ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 278: ความแตกต่าง 1,000 ปี
บทที่ 278: ความแตกต่าง 1,000 ปี
เงียบ…
บรรยากาศตึงเครียดที่ปกคลุมไปทั่วเมื่อฉินเย่ก้าวเข้ามาในตอนแรกหายไปอย่างรวดเร็ว จักรพรรดิหวู่แห่งซ่งจ้องมองเด็กหนุ่มตรงหน้าเขม็ง ราวกับตั้งใจจะทำให้ร่างอีกฝ่ายเป็นรูพรุนด้วยสายตาของตนเอง
หลังจากผ่านไปห้านาทีเต็ม ในที่สุดเขาก็กระแอมออกมาเบาๆ “นี่มัน… อะไรกัน ?”
“รายงานประจำปีเกี่ยวกับความคืบหน้าของงานในยมโลก” ฉินเย่จัดแจงเสื้อคลุมของตัวเองและเอ่ยตอบเสียงนิ่ง “ไม่ใช่ว่าท่านถามว่าข้ามีคุณสมบัติใดถึงได้รับเลือกให้เป็นว่าที่จ้าวนรกองค์ต่อไปของยมโลกหรอกหรือ ? ข้าก็แค่แสดงมันให้ท่านเห็นเท่านั้น”
จักรพรรดิหวู่แห่งซ่งเงียบไป
เขาอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย ความพยายามอย่างหนักของเขาทั้งหมดถูกทำลายลงในชั่วพริบตา แต่มันก็เป็นเพราะสิ่งนี้ที่ทำให้เขาเริ่มให้ความสนใจเด็กหนุ่มที่ไม่สามารถคาดเดาได้ที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้า
ว่าที่จ้าวนรกที่ดูเหมือนจะไม่เล่นไปตามกฎ… เขามองฉินเย่ ตั้งใจที่จะโน้มน้าวให้จ้าวนรกองค์ใหม่ของยมโลกทำข้อตกลงใหม่กับอีกฝ่าย ยมโลกแห่งใหม่เพิ่งอยู่ในขั้นแรกเริ่มเท่านั้น และมันก็จะต้องเต็มไปด้วยความท้าทายมากมาย ไม่ว่าจากภายในหรือภายนอก มันจึงเป็นเวลาที่ดีที่เขาจะอาศัยจังหวะนี้และประกาศตนเป็นอิสรภาพจากยมโลกหรอกหรือ ?
อันที่จริง เขาไม่ได้เป็นเพียงผู้เดียวที่คิดจะเริ่มเคลื่อนไหว เจ้าเมืองของรัฐบริวารอื่น ๆ เองก็เริ่มมีความคิดนี้แล้วเช่นกัน แต่ข้อแตกต่างเพียงอย่างเดียวระหว่างพวกเขาก็คือรัฐบริวารอื่น ๆ ไม่ได้มีความแข็งแกร่งอย่างที่เขามี
แต่น่าเศร้า แผนการทั้งหมดของเขาเพิ่งถูกตีคู่โดยการจู่โจมทางข้อมูลของฉินเย่ คำพูดที่น่ามึนงงของเด็กหนุ่มได้ลากเขาออกมาจากดินแดนที่เป็นเหมือนบ้านเกิดและพาเข้าไปสู่ดินแดนที่ไม่รู้จัก ที่ซึ่งเขาทำได้เพียงยืนอยู่นิ่ง ๆ ด้วยความงงงันในขณะที่ฉินเย่กำลังวิ่งไปรอบ ๆ พร้อมประสบการณ์มากมาย
“นี่คือเนื้อหาการประชุมของเจ้า ? การประชุมของราชสำนัก ?” ดวงตาของชายร่างผอมหรี่ลง เขาสามารถรวบรวมสติและรักษาท่วงท่าอันสง่างามของตนได้ในที่สุด “ท่านไม่กลัวว่าข้าจะคาดเดาสถานะของยมโลกในเวลานี้จากตัวเลขพวกนี้เลยอย่างนั้นหรือ ?”
ฉินเย่ที่ได้ยินเช่นนั้นก็อยากจะระเบิดหัวเราะออกมาดัง ๆ
หากท่านคิดว่าตัวเองสามารถคาดเดาเกี่ยวกับสถานะของชาติ ๆ หนึ่งจากรายงานประจำปีของพวกเขา เช่นนั้นพวกคณะกรรมการก็คงถูกไล่ออกไปนานแล้ว !
มันช่วยไม่ได้ หน่วยงานของรัฐเดี๋ยวนี้ต่างเป็นข้าราชการที่มีความชำนาญในการแสดงทั้งสิ้น หากผู้ฟังสามารถเจาะลึกลงไปในตัวเลขและสถิติที่ใช้อ้างอิงหรืองานที่ระบุไว้ พวกเขาก็จะได้รู้… ว่าทุกอย่างที่เขียนมานั้นไม่มีสาระสำคัญอะไรเลย ! คน ๆ หนึ่งสามารถเขียนเอกสารรายงานกว่าหมื่นคำเกี่ยวกับงานที่แทบจะไม่คืบหน้าเลยให้ดูเหมือนกับมีความคืบหน้าได้อย่างไร ?!
ที่เขาพูดพล่ามเกี่ยวกับอะไรก็ไม่รู้มากว่าครึ่งชั่วโมงก็เพียงเพื่อทำให้อีกฝ่ายคิดว่าเขาสุดยอด ! แต่วิญญาณตรงหน้ากลับพยายามกดเขาลงมาด้วยการแสดงอำนาจเนี่ยนะ ? ไม่เอาน่า… เขาโตมาพร้อมกับโฆษณาชวนเชื่อทุกรูปแบบ ! นี่อีกฝ่ายคิดจริง ๆ หรือว่าเขาจะไม่สามารถหลีกเลี่ยงวิธีการของตนและปรับให้เป็นผลประโยชน์กับตัวเองได้ ?
“ท่านจะลองดูก็ได้” ฉินเย่หยิบแก้วไวน์ตรงหน้าของตนขึ้น แกว่งมันไปรอบ ๆ เบา ๆ “และต่อให้ท่านสามารถคาดเดาถึงสถานะของยมโลกในตอนนี้แล้วมันอย่างไรกัน ? ราชาแห่งฮันยาง พวกเราต่างก็มีช่วงชีวิตอยู่ในยุคสมัยที่ความแข็งแกร่งของยมโลกนั้นอยู่เหนือว่าฝ่ายอื่น ๆ ท่านอาจจะสามารถสังหารข้าได้หลายร้อยครั้ง แต่ท่านมีความมั่นใจที่จะกำจัดวิญญาณทหารราบนับล้านตนที่ยืนเรียงรายอยู่อย่างเป็นระเบียบได้อย่างนั้นหรือ ?”
“ยมโลกของข้านั้นแข็งแกร่งกว่าของท่าน ข้ามีเงินมากกว่าท่าน และข้าก็มีจำนวนประชากรวิญญาณมากกว่าท่าน ข้าสามารถกำจัดท่านได้ตลอดเวลา ท่านเป็นเพียงราชาแห่งโลกใต้พิภพของฮันยางเท่านั้น ต่อให้ท่านสามารถรวมโลกใต้พิภพของแดฮันให้เป็นหนึ่งเดียวได้แล้วมันอย่างไร ?”
อาร์ทิสก้มหน้าลงด้วยความอับอาย
เมื่อนึกถึงสภาพที่แท้จริงของยมโลกในตอนนี้ นางก็อดไม่ได้ที่จะชื่นชมฉินเย่กับความไร้ยางอายของอีกฝ่าย
ในทางกลับกัน จักรพรรดิหวู่แห่งซ่งเงียบไปเป็นครั้งที่สาม
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เข้าใจสิ่งที่ฉินเย่พูดได้ทั้งหมด แต่เขาก็ยังสัมผัสได้ว่าเด็กหนุ่มตรงหน้านี้มีความชำนาญเป็นอย่างมากเมื่อเป็นเรื่องของการบริหารกิจการภายใน แน่นอน เขารู้ดีว่ามันยังต้องใช้เวลาอีกมากกว่าที่ยมโลกจะกลับมารุ่งโรจน์อีกครั้ง เพราะอย่างไรแล้ว มันก็เป็นเรื่องยากมากที่จะหาใครสักคนที่สามารถปกครองอย่างยืดหยุ่นและเด็ดขาดได้ในเวลาเดียวกัน นอกจากนี้ เขาเองก็ไม่ได้มีความกล้าพอที่จะยั่วยุท่านตี้ทิงหรือสร้างความไม่พอใจให้กับสวรรค์ด้วย
หลังจากได้ใช้ชีวิตอยู่มานานกว่าพันปี เขารู้ดีว่าขีดจำกัดของตัวเองอยู่ตรงไหน
ดังนั้นเขาจึงเอ่ยตอบออกไปด้วยความจริงใจ “ข้าควรจะเรียกท่านว่าอย่างไร ?”
“ฉิน” ฉินเย่ตอบออกไปสั้น ๆ
“ท่านจ้าวนรกฉิน” จักรพรรดิหวูแห่งซ่งรินไวน์ให้ตัวเองและยกแก้วขึ้น “เช่นนั้น เรามาพูดกันตรง ๆ เลยดีหรือไม่ ?”
หากบอกว่าเขามีความคิดที่ไม่เหมาะสมมากมายในตอนเริ่มต้นของการเจรจา ตอนนี้พวกมันก็คงถูกปิดผนึกไว้ในส่วนที่ลึกที่สุดของจิตใจไปแล้ว
“ข้าเองก็อย่างฟังรายละเอียดเช่นกัน” ฉินเย่ยกแก้วของต้นขึ้นเล็กน้อยเป็นการตอบกลับ “ข้าเองก็เช่นกัน อยากรู้อย่างยิ่งว่าเหตุใดบุคคลเพียงคนเดียวในประวัติศาสตร์ของจีนที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่อยู่ยงคงกระพันถึงถูกส่งมาอยู่นอกถิ่นฐานของตนแบบนี้ ?”
“ส่งหรือ ?” จักรพรรดิหวูแห่งซ่งชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะเผยรอยยิ้มที่ซับซ้อนออกมา “ท่านจะเรียกมันว่าแบบนั้นก็ได้ ดูเหมือนว่าท่านอรากษสจะไม่ได้แจ้งถึงรายละเอียดที่แน่ชัดเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้ท่านฟัง แต่ในเมื่อเรามาอยู่ที่นี่แล้ว ข้าจะเล่าทุกอย่างให้ท่านฟังเอง”
“ราชาแห่งฮันยาง” อาร์ทิสเอ่ยขึ้นเสียงเย็น “นี่เจ้าพยายามจะเข้ามาแทรกแซงกิจการภายในของจีนอย่างนั้นหรือ ?”
ชายร่างผอมเพียงแย้มยิ้มบาง จากนั้น ในเสี้ยววินาทีต่อมา สายลมรุนแรงก็พัดเข้ามา เสียงฟ้าร้องดังกึกก้อง และแก้วไวน์ก็พุ่งเข้าหาอาร์ทิสราวกับอุกกาบาต รูม่านตาของอาร์ทิสหดตัวลงขณะที่เส้นผมของนางเริ่มสยายไปในอากาศ พร้อมกับเสียงตะโกนที่โกรธเกรี้ยว นางสะบัดแขนเสื้อไปมา สะท้อนแก้วไวน์ทั้งหมดให้กระเด็นออกมาหลายเมตร ราวกับกระสุนที่ถูกยิงออกมา มันพุ่งทะลุเสาที่อยู่ถัดจากนางจนเกิดเป็นรูขนาดใหญ่
ฉินเย่ตกตะลึงจนหัวใจหยุดเต้นไปชั่วขณะ อาร์ทิสได้ก้าวถอยหลังไปก้าวหนึ่งจากการปะทะนี้ แต่จักรพรรดิหวูแห่งซ่งกลับไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย
“นี่คือการพูดคุยระหว่างจักรพรรดิ มันใช่หน้าที่ของเจ้าที่ต้องเข้ามาแทรกเช่นนั้นหรือ ?” จักรพรรดิหวูแห่งซ่งเอ่ยเสียงเย็น “หากไม่ใช่เพราะข้อเท็จจริงที่เราเคยเป็นคนรู้จักและเพื่อนร่วมงานกัน เจ้าก็คงจะตายไปแล้ว !”
“เจ้าไม่ได้มองข้าในฐานะตุลาการนรกตนหนึ่งเลยสินะ… ?” ผมเผ้าของอาร์ทิสสยายไปในอากาศราวกับงูพิษที่น่ากลัว “เจ้าอาจจะเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่ตุลาการนรก แต่ข้าเองก็ได้อันดับที่ 42 ของผู้ที่ได้รับความเคารพมากที่สุดหมู่ตุลาการนรกทั้งหมดเช่นกัน ว่าอย่างไร ? เจ้าอยากจะสู้กับข้าจริง ๆ สินะ ?”
“อรากษส” ฉินเย่เอ่ยขึ้นขณะที่สถานการณ์เริ่มจะบานปลาย “เจ้าออกไปก่อนเถอะ ข้าขอคุยกับราชาแห่งฮันยางตามลำพัง”
อาร์ทิสไม่ได้โต้แย้งอะไรออกมา กลับกัน นางเพียงโค้งคำนับและจากไป
หลังจากนั้น ผู้ที่ยังคงนั่งอยู่ในโถงก็มีเพียงฉินเย่และชายร่างผอมเท่านั้น อีกฝ่ายถือแก้วไวน์ของตนและมองออกไปด้านนอกจากเหม่อลอย ราวกับกำลังหวนนึกถึงความทรงจำในอดีต หลังจากผ่านไปสักพักใหญ่ เขาก็เอ่ยขึ้นมาในที่สุด “จ้าวนรกฉิน ท่านรู้หรือไม่ว่าข้าไม่ได้เป็นขั้นตุลาการนรกเพียงตนเดียวที่ไม่ได้ถูกพาไปสวรรค์พร้อมกับพระกษิติครรภโพธิสัตว์ ?”
ดวงตาของเด็กหนุ่มหรี่ลงในทันที แต่ถึงกระนั้น น้ำเสียงที่เอ่ยตอบออกไปยังคงราบเรียบดังเดิม “ข้าไม่รู้”
“ข้าเพิ่งได้รับการแต่งตั้งเมื่อไม่นานมานี้เท่านั้น และมันก็ยังมีอะไรอีกหลายอย่างที่ข้าจะต้องเรียนรู้”
จักรพรรดิหวูแห่งซ่งพยักหน้า “มันก็ควรจะเป็นเช่นนั้น ตอนนี้ท่านมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องทำ เพราะฉะนั้นมันคือเมื่อใดกันล่ะที่ท่านจะรับได้รู้เรื่องเหล่านี้ ? แต่… ท่านรู้หรือไม่ว่าเหตุใดพวกเราจึงถึงไม่ได้รับผลกระทบนั้นด้วย ?”
โดยไม่เว้นช่วง เขาลุกยืนขึ้นและเดินไปหาฉินเย่อย่างช้า ๆ สบตากับเด็กหนุ่มอย่างไม่ลดละ “ท่านคงจะรู้แล้วว่าครั้งหนึ่งยมโลกของจีนเคยเป็นยมโลกที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก”
“แม้แต่เฮดีสและอานูบิสก็ไม่กล้าก่อกรกับยมโลก” เขายืดหลังตรงและเอ่ยต่อด้วยความรู้สึกมากมาย “ในตอนนั้น… วลี ‘ด้วยคำพิพากษาจากนรก เหล่าวิญญาณทั้งปวงจงสูญสิ้น !’ คือวลีที่สร้างความหวาดกลัวให้กับทุกผู้ทุกตนที่อยู่โดยรอบ การประชุมสภาโลกใต้พิภพระดับโลกทั้งหมดจะถูกจัดขึ้นภายใต้อาณาเขตและเงื่อนไขของเรา มันเป็นยุคสมัยแห่งความรุ่งโรจน์และน่าเกรงขาม…”
“และนั่นก็เป็นตอนที่จีนเริ่มเข้ายึดครองดินแดนที่ไร้ผู้ปกครองด้วยเช่นกัน”
ฉินเย่ขมวดคิ้ว “ดินแดนที่ไร้ผู้ปกครอง ?”
จักรพรรดิหวูแห่งซ่งหมุนแก้วไวน์ในมือของตนเบา ๆ “ใช่แล้ว เงื่อนไขสำหรับการคงอยู่ของยมโลกนั้นค่อนข้างเข้มงวด ประการแรก มันจะต้องถูกสร้างขึ้นในประเทศของตนเอง พรมแดนของประเทศจะถือว่าเป็นพรมแดนของยมโลกด้วยเช่นกัน นั่นคือกฎเหล็กประการแรก”
“และเงื่อนไขประการที่สอง…” เขาก้มหน้าลงและแย้มยิ้มบางๆ “ก็คือความเชื่อ”
“ในกรณีนี้ มันจำเป็นจะต้องการความเชื่อโดยสมบูรณ์ ไม่ว่าจากตำนานหรือหลักศาสนา เพราะท้ายที่สุดแล้ว เมื่อมีความเชื่ออยู่บนโลกเท่านั้นที่ลำดับขั้นของเทพในยมโลกถูกสร้างขึ้นและสามารถดำรงอยู่ต่อไปได้ และนั่นก็เป็นตอนที่ยมโลกได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการจากสวรรค์”
“แต่ในแดนมนุษย์… มันมีกี่ชาติกันที่ไม่ได้มีแนวความเชื่อเหล่านี้ ?”
ฉินเย่ก้มหน้าลงและมองดูของเหลวสีใสในแก้วของตน คำพูดของวิญญาณตรงหน้ามีความหมายแฝงอยู่ และฉินเย่ก็วิเคราะห์ถึงความหมายที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อทันที
มีเพียงชุดศาสนาและตำนานที่สมบูรณ์เท่านั้นที่จะสามารถบรรลุเงื่อนไขของยมโลกได้ เขาไม่รู้ถึงจำนวนที่แน่นอนของความเชื่อที่มีคุณสมบัติเพียงพอพวกนี้ แต่มันจะต้องไม่มากไปกว่าจำนวนประเทศที่มีอยู่ทั้งหมดเป็นแน่ !
และในเมื่อมันเป็นเช่นนั้น ประเทศที่ไม่ได้มีความเชื่อที่สมบูรณ์พวกนี้ก็จะมียมโลกที่ไร้ผู้ปกครอง !
ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดจักรพรรดิหวู่แห่งซ่งถึงสามารถรอดมาจากการล่มสลายครั้งใหญ่ของยมโลก !!
จักรพรรดิหวู่แห่งซ่งเอ่ยต่อ “ตะวันตกเป็นของเฮดีสและอานูบิส ในขณะที่ตะวันออก… ส่วนใหญ่ล้วนเป็นของแผ่นดินจีนและฮินดูสถาน ! หากพูดกันอย่างเฉพาะเจาะจง อิทธิพลของจีนในพื้นที่แถบนี้นั้นยิ่งใหญ่จนบดบังความสำเร็จของฮินดูสถานอย่างสิ้นเชิง !”
“นับแต่โบราณกาล ฮินดูสถานไม่เคยมียุคสมัยแห่งความรุ่งโรจน์ที่ใกล้เคียงกับสิ่งที่พวกเราได้ประสบเลยแม้แต่ครั้งเดียว ณ จุดที่สูงที่สุดของเรา พวกเรามีรัฐบริวารอยู่ทั่วทุกที่ และนี่ก็อาจถือได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งในอาณาเขตของเรา อย่างน้อยที่สุด เราก็ได้รับดวงวิญญาณจากสถานที่เหล่านั้น”
“ยิ่งอาณาเขตเหล่านี้เพิ่มมากขึ้น จำนวนเจ้าหน้าที่ที่จะต้องใช้ในการจัดการสถานที่เหล่านี้ก็เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน ด้วยเหตุนั้น…” เขาชี้เข้าที่ตนเอง “ราชาแห่งรัฐบริวาร หรือที่รู้จักกันในชื่อข้าราชการศักดินาจึงถือกำเนิดขึ้น”
เป็นอย่างที่คิด
ฉินเย่ถอนหายใจออกมา
มันเป็นอย่างที่เขาคิดไม่มีผิด หากพูดกันตามตรง มันค่อนข้างคล้ายกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในแดนมนุษย์ในตอนนี้
กองกำลังรักษาความสงบ ทหารรักษาการณ์ในประเทศต่าง ๆ … ทุกอย่างเหมือนกันกับแผ่นดินจีนเมื่อพันปีก่อน ตราบใดที่ผู้นำของกองทหารรักษาการณ์เหล่านี้ไม่ได้อยู่ภายในพรมแดนของชาติ พวกเขาก็ย่อมถูกตัดออกจากขอบเขตของพลังของพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์เป็นธรรมดา
และหากเป็นเช่นนั้น…
ตอนนี้มันยังเหลือกองทหารรักษาการณ์อยู่อีกมากมายแค่ไหนกัน ?
ฉินเย่แทบจะอดใจรอไม่ไหวที่จะกลับไปยังยมโลกแห่งเก่าและตรวจสอบบันทึกของมัน ! เขาอดใจแทบไม่ไหวที่จะถามอาร์ทิสถึงจำนวนของเหล่ากองทหารรักษาการณ์ของยมโลกที่ประจำการอยู่ต่างประเทศ และยังตำแหน่งที่แน่นอนของพวกเขา !
การป้องกันนั้นเป็นสิ่งสำคัญ แต่นั่นก็เป็นเพียงด้านหนึ่งของเหรียญเท่านั้น ในอีกด้านหนึ่ง… ฉินเย่ไม่เชื่อว่ามันจะไม่มีกองทหารรักษาการณ์วิญญาณกองใดที่อยู่ในต่างประเทศจะไม่อุทิศตนและจงรักภักดีต่อยมโลก !
เพราะไม่ว่าอย่างไรแล้ว เหล่าผู้ที่ถูกส่งไปประจำการที่ต่างแดนทั้งหมดต่างก็เป็นกลุ่มคนในอดีต และพวกเขาก็เป็นที่รู้จักในเรื่องของความซื่อสัตย์ ความกตัญญู และสติปัญญา ! จักรพรรดิหวู่แห่งซ่งอาจจะมีความคิดนี้เพราะว่าเขาเคยเป็นจักรพรรดิในยุคสมัยของตนแต่ แต่ถึงอย่างนั้น… วิญญาณตนอื่น ๆ อาจจะไม่เหมือนกัน !
นอกจากนี้ วิญญาณที่มีคุณสมบัติพอที่จะถูกส่งไปประจำการที่ต่างแดนจะต้องเป็นเหล่าคนดังในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่อย่างแน่นอน !
เปลวไฟของประวัติศาสตร์ไม่เคยดับไปโดยสมบูรณ์ ! หากเขาสามารถระบุตำแหน่งของกองกำลังทหารรักษาการณ์เหล่านี้ได้ เขาก็มีแนวโน้มที่จะได้แม่ทัพผู้มีชื่อเสียงมาสักตน !
อาร์ทิส โอ้ อาร์ทิส… ท่านนี่ช่างโง่เขลายิ่งนัก… ความฉลาดทางด้านสติปัญญาของท่านลดลงอย่างมากตั้งแต่ที่ท่านได้สัมผัสกับโลกแห่งอินเทอร์เน็ต
เด็กหนุ่มข่มความรู้สึกมากมายภายในใจของตนและเอ่ยเสียงเรียบ “เกี่ยวกับเรื่องนี้… ข้าราชการศักดินาที่ท่านว่า เงื่อนไขในการคัดเลือกสำหรับการไปประจำการในต่างถิ่นคืออะไร ?”
จักรพรรดิหวู่แห่งซ่งไม่รับรู้ถึงความคิดของฉินเย่เลยแม้แต่น้อย มุมมองของเขาในการถูกส่งตัวนั้นแตกต่างจากข้าราชการศักดินาตนอื่น ๆ ที่ถูกส่งไปยังต่างแดนอย่างสิ้นเชิง เขาถูกส่งมาในฐานะของจักรพรรดิ งานที่มอบหมายให้กับตุลาการนรกที่แข็งแกร่งที่สุดในเวลานั้นเท่านั้น นอกจากนี้ เขายังถูกส่งมายังฮันยางที่อยู่ไม่ไกล ไม่เหมือนกับข้าราชการศักดินาตนอื่น ๆ ดังนั้นเขาจะไปรับรู้ถึงสิ่งที่ฉินเย่กำลังคิดอยู่ได้อย่างไร ?
ชายร่างผอมครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ข้าจำได้ว่ามีเพียงผู้ที่รับตำแหน่งครบ 500 ปีที่มีผลคะแนนทางการเมืองมากกว่า 80% ขึ้นไปเท่านั้นถึงจะมีคุณสมบัติพอที่จะได้รับเลือกให้ทำหน้าที่นี้ นอกจากนี้ ผู้สมัครทั้งหมดจะต้องมีความรอบรู้ในด้านของการเมืองและการทหารอีกด้วย”
หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ… พวกเขาจะต้องเป็นหนึ่งในผู้ที่มีชื่อเสียงในยุคสมัยของตนเอง !
ภายในใจของฉินเย่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น “ข้าเข้าใจแล้ว ถ้าเช่นนั้น ราชาแห่งฮันยาง… ท่านต้องการที่จะตัดขาดจากโลกใต้พิภพแห่งแผนดินจีนหรือไม่ ?”
“มังกรจะไม่สามารถแสดงความสง่างามอันยิ่งใหญ่ของมันได้หากถูกกักขังอยู่ในแม่น้ำตื้น…” จักรพรรดิหวู่แห่งซ่งหันหลังและเดินกลับไปที่บัลลังก์ของตนเอง จากนั้นจึงจ้องมองฉินเย่ด้วยสายตาจริงจังอีกครั้ง “ข้าจะไม่พูดให้มากความ ข้าต้องการให้ท่านร่างข้อตกลงสำหรับการปล่อยตัวราชาแห่งฮันยางจากยมโลกของแผ่นดินจีน และข้าก็ต้องการลบชื่อของตัวเองออกจากบันทึกนรกด้วย หลังจากนั้นพวกเราก็จะเลิกยุ่งเกี่ยวกันโดยสิ้นเชิง จ้าวนรกฉิน ท่านจะว่าอย่างไร ?”
น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาสั่นเทาเล็กน้อย นี่คือความปรารถนาตลอดหลายพันปีของเขา และในที่สุดเขาก็ได้รับโอกาสที่ชีวิตหนึ่งจะมีสักครั้ง !
“แน่นอน” ฉินเย่เอ่ยตอบออกไปอย่างไม่ลังเล
จักรพรรดิหวู่แห่งซ่งตกตะลึงกับคำตอบของอีกฝ่าย เขาไม่คิดเลยว่าฉินเย่จะยอมตกลงกับคำขอของเขาเร็วขนาดนี้
ความรู้สึกตื่นเต้นเกาะกุมหัวใจ เขาเลียริมฝีปากของตัวเองด้วยความรู้สึกที่ท่วมท้น “ท่านจะกลับคำไม่ได้เด็ดขาด”
“ไม่แม้แต่น้อย” ฉินเย่ยังคงสบตากับอีกฝ่ายอย่างไม่ลดละ จากนั้นขณะที่จักรพรรดิหวู่แห่งซ่งกำลังจะตบโต๊ะและลุกขึ้นยืน ฉินเย่ก็เอ่ยขึ้นว่า “แต่ข้ามีเงื่อนไขอยู่บางประการ”
ทั่วทั้งโถงเย็นยะเยือกลงทันที
เด็กหนุ่มยังสัมผัสได้ถึงจิตสังหารที่พุ่งมาที่ตนอีกด้วย
“เหตุใดจึงรีบร้อนนัก ?” ฉินเย่ยกแก้วไวน์ของตนและแย้มยิ้ม “นี่คือขีดจำกัดทางความอดทนของชายผู้ครั้งหนึ่งถูกเรียกว่าผู้ที่อยู่ยงคงกระพันอย่างนั้นหรือ ?”
“หรือ… ท่านคิดว่าข้าจงใจทำให้เรื่องมันยุ่งยากขึ้นหลังจากที่ได้เอ่ยให้คำมั่นออกไปแล้ว ?”
ฉินเย่จิบไวน์ในแก้วของตนและฉีกยิ้มกว้าง “ไม่ต้องห่วง… มันจะเป็นประโยชน์สำหรับเราทั้งสองฝ่าย… เป็นประโยชน์อย่างมากเลยล่ะ”