ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 282: หวนคืนสู่ยมโลกแห่งเก่า (1)
บทที่ 282: หวนคืนสู่ยมโลกแห่งเก่า (1)
อาร์ทิสที่ได้ยินเช่นนั้นก็ชะงักไปก่อนจะหันไปมองร่างครึ่งล่างของหนอนวิญญาณ
ครึ่งล่างของร่างกายที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกดำ… หายไปจริง ๆ!
หรือหากจะพูดให้ถูกก็คือ… ร่างครึ่งล่างของมันถูกอะไรบางอย่างกัดกินไปและมีเพียงครึ่งบนเท่านั้นที่เหลืออยู่ !
พรึ่บ ! โนบูนางะ มุไร ซาดาคัตสึและโมริรันมารุรีบยืนหลังชนกันทันที ดาบคาตานะถูกชักออกมาจากฝักขณะที่มองไปยังความมืดที่อยู่รอบ ๆ ตนด้วยสายตาระแวดระวัง
มีอะไรบางอย่างอยู่ที่นี่…
มีตัวตนที่พวกเขาไม่รู้จักซ่อนตัวอยู่ในความมืด กัดกินหนอนวิญญาณที่มีขนาดตัวเท่าภูเขา
ฉินเย่กลืนน้ำลอยอย่างเป็นกังวล พลังหยินที่หนาแน่นห่อหุ้มรอบร่างของเขาและเปลี่ยนไปอยู่ในสถานะยมทูต พร้อมด้วยไม้ขกสังปั๊งในอ้อมแขน เขาดึงร่างส่วนที่เหลือของหนอนวิญญาณเข้ามาใกล้ ๆ และสังเกตมันอย่างละเอียด
“มันไม่ได้ถูกกัดในคำเดียว…” เขามองกลับไปในความมืด หมอกดำที่ก่อตัวอยู่รอบๆ “แต่… มันดูเหมือนถูกแทะโดยมดและหนูจำนวนมาก ร่างส่วนที่เหลืออยู่ของมันมีรอยกัดจำนวนมาก”
ราวกับเสียงครวญครางที่เงียบงัน หมอกสีดำที่ลอยอยู่รอบ ๆ ทำให้พวกเขาทั้งหมดขนลุกไปทั่วร่าง
สุดท้าย หลังจากผ่านไปพักใหญ่ อาร์ทิสก็เอ่ยขึ้นอีกครั้งด้วยเสียงทุ้มต่ำ “อย่างไรก็ตาม พวกเราควรมุ่งหน้าไปที่นรกแห่งเก่ากันก่อน แล้วตรวจสอบกันว่ามันเกิดอะไรขึ้นที่นี่ ด้วยการเปิดเส้นทางของสมุดแห่งความเป็นตาย สิ่งมีชีวิตที่อยู่ต่ำกว่าขั้นพระยมจะไม่มีทางกล้าเฉียดเข้ามาใกล้ พวกเราจะปล่อยภัยแน่นอน นอกจากนี้… แม้แต่ข้าเองก็ไม่สามารถมองทะลุหมอกนี้เพื่อดูว่ามีสิ่งใดซ่อนอยู่ได้”
ไม่มีใครคัดค้านอะไร
พวกเขาเคลื่อนไหวด้วยความระมัดระวังมากขึ้น ดวงตาของโนบูนางะหรี่ลง นรก ‘แห่งเก่า’ หรือ ? ดูเหมือนว่าจะมีเรื่องอะไรบางอย่างเกิดขึ้นกับยมโลกจริง ๆ สินะ…
มือของเขายังคงกำด้ามดาบคาตานะของตนแน่น
มันรู้สึกราวกับว่ามีอะไรบางอย่างกำลังจ้องมองมาที่พวกเขาจากส่วนลึกของหมอกดำพวกนี้ นี่คือสิ่งที่พวกเขาทุกตนสัมผัสได้ แต่ทั้งหมดก็รู้ดีว่าไม่ควรเอ่ยมันออกมา หากพูดกันตามตรง… พวกเขายังสามารถบอกได้ด้วยว่ามันไม่ได้มีเพียงแค่ตัวตนเดียว แต่มันมีเป็นกลุ่ม
ความรู้สึกของการถูกจับตามองอยู่ในความมืดนั้นน่าอึดอัดและบีบคั้นเป็นอย่างมาก
ความกลัวในสิ่งที่ไม่รู้นั้นคือสิ่งที่น่ากลัวที่สุด
ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว พวกเขาทำเพียงเดินตามฉินเย่และมุ่งหน้าเข้าไปยังนรกแห่งเก่า สมุดแห่งความเป็นตายได้เปิดเส้นทางให้พวกเขา แยกหมอกที่หนาทึบตรงหน้าและสร้างทางเดินยาวออกไปอีกหลายเมตร สิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่รีบถอยห่างจากทางเดินนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจุดที่แสงของสมุดแห่งความเป็นตายปะทะเข้ากับความมืดของหมอก ขณะที่พวกมันถดถอยไป มันก็เปล่งเสียงคำรามที่ไม่ต่างอะไรกับเสียงฟ้าร้องออกมา ยิ่งกว่านั้น เสียงพวกนี้ยังสอดประสานมากับเสียงกรอบแกรบเบา ๆ อีกด้วย
หลังจากเดินมาเป็นระยะเวลาหนึ่ง พวกเขาก็มาถึงปลายสุดของถนน ที่ซึ่งเงาที่สูงตระหง่านปรากฏขึ้น เปลวไฟนรกจำนวนนับไม่ถ้วนลุกโชนอยู่รอบ ๆ สีเขียว ขาว ดำ แดง… มันเป็นภาพที่เย็นยะเยือกทว่าสวยงามและน่าเศร้ายิ่งนัก
“นี่คือประตูนรก” อาร์ทิสเอ่ย
“เหตุใดครั้งที่แล้วข้าจึงไม่เห็นมัน ?” ฉินเย่ถามอย่างมึนงง
“นั่นเป็นเรื่องปกติ ประตูนรกเป็นที่รู้จักในฐานะของเขตต้องห้ามสำหรับคนเป็น แต่มันกลายเป็นดินแดนของคนตายในตอนหลัง ทันทีที่เจ้าก้าวเท้าเข้าไปในดินแดนแห่งความตาย เจ้าจะไม่สามารถกลับไปยังแดนมนุษย์ได้อีกเลย ผลที่ตามมานี้ไม่เหมือนกับเขตหวงห้ามสำหรับคนเป็น ที่ซึ่งการบุกรุกไม่ได้หมายความว่าไม่สามารถย้อนกลับได้ ในกรณีนี้ เจ้าสามารถคิดว่าดินแดนสำหรับคนตายเป็นพื้นที่ซึ่งอยู่ระดับเหนือกว่าเขตหวงห้ามสำหรับคนเป็นก็ได้”
“ความผิดพลาดจากการเก็บเกี่ยวดวงวิญญาณก่อนถึงเวลาอันควรสามารถแก้ไขได้ในขณะที่วิญญาณดวงนั้นยังอยู่ในเขตหวงห้ามสำหรับคนเป็น เหล่าคนที่อยู่ในแดนมนุษย์ที่ต้องการจะอัญเชิญวิญญาณเองก็สามารถทำได้ในขณะที่วิญญาณนั้นอยู่ในเขตหวงห้ามสำหรับคนเป็นเช่นกัน ความยาวทั้งหมดของทางหวงเฉวียนคือ 400 กิโลเมตร วิญญาณทั่วไปจะใช้เวลาทั้งสิ้นเจ็ดวันเพื่อสิ้นสุดการเดินทาง แดนมนุษย์รู้จักมันในชื่อของ ‘เจ็ดวันรอบแรก’ [1] วิญญาณของผู้เสียชีวิตจะสามารถถูกเรียกกลับไปยังแดนมนุษย์ได้ในช่วงเวลาเจ็ดวันแรกเท่านั้น เจ้าสามารถคิดว่านี่เป็นเขตกันชนแดนระหว่างยมโลกและแดนมนุษย์ก็ได้”
อาร์ทิสเอ่ยต่อ “แม้แต่ข้าเองก็ไม่รู้แน่ชัดเกี่ยวลักษณะที่แท้จริงของเดินทางที่ยาวนานนี้ หมอกพลังหยินพวกนี้ถูกสร้างขึ้นโดยจ้าวนรกองค์ที่สองโดยการอาศัยพลังการบ่มเพาะที่ไม่มีผู้ใดสามารถเทียบเขาได้ แม้แต่พระยมของพระตำหนักทั้งสิบก็ไม่สามารถสลายหมอกเหล่านี้ได้เช่นกัน ประตูนรกซ่อนอยู่ที่ใดสักแห่งรอบ ๆ นี้ และเจ้าจะเห็นมันก็ต่อเมื่อเจ้าหันหลังกลับไปมองเมื่อเดินข้ามมันมาแล้วเท่านั้น มิเช่นนั้น หากไม่ใช่เพราะสมุดแห่งความเป็นตาย เจ้าคิดหรือว่าเราจะสามารถมองเห็นมันได้ ? ตอนที่ยายเมิ่งพาเจ้าเดินผ่านเส้นทางนรก… เจ้าไม่ได้หันหลังกลับไปมองเลยใช่หรือไม่ ?”
ท่านคิดว่าข้าจะกล้าหันกลับไปมองหรืออย่างไร ?
ฉินเย่หัวเราะออกมาเบา ๆ หากท่านคิดว่าข้ามีความกล้าที่จะทำอะไรแบบนั้น… ท่านคิดผิดถนัด ! แค่หนอนวิญญาณพวกนี้มันก็เพียงพอที่จะทำให้ข้ากลัวจนตัวสั่นแล้ว โอเคไหม ?
เด็กหนุ่มกำลังจะก้าวเดินต่อแต่แล้วเขาก็ชะงักไป
“พวกท่านรู้สึกหรือไม่ ?” ฉินเย่หันกลับไปมองคนอื่น ๆ “ก่อนหน้านี้… อรากษสพูดว่าหนอนวิญญาณนั้นจะอยู่ใกล้ ๆ กับเขตกันชนแดนระหว่างยมโลกและแดนมนุษย์ แต่พวกท่านสังเกตหรือไม่ว่า…”
เขาชี้ไปยังหมอกดำด้านหลังของตน ที่ซึ่งเงาดำจำนวนนับไม่ถ้วนรวมตัวกันอยู่ “พวกมันดูเหมือนจะไม่ได้พยายามออกจากยมโลก แต่… มันดูเหมือนกับว่าพวกมันถูกผลักให้ออกห่างจากยมโลกด้วยบางสิ่งบางอย่างมากกว่า”
เมื่อได้ยินที่เด็กหนุ่มพูด คนทั้งหมดก็หันไปมองยังทิศทางที่ฉินเย่ชี้ไปทันที
เมื่อครู่นี้พวกเขาได้มองข้ามความผิดปกตินี้ไป แต่เมื่อลองสังเกตดูดี ๆ พวกเขาก็เห็น… ร่างดำทะมึนขนาดใหญ่ส่งเสียงกรีดร้องและล้มลงกับพื้น นอกจากนี้ เสียงกรอบแกรบที่ฟังดูเหมือนเสียงวิ่งหนีดังก้องไปทั่ว จินตนาการเกี่ยวกับสิ่งที่ซ่อนตัวอยู่ในความเมืองทำให้พวกเขาทั้งหมดขนหัวลุก
บางสิ่งบางอย่างที่กำลังซ่อนตัวอยู่ในความมืด กลืนกินวิญญาณขนาดใหญ่ที่กำลังพยายามวิ่งหนีอย่างสุดความสามารถ
“ไปเถอะ” โนบูนางะเอ่ยขึ้นเป็นครั้งแรก “ข้ามีความรู้สึกว่าที่นี่ไม่ปลอดภัย… มันไม่ปลอดภัยอย่างแน่นอน ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องอยู่ภายใต้กำแพงป้องกันที่พังทลายไปแล้ว”
หลังข่มความสงสัยภายในใจ ทั้งหมดพลันเปลี่ยนร่างเป็นสายลมนรกและมุ่งหน้าไปยังประตูนรก จากนั้น เมื่อพวกเขาอยู่ห่างจากมันประมาณ 300 เมตร พวกเขาก็ต้องอ้าปากค้างอย่างพร้อมเพรียงกัน แม้แต่โนบูนางะและอาร์ทิสก็ไม่เว้น
“พระเจ้า…” มุไร ซาดาคัตสึจ้องมองประตูนรกด้วยความตกตะลึงเป็นอย่างมาก ทันใดนั้นเอง พร้อมกับเสียงสะบัดเบา ๆ เสื้อคลุมหลากสีที่อยู่ด้านข้างของพวกเขาก็กลายร่างเป็นกลุ่มก้อนพลังหยินและพุ่งเข้าไปในประตูนรกทันที ไม่กี่เสี้ยววินาทีต่อมา ทั้งฉินเย่และโนบูนางะเองก็ตามเข้าไปเช่นกัน
ฟึ่บ… พวกเขาข้ามผ่านระยะทาง 300 เมตรในชั่วพริบตา ฉินเย่พุ่งตัวไปที่สิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ตรงหน้าของตนดวงความตื่นตกใจ
มันสูงเสียดฟ้า และลึกเข้าไปประมาณ 1,000 เมตร
กว้างและดูยิ่งใหญ่ไม่ต่างกับเขื่อนสามผาเลยแม้แต่น้อย
นี่คือประตูที่ดูสูงเหมือนกับขึ้นไปถึงสวรรค์ มันถูกออกแบบในสไตล์จีนโบราณ ดูไม่ต่างอะไรกับซุ้มอนุสรณ์โบราณ ประตูดังกล่าวถูกแบ่งออกเป็นหลายร้อนส่วน และคำว่า ‘ประตูนรก’ ก็ถูกเขียนด้วยตัวอักษรที่ดูราวกับลอยอยู่ในอากาศ มันเป็นภาพที่ยิ่งใหญ่และน่าเกรงขามเป็นอย่างมาก
แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่ทำให้พวกเขาตกตะลึงแต่อย่างใด
กลับกัน สิ่งที่ทำให้พวกเขารู้สึกตกตะลึงก็คือร่างขนาดใหญ่สองร่างที่ยืนเฝ้าอยู่ที่ทั้งสองฝั่งของประตูนรกซึ่งมีความสูงกว่า 2,000 เมตร !
ร่างที่ยืนอยู่ฝั่งซ้ายคือยมทูตหัววัว มีศีรษะเป็นวัวและร่างกายของมนุษย์ เขาสองเขาอยู่บนศีรษะและสวมชุดเกราะจีนโบราณพร้อมกับถือไม้สามง่ามขนาดใหญ่ที่ทำจากเหล็ก
ในขณะที่อีกร่างที่ยืนอยู่ฝั่งคือยมทูตหัวม้า มีศีรษะเป็นม้าและร่างกายของมนุษย์ เขาเองก็สวมชุดเกราะจีนโบราณและถือดาบทองแดงขนาดใหญ่
ยมทูตหัววัวหัวม้า !
พวกเขายืนเฝ้าอยู่ที่ทั้งสองฝั่งของประตูนรกราวกับผู้พิทักษ์ผู้กล้าหาญ กลั่นกรองวิญญาณทุกดวงที่ผ่านเข้ามาในประตูนี้
ฉินเย่อ้าปากค้างอย่างตกตะลึง ในยุคสมัยอันรุ่งโรจน์ของนรกแห่งเก่า วิญญาณกว่าหมื่นตนจะต้องมารวมตัวกันที่นี่ เดินผ่านประตูขนาดใหญ่ภายใต้การกรั่งกรองของยมทูตหัววัวหัวม้า แต่ตอนนี้ผู้พิทักษ์ผู้กล้าหาญกลับถูกห่อหุ้มด้วยกลุ่มก้อนพลังหยินที่หนาแน่น เหลือไว้เพียงดวงตาที่วาวโรจน์ของพวกเขาที่มองออกมาจากความมืดมิด ภาพนี้… สร้างความหวาดกลัวให้กับผู้ที่พบเห็นเป็นอย่างมาก !
ประตูที่สูงเสียดฟ้าและผู้พิทักษ์ที่สูงใหญ่ นี่เป็นภาพที่ยิ่งใหญ่และน่าเกรงขามแม้ว่ายมโลกแห่งเก่าจะหยุดทำการไปแล้ว หากพูดกันตามจริง โนบูนางะและผู้ติดตามของพวกเขาเองก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าหัวใจของตนเต้นผิดจังหวะไป ริมฝีปากของพวกเขาสั่นระริกอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะสูดหายใจเข้าช้า ๆ และก้มศีรษะลง
ความยิ่งใหญ่และน่าเกรงขามของนรกที่ถาโถมใส่พวกเขานั้นดูราวกับแรงที่ไม่สามารถต้านทานได้ มันมากเสียจนพวกเขาไม่สามารถที่จะมองมันโดยตรงได้
“คราบวิญญาณ” อาร์ทิสเอ่ยขึ้น “ดวงวิญญาณนั้นขึ้นสวรรค์ไปแล้ว แต่ร่างของพวกเขายังคงอยู่ ยมทูตหัววัวหัวม้านั้นเป็นวิญญาณระดับสูง และกายเนื้อของพวกเขาเป็นอมตะ หากพวกเราเข้าไปลึกมากกว่านี้… พวกเราก็อาจจะเห็นคราบวิญญาณของอสูรและอรากษสตนอื่น ๆ อีก”
ฉินเย่พยักหน้า เขากำลังจะหันไปทางอื่นแต่แล้วก็ต้องแน่นิ่งไปอีกครั้ง
“มีอะไร ?” อาร์ทิสถามอย่างสงสัย
ฉินเย่โบกมืออย่างไม่ใส่ใจและยังคงจ้องไปที่ยมทูตหัวม้าเขม็ง คนอื่น ๆ ที่เห็นเช่นนั้นก็มองตาม และจากนั้น ภายใต้การจับจ้องของพวกเขา เปลือกตาของยมทูตหัวม้า… ก็ขยับ
กึก… มันเป็นการเคลื่อนไหวที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า อันที่จริง มันดูราวกับว่ายมทูตหัวม้าตรงหน้าพวกเขาพยายามจะลืมตาขึ้นด้วยซ้ำ ภาพดังกล่างสร้างความตกใจให้กับคนทั้งหมด รวมถึงอาร์ทิสเอง และพวกเขาก็รีบถอยห่างออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน
สายลมเย็นยะเยือกพัดผ่านดินแดนรกร้างหน้าประตูนรก ทันใดนั้น ขณะที่พวกเขามองภาพตรงหน้าด้วยลมหายใจที่หยุดชะงัก ผู้พิทักษ์ขนาดใหญ่… ก็ลืมตาขึ้น !
แต่มันก็ไม่ได้เผยให้เห็นลูกตาที่อยู่ด้านในเลยแม้แต่น้อย กลับกัน… สิ่งที่ดูคล้ายกับกระแสน้ำสีดำกลับไหลออกมาแทน
“นี่มัน…” อาร์ทิสผงะไป จากนั้น ราวกับนึกเรื่องสำคัญบางอย่างขึ้นมาได้ นางครางออกมาอย่างหวั่นสะพรึ่ง “แมลงแห่งหายนะ ?! และยังด้วยจำนวนที่มากขนาดนี้ ?! เข้าใจแล้ว… ในที่สุดก็เข้าใจแล้ว ! อย่างนี้นี่เอง !”
“พวกเราต้องรีบออกไปจากที่นี่เดียวนี้ !!”
อาร์ทิสสะบัดแขนเสื้อของตนก่อนที่ฉินเย่และคนอื่น ๆ จะได้เอ่ยตอบ ดึงพวกเขาขึ้นไปบนอากาศพร้อมกับตนและพุ่งผ่านประตูนรกเข้าไปราวกับกลุ่มเมฆ
“นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้น ?!” ฉินเย่หันไปถามทันที สีหน้าเคร่งขรึมของอาร์ทิสทำให้เขาเริ่มมีลางสังหรณ์ที่ไม่ดีเกี่ยวกับสิ่งที่จะตามมาหลังจากนี้
อาร์ทิสไม่ได้เอ่ยตอบออกมาทันที แต่สีหน้าของนางกลับยิ่งเคร่งขรึมขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งนางกัดฟันและสบถออกมาในที่สุด “บัดซบ…”
“บัดซบที่สุด !!”
จากนั้นนางจึงสูดหายใจเข้าช้า ๆ ก่อนจะเอ่ยลอดไรฟัน “แมลงแห่งหายนะคือสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีอยู่ในทั้งแดนมนุษย์หรือสรวงสวรรค์ พวกมันคือสิ่งมีชีวิตที่จะปรากฏตัวขึ้นเมื่อเจ้าหน้าที่ระดับสูงของยมโลกขึ้นสู่สวรรค์ โดยส่วนใหญ่แล้ว พวกมันจะปรากฏตัวอยู่ในคราบวิญญาณที่ถูกทิ้งเอาไว้ของเจ้าหน้าที่เหล่านี้ ที่ซึ่งพวกมันได้กลืนกินกลุ่มก้อนพลังหยินที่เหลืออยู่จนกระทั่งคราบวิญญาณทั้งหมดถูกกลืนกินจนหมด”
“นี่คือส่วนหนึ่งของวัฏจักรธรรมชาติของความตายและการเน่าสลายที่มีลักษณะเฉพาะตัวของยมโลก ในอดีต ทันทีที่มีผู้ใดได้ขึ้นสวรรค์ แมลงแห่งหายนะจะกลืนกินคราบวิญญาณของพวกเขา แล้วจึงถูกกำจัดโดยเหล่าผู้เชี่ยวชาญในการกำจัดแมลง แต่ตอนนี้… ไม่มีใครเหลืออยู่อีกแล้ว”
ฉินเย่พยักหน้า จากนั้นราวกับเพิ่งเข้าใจ เขาอ้าปากค้างและถามด้วยน้ำเสียงที่ไร้เรี่ยวแรง “จะ จะ เจ้าหมายความว่า… ยมโลกในเวลานี้…”
“ผู้ใดจะไปรู้ว่ายมโลกนี้จะมีแมลงแห่งหายนะอยู่มากเท่าไหร่ ?!” อาร์ทิสตะโกนออกมาอย่างโมโห “นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ… ดังนั้นข้าจึงไม่ได้สนใจมัน… ไม่… แม้แต่ย้ายเมิ่งก็ไม่คิดว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้น เพราะอย่างไรแล้ว เจ้าหน้าที่ระดับสูงทุกตนของยมโลกก็ถูกปัดเป่าจนขึ้นสวรรค์ไปหมดแล้ว และตอนนี้เราก็กำลังพูดถึงคราบวิญญาณนับพันที่หลงเหลืออยู่ ! มันจะต้องมีแมลงแห่งหายนะอยู่จำนวนมากแน่ ๆ! และเป้าหมายของพวกมัน… ก็คือการกลืนกินทุกอย่างที่อยู่เบื้องหน้า หากพูดอีกนัยหนึ่งก็คือ พวกมันจะกลืนกินยมโลกแห่งเก่าทั้งหมด !!”
นี่คือส่วนหนึ่งของวัฏจักรแห่งความตายและการเน่าสลายของยมโลก ฉินเย่เข้าใจทุกอย่างในที่สุด จากนั้นจึงกลืนน้ำลายอย่างเป็นกังวล “เช่นนั้น… เหตุใดเรายังเข้าไปในนั้นอยู่อีก ?”
อาร์ทิสกัดริมฝีปากของตนแน่นอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างนึกเสียใจ “ครั้งนี้นับว่าเป็นความผิดของข้าเอง”
“ฉินเย่ ฟังให้ดี การล่มสลายครั้งใหญ่ของยมโลกนั้นเกินขึ้นอย่างกะทันหัน วิญญาณทุกดวงในยมโลกหายตัวไปในทันที แต่… มรดก บันทึก ข้าวของมากมายอยู่แถว ๆ นี้ นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมข้าถึงไม่เคยได้เป็นกังวลเกี่ยวกับการกลับมาที่นี่เพื่อเก็บสิ่งของเหล่านั้น”
“คลังเอกสารลับ ค่ายทหาร พระตำหนักทั้งสิบ รวมถึงความรู้มากมายที่สั่งสมมาเป็นเวลานับพันปียังคงอยู่ มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะนำสิ่งเหล่านี้ขึ้นไปบนสวรรค์ แต่ถึงกระนั้น ยายเมิ่งและข้าก็ลืมตระหนักไปว่าทันทีที่นรกว่างเปล่า มันก็เริ่มนับถอยหลังสู่วัฏจักรแห่งการล่มสลานและการเน่าเสียทันที….”
หัวใจของฉินเย่เต้นแรง “นี่เจ้ากำลังจะบอกว่า… แมลงแห่งหายนะพวกนี้กำลังกลืนกินยมโลก ?! รวมถึงสมบัติทั้งหมดเหลืออยู่อย่างนั้นหรือ ?”
อาร์ทิสหน้าซีดเผือด “ทุกสิ่งที่มีพลังหยินจะถูกระบุว่าเป็นแหล่งอาหารสำหรับพวกมัน ตอนนี้… แม้แต่ข้าก็ไม่สามารถรู้ได้ว่ามันจะเหลือมรดกใดไว้ให้เราบ้าง…”
“เชี่ย !!” ฉินเย่แทบจะไม่สามารถต้านทานความปรารถนาที่จะกรีดร้องและระเบิดใส่อาร์ทิสได้ “นั่นคือเหตุผลว่าทำไมข้าถึงบอกเสมอว่าเราควรคว้าทุกสิ่งทุกอย่างเท่าที่ทำได้มาจากยมโลกแห่งเก่า ! ดูสิว่าเจ้าทำอะไรลงไป ! ความละเลยของเจ้าทำเราพังกันหมด ! ทำไมถึงไม่คิดเรื่องนี้ให้เร็วกว่านี้ !!”
อาร์ทิสไม่ตอบ นางเพียงใช้มือทำสัญลักษณ์อะไรบางอย่างอีกครู่หนึ่งและพลังหยินที่อยู่โดยรอบก็พุ่งมารวมที่เท้าของพวกนาง ส่งผลให้พวกนางเคลื่อนไหวได้เร็วกว่าเดิม
ฟึ่บ !
ทั้งหมดเดินทางข้ามระยะทางทั้งหมดของทางหวงเฉวียนภายในพริบตา ฉินเย่รู้สึกได้ว่าหางตาของเขากระตุกอยู่ตลอดเวลา ทางหวงเฉวียนควรจะแห้งไปหมดแล้ว แต่มันกลับเต็มไปด้วยแมลงแห่งหายนะจำนวนมากที่ก่อตัวเป็นสายน้ำขนาดใหญ่ ! สิ่งมีชีวิตที่หิวกระหายพวกนี้มองไปรอบ ๆ ด้วยตาสีแดงเข้มของมัน ตรวจดูรอบ ๆ อย่างตั้งใจเพื่อหาว่ายังมีสิ่งใดที่ตนสามารถกัดกินได้หรือไม่
แม้แต่โครงกระดูกของคนกรรเชียงเรือก็ไม่ได้รับการยกเว้น และร่างของเขาตอนนี้ก็เหลือเพียงแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น !
“ฟังนะ” ทันใดนั้นเสียงของอาร์ทิสก็ดังขึ้นภายในหัวของเขา “การปรากฏตัวของแมลงแห่งหายนะในจำนวนมากขนาดนี้… อาจหมายถึงการปรากฏตัวของราชาแมลงแห่งหายนะ…”
“เดี๋ยวก่อนนะ !!” ฉินเย่แทบเสียสติ มรดกของนรกกำลังตกอยู่ในอันตราย และเขาก็ไม่เคยรู้เกี่ยวกับเรื่องมรดกพวกนี้มาก่อน แต่ครั้งแรกที่เขาได้รู้เรื่อง มันก็กลายเป็นสถานการณ์เร่งด่วนไปเสียแล้ว แล้วแบบนี้จะไม่ได้เขาเป็นกังวลได้อย่างไรกัน ?
ยมโลกเคยจัดการกับโลกใต้พิภพอื่น ๆ อย่างไร ?
จำนวนขนนกทมิฬที่ถูกยมโลกส่งไปทำหน้าที่ยังเหลืออยู่อีกมากน้อยแค่ไหน ?
รายชื่อข้าราชการศักดินาและรัฐบริวารทั้งหมดของยมโลก ! ศาสตร์แห่งนรก ! คลังสมบัติของนรก ! มรดกของยมโลกที่ได้รับการส่งต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น ! ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์สำหรับเขาอย่างมาก !
เขาสามารถรวบรวมทุกสิ่งทุกอย่างที่ช่วยเสริมสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งเพื่อการเจริญเติบโตที่ก้าวกระโดดของยมโลกในอนาคตอันใกล้มาได้แล้ว แต่กลับต้องมาเจอกับสถานการณ์ที่เลวร้ายแบบนี้ในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดเนี่ยนะ ?!
[1] ว่ากันว่าหลังจากที่วิญญาณออกจากร่าง พวกเขาจะถูกกักบริเวณไว้เป็นเวลา 49 วัน เพื่อรอพิจารณาคดี โดยจะแบ่งออกเป็นเจ็ดช่วง ช่วงละเจ็ดวัน – จากวันแรกที่เสียชีวิตถึงวันที่เจ็ดนับเป็นเจ็ดวันรอบแรก และวันที่ 14 นับเป็นเจ็ดวันรอบที่สอง นับเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ จนถึงวันที่ 49 ซึ่งนับเป็นเจ็ดวันรอบที่เจ็ด