ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 27 การกวาดล้างครั้งใหญ่
บทที่ 27 การกวาดล้างครั้งใหญ่
หลังจากที่ออกมาจากถนนของชนกลุ่มน้อย ฉินเย่ก็ตรงไปที่โรงพยาบาลทันที
หวังเฉิงห่าวได้ฟื้นคืนสติและพยายามโทรมาหาฉินเย่ตั้งแต่เมื่อครู่นี้
เขาพักอยู่วอร์ดที่ดีที่สุดของโรงพยาบาล ห้องทั้งห้องเป็นสีขาวราวกับห้องใหม่และปราศจากกลิ่นของน้ำยาฆ่าเชื้อใด ๆ มิหนำซ้ำมันยังมีทีวีติดผนังอยู่ภายในห้องด้วย อย่างไรก็ตาม ฉินเย่ไม่ได้นำของขวัญเยี่ยมไข้ไปด้วย
“ฉันเสียใจด้วยนะ” ฉินเย่นั่งลงที่ขอบเตียงคนไข้และแสร้งเป็นทำตัวเป็นเขาคนเก่าที่ระแวดระวังตัวกับเฉิงห่าว
อีกฝ่ายยังคงนิ่งเงียบและจ้องหน้าฉินเย่ต่อไป หลังจากผ่านไปสัก เขาก็ระเบิดหัวเราะออกมา
เฉิงห่าวหัวเราะหนักมาก มากจนเริ่มมีน้ำตาไหลออกมา จากนั้น หลังจากปาดน้ำตาออก เขาก็มองไปที่ฉินเย่อีกครั้งอย่างมีความหมายขณะที่เอ่ยถาม “นาย…เป็นใครกันแน่”
ว่ายังไงนะ?
ฉินเย่กะพริบตาอย่างใสซื่อ “ฉันก็เพื่อนร่วมชั้นของนาย ฉินเย่ไง นายจำฉันไม่ได้แล้วเหรอ? แต่นายเองไม่ใช่หรือไงที่โทรตามฉันมาที่นี่?”
“นายยังคิดจะตีหน้าซื่ออยู่อีกงั้นเหรอ?” หวังเฉิงห่าวกัดฟันแน่นและปาดโทรศัพท์ในมือของตนทิ้ง จากนั้นก็ก้มหน้าลงและเงียบไป
ฉินเย่เก็บโทรศัพท์ขึ้นมาและเปิดดู มันคือคลิปวิดีโอคลิปหนึ่ง ภาพในคลิปวิดีโอไม่ได้ปรากฏร่างของเขา แต่มันก็ถ่ายติดวินาทีที่เขาใช้เขี้ยวจันทราทะลวงสวรรค์อย่างพอดิบพอดี
ฉินเย่สวมเครื่องแบบยมทูตของเขา กวัดแกว่งดาบฟันวิญญาณของตัวเองในขณะที่อยู่ในสถานะยมทูต ดังนั้นมันจึงไม่มีทางที่ร่างของเขาจะปรากฏให้เห็นในโลกมนุษย์
“นี่มันอะไรกัน?” ฉินเย่ถามอย่างสงสัย
หวังเฉิงห่าวมองตาเขาและพูดเป็นเชิงบอกใบ้อีกครั้งว่า “นายรู้หรือเปล่า…ฉันมีกล้องวงจรปิดติดอยู่รอบบ้านมากแค่ไหน”
“??” ฉินเย่ยังคงไม่เข้าใจ
หวังเฉิงห่าวกำลังอยู่ในสภาพจิตใจย่ำแย่ ใบหน้าของเขาซีดเซียวและดูอ่อนแอ แต่เด็กหนุ่มกลับยังจับมือของฉินเย่แน่น “เชื่อใจฉัน ฉันจะไม่มีทางทรยศนายแน่นอน ฉันแค่อยากรู้…ว่าในโลกนี้ยังมีสิ่งที่น่ากลัวพวกนี้อยู่อีกมากแค่ไหน”
“ฉันไม่รู้ว่านายกำลังพูดเรื่องอะไร”
“นายรู้!!” หวังเฉินห่าวเริ่มร้อนใจ เขากำมือแน่น น้ำตาเริ่มเอ่อล้นออกมา “ฉินเย่ พ่อกับแม่ของฉันตายไปด้วยน้ำมือของผีและสิ่งสกปรกพวกนี้! นายคือคนเดียวที่ฉันสามารถพูดด้วยได้! พวกเราเป็นเพื่อนร่วมชั้นกันมาตั้งหลายปีไม่ใช่เหรอ? นายช่วยพูดความจริงกับฉันไม่ได้หรือไง?!”
“ฉันมีเงินนะ! ฉันอาจจะได้รับมรดกมูลค่ากว่าสิบล้านจากพ่อกับแม่ก็ได้! นายเองก็คงจะลำบากมากในการดูแลร้านเพียงคนเดียว! จะให้ฉันช่วยจ่ายค่าครองชีพให้นายก็ได้! แต่สิ่งเดียวที่นายต้องทำก็คือยอมให้ฉันไปด้วยและให้ฉันได้เห็นกับตาว่ามันกำลังเกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันแน่!”
น่าสนใจ…
เอาล่ะ…นายสามารถดึงดูดความสนใจจากฉันได้สำเร็จ แต่น้ำเสียงแบบนั้นมันอะไรกัน?
ฉินเย่กลอกตาอย่างอดไม่ได้ ทว่าขณะที่เขากำลังจะสลัดแขนออกจากการเกาะกุมของอีกฝ่าย เฉินห่าวก็พูดขึ้นมาว่า “แม้ว่ากล้องวงจรปิดพวกนั้นจะจับภาพนายไม่ได้ แต่ฉันก็รู้อยู่ดีว่าเป็นนาย เพราะว่า…กล้องพวกนั้นไม่เพียงแต่จับภาพเท่านั้น แต่พวกมันยังบันทึกเสียงได้ด้วย”
“ฉัน…ฉันสาบานได้เลยว่าฉันได้ยินเสียงของนายไม่ผิดแน่ แต่ฉันก็ไม่ได้บอกใครเรื่องนี้จริง ๆ นะ แม้แต่ตอนที่ให้ปากคำกับตำรวจก็ตาม ฉินเย่ นายเชื่อใจฉันได้แน่นอน”
ซวยล่ะ….ฉินเย่ไม่สามารถข่มความรู้สึกคลื่นไส้ที่ปั่นป่วนอยู่ในช่องท้องได้อีกต่อไป เขารู้ว่าเขาเองไม่ควรเชื่อคำแนะนำจากคนแก่อย่างอาร์ทิส ผู้คนทั่วไปไม่อาจมองเห็นเขา แต่ไอ้กล้องวงจรปิดพวกนั้นล่ะ?
“มันทำแบบนั้นได้จริง ๆ หรือ?” อาร์ทิสถามอย่างตกตะลึง “ยุคปัจจุบันช่างน่ากลัวเสียจริง เขาจะมีดวงเนตรแห่งสวรรค์ได้อย่างไรกัน?”
ให้ตายเถอะ! นี่เธอช่วยปรับตัวไปตามการพัฒนาของสังคมหน่อยไม่ได้หรืออย่างไร? แล้วทีนี้ข้าจะเชื่อใจเธอได้อย่างไรกันเล่า?! เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแสงเลเซอร์คืออะไร! นี่มันบ้าชะมัด!
“นายคงจำผิดไปแล้วแน่ ๆ” ภายในใจของฉินเย่เต็มไปด้วยความวิตกกังวล แต่เขาก็ยังรักษาใบหน้าไม่รู้ไม่ชี้เอาไว้ได้ เด็กหนุ่มลอบชมทักษะในการแสดงที่ยอดเยี่ยมของตัวเองขณะที่เอ่ยต่อว่า “เมื่อคืนนี้ฉันอยู่ที่ร้านตลอดทั้งคืน นี่นายพูดบ้าอะไรของนายกันแน่?”
ขณะที่หวังเฉิงห่าวกำลังจะส่งเสียฮึดฮัดออกมา ฉินเย่ก็รีบลุกขึ้นยืนและเอ่ยว่า “เออ ใช่! ครูบอกให้ฉันเอาหนังสือเรียนมาให้นาย แต่เดี๋ยวฉันเอามาให้คราวหลังนะ วันนี้ฉันคงต้องขอตัวก่อน”
เสียงประตูที่ถูกปิดดังขึ้นเบา ๆ จากนั้นอาร์ทิสจึงเอ่ยอย่างสงสัย “จะว่าไป เจ้าก็อาศัยอยู่บนโลกมนุษย์แห่งนี้เป็นเวลานานพอสมควรแล้ว แต่เจ้าไม่มีเพื่อนมนุษย์สักคนหรือสองคนบ้างเลยหรืออย่างไร? แม้แต่ข้าเองก็ยังมีสหายคนสนิทที่เป็นมนุษย์ตั้งแต่ครั้งที่ถูกส่งมาที่โลกมนุษย์นี้เลย” ฉินเย่พยักหน้าตอบอย่างเศร้า ๆ
“แน่นอน แต่เมื่อสหายของเจ้ามีผมขาวทั้งหัว ในขณะที่เจ้ายังคงเป็นรูปลักษณ์เดิมของตัวเองที่มีสิวเต็มหน้า เจ้าไม่คิดว่าพวกเขาอยากจะตบหน้าเจ้าด้วยความอิจฉาบ้างหรือ”
“ไม่มีทางที่พวกเขาจะกล้าทำเช่นนั้น” อาร์ทิสเอ่ยตอบอย่างตรงไปตรงมา
นั่นสินะ…ฉินเย่นิ่งไปเมื่อได้ยินคำตอบของอีกฝ่าย สายลมในช่วงต้นฤดูใบไม้ร่วงยังค่อนข้างอบอุ่นอยู่บ้าง ฉินเย่สะบัดผมด้านหน้าของตนไปด้านข้าง หลังจากผ่านไปสักพัก เขาก็เอ่ยขึ้นว่า “หากพูดกันตามจริง ข้าเองก็มีเพื่อนที่เป็นมนุษย์อยู่บ้าง….แต่ข้าไม่แน่ใจนักว่าพวกเขาได้ตายไปแล้วหรือไม่ และพวกเขาก็ไม่ได้อาศัยอยู่ในมณฑลเสฉวนด้วย”
ใบหน้าของเขาชะงักไปก่อนที่จะเอ่ยลอดไรฟันว่า “และมันก็เป็นตอนนั้นเองที่ข้าได้เรียนรู้ว่า….สำหรับคนบางกลุ่ม…เราก็ควรเก็บของของพวกเขาไว้ แม้กระทั่งผ้าอ้อมตอนแรกเกิดก็ตาม…”
“หืม? มีเรื่องอะไรที่ข้าจะต้องรู้หรือเปล่า? สิ่งที่ทำให้เจ้าหัวเสียเช่นนี้…ช่วยเล่าเรื่องที่อาจทำให้ข้าอารมณ์ดีฟังบ้างสิ!”
ฉินเย่สูดหายใจเข้าจนเต็มปอด “ตอนนั้น…ตอนที่ข้ามายังมณฑลเสฉวนแห่งนี้ครั้งแรก ข้าได้มีโอกาสรู้จักกับชายแซ่จางผู้หนึ่ง สิ่งที่เขาชอบมากที่สุดคือการวาดภาพ ข้าคิดว่าเขาเรียกมันว่าภาพวาดสีน้ำหมึก…น่าเสียดายที่ข้าไม่มีพรสวรรค์ในการวาดภาพนัก ในตอนนั้น พวกข้านั่งดื่มเหล้าด้วยกันภายใต้แสงจันทร์จนเมาหัวทิ่มเลยด้วยซ้ำ…หลังจากนั้น ไม่กี่สิบปีต่อมา ข้าก็พบว่ารูปวาดวิวทิวทัศน์ของเจ้าบ้านั่นมีมูลค่าเป็นสิบล้าน!”
“ให้ตายเถอะ!…ท่านรู้หรือว่าว่าตอนนั้นข้าอยากที่จะตายเพียงใด?! และมันก็ทำให้ข้าไม่กล้าเร่ขายโลงศพไประยะหนึ่งเลยด้วยซ้ำ! ท่านเข้าใจหรือไม่ว่ามันเจ็บปวดมากแค่ไหนที่ถูกความจริงตีแสกหน้า แต่ก็สายไปเสียแล้วเช่นนั้น?!”
อาร์ทิสเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยว่า “ถึงแม้ว่าข้าจะไม่สามารถพูดได้ว่าข้าเห็นใจเจ้า แต่ข้าก็สามารถรับรู้ความทรมานของเจ้าได้จากน้ำเสียงขมขื่นที่เจ้าเอ่ยออกมา…หนึ่ง สอง….”
ทว่าทันใดนั้น ก่อนที่นางจะเอ่ยจบ ทั้งสองก็ชะงักไปและเงยหน้ามองไปทางปลายสุดของทางเดิน
“หนึ่ง….สอง…สาม….มีทั้งหมดห้าคน” ฉินเย่หรี่ตาลงพร้อมกับเอ่ยออกมาเสียงเบา
“ผู้ฝึกตนหรือ?” อาร์ทิสเอ่ยถาม
“มีสามคนที่เป็นผู้ฝึกตน…และมีหนึ่งคนที่มีกลิ่นที่ค่อนข้างคุ้นเคย ส่วนอีกคน…ดูแข็งแกร่งกว่าคนอื่น ๆ พลังของเขาใกล้เคียงกับข้ามาก”
วินาทีนั้น เสียงที่คมชัดของรองเท้าหนังก็ดังก้องไปตามทางเดิน ชายทั้งห้าเดินเลี้ยวมาตามมุมทางเดินและปรากฏตัวขึ้นในสายตาของพวกเขา
ฉินเย่ก้มหน้าลง ไม่คิดจะสบตากับคนพวกนั้น เขาแสร้งทำเป็นกดโทรศัพท์เล่น ตั้งใจจะเดินผ่านคนทั้งหมดไปอย่างไม่ให้เป็นที่สงสัย
“เดี๋ยว…” วินาทีที่พวกเขาเดินผ่านกัน หนึ่งในคนทั้งห้าก็พูดขึ้น ฉินเย่แสร้งเป็นไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น แต่มือที่จับอยู่ที่ไหล่ก็ทำให้เขาต้องหันหน้ากลับไปด้วยสีหน้าประหลาดใจ “คุณเรียกผมเหรอ?”
เด็กหนุ่มลอบกำหมัดแน่นเมื่อพวกเขาสบตากัน ช่างเป็นกลุ่มคนที่แปลกประหลาดจริง ๆ
ชายตรงหน้าของเขาคือเจ้าหน้าที่ตำรวจคนเดียวกันกับก่อนหน้านี้ แต่ในตอนนี้ เขาเปลี่ยนจากชุดเครื่องแบบตำรวจเป็นชุดสูทสีดำแทน ในจำนวนคนทั้งห้า มีเพียงสองคนเท่านั้นที่สวมชุดสูทสีดำ คนที่ยืนอยู่ฝั่งซ้ายสุดของกลุ่มคือชายวัยกลางคนผู้มีผิวสีเข้ม เขามีท่อยาสูบแขวนไว้ที่ข้างเอว เล็บมือของเขาแตกและมีสีเหลือง อีกฝ่ายสวมชุดเสื้อคอจีนแขนสั้นและศีรษะถูกโพกไว้ด้วยผ้าสีเขียว ผมถูกถักเป็นเปียและปล่อยเป็นหางม้ายาวพร้อมกับสวมรองเท้าฟางคู่หนึ่
“หมอผี” อาร์ทิสพึมพำ “เขามาจากชนเผ่าแม้ว”
คนที่อยู่ทางขวาคือชายผมขาวคนหนึ่งที่กำลังยืนพิงไม้เท้า นิ้วมือของคนตรงหน้าดูผอมจนเหมือกับโครงกระดูกจริง ๆ!
ทว่าสิ่งที่ฉินเย่สนใจมากที่สุดก็คือกลิ่นเหม็นของศพที่หนาแน่นจนไม่สามารถหาที่เปรียบได้ที่แผ่ออกมาจากร่างของผู้ชายคนนี้ “เขาคงจะอยู่ใกล้ชิดกับศพมาเป็นระยะเวลานานหลายปี เขาจะต้องเป็นคนขับรถขนศพมาจากทางตะวันตกของหูหนานแน่”
ช่างฝีมือแห่งโลกใต้พิภพอีกสองสายงานปรากฏตัวขึ้นในเวลาเดียวกัน เมื่อพิจารณาถึงอายุของคนทั้งคู่ มันก็ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเป็นผู้เชี่ยวชาญในสายงานของตัวเอง และครั้งนี้ หัวหน้าที่แท้จริงของกลุ่มคนแปลกประหลาดกลุ่มนี้ก็ย่อมต้องเป็นนักพรตวัยกลางคนจากลัทธิเต๋าที่ยืนอยู่กลางกลุ่มในตอนนี้แน่นอน
รูปลักษณ์ของเขาดูธรรมดาเป็นอย่างมาก ไม่มีบรรยากาศของความศักดิ์สิทธิ์อยู่รอบตัวของเขาเลยสักนิด และเขาก็ไม่ได้แสดงท่าทีอวดดีใด ๆ นอกเหนือจากหนวดเคราที่ยาวเยื้อยของเขาแล้ว มันก็ไม่มีสวนใดเลยที่จะทำให้ผู้มองรู้สึกประทับใจในตัวอีกฝ่ายเลย
“ผู้ฝึกตนที่อยู่ขั้นยมเทพ…เขาจะต้องเป็นผู้ฝึกตนที่แท้จริงจากนิกายสายหลักที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งในโลกนี้แน่ ๆ” อาร์ทิสนั้นเอ่ยอย่างจริงจัง “เด็กน้อย เจ้าได้เจอเข้ากับดวงดาวที่เจิดจรัสเสียแล้ว และมันก็คงจะโง่มากหากเจ้าจะสู้กับพวกเขาเพื่อให้รอดไปจากตรงนี้ได้”
“คุณมาทำอะไรที่นี่?” นายตำรวจเอ่ยถามด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“ผมมาเยี่ยมเพื่อนร่วมชั้นของผม มีอะไรแปลกหรือไง?” ฉินเย่ถามกลับด้วยสีหน้างุนงง
ทันใดนั้นเอง ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย รูม่านตาหดตัวลงอย่างกะทันหัน ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายกว่า ๆ แสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามาจากทางหน้าต่าง ทำให้เงาของคนทั้งห้าทอดยาวออกไป ทว่าเงาของนักพรตผู้นั้นกลับทอดยาวออกไปมากกว่าผู้อื่นเล็กน้อย พร้อมกับการเปลี่ยนแปลงอย่างน่าเหลือเชื่อ ในขณะเดียวกัน คลื่นพลังของผู้ฝึกตนตรงหน้าก็พุ่งตรงมาที่ร่างของฉินเย่ราวกับลูกธนู
ฉินเย่ไม่ได้หลบ ทันทีที่พลังดังกล่าวปะทะเข้ากับร่างของเขา มันก็สลายตัวไปรอบ ๆ ราวกับกลุ่มควัน
“มาเยี่ยมเพื่อน?” เจ้าหน้าที่ตำรวจสบตากับฉินเย่โดยตรงและเอ่ยต่อ “ไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้คุณพูดว่า…คุณอยากให้เขาตายหรอกเหรอ?”
นี่เป็นคำถามที่ตอบยาก ดังนั้นฉินเย่จึงเลือกที่จะไม่ตอบมัน เขาเพียงมองหน้าคนตรงตามด้วยท่าทีดื้อรั้นตามฉบับของพวกวัยรุ่นเลือดร้อนทั่วไป ความหมายที่สื่อผ่านสีหน้าออกไปนั้นชัดเจนว่า ฉันจะไปไหนมันก็ไม่ใช่เรื่องของแก!
“สวัสดี” และขณะที่ความตึงเครียดระหว่างหนึ่งผู้ใหญ่และหนึ่งเด็กวัยรุ่นกำลังก่อตัวขึ้นเรื่อย ๆ นักพรตผู้นั้นก็แย้มยิ้มและเอ่ยขัดจังหวะขึ้นมา “ฉันควรจะเรียกเพื่อนต่างวัยของเราผู้นี้ว่าอย่างไรดี?”
ฉินเย่นิ่งเงียบกะพริบตาปริบ ๆ กลับกัน เป็นฝ่ายของเจ้าหน้าที่ตำรวจเสียเองที่หันไปกระซิบข้างหูของนักพรตผู้นั้น อีกฝ่ายแย้มยิ้มออกมาขณะที่สะบัดแขนเสื้อของตัวเอง “สหายฉินนี้เอง…การพบกันของเราคงจะเป็นโชคชะตากำหนดมา ฉันมองเห็นกลุ่มพลังหยินหนาแน่นที่ลอยตัวอยู่เหนือศีรษะของนาย เพราะฉะนั้นนายควรระวัง…”
เขาหยุดพูดไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยต่ออย่างสื่อความนัยว่า “เมื่อวานนี้ มีเหตุการณ์เหนือธรรมชาติเกิดขึ้นที่นครเหลียนฮวา มีการพูดกันว่าเป้าหมายต่อไปของฆาตกรต่อเนื่องโรคจิตผู้นี้คือเมืองชิงซี และคนดวงตกอย่างนายก็ควรระวังตัวไว้ให้ดีล่ะ…”
สายตาของฉินเย่ที่มองอีกฝ่ายมีคำว่า “โรคจิต” เขียนอยู่เต็มไปหมด เขาหันไปมองนักพรตผู้นั้นอีกครั้งก่อนจะหมุนตัวและเดินจากไป
เจ้าหน้าที่ตำรวจมีท่าทีว่าจะเดินตามเด็กหนุ่มไป แต่สีหน้าของนักพรตวัยกลางคนกลับเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม ด้วยคิ้วที่ขมวดเข้าหากันยุ่ง เขาส่ายศีรษะไปมาเบา ๆ
เมื่อเห็นเช่นนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มก็หยุดลง
“แต่ท่านครับ เขาคือคนสุดท้ายที่ได้ติดต่อกับหวังเฉิงห่าวนะครับ นอกจากนี้พวกเขาทั้งคู่ยังพบเจอกับเหตุเหนือธรรมชาติระดับ E พร้อมกันด้วย ผมสงสัยว่าเขาอาจจะปิดบังอะไรบางอย่างอยู่!”
นักพรตวัยกลางคนไม่ได้เอ่ยตอบออกไปทันที เขาเพียงเอื้อมมือเข้าไปในเสื้อคลุมของตนและหยิบสร้อยคอเส้นหนึ่งออกมา
มันคือสร้อยคอเงินที่มีจี้ห้อยขนาดเท่ากับนิ้วหัวแม่มือ เป็นผลึกแก้วทรงแปดเหลี่ยมที่ถูกปกคลุมไปด้วยรอยเปื้อนสนิมสีเขียว
“สิ่งนี้เรียกว่าดวงตาของมังกรทะเล” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ท่านอาจารย์ของฉันได้มอบสิ่งนี้ให้กับฉันก่อนที่ฉันจะลงมาจากภูเขา เมื่อใดที่ฉันต้องเผชิญหน้าเข้ากับสิ่งที่สามารถเป็นภัยคุกคามต่อชีวิต มันจะเตือนฉันทันที”
คลิก!…ทันทีที่เขาเอ่ยจบ ผลึกทั้งชิ้นก็แตกเป็นเสี่ยง ๆ!
“นี่….” คนทั้งหมดอ้าปากค้างอย่างหวาดหวั่น
พวกเขาทุกคนรู้ตัวตนของนักพรตตรงหน้าเป็นอย่างดี เขาไม่ใช่เจ้าหน้าที่ระดับล่างของหน่วยสอบสวนพิเศษแห่งชาติ ดังนั้นหากเด็กหนุ่มคนนั้นสามารถเป็นภัยต่อชีวิตของคนตรงหน้าได้ แถมยังสามารถทำลายผลึกดวงตามังกรทะเลได้แบบนี้ นั่นก็หมายความว่า…..
“ผมจะโทรเรียกกำลัง–/ไม่ต้อง!”
นักพรตวัยกลางคนเอ่ยแทรกก่อนที่อีกฝ่ายจะได้เอ่ยจบ “นายรนหาที่ตายอย่างนั้นหรือ?”
“มันไม่น่าจะเป็นไปได้ที่เด็กคนนี้จะฝึกฝนจนถึงระดับนั้น แต่มันก็มีความเป็นไปได้ที่ดวงวิญญาณร้ายที่หลอกหลอนตระกูลหวังจะยังไม่ถูกปัดเป่า…แต่ตอนตรวจสอบร่องรอยของดวงวิญญาณดวงนั้น อีกฝ่ายก็ไม่น่าจะสามารถเป็นอันตรายต่อฉันได้ถึงขนาดนี้ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
…………………………………………………
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ที่มุมหนึ่งบนหัวถนนในซอยแคบ ๆ อาร์ทิสเอ่ยเสียงเบาอย่างไม่พอใจว่า “ข้าไม่รู้เลยว่าพลังที่เขาส่งมาเมื่อครู่นี้คืออะไร แต่มันทำให้รู้สึกไม่ค่อยดีนัก”
ฉินเย่ไม่ได้ตอบอะไร แต่เขาก็ยังไม่ได้เดินจากไปเช่นกัน เขาเพียงพิงหลังกับกำแพงและพึมพำเสียงเบา “เสียวอา ท่านบอกไม่ใช่หรือว่าช่วงนี้ดวงของเราค่อนข้างดีเป็นพิเศษ?”
“หืม?”
“ก็ท่านดูสิ มีหมอผีระดับสูงทั้งยังเป็นคนขับรถขนศพของ เมืองหูหนานฝั่งตะวันตกถึงขั้นยอมเดินทางมาที่นี่ ท่านคิดว่าเพื่ออะไรล่ะ?”
“…เจ้าไม่รู้หรือ? พวกผู้บังคับบัญชาส่วนใหญ่มักจะเกลียดเวลาที่ผู้ใต้บังคับบัญชาของพวกเขาทำท่าทีราวกับฉลาดเสียเต็มประดา ดังนั้นเขาจึงกระตุ้นความต้องการของคนพวกนั้นด้วยข้อมูลที่เป็นประโยชน์บางอย่าง”
ฉินเย่เลียริมฝีปากของตัวเองและเอนศีรษะพิงกับผนังขณะที่แย้มยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ “แล้วใครล่ะที่สามารถรวบรวมคนเหล่านี้ได้? ใครคือตัวเลือกที่สะดวกที่สุด? ใคร ในช่วงนี้ ที่ได้รับอนุญาตให้ได้รับเทียบเชิญผู้ฝึกตนเหล่านี้มา? และพวกเขาจะมาที่นี่เพื่ออะไร?”
อาร์ทิสตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยว่า “พลังหยินที่นี่หนาแน่นเป็นพิเศษ เพราะมีดวงวิญญาณที่ได้ครอบครองเศษตราจ้าวนรกนานชั่วระยะเวลาหนึ่ง…พวกเขาน่าจะสังเกตเห็นถึงจุดนี้และคิดว่าวิญญาณร้ายยังไม่ถูกปัดเป่าออกไปจนหมด ดังนั้นจึงมาที่นี่เพื่ออัญเชิญดวงวิญญาณของมันมาเพื่อตรวจสอบว่ามันเกิดสิ่งใดขึ้นเมื่อคืนนี้ แต่ดวงวิญญาณของหวังเจ๋อหมินนั้นได้สลายไปแล้ว และมันก็เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะสามารถอัญเชิญมันออกมาได้อีกต่อไป…ส่วนตัวตนที่แท้จริงของพวกเขา….”
นางหยุดพูดไปชั่วขณะ ก่อนจะอ้าปากอย่างตกตะลึงเมื่อเริ่มเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น “และนักพรตผู้นั้น….ก็จะเป็นใครไปไม่ได้เลยนอกจากเจ้าภาพของตลาดไสยเวทย์?!”