ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 285: ศูนย์ข้อมูล
บทที่ 285: ศูนย์ข้อมูล
“หืม ?” ซามูไรไร้หัวควงดาบคาตานะของตนขณะเดินไปตามถนนช้าๆ ซี่โครงของเขายื่นออกมาจากอกราวกับกิ่งก้านของต้นหลิวในขณะที่แมลงแห่งหายนะร้อยกว่าตัวบินอยู่รอบตัวของเขา
ก้านต้นหลิวดูราวกับมีความคิดเป็นของตนเอง เมื่อใดก็ตามที่มันเข้าไปใกล้กับแมลงแห่งหายนะ พวกมันก็จะหลบหลีกกระดองของสิ่งมีชีวิตตรงหน้าและแทงเข้าไปในร่างผ่านปากหรือข้อต่อที่อ่อนนุ่มของพวกมัน จากนั้น ร่างของแมลงแห่งหายนะก็จะเหี่ยวแห้งไปก่อนที่มันจะทันได้กรีดร้องออกมาอย่างน่าสังเวช ร่างที่เหี่ยวแห้งของแมลงจำนวนมากปรากฏขึ้นตามทางที่ซามูไรร่างใหญ่เดินผ่าน แต่เขาก็ยังคงเดินต่อไปอย่างเงียบ ๆ เมินเฉยต่อเหล่าแมลงที่ไม่ได้อยู่ในธารสายตาไปโดยปริยาย
ซามูไรไร้หัวหมุนตัวกลับไปมอง เผยให้เห็นศีรษะของโนบูนางะที่วางอยู่ในช่องอกของเขา เขามองไปยังจุดที่อยู่ไกลออกไป “นั่นไม่ใช่ทางที่มุไรคุงไป ถ้าเช่นนั้น… มันก็คงจะเป็นฉินคุง…”
“ด้วยระดับพลังที่ปั่นป่วนเช่นนี้… หรือว่าเขากำลังเผชิญหน้ากับอุปสรรคเดียวกันกับข้า ?”
เขามองไปยังทิศทางดังกล่าวอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันหน้ากลับและเดินไปตามถนนอย่างไม่รีบร้อน เบื้องหน้าของเขามีรูปสลักของตี้ทิงตั้งอยู่ทางซ้าย และรูปปั้นของเซี่ยจื้ออยู่ทางขวา เปลวไฟนรกสีเขียวหยกจำนวนนับไม่ถ้วนลอยอยู่เต็มไปหมด ในขณะที่โคมไฟที่แขวนอยู่ที่ชายคาของอาคารปลิวไปมาเบา ๆ ตามสายลม มันดูโออ่าและน่าสะพรึงกลัว ไม่ต่างอะไรกับวิหารโบราณในยามราตรี
พลังหยินที่ล่องลอยอยู่โดยรอบนั้นหนาแน่นจนแทบจะสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า เงาดำมากมายส่งเสียงร้องโหยหวนขณะที่ลอยไปตามพื้นก่อนจะค่อย ๆ จางหายไป
ครึ่งหลังของถนนไม่มีแมลงแห่งหายนะให้เห็นแม้แต่ตัวเดียว ผ้าคลุมสีแดงก่ำของโนบูนางะลากไปตามพื้นจนกระทั่งเขาเดินมาถึงที่หน้าประตูของวิหาร จากนั้น ซามูไรร่างใหญ่ก็หัวเราะออกมาเบา ๆ และเอ่ยด้วยเสียงที่แหบพร่า “จงแสดงตัว… ข้ารู้ว่าเจ้ารอข้ามานานแล้ว”
ไร้ซึ่งเสียงตอบรับ
“จะเสแสร้งไปเพื่ออะไรกัน ?” โนบูนางะเหวี่ยงดาบคาตานะของเขาไปด้านข้าง เปลวไฟสีทองในดวงตาลุกโชนอย่างรุนแรง “กลิ่นความหิวกระหายของเจ้านั้นเหม็นคลุ้มไปทั่ว… เจ้าคิดว่าตัวเองจะสามารถวิวัฒนาการไปได้โดยการกลืนกินข้าเช่นนั้นหรือ ? น่าเสียดาย…”
ทันใดนั้น เสียงคำรามที่ดังสนั่นก็ดังขัดจังหวะคำพูดของเขา และหลังคาของวิหารก็ระเบิดออกราวกับมียักษ์เหยียบลงไป คลื่นกระแทกของพลังหยินและควันพุ่งออกมาจากวิหารและประตูทางเข้าหลักก็พังทลายลง พร้อมกับเสียงตู้ม ! แมลงแห่งหายนะที่มีขนาดประมาณ 20 เมตรปรากฏขึ้นเบื้องหน้าของโนบูนางะ จ้องมองเขาด้วยดวงตาสีแดงเลือดขณะที่น้ำลายซึ่งมีกลิ่นเหม็นหยดออกมาจากปากของมัน
“น่าเสียดาย…” โนบูนางะเอ่ยซ้ำอีกครั้ง จากนั้นในเสี้ยววินาทีต่อมา ร่างของเขาก็สั่นไหวอย่างรุนแรง และข้อต่อทั้งหมดก็เริ่มยืดขยายออกอย่างแปลกประหลาดราวกับกิ่งก้านของต้นหลิว ในไม่กี่วินาทีต่อมา ร่างของเขาก็เปลี่ยนเป็นหุ่นไล่กายักษ์ที่สูง 30 เมตร !
“น่าเสียดาย… เพราะข้าเองก็กำลังมีความคิดเดียวกัน…” หุ่นไล่กาขนาดใหญ่เลียริมฝีปากสีแดงของตนเอง จากนั้น ในแววตาที่หวาดกลัวของแมลงแห่งหายนะ กิ่งก้านต้นหลิวนับพันก็พลันระเบิดออกจากร่างของหุ่นไล่กาและพุ่งมาที่ร่างของมันอย่างรวดเร็ว !
“นับว่าเป็นเกียรติของเจ้าที่ได้กลายเป็นหนึ่งเดียวกันกับราชาปีศาจแห่งสวรรค์ชั้นที่ 6 !”
……
“เชี่ย !!!” ฉินเย่สบถออกมาสุดเสียง ข้าเพิ่งแทงเจ้าแค่ครั้งเดียว ! นี่เจ้าถึงขั้นต้องทำขนาดนี้เลยหรือ ?!
ผลกระทบจากการโจมตีของแมลงแห่งหายนะพันตัวโจมตีพร้อมกันนั้นน่ากลัวเพียงใดน่ะหรือ ? มันก็แค่พื้นที่เขายืนอยู่สั่นไหวอย่างรุนแรง และเสาโครงสร้างที่ชั้นหนึ่งของศาลาแห่งการรู้แจ้งเกิดรอยร้าวและพังทลายไปในพริบตา ฉินเย่รีบเปลี่ยนไม้ขกสังปั๊งให้อยู่ในรูปของร่มขนาดใหญ่และหลบอยู่ภายใต้การคุ้มกันของมันทันที
แกร็ก… เขาซ่อนตัวอยู่ภายใต้การคุ้มกันของไม้ขกสังปั๊งด้วยความหวาดกลัวเป็นอย่างมาก และทันใดเอง เขาก็ได้ยินเสียงแตกร้าวเบา ๆ ดังมาจากด้านข้างของตัวเอง
ราวกับปืนสดุดี เสียงแตกแรกตามมาด้วยเสียงแตกอื่น ๆ ที่ดังติดต่อกันอย่างรวดเร็ว แกร็ก แกร็ก แกร็ก แกร็ก… จากนั้น ก่อนที่ฉินเย่จะได้เตรียมใจกับสิ่งที่จะตามมา พร้อมกับเสียงที่ดังก้อง ศาลาแห่งการรู้แจ้งทั้งหลังได้พังทลายลง !
โคร่มมมมม ! เมื่อมองจากด้านนอก อาคารที่มีความสูงกว่าร้อยเมตรได้ถูกลดระดับลงอย่างกะทันหัน และผลกระทบจากชั้นล่างก็สร้างคลื่นกระแทกอันรุนแรงที่กระเพื่อมออกไปรอบทิศทาง เศษฝุ่นและหินมากมายลอยฟุ้งไปในอากาศ
แรงสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้นนั้นไม่ต่างจากเหตุแผ่นดินไหวระดับแปดริกเตอร์เลยแม้แต่น้อย ย้อนกลับขึ้นมาบนชั้นสอง ฉินเย่กระเด็นไปด้านข้าง และศีรษะของเขาได้กระแทกเข้ากับเสาอาคารที่อยู่ด้านข้างอย่างแรง โต๊ะ เก้าอี้ แจกัน และต้นไม้จำนวนมากไถลไปตามพื้น ปะทะเข้ากับร่มขนาดใหญ่ที่ปกป้องเขาอยู่เสียงดัง
แรงสั่นสะเทือนดังกล่าวรุนแรงเสียจนทำให้เด็กหนุ่มเริ่มเห็นดวงดาวลอยอยู่รอบ ๆ …หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ในที่สุดทุกอย่างก็หยุดนิ่งลง ฉินเย่ลูบศีรษะของตนด้วยใบหน้าที่บูดบึ้งขณะที่ลืมตาขึ้นอย่างช้า ๆ
ในเวลานี้ ศาลาแห่งการรู้แจ้งได้เอนทำมุม 40 องศา และเครื่องมือพร้อมทั้งอุปกรณ์ทั้งหมดได้ไถลมาตามพื้นและกองรวมกันไปที่ด้านหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นฉากกั้น โต๊ะ เครื่องเขียน กระดาษและอื่น ๆ อีกจำนวนมาก ฉินเย่กลืนน้ำลายและสบถออกมาเบา ๆ ขณะที่เหลือบมองไปยังทางขึ้นที่นำไปสู่ชั้นสามที่ตอนนี้ตั้งอยู่เหนือศีรษะของเขา
ให้ตายเถอะ… ทำไมการเดินขึ้นบันได 30 ชั้นถึงเปลี่ยนเป็นเกมปีนผาไปได้…
ไม่สิ เรายังต้องพิจารณาถึงปัจจัยที่ปิดล้อมอยู่ด้วย…
น่าเสียดาย ฉินเย่ไม่มีเวลาให้เขาคร่ำครวญถึงความน่าสังเวชของตัวเองแต่อย่างใด เขาได้ยินเสียงแทะอันน่าสยดสยองดังมาจากชั้นล่างราวกับสายฝนในฤดูใบไม้ผลิ กรอบแกรบ… กรอบแกรบ… มันรุนแรงจนเด็กหนุ่มขนลุกไปทั่วร่าง เขาสูดหายใจเข้าช้า ๆ และเปลี่ยนร่างเป็นสายลมนรกก่อนจะเริ่มมองไปรอบ ๆ
“แมลงแห่งหายนะไม่ได้ขึ้นมาด้านบน… พวกมันไม่สามารถตรวจจับถึงตำแหน่งที่แน่นอนของเราได้ แต่สัมผัสได้แค่พลังหยินที่เป็นเอกลักษณ์ของเราเท่านั้น ?” แววตาของเขาวูบไหวเล็กน้อยขณะที่ผลักข้าวของที่กองอยู่รอบๆตัว “อ่า… พวกเจ้าสามารถตรวจจับถึงการมีอยู่ของข้าภายในศาลาแห่งการรู้แจ้งได้ แต่ไม่สามารถระบุตำแหน่งที่แน่ชัดของข้าได้สินะ ?”
“ถ้าเป็นแบบนั้นก็คงดี แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้น… จากความเร็วในการกัดแทะของพวกมัน ศาลาแห่งการรู้แจ้งจะสามารถทนได้อีกนานเพียงใดกัน ?”
เขาเหวี่ยงไม้ขกสังปั๊ง และข้าวของตรงหน้าทั้งหมดก็ลอยออกไปด้านข้าง เผยให้เห็นป้ายประกาศที่ฝังติดอยู่กับผนังที่เขียนว่า ‘รายละเอียดอาคาร’ ปรากฏอยู่ เขารีบพุ่งไปที่มันทันที
“อาคารนี้มีทั้งสิ้น 30 ชั้น ชั้นที่ 28 คือศูนย์ข้อมูล ชั้นที่ 29 คือหอจดหมายเหตุ และชั้นที่ 30 คือห้องประชุม” เด็กหนุ่มไล่นิ้วไปตามรายละเอียดทั้งหมดขณะที่พยายามจดจำทุกอย่าง ไม่กี่วินาทีต่อมา เขาก็เงยหน้ามองด้านบนด้วยสายตาที่ล้ำลึก “ถ้าเช่นนั้น… เราก็คงต้องแข่งกับพวกแมลงที่กำลังกัดกินฐานของอาคารอยู่เท่านั้น”
เมื่อเอ่ยจบ เขาก็เปลี่ยนร่างเป็นพายุพลังหยินและเริ่มมุ่งหน้าไปที่ชั้น 28 ทันที
แค่อาคารที่เอนเอียงไม่สามารถขัดขวางการเดินทางของขั้นยมทูตขาวดำได้ สิบชั้น… 15 ชั้น… 20 ชั้น… ฉินเย่เดินทางผ่าน 27 ชั้นได้ภายในไม่ถึงแปดนาที จากนั้นทุกอย่างเบื้องหน้าก็ดูเหมือนจะขยายออก
ประตูขนา 10 เมตรตั้งอยู่ตรงหน้าของเขา แม้ว่าอาคารจะเอียงเป็นมุม 40 องศา แต่ฉินเย่ก็ยังสามารถมองเห็นร่องรอยอักขระโบราณที่ถูกเขียนไว้ทั่วประตูได้อย่างชัดเจน แต่ถึงกระนั้นทุกอย่างก็ดูซีดเผือดไปเมื่อเทียบกับภาพที่น่าเกรงขามของจ้าวนรกองค์ก่อนทั้งสองที่ถูกสลักอยู่บนบานประตู ภาพดังกล่าวทำให้ทั่วทั้งชั้นที่ 28 มีบรรยากาศที่เคร่งขรึม ตัวล็อกขนาดครึ่งเมตรที่มีภาพของตี้ทิงถูกแขวนอยู่กลางประตูขนาดใหญ่
ฉินเย่ก้าวเท้าไปด้านหน้าและสัมผัสกับตัวล็อกเบา ๆ ทันใดนั้น มันก็ร่วงลงกับพื้นจนเกิดเสียงดังสนั่น
ครืดดดด… ประตูหินขนาดใหญ่เปิดออกช้า ๆ เผยให้เห็นห้องที่มืดสนิทด้านใน ฉินเย่สูดหายใจเข้าช้า ๆ และกำลังจะเดินเข้าไป แต่แล้วเขาก็ต้องชะงักและมองที่หน้าประตูอีกครั้ง จากนั้นจึงสังเกตที่ตัวล็อกอย่างละเอียด
มันเป็นแม่กุญแจแบบโบราณ
ถูกหลอมขึ้นตามส่วนหัวของตี้ทิง และมีแท่งเหล็กสีดำสนิทสอดผ่านช่องหู แต่… มันเห็นได้ชัดเลยว่าแท่งเหล็กดังกล่าวถูกดึงออกจากแม่กุญแจ
ถึงแม้ว่าฉินเย่จะรู้ดีว่าตอนนี้เขาต้องแข่งกับเวลา แต่เด็กหนุ่มก็ชะลอการกระทำทั้งหมดของตัวเองลงอย่างไม่สามารถห้ามได้ เขาไล่นิ้วไปตามแม่กุญแจ และจ้องไปที่แท่งเหล็กนิ่ง
“นี่จะต้องไม่ได้เกิดจากแมลงแห่งหายนะแน่ ๆ” เขาพึมพำเสียงเบาขณะที่มองไปยังความมืดตรงหน้าด้วยความระมัดระวัง “หากเป็นฝีมือของแมลงแห่งหายนะ พวกมันก็คงจะกัดกินประตูทั้งบานไปแล้ว”
“ไม่ใช่ฝีมือของสิ่งมีชีวิต… แม่กุญแจนี่ทำหน้าที่เป็นเหมือนกับป้ายเตือนสำหรับสิ่งมีชีวิต มันถูกแขวนอย่างลวก ๆ แค่การสัมผัสเบา ๆ ก็ทำให้มันร่วงลงได้… เพื่อเป็นการเตือนให้คนที่อยู่ด้านในรู้ว่ามีคนกำลังมา…”
ครืดดดด… ทันใดนั้น บานประตูหินก็เปิดออกจนสุด ความมืดภายในห้องดูเหมือนจะคลืบคลายออกมาพร้อมกับสายลมเย็นยะเยือก ในขณะที่เงาดำด้านในดูเหมือนจะวูบไหวไปมาอย่างน่าขนลุก ราวกับมีอะไรบางอย่างกำลังจ้องมองมาที่เขา
ฉินเย่หรี่ตาลง
เขาไม่รู้ว่ามันคือคนหรือผี หรืออะไรอื่นที่สามารถเข้าไปในนี้ได้ก่อนเขา นอกจากนี้… เขายังไม่รู้ด้วยว่าตัวตนที่ว่านั่นยังอยู่แถวนี้หรือเปล่า
ตึก… เขาก้าวเข้าไปในความมืด และสีของดวงตาของเด็กหนุ่มก็เปลี่ยนไป ทำให้เขาสามารถมองเห็นสิ่งที่อยู่รอบ ๆ ได้อย่างชัดเจนแม้ว่าจะอยู่ในความมืดก็ตาม ฉินเย่เหลือบมองไปรอบ ๆ และทุกอย่างก็ยังคงหยุดนิ่งและเงียบสงัด
มันมีถุงสีเงินวางอยู่ทั่วทุกที่ !
ศาลาแห่งการรู้แจ้งที่เอนเอียงได้ทำให้แถวตู้เก็บเอกสารที่ควรจะเอนชิดกับผนังเอนล้มลงมาด้านข้าง นอกจากนี้ ลิ้นชักทั้งหมดก็เปิดออกเนื่องจากผลของการสั่นไหวที่รุนแรงเมื่อครู่ ทำให้ถุงที่ถูกเก็บไว้ด้านในกระจัดกระจายออกมาทั่ว
“พวกนี่คือถุงเอกภพอย่างนั้นหรือ ?” ภายในใจของฉินเย่ลุกโชนด้วยเปลวไฟแห่งความมุ่งมั่น แต่จิตใจของเขากลับสงบอย่างไม่น่าเชื่อ ห้องในชั้น 28 กว้างมาก มันแทบครองพื้นที่ทั้งหมดของชั้น และตู้จำนวนนับไม่ถ้วนตั้งอยู่ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ถูกเก็บอยู่ในชั้นนี้จะต้องเป็นข้อมูลที่ล้ำค่าที่สุดของยมโลกอย่างไม่ต้องสงสัย และรูปแบบการจัดเรียงที่รกไม่เป็นระเบียบในตอนนี้ก็กลายเป็นที่ซ่อนที่ดีที่สุดสำหรับสิ่งเหล่านี้เช่นกัน
เงียบ
ไม่มีการจู่โจมอย่างกะทันหันจากร่างที่ซ่อนอยู่ในเงามืด เสียงเดียวที่ได้ยินมีเพียงเสียงเอี๊ยดอ๊าดเบา ๆ ของพื้นกระดานขณะที่เขาเดินเข้าไปในห้อง ทั้งห้องถูกปกคลุมไปด้วยความเงียบเหมือนห้องเก็บศพ มีเพียงเสียงหายใจเท่านั้นที่ดังให้ได้ยิน ทว่าด้วยเหตุผลที่แปลกประหลาดบางประการ ฉินเย่กลับไม่สามารถสลัดความรู้สึกที่เหมือนกับมีบางสิ่งบางอย่างกำลังจ้องมองเขาอยู่ภายในความมืดออกไปได้ มันเป็นความรู้สึกที่น่าขนลุก ราวกับเงาของเขาจะสามารถลุกขึ้นมาจากพื้นได้ในทุกเสี้ยววินาที
ฉินเย่มั่นใจว่าตัวตนที่ว่านั่นกำลังกลั้นหายใจและปกปิดจิตสังหารของตนเอาไว้… และทำได้ดีมากจนเขาไม่สามารถรู้สึกถึงมัน แต่ความสงสัยนี้ถูกกระตุ้นขึ้นมาจากสัญชาตญาณอันเฉียบคมของเขา
และเขาก็ไม่ใช่คนที่จะเชื่อในสัญชาตญาณเลยสักนิด
เด็กหนุ่มเดินไปที่บริเวณหน้าต่างของห้องซึ่งมีตู้ขนาดใหญ่ไปกองรวมกันอยู่ กองถุงเอกภพจำนวนมากกองรวมกันอยู่ที่พื้น ตรงกลางระหว่างหน้าต่างและกองตู้เก็บของที่ทับกันอยู่
เขายังคงรักษาความระแวดระวังของตัวไว้ขณะที่โน้มตัวลงเพื่อไปหยิบถุงเอกภพขึ้นมา แต่ทันทีที่นิ้วมือของเขาสัมผัสกับถุง เด็กหนุ่มก็กลับมายืนหลังตรงและเอ่ยออกมาเสียงเรียบ “ออกมา ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าอยู่ที่นี่”
เงียบ
ฉินเย่ยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงโน้มตัวลงไปอีกครั้ง และครั้งนี้เขาก็หยิบถุงเอกถพขึ้นมาจริง ๆ
ทันทีที่เขาสัมผัสมัน พลังหยินที่แผ่ออกมาจากถุงเอกภพพลันไหลเข้าสู่ร่างของเขาอย่างรวดเร็ว จากนั้นถุงเอกภพในมือก็สั่นเทาเล็กน้อยราวกับมีชีวิต ก่อนจะสงบลงในเสี้ยววินาทีต่อมา
“น่าสนใจ” เขาแย้มยิ้มออกมาบางๆ และโยนมันขึ้นกลางอากาศก่อนจะเหวี่ยงไม้ขกสังปั๊งในมือของตนไปที่มันสุดแรง
“เจ้า…” เสียงหนึ่งดังขึ้นจากในความมืดด้วยความตกตะลึง จากนั้น ราวกับตระหนักได้ถึงความผิดพลาดของตน ตัวตนดังกล่าวรีบเงียบเสียงไปทันที ในขณะเดียวกัน ไม้ขกสังปั๊งของฉินเย่ก็หยุดลงห่างจากถุงเอกภพเพียงแค่หนึ่งเซนติเมตรเท่านั้น
ฉินเย่ยิ้ม
เสี้ยววินาทีต่อมา พลังหยินก็ปะทุออกมาจากร่าง และแผ่นยันต์บนไม้ขกสังปั๊งก็ร่วงหลุดออก กลายร่างเป็นเส้นโค้งของพลังสีดำขาวพุ่งไปยังทิศทางที่เสียงนั้นดังออกมาราวกับสายฝนที่ตกกระหน่ำ
ปั้ง ปั้ง ปั้ง ! แผ่นยันต์ดังกล่าวพุ่งไปยังกองตู้ไม้กองหนึ่ง น่าเสียดาย ตู้ไม้พวกนี้ดูเหมือนจะทำมาจากวัสดุที่ไม่สามารถทำลายได้โดยการโจมตีของขั้นยมทูตขาวดำ แต่ถึงกระนั้น พลังหยินกลุ่มหนึ่งปะทุออกมาจากด้านหลังของกองตู้ในเวลาไม่นาน และร่างสีดำก็พุ่งออกมาจากด้านหลังตู้ทั้งหมดและพุ่งตรงไปยังประตูทางเข้าของห้อง
“หนีเหรอ ?” ฉินเย่แค่นหัวเราะและสะบัดมือเบา ๆ ทันใดนั้นแผ่นยันต์ที่พุ่งไปที่กองตู้ก็เปลี่ยนร่างเป็นโซ่สีขาวดำเส้นยาวที่พุ่งไปยังร่างที่กำลังหนีราวกับสายฟ้า
ร่างดังกล่าวอาจจะเร็ว แต่ฉินเย่นั้นเร็วกว่า ! พร้อมกับเสียงที่ดังก้อง โซ่เส้นยาวพันเข้ารอบเอวของร่างของเป้าหมายอย่างแม่นยำ จากนั้น ฉินเย่ก็ดึงโซ่อย่างแรง หยุดการพุ่งตัวของอีกฝ่ายและกระเด็นกลับมาหาตน ในเสี้ยววินาที่ต่อมา ฉินเย่จับไม้ขกสังปั๊งของตนแน่นและปักมันลงไปบนส่วนที่เป็นศีรษะของร่างเงานั้นอย่างแรง
ตู้ม ! เสียงปะทะดังก้องไปทั่วทุกมุมห้อม ร่างเงาด้านล่างสามารถป้องกันการโจมตีที่ทรงพลังของฉินเย่ได้ด้วยพัดโครงกระดูกสีขาวของมัน น่าเศร้า มันสามารถเห็นได้ชัดเจนเลยว่าร่างดังกล่าวไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฉินเย่ พร้อมกับเสียงครวญครางอู้อี้ในลำคอ ร่างเงาดังกล่าวกระโจนห่างออกมาหลายเมตร เผยให้เห็นร่างที่แท้จริงของมันเป็นครั้งแรก