ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 268: ปิดฉากการแสดง
บทที่ 268: ปิดฉากการแสดง
ลมทะเลพัดไปตามผิวน้ำ
ผืนน้ำบริเวณช่องแคบสึชิมะได้ถูกย้อมเป็นสีดำจากการเจือปนของพลังหยิน ศพขนาดใหญ่ของคุกิโยชิทากะนอนแน่นิ่งอยู่ใกล้ ๆ กับศพขี้ผึ้งจำนวนนับไม่ถ้วนที่ลอยอยู่เหนือผิวน้ำราวกับเศษขยะที่ลอยไปตามน้ำ เมื่อตอนที่คลื่นกระแทกพลังหยินที่รุนแรงของท่านเปาระเบิดออกมา เขาก็ถูกบดขยี้และตายไปก่อนที่จะทันได้มีโอกาสกรีดร้องด้วยความหวาดกลัวเสียอีก
ณ เวลานี้ วงล้อมสีแดง สีดำ และสีขาวก่อตัวขึ้นเหนือน้ำทะเลสีดำสนิท และร่างจำนวนมากที่อยู่บริเวณจุดกึ่งกลางของวงล้อมก็สลายกลายเป็นกลุ่มพลังหยินและจางหายไป
สีแดงและสีดำที่ว่านี้คือกองกำลังสีแดงและกองทหารสีดำของโนบูนางะ ในขณะที่สีขาวดำคือกองกำลังเท็งงุและพระนักรบที่เข้าไปร่วมรบด้วย ปลายหอกและปลายธนูถูกยิงใส่กองกำลังของอะซะอิ นะงะมะซะ ซึ่งตอนนี้มีจำนวนไม่ถึง 50 ตนด้วยซ้ำ
แต่ฝ่ายของโนบูนางะเองก็ประสบความสูญเสียครั้งใหญ่เช่นกัน และจำนวนของพวกเขาตอนนี้ก็เหลืออยู่เพียง 1,000 ตนเท่านั้น
อะซะอิ นะงะมะซะเงยหน้ามองฟ้าอย่างสิ้นหวัง เขาแพ้แล้ว… เขาแพ้ให้กับศัตรูตัวฉกาจของตนเองอย่างโนบูนางะอีกครั้งแล้ว แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่ได้ประหลาดใจนัก เพราะแม้ว่าพวกเขาต่างก็เป็นเทพแห่งสงครามในยุคเซ็งโงกุ แต่เขาก็รู้ดีว่าตัวเองนั้นอ่อนแอกว่าโนบูนางะ เพราะเขาเคยพ่ายแพ้ให้แก่อีกฝ่ายมาแล้วครั้งหนึ่ง
กองกำลังทหารม้าเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและโหดเหี้ยม หาจุดอ่อนของกองกำลังของเขาราวกับงูพิษที่ไล่ตามทหารของเขาอย่างไม่ลดละ หลังจากผ่านไปไม่นาน กองกำลังของอิซานามิก็ลดลงเป็นจำนวนมากจนไม่สามารถต่อสู้ได้อีกต่อไป และเมื่อเขาตระหนักถึงสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัว ทั้งหมดที่เหลืออยู่เบื้องหน้าก็คือทะเลของเหล่าทหารผู้กล้าในชุดสีดำและสีแดง
เมื่อการต่อสู้เริ่มขึ้น เขานำทัพกองกำลังส่วนตัวของอิซานามิกว่าพันนาย ซึ่งเป็นจำนวนที่มากกว่าทหารม้าของโนบูนางะเป็นอย่างมาก ข้อเท็จจริงที่เห็นได้ชัดว่าเหตุใดเขาจึงลงเอยด้วยการสูญเสียที่น่าเศร้าเช่นนี้นั้นเป็นผลมาจากการไร้ความสามารถในการบังคับบัญชาของตนเอง แต่มันก็เป็นเพราะสิ่งนี้เช่นกันที่ทำให้เขาไม่สามารถยอมรับผลที่ออกมาได้
มันไม่ใช่ว่าเขาไม่สามารถยอมรับความพ่ายแพ้ แต่เขาแค่ไม่สามารถยอมรับได้ว่าตนต้องพ่ายแพ้ให้กับราชาปีศาจแห่งสวรรค์ชั้นที่ 6 อีกครั้งหลังจากที่ผ่านไป 400 ปี
ไม่มีทางให้หนี… การร่วมมือของเหล่าทหารม้า พระนักรบ และกองกำลังเท็งงุได้ปิดกั้นเส้นทางหลบหนีทั้งหมดไปหมดแล้ว นอกจากนี้… พวกเขาก็เหลือกันแค่ 50 ตนเท่านั้น มันจะสามารถทนไปได้อีกนานแค่ไหนกัน ?
กรุบ กรุบ …ทันใดนั้น กองกำลังทหารม้าก็แยกออกเป็นสองฝั่ง ปล่อยให้ม้าศึกโครงกระดูกขนาดใหญ่วิ่งเข้ามา ชายผู้นั่งอยู่บนหลังของมันคือบุคคลที่อะซะอิ นะงะมะซะอยากที่จะถลกหนังทั้ง ๆ ที่ยังมีชีวิต แต่เขาก็รู้ดีว่าตนเองไม่สามารถทำได้ตอนนี้
“อะซะอิคุง…” โนบูนางะโน้มตัวมาด้านหน้าเล็กน้อยและมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเหนือกว่า “เจ้าเป็นฝ่ายแพ้อีกแล้ว”
“ในฐานะไดเมียว พวกเราต่างเดิมพันชีวิตของตัวเองในทุก ๆ การต่อสู้ที่เราเข้าร่วม และข้าก็เกรงว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะได้เจอกัน”
อะซะอิ นะงะมะซะยังคงเงียบ แต่หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็หัวเราะออกมาเบา ๆ ก่อนจะดังขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งเงยหน้าขึ้นฟ้าและหัวเราะออกมาเสียงดังสนั่นในท้ายที่สุด
“โอดะโนบูนางะ…” เขาก้มหน้าลงอีกครั้ง และจ้องไปที่โนบูนางะด้วยเปลวไฟแห่งความโกรธแค้นในดวงตา “ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่เมืองใต้พิภพ…”
“เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงเป็นศัตรูกับท่านอิซานามิ ?! ต่อให้เจ้าหลบหนีไปยังปลายสุดของแดนมนุษย์ เจ้าก็ไม่มีทางที่จะหลบหนีการไล่ล่าของพวกขนนกทมิฬได้ !”
โนบูนางะเพียงลูบเคราสีดำของตนเองและเอ่ยขึ้นอย่างนึกสนุก “แต่นั่นก็เป็นในกรณีที่อิซานามิกล้าบุกรุกไปที่ส่วนลึกของยมโลกของจีน”
ยมโลกของจีน ?!
อะซะอิ นะงะมะซะพบว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาต้องการจะพูดนั้นติดอยู่ที่ลำคอ เขาจ้องมองอีกฝ่ายและเอ่ยด้วยเสียงที่สั่นเทา “เจ้า… จะไปที่ยมโลกของจีนอย่างนั้นหรือ ?”
โนบูนางะหันกลับไปมองด้านหลังเล็กน้อย เสื้อคลุมสีแดงเข้มของเขากระพือเบา ๆ ขณะที่เขาหัวเราะออกมาอย่างเย้ยหยัน “เจ้าได้กลิ่นหรือไม่ ?”
“กลิ่น ?” อะซะอิ นะงะมะซะตอบออกไปด้วยความสิ้นหวังในแววตา
“กลิ่นของยมทูตขั้นตุลาการนรกของจีน…” โนบูนางะเงยหน้าขึ้นและมองไปยังเส้นขอบฟ้า “และมันก็เป็นเพราะกลิ่นที่ไม่สามารถปกปิดได้นี้เองที่ทำให้อิซานามิไม่คิดที่จะช่วยเจ้า… เพราะฉะนั้น เจ้าคิดจริง ๆ หรือว่านางจะกล้าบุกเข้าไปยังส่วนลึกของยมโลกของจีนเพียงเพื่อจับข้า ?”
อะซะอิ นะงะมะซะหันไปมองตามสายตาอีกฝ่าย และเขาก็เห็นเตียงโบราณกำลังมุ่งหน้าเข้ามาใกล้พวกตนด้วยความสง่างามท่ามกลางหมอกพลังหยินที่ปกคลุมไปทั่วผืนน้ำ พลังหยินที่รุนแรงหลั่งไหลออกมาจากเบาะนั่งนั้นแสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่และอำนาจที่มากมายมหาศาล นี่เป็นการประกาศถึงการมาถึงของเจ้าหน้าที่ระดับสูงของยมโลก เหล่าวิญญาณทั้งปวงจงสูญสิ้น !
ในทางกลับกัน มันเห็นได้ชัดเลยว่าอิซานามินั้นไม่ได้สนใจการสลายไปของวิญญาณตนอื่น ๆ ของตนเลยแม้แต่น้อย หลังจากพิจารณาทั้งหมดแล้ว ความเฉยเมยของอิซานามิที่แสดงออกมา แม้แต่ตอนที่อะซะอิ นะงะมะซะผู้ที่เป็นไดเมียวและผู้บังคับบัญชากองกำลังของนางกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากก็แสดงให้เห็นแล้วว่านางไม่คิดที่จะเข้ามามีส่วนร่วมกับเหตุการณ์ในครั้งนี้เลยสักนิด
“ไป” โนบูนางะสะบัดบังเหียนม้าศึกของตนเบา ๆ และมุ่งหน้าตรงไปยังทิศทางที่เบาะนั่งอันทรงเกียรติกำลังมุ่งหน้าเข้ามา มุไร ซาดาคัตสึ โมริรันมารุ และโนฮิเมะเองก็ตามไปติด ๆ
ครืนนนน… กลุ่มก้อนพลังหยินปกคลุมไปทั่วพื้นที่ ทั้งเหนือผิวน้ำและบนท้องฟ้า เสียงร้องโหยหวนของเหล่าวิญญาณดังกึกก้อง ในขณะที่เปลวไฟนรกจำนวนมากปรากฏขึ้นกลางอากาศราวกับดวงดาวในยามราตรี
ไม่มีนกหรือปลาตัวใดกล้าย่างกรายเข้ามาใกล้พื้นที่ส่วนนี้
เตียงหลัวฮั่นโบราณที่มีความยาวประมาณสามเมตรลอยอยู่ท่ามกลางกลุ่มก้อนพลังหยินที่หนาแน่น อาร์ทิสแต่งการด้วยชุดคลุมผ้าไหมที่มีสีสันของนาง เส้นผมสยายไปในอากาศอย่างบ้าคลั่งขณะที่ลิ้นยาวกวัดแกว่งไปมาอย่างน่าขนลุกราวกับงูพิษ นางนั่งอยู่บนเตียงลอยเข้ามาอย่างเฉยเมิยโดยไม่แม้แต่จะมองโนบูนางะที่เข้ามาหาตน
ตอนนี้นางดูเหมาะสมกับตำแหน่งของตนเองอย่างถึงที่สุด
“ไดเมียวโอดะ โนบูนางะจากยุคเซ็งโงกุคารวะท่านตุลาการนรกผู้สูงศักดิ์ !” โนบูนางะกระโดดลงจากม้าศึกของตน คุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้นและทำความเคารพอาร์ทิส มุไร ซาดาคัตสึและวิญญาณตนอื่น ๆ เองก็รีบคุกเข่าลงเช่นกัน “ผู้ติดตามของโอดะโนบูนางะคารวะท่านตุลาการนรกผู้สูงศักดิ์ !”
มันเป็นตอนที่พวกเขาเข้ามาใกล้อาร์ทิสแล้วเท่านั้นที่พวกเขาได้ตระหนักถึงอำนาจที่แท้จริงของขั้นตุลาการนรก
อันที่จริง มันอาจจะไม่ได้เป็นการพูดเกินจริงเลยว่านอกเหนือจากห้าผู้เฒ่าของญี่ปุ่นแล้ว มันก็ไม่มีวิญญาณตนใดในญี่ปุ่นจะสามารถรวบรวมพลังหยินที่หนาแน่นเช่นนี้ได้ และอิซานามิที่อยู่ขั้นฝู่จวินก็ย่อมอยู่จุดที่สูงสุดของห่วงโซ่อาหารของญี่ปุ่น
และเขาก็ไม่คาดหวังว่าจีนจะด้อยไปว่านี้
“โอดะโนบูนางะอย่างนั้นหรือ ?” อาร์ทิสเหลือบตามองอีกฝ่ายและแย้มยิ้มบางออกมา “ไม่จำเป็นต้องพิธีรีตองมากนัก”
“การยอมสวามิภักดิ์ต่อยมโลกจะเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดที่เจ้าได้ทำมาในชีวิต ตราบใดที่เจ้าไม่ทอดทิ้งยมโลก ยมโลกก็จะไม่ทอดทิ้งเจ้าเช่นกัน”
“รับทราบ !!” โนบูนางะสูดหายใจเข้าช้า และประสานฝ่ามือกับกำปั้นด้วยความเคารพ
ช่างไร้เดียงสาเสียจริง…
อาร์ทิสหันไปมองทางอื่น ข้าไม่แน่ใจว่าเจ้าจะยังสามารถหัวเราะได้อีกหรือไม่หากเจ้าได้เห็นสภาพที่แท้จริงของยมโลกแห่งใหม่ในตอนนี้… แต่ต่อให้เจ้ารู้สึกเสียใจกับการตัดสินใจของตนเอง เจ้าก็จะไม่สามารถทำอะไรได้โดยปราศจากคำอนุญาตของข้าอยู่ดี…
“น่ารังเกียจ ! ช่างน่าอัปยศยิ่งนัก !! โอดะโนบูนางะ ! ท่านยังสามารถเรียกตัวเองว่าเป็นไดเมียวแห่งยุคเซ็งโงกุอยู่อีกได้อย่างไร ?!” เส้นเลือดบริเวณหน้าผากของอะซะอิ นะงะมะซะเต้นตุบ ๆ อย่างไม่สามารถควบคุมได้ขณะที่เขามองภาพแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นตรงหน้า และเขาก็อดไม่ได้ที่จะต่อว่าโนบูนางะสำหรับการกระทำที่เป็นการทรยศของอีกฝ่าย
ยมโลกของจีน… ยมโลกของจีนเนี่ยนะ ?!
นี่ความทะเยอทะยานของบุรุษตรงหน้าสูงถึงเพียงไหนกัน ?! เมื่ออีกฝ่ายเข้าสู่ยมโลกของจีน… เขาก็คงไม่มีความหวังที่จะได้แก้แค้นไปตลอดกาล !
“หืม ?” อาร์ทิสเลิ่กคิ้วขึ้นเล็กน้อย ขณะที่อะซะอิ นะงะมะซะยังคงเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้ง “ท่านไม่ควรค่าที่จะเรียนตนเองว่าเป็นซามูไร ! ถึงขนาดที่ยอมตกเป็นเบี้ยล่างให้กับผู้อื่น ! ท่าน…”
แต่ถึงกระนั้น โนบูนางะกลับไม่ได้โมโหกับคำต่อว่าของอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย “ขออภัยที่เสียมารยาท ข้าจะจบเรื่องทุกอย่างเดียวนี้”
เขาโบกมือเบาๆ และทหารม้าทั้งหมดที่ปิดล้อมพื้นที่อยู่ก็ล้อมเข้ามามากกว่าเดิม ไม่ว่าอะซะอิ นะงะมะซะและกองกำลังของเขาจะพยายามดิ้นรนมากเพียงใด แต่มันก็ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก่อนที่พวกเขาทั้งหมดจะกลายเป็นกลุ่มก้อนพลังหยินที่สลายหายไป
ฉึก ! ฉึก ! ฉึก ! หอกจำนวนมากแทงเข้าที่ด้านข้างของอะซะอิ นะงะมะซะพร้อมกัน แต่เขาก็ไม่ร้องออกมาให้ได้ยินเลยแม้แต่น้อย พลังหยินอันไร้ขอบเขตหลั่งไหลออกจากร่างในชุดเกราะจนกระทั่งเขากลายร่างเป็นเปลวไฟนรกที่ลุกโชนอย่างรุนแรงและใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ
“แล้วเจอกันในยมโลก…” เสียงเบา ๆ ของอะซะอิ นะงะมะซะดังออกมา ราวกับกำลังกวักมือเรียกโนบูนางะจากหุบเหวของนรก ทว่าครู่ต่อมา หอกจำนวนหลายร้อยเล่มก็แทงเข้าไปที่ใจกลางของลูกไฟนรกตรงหน้า พร้อมกับเสียงร้องคำรามที่น่าสังเวช ลูกไฟขนาดใหญ่กลายเป็นเปลวไฟขนาดย่อยจำนวนมากที่เปลี่ยนเป็นเสาเปลวไฟที่มีความสูงกว่าสิบเมตร และเริ่มสลายไปทีละน้อย กลายเป็นเพียงอีกาที่กระจัดกระจายตัวไปรอบ ๆ ก่อนจะหายไปอย่างรวดเร็ว
ความตายที่แท้จริง
หลังจากนี้เป็นต้นไป มันจะไม่มีบุคคลที่ชื่อว่าอะซะอิ นะงะมะซะอีกต่อไป ไม่ว่าจะในยมโลกหรือแดนมนุษย์ก็ตาม
และอิซานามิก็เลือกที่จะนิ่งเงียบเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น
“แม้แต่ภูตผีก็สามารถตายได้…” อาร์ทิสเคาะนิ้วของตนบนเตียงหลัวฮั่นเบาๆ “ตายครั้งแรก เจ้าจะกลายเป็นวิญญาณ ตายครั้งที่สอง ดวงวิญญาณของเจ้าหายไปตลอดกาล ไร้ซึ่งความหวังที่จะได้กลับไปเกิดใหม่อีกครั้ง… โนบูนางะ เจ้าไม่กลัวอิซานามิจะเห็นหรือว่าเจ้ายอมสวามิภักดิ์ต่อยมโลก ?”
โนบูนางะหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น จากนั้นจึงเอ่ยเสียงต่ำ “ข้าคงไม่ยอมสวามิภักดิ์ต่อยมโลกจีนหากข้าหวาดกลัวอิซานามิ”
“ดี” อาร์ทิสหัวเราะออกมาเบา ๆ จากนั้นนางจึงยกมือขึ้นและกางออก ทันใดนั้นมือของนางก็ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งปกคลุมทุกสิ่งทุกอย่างรอบข้าง จากนั้นด้วยการขยับมือเพียงเล็กน้อย ฉินเย่ หมิงชีหยิน โนบูนางะ และกองกำลังที่เหลือทั้งหมดก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
มันจบแล้ว
นี่เป็นจุดสิ้นสุดของการต่อสู้ที่ช่องแคบสึชิมะ
ทั่วทั้งบริเวณถูกปกคลุมด้วยความมืด ในขณะที่เรือสำราญถูกปล่อยให้ลอยอยู่เหนือน้ำ ท่ามกลางการต่อสู้ครั้งใหญ่ ไม่มีผู้ใดรับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้เลยแม้แต่นิดเดียว
……
“แค่ก แค่ก แค่ก…” สิบชั่วโมงต่อมา กลับมาที่โรงแรมในตงไห่ ฉินเย่พบว่าตนกำลังนอนคว่ำอยู่บนเตียงด้วยสีหน้าที่เบิกบานใจเป็นอย่างมาก
เส้นเลือดบริเวณขมับของอาร์ทิสเต้นตุบ ๆ นางไม่ได้นำร่างซิลิโคนของตนเองมาด้วย ดังนั้นนางจึงเข้าสิงร่างของผู้หญิงคนหนึ่งแทน นางหันไปมองหน้าเด็กหนุ่มอย่างไม่พอใจ “นี่เจ้าป่วยเป็นโรคติดต่อหรืออย่างไร ? เหตุใดจึงไม่สามารถควบคุมเสียงร้องครวญครางของตัวเองตอนนี้ได้ ? เลือดก็หยุดไหลมานานมากแล้ว เหตุใดจึงต้องทำเสียงพวกนั้นอยู่อีก ?!”
ดวงตาของฉินเย่เอ่อคลอไปด้วยน้ำตา เขาคว้าผ้าห่มแน่นและกัดริมฝีปากล่างของตนขณะที่เอ่ยเบา ๆ “ข้า… อยากดื่มกาแฟที่บดด้วยมือ…”
หายใจเข้า… หายใจออก… ไม่กี่วินาทีต่อมา อาร์ทิสเหยียบลงไปบนหลังของเด็กหนุ่มอย่างแรงด้วยสีหน้าดุร้าย “กาแฟที่บดด้วยมืออย่างนั้นหรือ ?! เจ้าคิดว่าตัวเองกำลังอยู่ในละครหรืออย่างไร ?! การประพฤติตัวด้วยความยับยั้งชั่งใจสักเล็กน้อยมันจะทำให้เจ้าตายหรืออย่างไร ?! เหตุใดเจ้าจึงไม่สามารถใช้ชีวิตอย่างคนปกติทั่วไปได้ ?!”
เสียงกรีดร้องของฉินเย่ดังก้องไปทั่ว หลายนาทีต่อมาเขาก็หอบอย่างหนักขณะที่เอ่ย “ให้ตายเถอะ ยัยลูกสาวเนรคุณ ! พ่อของเจ้าทำงานหนักอยู่ที่ทะเลตะวันออก แต่เขาก็แทบจะไม่สามารถกลับมาได้โดยครบ 32 ! แล้วนี่เป็นวิธีที่เจ้าปฏิบัติกับข้าเช่นนั้นหรือ ? แถมยังไม่ไปชงกาแฟให้ข้าอีก ?”
อาร์ทิสแสร้งทำเป็นแคะหูของตนและกลอกตา
เจ้าไปได้ความคิดเกี่ยวกับเรื่องไร้สาระพวกนี้มาจากที่ไหนกัน ? มันเป็นส่วนหนึ่งของหน้าที่และความรับผิดของยมทูตอยู่แล้วไม่ใช่หรือที่จะต้องเสี่ยงชีวิตของตนเพื่อยมโลก ? อ้อ… ข้าลืมไป… เจ้าคือฉินเย่… แต่พอมันคิดอีกที นี่ถือได้ว่าเป็นการพัฒนาที่ยิ่งใหญ่ของเจ้า… ดูเหมือนว่ามันควรค่าแก่การได้รับคำชมสินะ ?
อาร์ทิสอ้าปากค้างอยู่นาง แต่นางก็ยังไม่สามารถทรยศต่อมโนธรรมของตัวเองและเอ่ยชมฉินเย่ออกไปได้ ดังนั้นนางจึงเลือกที่จะเงียบ หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง นางก็เอ่ยด้วยเสียงที่อ่อนลงกว่าเดิม “ดูเหมือนว่าเจ้าจะสามารถทำทุกอย่างที่วางแผนเอาไว้สำเร็จ…”
“ไม่ต้องห่วง” ฉินเย่ซุกหน้าลงกับหมอนของตน “การพัฒนาของยมโลกกำลังจะเริ่มขึ้นอย่างจริงจังและพุ่งทะยานอย่างรวดเร็ว ข้าจะจัดการทุกโดยเร็วที่สุด จะว่าไป สมุดแห่งความเป็นตายสามารถใช้ทำอะไรได้บ้าง ?”
“สมุดแห่งความเป็นตายหรือ หึหึ… ก็…” อาร์ทิสครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะชะงักไป จากนั้นนางก็ตะโกนออกมาอย่างตกตะลึงราวกับมีใครบางคนจิ้มนางด้วยเข็มแหลม “เจ้า… อย่าบอกนะ… เจ้าสามารถแย่งสมุดแห่งความเป็นตายกลับมาได้ ?!”
หมิงชีหยินยังคงอยู่ในสภาพกึ่งหลับกึ่งตื่น มันจึงยังไม่ได้เล่าเรื่องเหตุการณ์ที่ช่องแคบสึชิมะให้อาร์ทิสฟังอย่างละเอียด
โดยไม่เงยหน้าขึ้นมา เด็กหนึ่งชูนิ้วขึ้นมาหนึ่งนิ้วให้อาร์ทิส
อาร์ทิส “…???”
“กาแฟบดมือหนึ่งแก้วแล้วข้าจะเล่าให้ท่านฟังทุกอย่าง” ฉินเย่ผู้แข็งแกร่งเอ่ยอย่างเอื่อยเฉื่อย
เงียบ
ครู่ต่อมา ห้องทั้งห้องก็ดังก้องไปด้วยเสียงกรีดร้องที่น่าสังเวชเหมือนหมู สิบนาทีต่อมา อาร์ทิสปัดมือของตนอย่างพึงพอใจและนั่งไขว่ห้างอย่างสง่างาม แต่ถึงกระนั้น น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาของนางกลับเต็มไปด้วยความตื่นเต้น “หากเจ้าสามารถนำสมุดแห่งความเป็นตายกลับมาได้จริง ๆ …นี่แสดงให้เราเห็นว่าวัตถุศักดิ์สิทธิ์ของยมโลกไม่ได้สูญสลายไป และการปรากฏตัวเองเศษตราจ้าวนรกก็ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องบังเอิญ ! ดังนั้นสมบัติชิ้นอื่น ๆ เองก็ต้องกระจัดกระจายอยู่ส่วนอื่นของจีนเช่นกัน ! อย่างที่ข้าเคยพูดก่อนหน้านี้… วัตถุศักดิ์สิทธิ์พวกนี้ไม่สามารถถูกทำลายโดยการล่มสลายครั้งใหญ่ของยมโลกที่เกิดขึ้นจากการตรัสรู้ของพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ได้ !”
“…ท่านช่วยเข้าประเด็นเลยได้หรือไม่ ?”
อาร์ทิสสูดหายใจเข้าช้า ๆ จากนั้นจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม “เจ้ารู้หรือไม่ว่าโลกใต้พิภพทุกแห่งสามารถสร้างกองกำลังที่มีลักษณะพิเศษของตนเองได้ ?”
ฉินเย่จ้องอาร์ทิสราวกับตนเห็นผี เขาเอ่ยขึ้นว่า “… นี่ท่านกำลังจะบอกว่า… ที่ผ่านมาท่านเล่น Heroes of Might and Magic มาโดยตลอดเลยอย่างนั้นหรือ ?!”
อาร์ทิสกัดฟันกรอด ในขณะที่มือของนางเผยให้เห็นกรงเล็บที่แหลมคม ในที่สุด นางก็ข่มความโกรธของตนเองและตอบกลับเสียงแข็ง “เจ้าคิดว่าข้ากำลังพูดเล่นหรือ ?”
“ข้ากำลังพยายามใช้คำพูดให้เจ้าเข้าใจ มันอาจจะฟังดูเหลือเชื่อ แต่มันเป็นเรื่องจริง ! ดูอย่างทหารม้าของโนบูนางะหรือกองกำลังเท็งงุเป็นตัวอย่าง เจ้าคิดว่ายมโลกจะไม่มีกองกำลังพิเศษของตัวเองบ้างหรืออย่างไร ?”
“การสร้างทหารเหล่านี้จำเป็นจะต้องใช้พลังหยินที่หนาแน่นในการขับเคลื่อน และเศษตราจ้าวนรกก็เหมาะสำหรับหน้าที่นี้ แต่ต่อให้ไม่มีมัน เราก็ยังสามารถใช้สมบัติพื้นฐานทั้งสามของนรกอย่างสมุดแห่งความเป็นตายแทนได้ ! ถึงเราจะไม่สามารถสร้างวิญญาณที่โดดเด่นได้… แต่เราก็ยังสามารถฝึกฝนกองกำลังพิเศษของยมโลกพวกนี้ได้ ! นี่คือข่าวที่ดีที่สุดสำหรับยมโลกที่ไร้กำลังป้องกันในเวลานี้ !”
“และสมุดแห่งความเป็นตายก็ยังมีประโยชน์อื่นอีก ! สิ่งที่ข้าบอกเจ้าไปเป็นเพียงแค่ความสามารถพื้นฐานซึ่งอาศัยพลังหยินอันล้นหลามที่กักเก็บอยู่ในมันเท่านั้น ในฐานะของมหาสมบัติพื้นฐานของยมโลก สมบัติแต่ละชิ้นต่างมีความสามารถเฉพาะของมันเอง !”