ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 281: หงายการ์ด
บทที่ 281: หงายการ์ด
เครื่องบินลำใหญ่บินผ่านท้องฟ้า ข้ามเมืองตงไห่ มณฑลเจียงอัน และไม่นานก็มาถึงสถานบินที่เมืองไดซาน ที่ซึ่งพวกเขาต้องเปลี่ยนเป็นเที่ยวบินในประเทศต่อ ภายในไม่กี่ชั่วโมง ฉินเย่และเพื่อนของเขาก็พบว่าตัวเองกลับมายืนอยู่ที่หน้าสำนักฝึกตนแห่งแรกอีกครั้ง
สำนักฝึกตนแห่งแรกยังคงเหมือนเดิม มันเงียบและสงบสุข หากมีใครมองจากภายนอก พวกเขาคงไม่สามารถบอกได้ว่าที่นี่คือหัวใจของโลกแห่งการบ่มเพาะของจีน วันหยุดภาคฤดูร้อนได้เริ่มขึ้นแล้ว และพวกเขาก็เห็นผู้คนมากมายถือกรงสัตว์เลี้ยงขนาดเล็กเดินไปมาหรือไม่ก็ยืนอยู่บนสเกตบอร์ดของตัวเอง มันดูไม่ต่างอะไรกับมหาวิทยาลัยอื่น ๆ เลยสักนิด
มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ลืมง่าย
เมื่อครึ่งปีที่แล้ว เชาโยวเต๋าได้สร้างคลื่นลูกใหญ่ไปทั่วทั้งเมืองเป่าอัน แต่ตอนนี้ทุกคนต่างให้ความสนใจเกี่ยวกับเรื่องของตัวเองราวกับมันเป็นอดีตที่ผ่านมายาวนานมากแล้ว ฉินเย่รู้ดีว่าสาเหตุที่สำนักฝึกตนแห่งแรกตัดสินใจเปิดมหาวิทยาลัยในช่วงวันหยุดภาคฤดูร้อนก็เพื่อที่ประชาชนของเมืองเป่าอันจะได้ใกล้ชิดกับเหล่าผู้ฝึกตนและมีปฏิสัมพันธ์กับพวกเขามากขึ้น เพราะอย่างไรแล้ว มันก็เป็นหนึ่งในจุดประสงค์ของโลกแห่งการบ่มเพาะอยู่แล้วที่จะทำให้การดำรงอยู่ของเหล่าผู้ฝึกตนนั้นเป็นปกติ และไม่ทำให้พวกเขาได้รับการปฏิบัติราวกับเป็นตำนานหรือปีศาจ
แต่สิ่งที่ทำให้ที่นี่แตกต่างไปจากมหาวิทยาลัยอื่น ๆ เล็กน้อยก็คือข้อเท็จจริงว่ามันยังมีนักเรียนจำนวนมากที่ปั่นจักรยานเข้าออกให้เห็นอยู่ในละแวกใกล้เคียง และแต่ละคนมีสัญลักษณ์เฉพาะที่แตกต่างกันออกไป
“เห้ หยุดก่อน” ซู่เฟิงโบกมือให้หนึ่งในนั้น และนักเรียนคนหนึ่งที่มีแววตาเป็นประกายก็รีบวิ่งมาหาพวกเขา “สวัสดีครับอาจารย์ !”
“พวกคุณไม่กลับบ้านกันหรือไง ?” ซู่เฟิงถามออกไปด้วยความสงสัย “เกิดอะไรขึ้น ?”
“อ่า คืออย่างนี้ครับ ทางสำนักแจ้งกับพวกเราว่านักเรียนทุกคนไม่ได้รับอนุญาตให้กลับบ้านในช่วงวันหยุดฤดูร้อนครับ แต่พวกเราสามารถลงชื่อและเข้าฝึกงานกับหน่วยงานผู้ฝึกตนในเมืองเป่าอันได้ ตลอดหกเดือนที่ผ่านมามีหน่วยงานผู้ฝึกตนเกือบ 400 หน่วยงานที่ได้ประจำการอยู่ในเมืองเป่าอัน พวกเขาทั้งหมดปักหลักอยู่ที่เขตฝึกตนแห่งใหม่ทางตะวันตกของเมือง พวกคุณจะลองไปดูก็ได้นะครับ”
อย่างนี้นี่เอง อาจารย์ผู้สอนทั้งสามกลับเข้าไปในสำนัก โทรหาหลี่เทา โจวเซียนหลง และเถาหรานเพื่อรายงานว่าตนกลับมาแล้ว จากนั้นจึงแยกย้ายกันกลับไปที่ห้องของตนเพื่อฝึกฝน
ฉินเย่เอนหลังนอนลงบนเตียง ยังคงรู้สึกเจ็บและเหน็ดเหนื่อยจากการนั่งเครื่องมาเป็นเวลานาน จากนั้นจึงหยิบโทรศัพท์ของตนออกมาและกดเข้าไปในแอป ‘สังหาร’ ที่ซึ่งเขาสามารถติดตามความเคลื่อนไหวล่าสุดในโลกแห่งการบ่มเพาะได้ มันไม่ได้ข่าวอะไรมากนัก อันที่จริง ข่าวเกี่ยวกับเมืองเป่าอันลดลงมาก และมันก็มีเพียงกล่มวิจัยของพวกเขาที่ยังคงสร้างกระแสไปทั่วทั้งโลกแห่งการบ่มเพาะ
“อาจารย์ผู้สอนของสำนักฝึกตนแห่งแรก ฉินเย่ ซู่เฟิง และหลินฮั่น ได้รับเชิญไปที่ตงไห่เพื่อเข้าร่วมการแลกเปลี่ยนทางวิชาการเพื่อหารือเกี่ยวกับงานวิจัยของพวกเขาในหัวข้อการวิวัฒนาการและพัฒนาการของวิญญาณ ท่านสามารถรับชมวิดีโอเต็มได้ด้านล่างนี้ ไม่อนุญาตให้นำไปใช้ในเชิงพาณิชย์”
“สถาบันวิจัยที่ใหญ่ที่สุดทั้งสิบแห่งในจีนตั้งใจที่จะจัดตั้งฐานวิจัยของตนขึ้นที่เมืองเป่าอัน”
“ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการค้นพบของศูนย์วิจัย SRC เกี่ยวกับการวิวัฒนาการและพัฒนาการของวิญญาณสามารถอ่านเพิ่มเติมได้ด้านล่าง…”
บทความสุดท้ายคงจะเป็นฝีมือของหลี่เทา
หลังจากนั้นไม่นานก็เป็นเวลาหกโมงเย็น ท้องของเด็กหนุ่มเริ่มจะส่งเสียงประท้วงออกมาเมื่อแววตาของเขาวูบไหวเล็กน้อย
ตอนนี้เป็นเดือนกรกฎาคม อากาศไม่ได้ถือว่าร้อนที่สุด และสายลมในช่วงต้นฤดูร้อนก็ยังค่อนข้างเย็นสบาย แต่ถึงกระนั้น แม้จะมีลมพัดเบา ๆ บานหน้าต่างทั้งหมดกลับปิดลงพร้อมกัน ตามมาด้วยไฟในห้องที่เริ่มติด ๆ ดับ ๆ ก่อนจะดับไปอย่างสมบูรณ์ จากนั้น ราวกับความมืดเข้าปกคลุมทั่วทั้งห้อง ลูกไฟนรกจำนวนมากปรากฏขึ้นโดยรอบ
มันแทบจะเหมือนกับว่าเขาถูกเคลื่อนย้ายมายังสุสานที่มืดสนิท และถูกห้อมล้อมด้วยวิญญาณร้ายจำนวนมากภายในชั่วพริบตา
จากนั้น กลุ่มควันสีดำก็เริ่มปรากฏขึ้น และกลิ่นเหม็นไหม้ก็คละคลุ้งไปในอากาศ ฉินเย่ปิดโทรศัทพ์ของตนเงียบ ๆ ทว่าก่อนที่เขาจะได้ลุกขึ้นนั่ง ใบมีดสีขาวเงินก็ฟันลงมาที่หัวกะโหลกของเขา !
แต่เด็กหนุ่มกลับไม่ขยับไปไหนเลยแม้แต่น้อย
อาร์ทิสกำลังนั่งเล่นเกมอยู่ข้าง ๆ ฉินเย่มาตลอด และนางก็ไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมาจากหน้าจอ แม้ว่าประกายแสงจากใบมีดจะตวัดผ่านเส้นผมของนางและทำให้กระจายไปทั่วก็ตาม
ชิ้ง ! แสงของคมมีดนั้นขาวราวหิมะ และในชั่วพริบตา ดาบคาตานะสามเล่มก็จ่ออยู่ที่อกของฉินเย่ ตามมาด้วยร่างสีดำสามร่างที่ยืนอยู่รอบเตียง
มุไร ซาดาคัตสึ โมริรันมารุ… และผู้ที่อยู่ตรงกลางจะเป็นผู้ใดไปไม่ได้นอกจากโอดะโนบูนางะ
พวกเขาไม่ได้ดูเหมือนกับวิญญาณร้ายที่ปรากฏตัวขึ้นในการต่อสู้ที่ช่องแคบสึชิมะอีกต่อไป แต่ละตนได้เปลี่ยนกลับไปอยู่ในรูปลักษณ์เดิมของตนในขณะที่ยังมีชีวิต นอกเหนือจากเปลวไฟนรกที่ลุกโชนอยู่ในดวงตา มันก็แทบจะไม่สามารถบอกได้เลยว่าพวกเขาคือวิญญาณร้าย
“ท่านโนบูนางะ นี่มันหมายความว่าอย่างไร ?” ฉินเย่ถอนหายใจออกมาเบา ๆ เขารู้ว่ามันเป็นเพียงเรื่องของเวลาเท่านั้นก่อนที่เรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้น
จากการคาดเดาของเขา มันคงใช้เวลาไม่ถึงอาทิตย์ก่อนที่อีกฝ่ายจะสังเกตเห็นถึงสิ่งผิดปกติ
….ทำไมผู้ส่งสารของท่านเปาถึงต้องบินกลับมาที่เมืองเป่าอันด้วยเครื่องบิน ? จากนั้นจึงนั่งรถมาที่จุดหมายปลายทางอีก ?
ทำไมเขาถึงไม่ใช่การเคลื่อนไหวอย่างวิญญาณแทนที่การขนส่งที่มีประสิทธิภาพน้อยกว่าของแดนมนุษย์ ?
ยิ่งกว่านั้น ตลอดทางที่ผ่านมาเขายังไม่เจอยมทูตตนอื่น ๆ เลยแม้แต่น้อย ไม่มีกองกำลังของนรกปรากฏตัวขึ้นระหว่างทางหรือมีการยืนยันตัวตน ทั้งหมดนี้ชี้ให้เห็นถึงความผิดปกติ ข้อเท็จจริงที่ว่าเขาสามารถทนได้จนถึงตอนนี้โดยไม่ถามอะไรออกมาก็ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าชื่นชมมากพอแล้ว
ฟึ่บ… ดาบคาตานะของโนบูนางะแผ่รัศมีเย็นยะเยือกออกมา มันลอยอยู่เหนืออกของเด็กหนุ่มอย่างน่าหวาดเสียวขณะที่โนบูนางะเอ่ยเสียงเรียบ “ขอเหตุผลดี ๆ สักข้อที่ข้าไม่ควรฆ่าเจ้าในตอนนี้”
ฉินเย่แย้มยิ้มขณะที่ผลักดาบคาตานะออกไปด้วยนิ้วของตน “ท่านไม่ได้มีเจตนาที่จะฆ่าข้าอยู่แล้วมิใช่หรือ ?”
“หืม ?”
“เพราะหากท่านต้องการที่จะเอาชีวิตข้าจริง ๆ ท่านก็คงไม่ทำมันต่อหน้าตุลาการนรกแน่ ๆ นั่นจะเป็นการกระทำที่โง่เขลาเกินไป นางสามารถสังหารท่านและกองกำลังที่เหลืออยู่ของท่านทั้งหมดได้อย่างง่ายดาย แต่… หากพิจารณาจะสถานการณ์ทั้งหมดแล้ว ข้าพอเข้าใจได้ที่ท่านจะไม่พอใจ” ฉินเย่ลุกขึ้นยืนราวกับก่อนหน้านี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทันทีที่เขาทำเช่นนั้น โมริรันมารุและมุไร ซาดาคัตสึก็รีบถอยห่างออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน ปล่อยให้เด็กหนุ่มได้จัดแจงเสื้อผ้าของตนและอธิบาย “ข้ายังติดค้างคำอธิบายกับท่านอยู่ ตอนแรกข้าตั้งใจที่จะบอกท่านคืนนี้ตอนเที่ยงคืน แต่… ดูเหมือนว่าตอนนี้ก็เป็นเวลาที่ดีเช่นกัน”
โนบูนางะค่อย ๆ ลดดาบของตนลง เขาไล่นิ้วไปตามใบมีดเย็นขณะที่ยิ้มกริ่ม “เจ้าแน่ใจเพียงใดว่าข้าจะไม่ฆ่าเจ้า ?”
ฉินเย่หัวเราะออกมาเบา ๆ และไม่ได้ตอบคำถามของอีกฝ่ายแต่อย่างใด
โนบูนางะไม่มีที่อื่นให้ไป ดังนั้นทันทีที่เขาตกเป็นเหยื่อของความเจ้าเล่ห์ของฉินเย่ เขาก็เต้นอยู่ในมือของเด็กหนุ่มเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ไม่ว่ายมโลกแห่งใหม่จะทรุดโทรมและยากไร้สักเพียงใด มันก็เป็นเพียงความหวังเดียวของเขาในตอนนี้
ฉินเย่รู้เรื่องนี้ดี นอกจากนี้เขายังรู้ด้วยว่าตราบใดที่เขาสามารถโน้มน้าวโนบูนางะด้วยความจริงใจของตนและแสดงให้เห็นถึงโอกาสในการเจริญเติบโตของยมโลกแห่งใหม่ได้ อีกฝ่ายก็จะไม่มีทางเป็นปฏิปักษ์กับเขา หากพูดกันตามตรง โนบูนางะจะยังพยายามอย่างเต็มที่เพื่อช่วยเขาเสริมสร้างและจัดตั้งกองกำลังในยมโลกอีกด้วย
“อรากษส” ฉินเย่หันไปพยักหน้าให้กับอาร์ทิส “ไม่ใช่เจ้าพูดหรือว่าเราควรจะเดินทางกลับไปที่ยมโลกแห่งเก่า ? วันนี้เลยเป็นอย่างไร ?”
“ข้าเองก็มองไม่เห็นเหตุผลที่เราไม่ควรกลับไปยังยมโลกแห่งเก่าในวันนี้เช่นกัน” อาร์ทิสปิดแล็ปท็อปและหันไปมองโนบูนางะ “นับว่าเจ้ายังฉลาด”
“เพราะหากเจ้าหันคมดาบเข้าใกล้ฉินเย่มากกว่านี้แม้แต่นิดเดียว เจ้าคงตายไปแล้ว”
แววตาโมริรันมารุและมุไร ซาดาคัตสึลุกโชนขึ้น และทั้งคู่ก็ตั้งท่าที่จะกวัดแกว่งดาบคาตานะในมือของตนอีกครั้ง โชคดี โนบูนางะที่ยืนอยู่หน้าพวกเขาได้ห้ามทั้งสองเอาไว้ ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงยืนอยู่เงียบ ๆ ขณะเปลวไฟนรกในดวงตาลุกโชนอย่างน่าสะพรึงกลัว
“ข้าเกลียดการโกหก” โนบูนางะจ้องอาร์ทิสและเลียริมฝีปากของตน “อะซะอิ นะงะมะซะได้เคยหลอกข้า และมันก็เป็นสาเหตุให้ข้าต้องตาย หากข้ารู้ว่าท่านเองก็โกหกข้าเช่นกัน ข้าก็พร้อมที่จะเสี่ยงทุกอย่าง แม้แต่ความตายนิรันดร์”
เขามองออกไปนอกหน้าต่างและสำรวจวิทยาเขตทั้งหมด “นี่คือสิ่งที่เรียกว่าโรงเรียนเอกชนหลังจากที่ผ่านไป 400 ปีสินะ… ข้าสามารถบอกได้เลยว่าพวกท่านค่อนข้างมุ่งมั่นกับมันมากทีเดียว ข้าอยากรู้จริง ๆ ว่ามันจะเป็นอย่างไรหากข้า… สั่งให้ทหารม้าที่เหลือทั้งหมดของข้าทำลายสถานที่แห่งนี้เสีย… ?”
ร่างของอาร์ทิสยังคงนิ่งเฉย แต่ศีรษะของนางก็เอียงเป็นมุม 90 องศาอย่างทื่อ ๆ ขณะที่ยิ้มให้โนบูนางะพร้อมกับผมสีดำสนิทที่สยายอย่างบ้าคลั่ง แต่อีกฝ่ายก็เพียงยิ้มตอบกลับไปเท่านั้น
ผู้มีพรสวรรค์… ฉินเย่ถอนหายใจ บางทีผู้มีสรรค์ทุกคนอาจจะมีความสามารถในการไม่รู้สึกสะทกสะท้านใด ๆ แม้ว่าภูเขาไท่ซานจะถล่มลงมาต่อหน้าต่อตา ถึงขนาดที่ไม่แม้แต่จะหวาดกลัวเมื่อต้องเผชิญหน้ากับพลังอำนาจที่เหนือกว่าอย่างขั้นตุลาการนรก ความกล้าหาญและความบ้าบิ่นที่เขามีนั้นน่าชื่นชมจริง ๆ
แม้แต่ฉินเย่เองก็พร้อมที่จะขยายขอบเขตความอดทนให้กับผู้มีความสามารถ
“อรากษส” เขาหันไปเอ่ยกับอาร์ทิส “พวกเราทั้งหมดต่างเป็นเพื่อนร่วมงานกันในอนาคต มันไม่จำเป็นต้องทำให้เกิดความบาดหมางไปมากกว่านี้… แทนที่จะอธิบายด้วยคำพูด ข้าว่ามันจะเป็นการดีที่สุดที่จะให้ท่านโนบูนางะได้เห็นด้วยตาของเขาเอง”
อาร์ทิสที่ได้ยินเช่นนั้นก็กลับหลังหันไปพร้อมกับแค่นหัวเราะอย่างเย้ยหยัน จากนั้นจึงเริ่มทำมือเป็นสัญลักษณ์ต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว ภายในเสี้ยววินาที แรงกดดันมหาศาลก็แทรกซึมไปทั่วทั้งห้อง และรอยร้าวสีดำสนิทก็ปรากฏขึ้นในความว่างเปล่าเบื้องหน้าของพวกเขา สายลมที่เปลี่ยวเหงาและโศกเศร้าพัดโชยออกมาจากรอยแยกนั้น มันน่าขนลุกและเย็นไปตามกระดูกสันหลัง ฉินเย่เป็นคนแรกที่เดินนำเข้าไป
ภายในหัวของเขารู้สึกวิงเวียนอยู่ครู่หนึ่ง และเมื่อเขากลับมาได้สติอีกครั้ง เขาก็พบว่าสภาพแวดล้อมโดยรอบของตนได้เปลี่ยนเป็นสีดำสนิท
รอบตัวของเขามีแต่ความมืดมิดที่น่าสะพรึงกลัว ทุกอย่างดูราวกับถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาทึบ กลิ่นอายของความตายลอยฟุ้งไปในอากาศและดูใกล้กับพวกเขาอย่างไม่น่าเชื่อ ความเงียบที่น่าอึดอัดบีบคั้นจนหัวใจแทบจะหยุดเต้น …มันเหมือนลอยเคว้งอยู่ในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่
รู้สึกไม่ต่างอะไรกับการเดินผ่านสุสานที่ไร้ที่สิ้นสุดภายใต้การจับตามองของวิญญาณร้ายจำนวนนับไม่ถ้วนที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืด
“ทางหวงเฉวียน…” เขามองกลุ่มหมอกดำที่ลอยไปมาและถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน มันผ่านมาหนึ่งปีแล้วหลังจากที่เขามาที่นี่ครั้งล่าสุด ไม่คิดเลยว่าทุกอย่างจะยังเป็นเหมือนเดิม เหมือนกับครั้งที่แล้วที่เขาจากไป
ฟิ้ว~… เสียงกระซิบเบา ๆ ของสายลมดังขึ้นให้ได้ยิน ในที่สุด อาร์ทิส โนบูนางะและผู้ติดตามอีกสองตนของเขาก็ก้าวข้ามรอยแยกและมายืนอยู่ข้าง ๆ เขา
“ช่างเป็นพลังหยินที่น่ากลัวจริง ๆ…” โนบูนางะสูดหายใจเข้าช้า ๆ และหลับตาลง “แต่… มันกลับไม่มีความผันผวนเลยแม้แต่น้อย มันแทบจะเหมือนกับ… มันไม่ต่างอะไรไปจากแอ่งน้ำที่นิ่งสงบ…”
เขารีบลืมตาขึ้นและจ้องมองกลุ่มหมอกที่รายล้อมตนอย่างเหลือเชื่อ จากนั้นก็เอ่ยออกมาด้วยความตกตะลึง “หรือว่า… มีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นกับยมโลกของจีน ?!”
“!!!…”
“ไม่จริงน่า…”
โมริรันมารุและมุไร ซาดาคัตสึอุทานออกมาพร้อมกัน เท่าที่พวกเขาจำได้ ยมโลกของจีนคือโลกใต้พิภพที่แข็งแกร่งที่สุดในยุคสมัยของพวกเขา ทุกชาติต่างต้องก้มหัวให้กับธงผืนใหญ่ของยมโลก และที่นี่ยังถูกรู้จักในนามของดินแดนที่ได้รับพระพรจากเหล่าเทพอีกด้วย ! มันจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นกับโลกใต้พิภพที่แข็งแกร่งขนาดนั้นได้อย่างไรกัน ?
ฉินเย่มองพลังหยินที่ล้อมรอบตนด้วยแววตาซับซ้อน แปลก เมื่อครั้งสุดท้ายที่มาที่นี่ความรู้สึกเดียวที่เขาประสบก็คือความกังวล แต่ตอนนี้… มันกลับเจือไปด้วยความเศร้าโศกและเสียใจ…
เปลวไฟแห่งความรุ่งโรจน์ของยมโลกที่ได้ลุกโชนมาเป็นเวลากว่าหลายพันปีได้ถูกดับลงโดยการบรรลุคำมั่นสัญญาอันใหญ่หลวงของพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ ไม่ใช่ว่าพระพุทธเจ้าจะต้องไม่เห็นแก่ตัวหรอกหรือ ? หรือว่ามันเป็นเพราะ… จุดจบได้มาถึงแล้วจริง ๆ?
แต่ไม่ว่าจะในกรณีใดก็ตาม… เขาก็รู้สึกว่ามัน… เสียเปล่า…
ทันใดนั้น ลำแสงบางอย่างก็เปล่งประกายออกมาจากอกของเขา และสมุดแห่งความเป็นตายก็ลอยขึ้นไปอยู่เหนือพวกเขาราวกับตะเกียงที่ส่องแสงในค่ำคืนอันมืดมิด ประกายแสงสีขาวดำจากวัตถุศักดิ์สิทธิ์ส่องสว่างไปทั่ว กลุ่มหมอกที่ลอยอยู่ในรัศมี 50 เมตรสลายหายไปในชั่วพริบตา !
“อ่า…”
“นี่มัน…”
วี๊ดดด !! เสียงร้องที่แหลมสูงดังขึ้น ทันทีที่กลุ่มหมอกดำหายไป มันก็เผยให้เห็นร่างขนาดมหึมาจำนวนหนึ่งที่ดูเหมือนกับแมลงที่ขาอันแหลมคมของมันเจาะลงไปบนพื้นขณะที่เคลื่อนไหวไปรอบ ๆ เสียงที่ดังออกมานั้นทำให้เหล่าผู้ที่ได้ยินขนลุกไปทั่วร่าง
“หนอนวิญญาณ” อาร์ทิสเอ่ยเสียงเรียบ “พวกมันอาจจะดูตัวใหญ่ แต่อย่างมากที่สุดมันก็อยู่แค่ขั้นนักล่าวิญญาณเท่านั้น มันเป็นอสูรวิญญาณของยมโลกแห่งเก่าที่ก่อตัวขึ้นจากการรวมตัวกันของวิญญาณกว่าหมื่นตน ประสาทสัมผัสของมันไวต่อวิญญาณมาก ทันทีที่มันสัมผัสได้ถึงวิญญาณที่ปรากฏตัวอยู่เพียงลำพัง มันก็มีความเป็นไปได้สูงที่วิญญาณตนนั้นจะถูกมันกลืนกิน แต่ถึงกระนั้นมันก็ถือว่าเป็นหนึ่งในกลไกป้องกันชั้นนอกสุดของยมโลกแห่งเก่าด้วย”
ทันทีที่นางเอ่ยจบ เส้นผมสีดำสนิทของอาร์ทิสก็พุ่งเข้าไปในหมอกและลากหนอนวิญญาณที่มีความสูงหลายสิบเมตรออกมา
มันดูคล้ายกับแมงมุม เว้นแต่ตรงที่ส่วนบนของมันมีรูปร่างคล้ายกับมนุษย์ มีวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนถูกห่ออยู่ในรังไหมของมันและถูกห้อยไว้ทั่วร่าง
“เมื่อใดก็ตามที่วิญญาณต้องการที่จะเดินทางข้ามทางหวงเฉวียน หนอนวิญญาณจะเรียกชื่อพวกเขา และทันทีที่พวกเขาตอบ พวกเขาก็จะถูกดึงโดยเส้นไหมของหนอนวิญญาณและห่อตัวจนกลายเป็นรังไหม ที่ซึ่งพวกเขาจะถูกย่อยอย่างช้า ๆ ในฐานะของอาหารและจะรวมเป็นส่วนหนึ่งกับร่างของหนอนวิญญาณไปในท้ายที่สุด ในบันทึกของยมโลกแห่งเก่า มีหนอนวิญญาณที่มีความสูงถึง 52 เมตรที่เริ่มปลุกจิตสำนึกทางจิตวิญญาณของตัวเองขึ้นมา” อาร์ทิสเอ่ยเสียงต่ำ “ในกรณีนี้ เราสามารถทำได้แค่ทำลายมันให้สิ้นซาก หรือเคลื่อนย้ายและพาพวกมันไปยังยมโลกแห่งใหม่ ที่ ๆ เรายืนอยู่ในตอนนี้อยู่ห่างจากพรมแดนระหว่างหยินและหยางอีกเพียงแค่ร้อยเมตรเท่านั้น มันจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ได้หากสิ่งมีชีวิตเหล่านี้สามารถหลบหนีออกไปจากยมโลกและหลุดไปในแดนมนุษย์…”
ทันใดนั้นเอง ฉินเย่ก็ยกมือขึ้นขัดจังหวะการพูดของอีกฝ่ายขณะที่เดินเข้าไปใกล้หนอนวิญญาณด้วยสีหน้าประหลาดใจ “หนอนวิญญาณพวกนี้… กินกันเองบ้างไหม ?”
“ไม่… เหตุใดจึงถามเช่นนั้น ?” อาร์ทิสค่อนข้างมึนงงกับคำถามของอีกฝ่าย
ฉินเย่อ้าปากค้างและมองไปรอบๆอย่างระแวดระวัง “เช่นนั้น บอกข้าที… ว่าครึ่งล่างของร่างของมันหายไปไหน ?”
“มี… คนอื่นอยู่ที่นี่อย่างนั้นหรือ ?”