปรากฏขึ้นเหนือศีรษะ มันน่าจะมีความยาวประมาณร้อยเมตร และร่างของมันก็ขยับไปมาอยู่เหนือน้ำทะเลอย่างน่าสยดสยอง
นั่นมัน… งูทะเลที่มีหน้าเป็นคนเหรอ ?
หรือว่ามันคือปลากันแน่ ?
เขาไม่รู้เลยสักนิด และเขาก็ไม่คิดจะหาคำตอบด้วย เพราะตอนนี้ฟันในปากของเขาเริ่มกระทบกันอย่างไม่สามารถควบคุมได้เมื่อต้องเผชิญหน้ากับตัวตนที่น่ากลัวตรงหน้า ความกลัวที่เข้าครอบงำจิตใจนั้นทำให้เขารับรู้ได้อย่างรวดเร็ว นี่คือวิญญาณขั้นยมทูตขาวดำ !
ทว่าความกลัวของเขาก็คงอยู่เพียงเสี้ยววินาทีเดียวเท่านั้น เพราะในไม่กี่วินาทีต่อมา ร่างทั้งร่างของเขาก็สั่นระริกขณะที่ก้มลงไปมองด้านล่างด้วยดวงตาที่แดงก่ำ
ศพขี้ผึ้งพวกนั้นได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย
และมันกลับถูกแทนที่ด้วยใบหน้าของชายผู้หนึ่งที่ปรากฏขึ้นมาจากใต้ท้องทะเลลึก
แต่สิ่งที่แปลกที่สุดเกี่ยวกับใบหน้าของชายผู้นี้ก็คือข้อเท็จจริงที่ว่ามันมีขนาดที่ใหญ่ผิดปกติ น่าจะกว้างประมาณ 30-40 เมตร ด้วยใบหน้าที่ใหญ่นี้ เขาสามารถมองเห็นรูปหน้าของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นเคราที่อยู่ด้านล่างของริมฝีปาก หรือฟันอันแหลมคม
นอกจากนี้ ตั้งแต่ส่วนลำตัวลงไปยังเป็นปลาอีกด้วย
ชายผู้นั้นแย้มยิ้ม มันเป็นรอยยิ้มดีใจ ราวกับกำลังพอใจกับอาหารอร่อย ๆ ที่ถูกนำมาวางตรงหน้า
“ข้าคือโจรสลัดฮาจิมัง คุกิโยชิทากะ หรือที่รู้จักในนามของซามูไรแห่งท้องทะเล แม้ว่าวันเวลาจะผ่านมานานกว่า 400 ปี แต่กลิ่นและรสชาติของเนื้อมนุษย์นั้นยังคงหอมเย้ายวนดังเดิม…” ริมฝีปากของผู้พูดสั่นระริกขณะที่เขาเอ่ยข้างหูของผู้ฝึกตนที่อยู่ใต้น้ำ
จิตวิญญาณแพมพัส…[2]
ความคิดสุดท้ายที่แว่บเข้ามาในหัวของเขาก็คือข้อมูลเกี่ยวกับจิตวิญญาณแพมพัส ตามเรื่องเล่าที่เล่าต่อกันมา จิตวิญญาณแพมพัสนั้นเกิดจากการที่มนุษย์คนหนึ่งที่เสียชีวิตในแม่น้ำและถูกปลากัดแทะจนไม่เหลือรูปร่าง เมื่อนั้นวิญญาณของพวกเขาก็จะไม่มีที่ให้สิ่งสู่อีกต่อไป และมันก็จะเปลี่ยนรูปร่างเป็นปลา พวกมันคือวิญญาณร้ายที่น่าสะพรึงกลัว หนึ่งในวิญญาณที่น่าหวาดกลัวที่สุดที่อยู่ใต้น้ำ เพราะพวกมันจะกลืนกินทุกสิ่งทุกอย่างที่เห็น…
ความคิดของเขาหยุดลงแค่ตรงนั้น
ไม่กี่วินาทีต่อมา จิตวิญญาณแพมพัสตรงหน้าอ้าปากกว้างและกลืนกินเขาเข้าไปในคำเดียว !
กรุบ !
จากนั้น ร่างที่ใหญ่ของมันก็ดันตัวมันไปข้างหน้า หากพูดกันตามความจริง มันคืองูทะเลสองหัวที่มีใบหน้าเหมือนมนุษย์และมีหางที่คล้ายกับรูปร่างของปลาไหล พร้อมกับศพขี้ผึ้งจำนวนมากลอยอยู่ข้าง ๆ ซามูไรแห่งท้องทะเลพุ่งตัวไปข้างหน้าพร้อมกับกรีดร้องเสียงดัง มุ่งหน้าไปที่เรือสำราญอย่างรวดเร็ว !
มันเปิดปากออกอีกครั้ง
จากนั้นก็เริ่มหายใจเข้าโดยการเอาน้ำเข้าไป ! ด้วยขนาดที่น่าตกตะลึง การหายใจเข้าของมันเพียงครั้งเดียวกลับทำให้เกิดวังน้ำวนขนาดใหญ่ก่อตัวขึ้นที่ผิวน้ำ และเรือสำราญก็เริ่มส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดออกมาเบา ๆ ขณะที่ถูกดึงเข้าสู่ในกลางวังน้ำวนอย่างช้า ๆ!
“อ๊ากกกกก !!!” มหาเศรษฐีนับกว่าสิบคนกรีดร้องออกมาอย่างน่าสังเวชขณะเกาะอยู่ที่ขอบเตียงภายในห้องของตนเองอย่างสิ้นหวัง โชคดีที่เตียงภายในห้องนั้นถูกเชื่อมติดอยู่กับพื้น เพราะไม่นานพวกเขาก็รู้สึกว่าตัวเรือนั้นเอียงมากขึ้นเรื่อย ๆ จนตอนนี้มันเกือบจะถึง 90 องศาแล้ว !
“พระเจ้า… ช่วย…” ผู้ฝึกตนคนหนึ่งที่สามารถว่ายขึ้นมาเหนือผิวน้ำได้สำเร็จมองดูภาพตรงหน้าและเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทา
จากเท่าที่เขาเห็น ที่ใต้น้ำนั้นมีดวงตาลูกไฟนรกขนาดใหญ่สองดวงลุกโชนอยู่ มันมีขนาดประมาณสองสามเมตร และมันอยู่ไม่ไกลจากผิวน้ำมากนัก อันที่จริง เขายังสามารถมองเห็นใบหน้าของมนุษย์ที่อยู่ภายใต้ลูกไฟนรกทั้งสองนั้นได้ราง ๆ อีกด้วย และเขาก็สามารถบอกได้เช่นกันว่าใบหน้ามนุษย์นั่น… ตั้งใจที่จะกลืนเรือสำราญเข้าไปทั้งลำ !
ภายในค่ำคืนอันมืดมิด ใบหน้าขนาดใหญ่ที่ล้อมรอบด้วยกองกำลังวิญญาณกำลังตั้งใจที่จะกลืนกินเรือทั้งลำ ภาพที่น่ากลัวตรงหน้าทำให้เขาขนลุกไปทั่วทั้งร่าง แต่ถึงกระนั้น เขาก็ไม่ได้คิดที่จะถอยหนีแต่อย่างใด
ในขณะที่เส้นทางของผู้ฝึกตนนั้นเต็มไปด้วยความรุ่งโรจน์และเกียรติยศ แต่มันก็เต็มไปด้วยหน้าที ภาระผูกพัน และที่สำคัญที่สุด… ความรับผิดชอบ !
ทำอะไรไว้ก็จะได้กลับคืนอย่างนั้น
ทุกอย่างโดยรอบเงียบลง มันเป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาด ราวกับว่าภาพความทรงจำมากมายหลั่งไหลเข้ามาภายในหัว
และทันใดนั้น เขาก็รู้สึกว่าพลังปราณภายในร่างกายกำลังเดือดพล่านและหลั่งไหลออกมาจากทุกรูขุมขนบนร่าง !
อันที่จริง เขายังรู้สึกถึงความอุ่นที่แผ่ซ่านไปทั่วเส้นลมปราณที่ซ่อนอยู่ภายในร่างของตัวเองอีกด้วย อาจารย์ของเขาเคยสอนเขาว่าชีวิตของเขาจะจบลงทันทีที่เขาแตะต้องพลังที่ถูกล็อกไว้ภายใต้เส้นลมปราณพวกนี้ แต่ตอนนี้ เขากลับรู้สึกว่าพลังปราณภายในร่างของเขากำลังพุ่งตรงไปที่จุดเหล่านั้น แทบจะเหมือนกับว่า… เขากำลังจะปลดล็อกขีดจำกัดทางร่างกายของขั้นนักล่าวิญญาณไม่มีผิด !
ชายหนุ่มมองไปรอบ ๆ และก็พบว่านักล่าวิญญาณอีก 28 คนที่ยืนอยู่ที่หัวเรือก่อนหน้านี้ทั้งหมดต่างกำลังส่งยิ้มให้เขา
และเขาเองก็ยิ้มตอบกลับไป
“วิชาลับ… มิติแห่งความพิโรธทั้ง 72 !!!”
[1] ซารุ ยาชามารุ (Saru yashamaru) คือชื่อสมัยเด็กของอะซะอิ นะงะมะซะ
[2] ในเนื้อหาภาษาจีนแปลตามตัวหมายถึงปลาจะละเม็ด แต่ผู้แปลเลือกที่จะใช้ชื่อสกุลของแพมพัส (pampus) แทนเพื่อให้มันฟังดูไม่ขัดกันจนเกินไป