ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 26 ใบอนุญาตช่างฝีมือแห่งโลกใต้พิภพ
บทที่ 26 ใบอนุญาตช่างฝีมือแห่งโลกใต้พิภพ
“นั่งสิ” ฉินเย่นั่งลงบนโต๊ะไม้ที่ตั้งกลางห้องและพยักหน้าให้กับคนทั้งสอง ทว่าด้วยความหวาดกลัวที่เข้าเกาะกุมหัวใจ ทั้ง ฮวงซันเหอและหญิงร่างท้วมต่างส่ายหน้าไปมาอย่างเงียบ ๆ ไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่นิดเดียว
นี่มันเรื่องตลกแบบไหนกัน?
พลังหยินที่น่าสะพรึงกลัวพวกนั้น…ผู้ชายตรงหน้านั้นน่ากลัวว่าสิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติทั้งหมดที่เขาเคยเจอมา!
หากนั่งลงแล้วเขาจะวิ่งหนีได้ยังไงล่ะ? แต่…การหลบหนีก็อาจจะไม่สามารถทำได้เช่นกัน
ฉินเย่ไม่ได้บังคับอะไรอีกฝ่าย เขาเพียงเอ่ยต่อ “ข้ามีคำถามสองข้ออยากจะถามพวกเจ้า ข้อแรก ทำไมพวกเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่? เพราะเท่าที่ข้ารู้ มันไม่น่าจะมีใครในเมืองชิงซีที่สามารถจ่ายค่าจ้างตามที่พวกเจ้าเรียกได้ เพราะฉะนั้นอย่าพูดเด็ดขาดว่าเจ้ามาที่นี่เพราะมีคนจ้าง”
ทั้งหญิงร่างท้วมและฮวงซันเหอลอบมองหน้ากันและกันก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
คนผู้นี้ไม่ใช่วิญญาณชั่วร้าย
“กำไร” “การเรียกราคา” คำพูดที่ดูเหมือนจะไม่มีอะไรพวกนี้ไม่ใช่สิ่งที่ดวงวิญญาณที่มีอายุกว่า 100 ปีจะสามารถเข้าใจได้ ทั้งสองสิ่งนี้คือคำที่คนอย่างพวกเขาผู้ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับความตายมาเป็นเวลานานนั้นอ่อนไหวเป็นที่สุด
แต่แม้ว่าจะรู้ว่าชายตรงหน้าของพวกตนนั้นไม่ใช่วิญญาณชั่วร้าย พวกเขาก็สัมผัสได้ว่าไม่ควรลดการป้องกันลงอยู่ดี
ผู้ชายคนนี้เป็นใครกัน?
ทำไมมนุษย์ธรรมดาถึงมีพลังหยินที่น่ากลัวแบบนี้ได้? มัน…มันแทบจะเทียบได้กับยมทูตขาวดำในตำนานเลยนะ!
“โจวหลิงหลิง ผู้หามหีบศพ ทายาทของตระกูลโจวจากมณฑลเสฉวน ขอคารวะท่านผู้ทรงอำนาจ” เมื่อข่มความหวาดกลัวภายในใจของตนได้ ร่างท้วมของหญิงวัยกลางคนก็โค้งคำนับอย่างสุภาพ “ข้าแต่ท่านผู้ทรงอำนาจ…บัดนี้…ตลาดไสยเวทย์…ได้มาเยือนที่เมืองชิงซีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว…”
คิดไว้ไม่มีผิด! แววตาของฉินที่อยู่ภายใต้ผ้าคลุมดำของหมวกไม้ไผ่ทรงสูงเป็นประกายขึ้นเล็กน้อย “ใครคือเจ้าภาพ?”
“รัฐบาลค่ะ” ทว่าคำตอบของเธอทำให้ฉินเย่ตกตะลึง “ที่ผ่านมา ตลาดไสยเวทย์มักถูกจัดขึ้นโดยพระหรือนักบวชของลัทธิเต๋า แต่ตั้งแต่เมื่อครึ่งปีที่ผ่านมา หน่วยสอบสวนพิเศษแห่งชาติได้ทำการครอบครองทุกกรรมสิทธิ์อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ ยิ่งกว่านั้น…พวกเขายังมีบันทึกว่าพวกเราทุกคนได้ทำอะไรมาบ้างตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน รวมถึงลูกค้าที่พวกเราได้รับมอบหมายงานด้วยเช่นกัน”
จากนั้นโจวหลิงหลิงจึงเอ่ยต่อว่า “นับตั้งแต่บัดนั้น ธุรกรรมทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับโลกใต้พิภพจำเป็นจะต้องได้รับการจดทะเบียนและบันทึก ไม่ว่าจะเป็นระดับเทศบาลนครหรือระดับหมู่บ้านก็ตาม บุคลากรทุกคนจะต้องทำการยืนยันตัวตนก่อนจึงจะสามารถเข้าร่วมได้ ตลาดไสยเวทย์ถูกจัดขึ้นทุก ๆ หกเดือน และสถานที่ตั้งของมันก็จะถูกกำหนดโดยหน่วยสอบสวนพิเศษแห่งชาติ และเมื่อสองวันที่แล้ว พวกเราก็ได้รับข่าวสารมาว่าตลาดไสยเวทย์ที่จะกำลังมาถึงจะถูกจัดขึ้นที่เมืองชิงซี….”
มันคือการเก็บกวาดครั้งใหญ่ ทั้งฉินเย่และอาร์ทิสไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา เท่านี้ชี้ให้เห็นแล้วว่ามันจะต้องเกี่ยวข้องกับการสืบสวน… อันดับแรกก็คือการค้นหาผู้ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจความตาย
“การยืนยันตัวตนเหรอ?” ฉินเย่ยักคิ้วข้างหนึ่งขึ้นอย่างสงสัย
“ใช่ค่ะ…นี่ค่ะ” พวกเขาไม่คิดที่จะปกปิดข้อมูลใด ๆ ทั้งสิ้น โจวหลิงหลิงรีบนำบัตรที่มีแถบแม่เหล็กติดอยู่ออกมาและวางลงบนโต๊ะ
ฉินเย่จึงหยิบมันขึ้นมาดูและเขาก็แทบจะบริภาษออกมาเสียงดัง
“มันคืออะไร?” อาร์ทิสมองแผ่นกระดาษแข็งทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าในมือของเด็กหนุ่มอย่างสนใจ มันมีความยาวประมาณ 2 นิ้วและกว้าง 1 นิ้ว รูปถ่ายของโจวหลิงหลิงอยู่ทางด้านซ้ายของตัวบัตร ขณะที่ตราสัญลักษณ์ประจำชาติปรากฏอยู่ทางด้านขวา พร้อมกับคำบรรยายเล็ก ๆ ประทับอยู่ด้านล่าง ช่างฝีมือแห่งโลกใต้พิภพระดับชาติ ผู้ลงทะเบียนระดับ E ตรวจสอบโดยสาขามณฑลเสฉวน
“มันคือบัตรประจำตัว” ราวกับนึกบางอย่างขึ้นมาได้ ฉินเย่กัดฟันกรอดและเอ่ยต่อว่า “นี่มันคือสิ่งที่เป็นปรปักษ์ต่อสังคมและไร้ซึ่งมนุษยธรรมที่สุดในประวัติศาสตร์….”
อาร์ทิสเข้าใจได้ในทันทีว่าอีกฝ่ายหมายความว่าอย่างไร “อ๋อ…ข้าเข้าใจ ในฐานะของบุคคลที่ไม่สามารถตายได้ ผู้ซึ่งอาศัยอยู่ท่ามกลางเหล่ามนุษย์ธรรมดามาเป็นระยะเวลานาน เจ้าคงต้องจำใจเปลี่ยนบัตรประจำตัวอยู่หลายครั้ง มันลำบากมากเลยใช่หรือไม่…”
ฉินเย่ไม่พอใจเป็นอย่างมาก ทุกวันนี้การทำบัตรประจำตัวประชาชนนั้นก็ยากมากพอแล้ว แต่อาชีพทั่วไปอย่างช่างฝีมือแห่งโลกใต้พิภพก็ยังต้องมีบัตรประจำตัวอีกเนี่ยนะ? พวกเขายังอยากจะส่งดวงวิญญาณไปยังอีกโลกหนึ่งอยู่หรือเปล่า? แค่การสร้างผลบุญมันต้องยากเย็นกันแค่ไหนเชียว?
“ข้อที่สอง” พยายามข่มเปลวไฟแห่งความโกรธแค้นที่อยู่ภายในกายของตน ฉินเย่เอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “เมื่อ…เมื่อไม่นานมานี้ มีผู้หามหีบคนไหนได้แย่งงานของเจ้าไปบ้างหรือเปล่า?”
โจวหลิงหลิงและฮวงซันเหอต่างตกใจเมื่อได้ยินคำถามนี้ ทว่าทั้งคู่กลับส่ายศีรษะไปมาพร้อม ๆ กัน “พวกเราทั้งคู่ไม่เคยได้ยินเรื่องนั้น”
หลังจากนั้น ก่อนที่ฉินเย่จะได้พูดอะไร ฮวงซันเหอก็รีบพูดขึ้นว่า “ข้าแต่ท่านผู้มากด้วยฤทธา พวกเราเป็นเพียงช่างฝีมือแห่งโลกใต้พิภพ ระดับ E เท่านั้น พวกเราจะไปล่วงรู้เกี่ยวกับกิจการของผู้อื่นได้อย่างไร? แต่จะว่าไป พวกเราก็รู้จักกับผู้ที่น่าจะสามารถรู้เรื่องพวกนั้นได้อยู่คนหนึ่ง”
ฉินเย่ที่ได้ยินเช่นนั้นถามออกไปทันทีว่า “ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน?”
“เมื่อสองวันก่อน เขาได้เดินทางจากนครเหลียนฮวามายังเมืองชิงซี”
เมื่อได้คำตอบที่ต้องการ เด็กหนุ่มก็ลุกยืนขึ้น “พวกเจ้ามีธูปลบความทรงจำหรือเปล่า? หรือข้าจะต้องหาให้ไหม?”
แน่นอนว่าพวกเขาพอมีมันอยู่บ้าง ช่างฝีมือทั้งสองรีบนำธูปลบความทรงจำของตนออกมาหนึ่งดอก รีบจุดมันและหลับตาลง
อย่างไรก็ตาม ฉินเย่ไม่ได้จากไปในทันที เขารอจนผ่านไปกว่า 20 นาทีจนกระทั่งธูปถูกจุดจนหมดและช่างฝีมือทั้งสองก็เข้าอยู่ในห้วงนิทรา จากนั้นจึงเดินจากไป
ภายนอก สายลมเย็น ๆ พัดโชยไปทั่วตามปกติ เด็กหนุ่มถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน “ดูเหมือนว่าจะวุ่นวายเสียแล้ว”
“ข้าเห็นด้วย” อาร์ทิสเอ่ย ทางที่ง่ายที่สุดในการเข้าร่วมก็คือการสมัครเพื่อลงทะเบียนเป็นช่างฝีมือแห่งโลกใต้พิภพ แต่…ทันทีที่เจ้าสมัครเข้าไป พวกเจ้าหน้าที่ก็จะติดต่อเจ้ากลับมาเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นที่บริษัทไฮแอตต์คอร์ปอย่างแน่นอน แต่ถ้าเจ้าไม่สมัคร เจ้าก็จะไม่มีทางได้เข้าร่วมด้วยซ้ำ”
“อันที่จริง มันยังมีอีกวิธีหนึ่งที่เรายังไม่ได้ลองกัน แต่ปัญหาเพียงอย่างเดี๋ยวของมันก็คือความเสี่ยงสูงเกินไป และข้าไม่ค่อยชอบมันสักเท่าไหร่” ฉินเย่เอ่ยอย่างไม่ได้ใส่ใจนัก
“ไปหาผู้เป็นเจ้าภาพโดยตรงอย่างนั้นหรือ?”
ฉินเย่พยักหน้า “ถูกต้อง พวกเราสามารถได้ข้อมูลที่ต้องการมาจากปากของมันโดยตรง จากนั้นจึงจะสามารถดำเนินการได้ทันที”
…………………………………………………….
เครื่องบินลำหนึ่งทะยานผ่านฟากฟ้าในค่ำคืนอันมืดมิด ทิ้งไว้เพียงแสงวิบวับของมันขณะที่ตัดผ่านหมู่เมฆดำหนาทึบในยามค่ำคืน
ชายหนุ่มยกมือขึ้นปิดปากหาวอย่างเบื่อหน่าย หากไม่ใช่เพราะว่าเที่ยวบินตอนตี 2 นั้นราคาถูกกว่าเที่ยวบินปกติ เขาก็คงไม่เลือกนั่งเที่ยวบินนี้แน่
ภายในห้องผู้โดยสารเงียบสนิท ชายหนุ่มชอบที่นั่งข้างหน้าต่างเสมอเพราะเขาสามารถมองไปยังหมู่มวลเมฆที่อยู่ด้านล่าง และบางครั้งก็มองไปยังแสงไฟสลัว ๆ ที่สาดส่องมาจากบ้านเรือนที่อยู่ในเมืองด้านล่าง ความจริงที่ว่าตัวเขากำลังบินอยู่เหนือคนอื่นทำให้เขารู้สึกดีใจและพึงพอใจเป็นอย่างมาก
โชคไม่ดีที่แม้ว่าเขาจะเลือกเที่ยวบินรอบดึก แต่ที่นั่งข้างหน้าต่างก็ถูกจับจองไปจนหมดแล้ว และสิ่งที่ทำให้ทุกอย่างแย่ลงก็เดิมก็คือชายที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เขา
อีกฝ่ายดูค่อนข้างแปลกประหลาด
นี่เป็นช่วงต้นของฤดูใบไม้ร่วงแล้ว แต่อีกฝ่ายกลับคลุมเสื้อโค้ทตัวใหญ่ของตัวเองเสียแน่นหนา และแม้ว่าเขาจะนั่งอยู่บนเครื่อง เขากลับสวมหมวกทรงแบนสีดำ หน้ากากสีดำ และที่คอของเขาถูกพับด้วยผ้าพันคอสีดำเช่นกัน
ตั้งแต่ที่ขึ้นเครื่องบินมาจนถึงตอนนี้ ชายหนุ่มยังไม่เห็นอีกฝ่ายพูดอะไรเลยแม้แต่คำเดียว แม้แต่ตอนที่แอร์โฮสเตสถามว่าต้องการจะดื่มอะไร เขาก็เพียงส่ายหน้าไปมาเบา ๆ และเงียบสนิทตลอดทาง
และสิ่งที่แปลกที่สุดของชายคนนี้ก็คือ ความจริงที่ว่าเขาซื้อตั๋วเครื่องบินสำหรับสองที่นั่ง
เขามีกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ซึ่งไม่ได้นำไปวางไว้บนขึ้นเก็บของของห้องผู้โดยสาร แต่กลับเลือกที่จะวางมันไว้ข้าง ๆ กายแทน เมื่อแอร์โฮสเตสเดินมาถามเขาถึงเรื่องนี้ เขาก็ยื่นตั๋วเครื่องบินทั้งสองใบเพื่ออธิบายการกระทำของตนเอง
แปลกคน
และสิ่งที่แปลกที่สุดที่คนข้าง ๆ ทำทันทีที่ขึ้นเครื่องมาก็คือปิดหน้าต่าง พรากความสุขบนเที่ยวบินของเขาในครั้งนี้ไป และสร้างความหงุดหงิดใจให้กับเขาเป็นอย่างมาก
“บ้าจริง…” เที่ยวบินรอบดึกเริ่มบินขึ้นช้า ๆ และทุกคนก็นั่งประจำที่ของตนเอง ชายหนุ่มพบว่าเขากำลังเบื่อเป็นอย่างมาก และเริ่มที่จะเล่นเกมเพื่อเป็นการฆ่าเวลา นี่คือเที่ยวบินจากนครชุนไปยังนครเหลียนฮวา และระยะเวลาในการบินก็ใช้เพียง 1 ชั่วโมง 40 นาทีเท่านั้น
ตลอด 30 นาทีที่ผ่านมา เขาหาวเบา ๆ และยืดหลังตั้งตรงและมองไปรอบ ๆ รู้สึกเบื่อหน่ายเป็นอย่างมาก
ตอนนี้ทุกคนต่างก็กำลังพักผ่อน ไฟในห้องผู้โดยสารค่อนข้างสลัว ทว่าชายหนุ่มมีสายตาที่ดีพอสมควร หลังจากมองไปรอบ ๆ เขาก็พบว่ารอบข้างตนไม่มีหญิงสาวหน้าตาน่ารักเลยสักคนเดียว จากนั้นจึงมองไปยังหน้าต่างที่อยู่อีกด้านหนึ่งของแถวอย่างผิดหวัง
อะไรมันจะโชคร้ายขนาดนี้…คนที่ซื้อที่นั่งริมหน้าต่างแต่กลับปิดหนัาต่างเนี่ยนะ? ผู้ชายคนนี้เป็นบ้าอะไรกัน? แม้ว่านายจะไม่อยากมองออกไปนอกหน้าต่าง แต่ว่าฉันอยาก…..!!!
เขาเหลือบสายตาไปมองยังหน้าต่างที่อยู่อีกด้านหนึ่งของแถวที่คนนั่งอยู่ ทว่าทุกอย่างกลับดูมืดมนและแทบจะไม่มีความรู้สึกที่น่ายินดีเหมือนกับการเดินบนก้อนเมฆ เมื่อเขามองออกไปทางนอกหน้าต่างเลยสักนิด ดังนั้นเขาจึงละสายตาออกมาอย่างเบื่อหน่าย และวินาทีนั้นเอง ชายหนุ่มก็ชะงักค้างและกะพริบตาอีกสองสามครั้งก่อนจะมองไปยังอีกฟากหนึ่งของแถวอีกครั้ง
พยายามมองดูดี ๆ โดยที่ไม่กะพริบตา
วินาทีต่อมา ร่างทั้งร่างของเขาก็เริ่มสั่นสะท้าน หยาดเหงื่อผุดขึ้นบนหน้าผากทันที ฟันเริ่มกระทบกันอย่างไม่สามารถควบคุมได้ และเขาก็เริ่มที่จะขยับตัวออกห่างจากหน้าต่างโดยไม่รู้ตัว
ครู่หนึ่ง ชายหนุ่มกลับนึกเกลียดการมองเห็นที่ดีเยี่ยมของตัวเองขึ้นมา
ไม่มี…
ผู้ชายที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เขา คนพิลึก คนนั้นไม่มีเงาสะท้อนบนหน้าต่าง! มีเพียงเสื้อผ้าของเอีกฝ่ายเท่านั้นที่เขามองเห็น! ส่วนร่างของเจ้าตัวกลับไม่มีเงาสะท้อนเลยสักนิด!
แสงไฟสลัว ห้องผู้โดยสารที่เงียบเชียบ พวกเขาอยู่เหนือพื้นดินหลายพันเมตร ขณะนี้เป็นเวลา 02.00 น. และเขา…กำลังนั่งอยู่กับตัวอะไรก็ไม่รู้!
หมับ…ทันใดนั้นก็มีมือข้างหนึ่งแตะลงบนไหล่ของเขาเบา ๆ และน้ำเสียงแหบแห้งก็ดังขึ้น “คุณ…ดูเหมือนจะไม่ค่อยสบายนะ?”
“อ๊ากกกกก!” ชายหนุ่มอ้าปากค้างด้วยความตกใจและร้องออกมาเสียงดัง ทว่ามันกลับเป็นการสร้างความไม่พอใจให้ผู้โดยสารคนอื่น ๆ แทน นี่เป็นครั้งแรกที่ชายแปลกประหลาดที่นั่งอยู่ข้าง ๆ และกำลังแตะไหล่ของชายหนุ่มเอ่ยปากพูด
“ปะ..เปล่า..ปะ…เปล่าครับ….” ด้วยใบหน้าที่ซีดเผือด ชายหนุ่มตอบกลับไปเสียงสั่น
ชายที่นั่งข้าง ๆ เขาคนนี้สวมถุงมืออยู่ แม้ว่าจะอยู่ภายใต้เสื้อโค้ทตัวหนาก็ตาม
“ให้ผมช่วยดูให้ไหม?” อีกฝ่ายเอ่ยถามด้วยจังหวะที่แปลกประหลาด
“มะ…ไม่! ไม่เป็นไรครับ!” ชายหนุ่มลุกยืนขึ้นก่อนจะนั่งลงอีกครั้ง
ชายแปลกประหลาดเป็นคนดึงให้เขานั่งลงอีกครั้ง
“คุณรู้ไหม…ผมเชี่ยวชาญในการรักษาอะไร….” น้ำเสียงของชายแปลกหน้าดูแหบขึ้นเรื่อย ๆ ชายหนุ่มรู้สึกราวกับว่าเขาถูกขังอยู่ภายในห้องใต้ดินที่เย็นยะเยือก ฟันของเขากระทบกันอย่างไม่สามารถควบคุมได้ขณะที่ถามกลับไปว่า “คะ..คะ…คุณรักษาอะไร?”
อีกฝ่ายแย้มยิ้มบางเบาขณะที่ขยับแว่นที่สวมอยู่ลงเล็กน้อย “ผมรักษาศพ…”
เมื่อผู้โดยสารที่นั่งอยู่หลังทั้งคู่หนึ่งแถวเห็นว่าเก้าอี้ตรงหน้าของตนขยับเล็กน้อย เขาเพียงบ่นออกมาอย่างไม่พอใจก่อนจะหลับตาลงอีกครั้ง
หนึ่งชั่วโมงต่อมา เครื่องบินลงจอดที่นครเหลียนฮวาตามกำหนด ชายแปลกประหลาดเดินลากกระเป๋าเดินทางของตนลงจากเครื่องบินไปตามทางเดิน หยิบโทรศัพท์โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
“ฉันเอง ฉันถึงแล้ว แน่ใจนะว่าสายนี้จะไม่ถูกกักตัว?”
“เฮอะ…พวกเราไม่ได้เห็นแสงอาทิตย์มาหลายทศวรรษแล้วนะ….นายไม่เห็นพวกยุวชนแดงเดินลาดตระเวนไปตามท้องถนนอีกแล้วด้วย….”
“ใช่…ฉันตรงไปที่เมืองชิงซีเลย ไม่ต้องห่วง ฉันจะไปเอาเศษตราจ้าวนรกกลับมาเอง ไม่มีใครหน้าไหนได้รับอนุญาตให้แตะต้องสมบัติของพระองค์ทั้งนั้น…ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นใครก็ตาม…ไม่ต้องห่วงฉัน ไม่มีนรกอยู่อีกต่อไปแล้ว ตราบใดที่พวกศัตรูเก่าของเราจากสำนักเต๋าที่ยิ่งใหญ่ทั้งสามไม่ลงมือเคลื่อนไหวด้วยตัวเอง จะไม่มีพวกคนจากหน่วยสอบสวนพิเศษแห่งชาติคนไหนสามารถขัดขวางฉันได้….”
“อืม…เข้าใจแล้ว ฉันจะไปเอาศพของผู้ที่แตะต้องกับเศษตราจ้าวนรกกลับไปด้วย ไม่ว่ามันผู้นั้นจะเป็นใครก็ตาม….เท่านี้แหละ ฉันจะวางสายแล้ว มันนานมากแล้วนะที่ฉันไม่ได้เอ่ยปากพูด แต่อีกไม่นานก็น่าจะชิน….”
เสียงรองเท้าหนังดังห่างออกไปจากตัวเครื่องบินมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งเป็นเวลาเดียวกันกับที่แอร์โฮสเตสผู้ซึ่งกำลังเก็บของอยู่สังเกตเห็นว่ามีชายหนุ่มคนหนึ่งยังคงนั่งอยู่ที่ที่นั่งของตัวเองพร้อมกับเปลือกตาที่ปิดสนิท ใบหน้าของเขาดูซีดผิดปกติ
“ไม่ทราบว่าต้องการความช่วยเหลืออะไรหรือเปล่าคะ?” แอร์โฮสเตสสาวถามอย่างสุภาพ
ไร้ซึ่งเสียงตอบ
“คุณผู้ชายคะ…” เธอยิ้มให้ขณะที่เรียกอีกฝ่ายอีกครั้ง ทว่ารอยยิ้มของเธอกลับชะงักค้างไปชั่วขณะ
หน้าอกของผู้ชายคนนี้ไม่ขยับเลยสักนิด
รูจมูกของเขาก็ไม่ขยายด้วยเช่นกัน
ด้วยมือที่สั่นระริก เธอค่อย ๆ ยื่นนิ้วออกไปที่ใต้จมูกของชายหนุ่มเพื่อตรวจดูลมหายใจของอีกฝ่าย ทันทีที่นิ้วของเธอสัมผัสกับจมูกของคนตรงหน้า ร่างของชายหนุ่มพลันแฟบตัวลงราวกับลูกฟุตบอลที่มีรูรั่ว วินาทีนั้นเอง ชายหนุ่มกลายเป็นเพียงเศษหนังมนุษย์ที่เหี่ยวเฉา
“กะ…กรี้ดดดดดด!” เสียงกรีดร้องที่น่าสังเวชดังก้องไปทั่วทั้งสนามบิน
20 นาทีต่อมา กองกำลังตำรวจอาวุธครบมือได้ล้อมรอบสนามบินเอาไว้อย่างแน่นหนา โดยมีผู้นำคือพันโทคนหนึ่ง เขาเดินเข้าไปในตัวเครื่องบินด้วยสีหน้าซีดเซียว และเขาก็ต้องหยุดชะงักไปในทันที
“ปิดทางออกทั้งหมด ตรวจดูรายชื่อผู้โดยสารทั้งหมด! แล้วก็….”
เขาสูดหายใจเข้าจนเต็มปอดก่อนจะเอ่ยต่อด้วยแววตาลุกโชน “แจ้งหน่วยสอบสวนพิเศษแห่งชาติว่าเกิดเหตุเหนือธรรมชาติระดับ D….และ….บอกพวกเขาด้วยว่าผู้กระทำผิดได้ผ่านเส้นตรวจจับตัวตนเหนือธรรมชาติของเราไปแล้ว”
“เรากำลังมีศัตรู…และฉันก็เกรงว่ามันน่าจะแข็งแกร่ง พอ ๆ กับ 30% แรกของวิญญาณที่พวกเราเคยพบมา!”