ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 261: พันปักษา (2)
บทที่ 261: พันปักษา (2)
ย้อนกลับมาที่ห้องเก็บสินค้า
จินโกะซังและโดจินซังต่างพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อรักษาอาณาเขตของแสงจันทร์เดือนหงายเอาไว้ ทว่าน้ำทะเลก็ยังคงไหลเข้ามาตามช่องต่าง ๆ ของท้องเรือ และในเวลาเดียวกันวิญญาณมากมายก็พยายามแทรกตัวเข้ามาภายในเรือให้ได้เช่นกัน แต่มันก็ต้องกลายเป็นเพียงกลุ่มก้อนพลังหยินที่สลายไปเมื่อปะทะเข้ากับอาณาเขตที่ทรงพลังนี้
แต่ถึงกระนั้น พระทั้งสองต่างก็รู้ดีว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะสามารถทำต่อไปได้เป็นเวลานาน !
วิญญาณที่กำลังพยายามหลั่งไหลเข้ามาในตอนนี้ยังถือว่าเป็นเพียงกุ้งตัวเล็ก ๆ ในแผนการอันยิ่งใหญ่ แต่พวกเขาก็รู้ดีว่ามันยังมีพวกวิญญาณที่แข็งแกร่งกว่านี้กำลังรออยู่ที่ใต้ทะเลลึก รอคอยอย่างอดทนเพื่อที่จะได้โจมตี มันเป็นเรื่องของเวลาเท่านั้นที่ข่าวเกี่ยวกับสถานการณ์ที่ท้องเรือจะไปถึงหูของอะซะอิ นะงะมะซะ และมันก็คงจะใช้เวลาไม่เกินกว่าสิบนาทีเท่านั้น… ไม่ บางทีพวกไดเมียวบางส่วนอาจกำลังเดินทางมาที่นี่แล้วก็ได้ !
“เขาจะใช้เวลาอีกนานแค่ไหน ?” โดจินวังประกบฝ่ามือเข้าด้วยกัน เวลานี้หน้าผากของเขาเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ เพราะไม่ว่าอย่างไร การใช้วิชาที่ทรงพลังเป็นเวลานานติดต่อนั้นก็ทำให้เขาใช้พลังปราณที่สั่งสมเอาไว้มากพอสมควร ถึงเขาจะกำจัดวิญญาณได้ไปเป็นจำนวนมากแล้ว แต่วิญญาณที่หลั่งไหลเข้ามาก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีที่สิ้นสุด นอกจากนี้ น้ำทะเลก็ขึ้นมาถึงเข่าแล้ว
กองกำลังเท็งงุและพระนักรบทั้งหมดได้มาถึงที่สนามรบ แต่มันก็เห็นได้ชัดเจนว่ากำลังของพวกเขานั้นยังไม่เพียงพอ อันที่จริง มันไม่เพียงพอที่จะรับประกันว่าพวกเขาจะสามารถออกจากช่องแคบสึชิมะได้โดยปลอดภัยด้วยซ้ำ และเหตุผลเดียวที่พวกเขายังไม่ไปไหนก็เพราะว่าพวกเขารู้ดีว่าผู้ใดก็ตามที่ตั้งใจจะทำเช่นนั้นจะต้องถูกขัดขวางโดยไดเมียวคนอื่น ๆ ที่รอคอยพวกเขาอยู่แน่ ๆ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ หากโอดะโนบูนางะและกองกำลังทหารม้า 2,500 ตนของเขามาถึงไม่ทันเวลา ช่องแคบสึชิมะก็จะไม่ต่างอะไรกับสุสานกลางทะเล !
เร็วเข้าสิ… เร็วเข้า ! พวกคุณควรจะรีบทำลายผนึกที่ถ้วยพระเนตรสวรรค์เปลี่ยนสีให้ได้ก่อนที่อะซะอิ นะงะมะซะจะรับรู้ถึงสถานการณ์ในตอนนี้ ไม่เช่นนั้น… พวกเราจะต้องเผชิญหน้ากับขั้นยมทูตขาวดำจำนวนมากเพียงลำพัง และความตายก็จะกลายเป็นผลลัพธ์เดียวที่สามารถเป็นไปได้ !
“มันไม่ควรจะนานไปกว่านี้” น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาของหมิงชีหยินนั้นเคร่งขรึมไม่แพ้กันขณะที่เขามองไปยังฉินเย่ที่ยังคงนั่งนิ่งอยู่ที่ใจกลางห้องเก็บสินค้า ครึ่งล่างของเขาได้แช่อยู่ในน้ำทะเลแล้ว และพลังหยินจำนวนมากก็หลั่งไหลออกมาจากใต้ร่างของเด็กหนุ่ม …อย่างเร็วที่สุดมันก็น่าจะใช้เวลาอีกประมาณครึ่งชั่วโมงกว่าที่จะสามารถทำลายผนึกได้ !
“ท่านไม่คิดจะทำอะไรเพื่อหยุดภูตผีพวกนี้เลยอย่างนั้นหรือ ?” จินโกะซังกัดฟันแน่น
หมิงชีหยินไม่รู้ว่าตนควรจะตอบคำถามนั้นออกไปอย่างไรดี
มันยังมีพลังอำนาจและความยิ่งใหญ่ของท่านเปาเก็บซ่อนอยู่ แต่มันก็ไม่ใช่สิ่งที่สามารถใช้ได้อย่างอิสระและไม่ระมัดระวัง อันที่จริง มันสามารถใช้ได้เพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น หากพูดอีกอย่างก็คือ มันคือไพ่ตายสุดท้าย แล้วพลังที่ว่านี้จะยิ่งใหญ่สักแค่ไหนน่ะหรือ ?
แน่นอน การสำแดงพลังของท่านเปาเพียงครั้งเดียวสามารถกำจัดวิญญาณทั้งหมดที่อยู่รอบ ๆ ได้อย่างง่ายดาย แต่… นี่ก็เป็นแหล่งพลังที่กระจกส่องกรรมเคยใช้เพื่อหลบหนีจากการล่มสลายครั้งใหญ่ของยมโลก !
ในตอนนั้น หมิงชีหยินได้ใช้พลังส่วนใหญ่ที่เหลืออยู่ของท่านเปาไป และตอนนี้มันก็เหลืออยู่อีกไม่มากนัก นอกจากนั้นมันยังมีตัวแปรมากมายให้พิจารณาในสถานการณ์เช่นนี้ โดยเฉพาะการที่หนึ่งในกองกำลังของอะซะอิ นะงะมะซะอาจถือครองสมุดแห่งความเป็นตายอยู่ พวกเขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร… เหมือนอย่างที่ไม่มีใครรู้ว่าซุนเกี๋ยนเป็นคนเจอหนึ่งในตราประทับหยกขององค์จักรพรรดิในสมัยนั้น [1] ด้วยเหตุนี้หากเขาแสดงพลังของท่านเปาออกไปโดยไม่คิดให้ดี คู่ต่อสู้ก็อาจจะใช้มาตรการต่อสู้โดยใช้ประโยชน์จากสมุดแห่งความเป็นตายได้ และด้วยพลังของท่านเปาที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิด หมิงชีหยินไม่มั่นใจเลยว่ามันจะสามารถเอาชนะพลังของสมบัติพื้นฐานทั้งสามของยมโลกได้
และเมื่อไพ่ตายของพวกเขาถูกใช้ไป สิ่งที่รอพวกเขาอยู่… ก็คือการเผชิญหน้าอย่างเต็มกำลังกับวิญญาณขั้นยมทูตขาวดำจำนวนมาก รวมถึงกองกำลังทหารวิญญาณระดับสูงที่มีจำนวนหลายพัน !
พวกเขากำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่การตัดสินใจนั้นเป็นเรื่องยากลำบาก ผู้ใดจะไปคิดว่ายมโลกของญี่ปุ่นจะเป็นผู้เก็บสมุดแห่งความเป็นตายไปได้ในเวลาสำคัญเช่นนี้ ?
“การสำแดงพลังของข้านั้นมีเงื่อนไขบางอย่างอยู่…” หมิงชีหยินกัดฟันและจ้องไปยังเหล่าวิญญาณที่แทรกตัวผ่านรอยแตกที่อยู่รอบ ๆ เรือ “และตอนนี้ก็ยังไม่ถึงเวลาที่จะใช้มัน คุ้มกันเขาให้ดี หากเขาไม่สามารถทำลายผนึกได้ พวกเรา… ก็คงต้องพยายามรักษาชีวิตของตัวเองให้ดีที่สุด !”
“บัดซบ !” โดจินซังสบถออกมาขณะที่กระจกโบราณแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน หากพูดกันตามความจริง ที่ใจกลางของมันตอนนี้เริ่มมีคลื่นพลังหยินที่หมุนวนอยู่ หากลองสังเกตดี ๆ จะพบว่ามีแหล่งกำเนิดแสงจาก ๆ ปรากฏขึ้นที่จุดกึ่งกลางของพื้นผิวกระจกที่ดำสนิท แทบจะเหมือนกับจุดเอกภพที่จักรวาลทั้งหมดจะปะทุขึ้น
เขาจะต้องพาฉินเย่กลับไปให้ได้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม การแสดงอำนาจของท่านเปานั้นเป็นไพ่ตายสุดท้ายที่เขาซ่อนเอาไว้ และในสถานการณ์ที่แย่ที่สุด… มันก็จะสามารถเปิดทางให้พวกเขาหลบหนีไปได้ ดังนั้นเขาจะใช้มันตอนนี้ไม่ได้เด็ดขาด
ฟึ่บ… ฟึ่บ… ฟึ่บ… ทันใดนั้นเอง ตะปูที่ถูกตอกอยู่ที่ใต้ท้องเรือก็ถูกดึงออกพร้อมกัน น้ำทะเลปริมาณมากพุ่งเข้ามาในห้องเก็บสินค้าอย่างรวดเร็ว ในขณะเดียวกัน วิญญาณจำนวนมากก็เริ่มหลั่งไหลเข้ามาด้านในผ่านรูทั้งหมดนั้นเช่นกัน
ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาคิดอะไรให้มากมาย… โดจินซังสูดหายใจเข้าช้า ๆ และใส่พลังเข้าไปในแสงจันทร์เดือนหงายมากกว่าเดิม ส่งผลให้มันสว่างวาบขึ้นอีกครั้ง ในขณะเดียวกัน จินโกะซังก็สะบัดมือ และม้วนคัมภีร์มากมายก็ลอยออกมาจากแขนเสื้อของเขาและอุดรูโหว่ทั้งหมดเอาไว้
“ผมทนนานกว่านี้ไม่ไหวแล้ว !” จินโกะซังหันกลับมาและตะโกนเสียงดัง “พลังหยินบริเวณนี้เริ่มหนาแน่นเกินไป ด้วยอัตรากัดเซาะในตอนนี้ อย่างมากที่สุดผมก็สามารถทนได้อีกแค่ห้านาทีเท่านั้น ! หลังจากนั้นม้วนคัมภีร์ที่อุดรูทั้งหมดอยู่ก็จะหลุดออก ท่าน…”
ทันใดนั้น จินโกะซังก็หยุดพูดไปกลางคัน
และมันก็ไม่ใช่เขาแค่คนเดียว โดจินซังเองก็อ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง และแม้แต่หมิงชีหยินก็หันไปมองรอบ ๆ อย่างหวาดระแวงทันที
มาแล้ว… พวกเขามาแล้ว !
พวกเขาเพิ่งสัมผัสได้ถึงการเข้ามาใกล้ของแหล่งพลังหยินขั้นยมทูตขาวดำสามแหล่ง ! และทั้งสามนี้ก็ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าคุกิโยชิทากะเลยแม้แต่น้อย ! ทั้งหมดคือวิญญาณที่แตกต่างกับวิญญาณตนอื่น ๆ ที่อยู่โดยรอบอย่างสิ้นเชิง !
การมีอยู่ของถ้วยพระเนตรสวรรค์เปลี่ยนสีนั้นไม่ต่างอะไรกับประภาคารที่อยู่ท่ามกลางความมืดมิด อะซะอิ นะงะมะซะสามารถสัมผัสถึงการมีอยู่ของมันได้ แต่เขาจะสามารถระบุตำแหน่งที่แน่นอนของมันได้ก็ต่อเมื่อเขาเข้าใกล้เรือสำราญเท่านั้น
หมิงชีหยินเงียบไปทันที พระขั้นยมทูตขาวดำทั้งสองไม่สามารถมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นด้านนอก แต่กระจกโบราณมองเห็น ดังนั้นเขาจึงรู้ดีว่าน้ำด้านนอกเริ่มเดือดและมีฟองเกิดขึ้น ลูกไฟนรกขนาดใหญ่จำนวนมากลุกโชนอยู่รอบ ๆ แหล่งพลังหยินทั้งสามขณะที่พวกเขามุ่งหน้ามาที่ห้องเก็บสินค้าของเรือสำราญด้วยความเร็วสูงสุด !
น้ำทะเลโดยรอบยังคงแปรปรวนอย่างรุนแรงขณะที่กลุ่มก้อนพลังหยินขนาดใหญ่กดทับลงมาที่พวกเขา ในขณะเดียวกัน เหล่าวิญญาณที่พยายามพุ่งเข้ามาในห้องเก็บสินค้าต่างกรีดร้องออกมาอย่างโหยหวน และมันก็กระจัดกระจายหายไปโดยไม่เหลือร่องรอย
มันแทบจะเหมือนกับสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ บนภูเขาต่างหลีกทางให้กับเสือตัวใหญ่ที่เพิ่งออกมาจากถ้ำ
แข็งแกร่ง… แข็งแกร่งอย่างไม่น่าเชื่อ ! อันที่จริง หากมองข้ามข้อได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ที่ซามูไรแห่งท้องทะเลมีในตอนนี้ วิญญาณทั้งสามที่กำลังมุ่งหน้ามานี้แข็งแกร่งกว่าเขาอย่างเห็นได้ชัด ! พวกเขาจะต้องเป็นเหล่าไดเมียวจากยุคเซ็งโงกุอย่างแน่นอน !
ตู้ม ตู้ม ตู้ม ! ในเสี้ยววินาทีต่อมา กลุ่มก้อนพลังหยินที่หนาแน่นก็กระแทกตัวเข้ามาในห้องเก็บสินค้าของเรือสำราญอย่างแรง และแทนที่จะปล่อยให้น้ำทะเลไหลเข้ามาภายในห้อง รอยแตกทั้งหมดกลับถูกปกคลุมไปด้วยกำแพงเปลวไฟนรกขนาดใหญ่ ในวินาทีนี้… ใต้ท้องเรือทั้งหมดถูกปกคลุมไปด้วยเปลวไฟสีเขียวหยกและเสียงกรีดร้องที่โหยหวนและเสียงร้องของเหล่าวิญญาณที่ทุกข์ทรมาน
กรี๊ดดดดด… ฮืออออ… หากมนุษย์ธรรมดาคนไหนได้มาอยู่ในห้องเก็บสินค้าในเวลานี้จะต้องหวาดกลัวจนเสียสติกับการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วนี้ ภาพของเหล่าวิญญาณทั้งหมดปรากฏขึ้นให้เห็นจากกำแพงไฟเป็นครั้งคราว จากนั้น หลอดไฟที่ให้ความสว่างอยู่ภายในห้องเก็บสินค้าก็เริ่มกะพริบและดับไปในที่สุด
พรึ่บ… ในค่ำคืนที่ไร้ซึ่งแสงจันทร์ การปรับเปลี่ยนอย่างกะทันหันระหว่างความสว่างและความมืดส่งผลให้คนทั้งหมดคล้ายกับตาบอดไปชั่วขณะ และในวินาทีนั้น พวกเขาก็ได้ยินเสียงบางอย่างตัดผ่านความเงียบที่ตึงเครียด
ชิ้ง….
มันคือเสียงของใบมีดที่ถูกดึงออกจากฝัก
พวกเขา… อยู่ที่นี่แล้ว !
ราวกับเวลาถูกแช่แข็งไปครู่หนึ่ง โดจินซังและจินโกะซังต่างกลั้นหายใจและข่มเสียงเต้นของหัวใจที่เต้นแรงของตนให้เบาลง ความมืดที่เข้าปกคลุมกะทันหันทำให้ประสาทสัมผัสอื่น ๆ ของพวกเขาไวขึ้นเป็นพิเศษ และนั่นก็คือเหตุผลที่ทำให้พวกเขาสามารถสัมผัสได้ถึงจิตสังหารที่ชัดเจนแผ่ซ่านไปตามผิวหนัง
ทันใดนั้น–
ประกายแสงจากใบมีดก็สว่างวาบขึ้นในความมืด ตัดผ่านแสงจันทร์เดือนหงายและพุ่งตรงมาที่ศีรษะของโดจินซัง !
“ย๊ากกกกก !!” ด้วยเสียงตะโกนที่ดุดัน ทักษะที่เขาได้เตรียมไว้ล่วงหน้าเริ่มทำงาน ร่างทั้งร่างของเขาถูกห่อหุ้มไปด้วยประกายแสงสีทองซึ่งก่อตัวเป็นภาพมายาของพระพุทธเจ้าที่อยู่ล้อมรอบร่างของเขาในทันที แต่ในเสี้ยววินาทีนั้น คมดาบตรงหน้ากลับแทงทะลุเข้ามาอย่างรวดเร็ว สัญชาตญาณของเขาบอกได้ทันทีว่านี่คือวินาทีระหว่างความเป็นและความตาย ดังนั้นพระร่างใหญ่จึงรีบเอียงศีรษะหลบการโจมตีที่พุ่งเข้ามาโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ และจากนั้น เลือดสาดกระเซ็นไปทั่ว !
“ช่างเป็นกลิ่นที่หอมยั่วยวนเสียจริง…” เสียงพูดที่แผ่วเบาดังขึ้นท่ามกลางความมืด “เราทั้งคู่ต่างก็อยู่ขั้นยมทูตขาวดำ… แต่เจ้าคิดจริง ๆ น่ะหรือว่าเจ้าจะสามารถหยุดพวกข้าได้ด้วยตัวเองเพียงลำพัง ?”
น่าเศร้าที่พวกเขาไม่มีเวลาพอที่จะเอ่ยตอบ ประกายแสงดาบที่ดุดันได้สร้างรอยบาดแผลที่น่าสยดสยองไว้บนหน้าของโดจินซัง และกลุ่มก้อนพลังหยินก็ยังคงมีให้เห็นอยู่บนใบหน้าของเขา หากเขาไม่เอียงศีรษะตามสัญชาตญาณก่อนหน้านี้ หัวของเขาก็คงหลุดจากบ่าไปนานแล้ว
วิชาลับของภูเขาโคยะ ‘แสงจันทร์เดือนหงาย’ ไม่สามารถต้านการโจมตีเพียงแค่ครั้งเดียวจากไดเมียวขั้นยมทูตขาวดำได้
จากนั้น ราวกับการตอบสนองที่ล่าช้า ภาพมายาที่ห่อหุ้มร่างของเขาเอาไว้ก็แตกสลายไปในวินาทีต่อมา
โดจินซังอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง เขารีบไปยืนหลังชนหลังกับจินโกะซังทันที ริมฝีปากของเขาสั่นระริกขณะที่ไล่นิ้วมือไปตามบาดแผลบนใบหน้าอย่างเหลือเชื่อ เร็วมาก… แม้แต่เขาเองก็ไม่สามารถตอบสนองต่อการโจมตีนี้ได้ทันเวลา !
“อิไอโด ?[2]” จินโกะซังกลืนน้ำลายอย่างเป็นตื่นตระหนก เม็ดเหงื่อเย็นไหลลงมาตามกรอบหน้า “ในยุคเซ็งโงกุมีไดเมียวเพียงไม่กี่คนที่ฝึกฝนวิชาดาบนี้ และด้วยระดับความเชี่ยวชาญนี้ ท่านคือ…”
พรึ่บ !!! ราวกับตอบรับคำถามของเขา ลูกไฟนรกปรากฏขึ้น มอบความสว่างให้กับภายในห้องเก็บของราวกับหิ่งห้อยจำนวนมากที่ลอยไปมาอย่างน่าหวาดกลัวภายในถ้ำน้ำแข็งในช่วงกลางของฤดูหนาว พวกมันลอยไปมาในอากาศก่อนจะรวมตัวกันเป็นลูกไฟขนาดใหญ่ ครู่ต่อมา ร่างที่แต่งกายด้วยชุดเกราะสีแดงเข้มก็ลืมตาสีแดงเลือดของตนขึ้นและค่อย ๆ ก้าวออกมา
ชุดเกราะสีแดงตรงหน้าถูกทำขึ้นมาอย่างประณีต ดาบคาตานะที่ยาวห้าฟุตก็ถูกแขวนอยู่ที่ข้าวเอว มันยาวกว่าดาบคาตานะทั่วไปที่มักจะยาวแค่สองถึงสามฟุตเท่านั้น
“กลิ่นของชีวิต… มันช่างหอมหวลยิ่งนัก…” ขณะที่พึมพำเสียงเบา นักรบเกราะแดงก็กางแขนออกราวกับโอบกอดความมืดที่อยู่รอบตน
จินโกะซังและโดจินซังต่างตกตะลึงทันทีที่พวกเขาเห็นร่างที่โผล่ออกมาจากความว่างเปล่า ภายในเสี้ยววินาที พวกเขาก้าวถอยห่างออกมาเกือบสิบเมตรโดยไม่รู้ตัว และขณะที่พวกเขาเพิ่งจะสงบสติอารมณ์ของตัวเองได้เพียงเล็กน้อย พวกเขาก็พบว่าแผ่นหลังของพวกตนชนเข้ากับผนังของห้องเสียแล้ว
“ดูเหมือนว่าพวกเจ้าจะรู้ว่าข้าคือผู้ใด” ดวงตาสีแดงเลือดจ้องมองพระทั้งสอง ชายในชุดเกราะแดงชักดาบของตนออกมาและค่อย ๆ ไล่นิ้วไปตามตัวมีด “แล้ว… พวกเจ้ารู้จักดาบของข้าด้วยหรือไม่ ?”
อึก… พระทั้งสองลอบกลืนน้ำลายอย่างวิตกกังวล
พวกเขาจะไม่รู้จักมันได้อย่างไร…
ใบมีดของเขารวดเร็วดั่งสายฟ้าและพลิ้วไหวราวสายลม ผู้ที่ถูกฟ้าผ่าแต่ไม่ตาย ชายผู้เป็นหนึ่งในสามมหาเทพแห่งสงครามแห่งยุคเซ็งโงกุ
และดาบคาตานะที่ยาวห้าฟุตของเขาที่ชื่อว่าตัดสายฟ้าก็คือสิ่งที่เขาใช้ในการผ่าสายฟ้าที่ผ่าลงมา [3]
ดังนั้นมันจึงถูกตั้งชื่อว่า… ไรจิง ตัดสายฟ้า และผู้ที่เป็นเจ้าของของมันก็ไม่ใช่ผู้ใดอื่นนอกจากทาจิบานะโดเซ็ตสึ !!
“ชื่อของท่านโดเซ็ตสึนั้นแพร่หลายไปทั่ว มีผู้คนเพียงน้อยนิดเท่านั้นที่จะไม่รู้จักชื่อของท่าน” อีกเสียงหนึ่งดังแทรกขึ้นมา และชุดเกราะขนาดใหญ่ที่ถูกปกคลุมด้วยเปลวไฟสีแดงเลือดก็พลันก้าวออกมาจากความมืดพร้อมกับลากหอกเล่มยาวมาตามพื้น หอกที่เปื้อนคราบเลือดสีแดงเข้มแข็งกรัง
ทันทีที่พระทั้งสองเห็นผู้ที่เดินออกมาใหม่ ดวงตาของทั้งคู่ก็เปลี่ยนเป็นเย็นชาและแข็งกร้าวทันที
เขาคืออัจฉริยะที่บัญชาการกองกำลังกองทัพแดงของทาเคดะตั้งแต่อายุ 21 ปี ผู้ที่หอกและชุดเกราะถูกอาบด้วยเลือดของเหล่าศัตรู เขาไม่ใช่ผู้ใดอื่นนอกจากปีศาจแดง อี นาโอมาสะ !
พวกเขา… เองหรือ ?
มันไม่สำคัญว่าก่อนหน้านี้โดจินซังและจินโกะซังมีความมั่นใจมากเพียงใด เพราะทันทีที่เหล่าบุคคลผู้มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์พวกนี้ปรากฏตัวขึ้น พวกเขาก็รู้สึกถึงความเย็นยะเยือกที่เข้าเกาะกุมหัวใจของตัวเองทันที
“พวกเจ้าพร้อมแล้วใช่หรือไม่ ?” ทันใดนั้น ร่างที่สามก็ก้าวออกมาจากความมืด เขาแต่งกายด้วยชุดยูกาตะสีขาวบริสุทธิ์ คลุมทับด้วยฮาโอริสีดำสนิทพร้อมกับพัดพัดในมือของตนเบา ๆ ดูไม่เหมือนกับนักรบเลยแม้แต่น้อย
ยิ่งกว่านั้น เขายังเป็นเพียงผู้เดียวที่ดวงลุกโชนด้วยเปลวไฟนรกสีขาวหม่น แต่รัศมีที่แผ่ออกมาจากร่างนั้นเป็นของขั้นยมทูตขาวดำอย่างไม่ต้องสงสัย ความแข็งแกร่งของวิญญาณร้ายนั้นขึ้นอยู่กับความสำเร็จในการรบในขณะที่เขายังมีชีวิตอยู่ และข้อเท็จจริงที่ว่าเขาอยู่ขั้นยมทูตขาวดำก็แสดงให้เห็นถึงชัยชนะมากมายในชีวิตของวิญญาณตรงหน้า
ชายดวงตาสีขาวมองพระทั้งสองด้วยสายตาเรียบนิ่งขณะที่เอ่ยต่อ “หากพวกเจ้าเตรียมการพร้อมแล้ว… พวกข้าจะได้ส่งพวกเจ้าไปตามทางของตัวเองเสียที”
[1] นี่คือเหตุที่เกิดขึ้นในค.ศ. 2 กล่าวกันว่าเขาคือผู้ที่ค้นพบตราประทับหยกและเก็บมันเอาไว้ ทว่าเมื่ออ้วนสุดประกาศตัวเป็นจักรพรรดิ เขาก็จับภรรยาของซุนเกี๋ยนเป็นตัวประกันเพื่อแลกกับตราประทับดังกล่าว
[2] เป็นศิลปะการต่อสู้ของญี่ปุ่นที่เน้นไปในด้านการตื่นตัวและสามารถชักดาบและตอบสนองต่อการโจมตีอย่างกะทันหันได้อย่างรวดเร็ว
[3] ตำนานเล่าว่าการที่เขาสามารถรอดชีวิตมาได้นั้นเป็นเพราะว่าเขาได้ตัดสายฟ้าที่ผ่าลงมาด้วยดาบของตน