ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 298: วิกฤตการเงิน (2)
บทที่ 298: วิกฤตการเงิน (2)
ลูกน้องของหวงเลี่ยงชวนผู้นี้ดูธรรมดาและถ่อมตัว
เขาไม่ได้สูงมากนัก นอกจากใบหน้าที่ซีดเผือดของเขาแล้วมันก็ไม่ได้มีอะไรโดดเด่นเลยแม้แต่น้อย เขาตกใจเล็กน้อยกับคำถามของฉินเย่จึงรีบถูมือทั้งสองข้างอย่างร้อนรนขณะที่ตอบว่า “ฝ่าบาท ธนบัตรทั้งหมดในจีนนั้นมาจากโรงพิมพ์กลางและบริษัทในเครืออีก 11 แห่ง โดยที่ 3 ใน 11 นั้นเป็นโรงงานธนบัตรซึ่งตั้งอยู่ที่เทศมณฑลหรงเฉิง เมืองคุณซาน และนครเป่าติ้ง ข้าได้รับเกียรติทำงานในโรงงานธนบัตรที่เมืองคุณซานในซูโจว”
“มีเพียงแค่สามโรงงานนี้เท่านั้นที่ได้รับอนุญาตในการพิมพ์ธนบัตร หากเป็นธนบัตรที่ตีพิมพ์จากที่อื่นในจีน ต่อให้เป็นธนาคาร ก็นับว่าผิดกฎหมายทั้งหมด ข้าก็เคยทำงานที่นั่นเป็นระยะเวลาสั้น ๆ เท่านั้นก่อนที่จะตัดสินใจได้ว่ามันไม่ใช่งานที่เหมาะกับตัวเอง ดังนั้นข้าจึงลงนามในข้อตกลงในการรักษาความลับและจากมา ข้าได้เรียนรู้เพียงความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการพิมพ์ธนบัตร ความแตกต่างระหว่างกระดาษฝ้ายและกระดาษธรรมดามาบ้าง แต่มันก็เพียงพอที่จะทำให้ข้าตระหนักได้ว่ากระดาษธรรมดานั้นไม่มีคุณภาพเพียงพอสำหรับการใช้เป็นธนบัตร ส่วนเรื่องหมึกพิมพ์พิเศษสลับสี ข้ายิ่งแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับมันเลย”
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมพวกเขาถึงพบสิ่งผิดปกติหลังจากที่ทำการทดสอบความทนทานต่อการขีดข่วนแล้ว ฉินเย่ถอนหายใจออกมา เปลวไฟที่ลุกโชนภายในใจของเขาดับลงโดยสมบูรณ์
สุดท้ายแล้ว ปัญหานี้ก็เกิดขึ้นจากการที่ยมโลกไม่ได้เตรียมการมาอย่างดีพอสำหรับการจัดตั้งระบบการเงิน การพิมพ์ธนบัตรนั้นเป็นความลับของแต่ละชาติ แม้แต่กระบวนการผลิตกระดาษที่ใช้ทำธนบัตรเองก็แตกต่างกันออกไป
ตอนนี้พวกเขากำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการพัฒนายมโลก และฉินเย่รู้ดีว่ามันคงไม่เหมาะสมนักที่จะถอดหวงเลี่ยงชวนออกจากตำแหน่งและเปลี่ยนหัวหน้าคนใหม่อย่างกะทันหัน ในเมื่อชายสูงวัยรับผิดชอบเรื่องนี้มาตั้งแต่แรก มันก็จะเป็นการดีกว่าที่จะปล่อยให้เขารับหน้าที่นี้ต่อไป
แต่…
“ก่อนหน้านี้ข้าคิดมาตลอดว่าโรงพิมพ์ธนบัตรและการธนาคารนั้นเป็นอุตสหกรรมเดียวกัน” ฉินเย่เอ่ย “แต่ข้าคิดผิด ซูตงเซวี่ย”
“ข้าอยู่นี่แล้วนายท่าน” ซูตงเซวี่ยโค้งคำนับอย่างเคารพ
“ไปเตรียมการสำหรับการจัดตั้งโรงพิมพ์ธนบัตรกลางของยมโลก ส่วนผู้อำนวยการ…” เขาหันมองลูกน้อยของหวงเลี่ยงชวน “เจ้ารับผิดชอบไปก่อนชั่วคราว”
“ห๊ะ–?” อีกฝ่ายตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด แต่ทันทีที่สามารถรวบรวมสติได้ เขาก็รีบโค้งคำนับฉินเย่และเอ่ยออกมาอย่างตื่นเต้น “ขอบพระทัยฝ่าบาท ! ขอบพระทัย ! ขะ ข้า ข้าจะตั้งใจทำงานอย่างแน่นอน !”
หวงเลี่ยงชวนถอนหายใจออกมาอย่างห้ามไม่ได้ ภายในใจของเขาตอนนี้ทั้งรู้สึกตกใจ ดีใจและสำนึกผิด ผสมปนเปกันไปหมด
เขาดีใจที่ฉินเย่มองเขาในสถานะที่สูงขั้นและให้อภัยกับความผิดพลาดของเขาในครั้งนี้
เขาเสียใจเพราะรู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถรับมือกับเรื่องนี้ได้ดีพอ
ที่สำคัญที่สุด เขาตกตะลึงกับการรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นของฉินเย่เป็นอย่างมาก เด็กคนนี้อายุเท่าไหร่กัน ?! การรับมือกับสถานการณ์ของเขามันไม่สมกับอายุของเขาเลยสักนิด !
นี่คือคำเตือนของฉินเย่
มันบอกเขาว่าในตอนแรกเขาได้รับอำนาจในการดูแลทั้งโรงงานพิมพ์ธนบัตรและอุตสาหกรรมการธนาคารในเวลาเดียวกัน แต่การแยกส่วนออกจากกันของอุตสาหกรรมทั้งสองได้แสดงให้เห็นถึงความไม่พอใจของฉินเย่ และมันก็ชัดเจนว่าหากเขาทำผิดอีกครั้ง เขาก็จะไม่มีแม้แต่อุตสาหกรรมการธนาคารให้ดูแลอีกในภายภาคหน้า
“พวกเจ้าไปได้แล้ว ข้าขอเวลาคิดทบทวนอะไรหลาย ๆ อย่างก่อน” ฉินเย่นวดขมับของตนขณะที่โบกมือไล่ หวงเลี่ยงชวนและคนของเขารีบเดินออกไปทันที เมื่อทั้งหมดออกไปแล้ว ฉินเย่ก็เอนหลังพิงกับพนักพิงและเงยหน้ามองเพดานอย่างเหม่อลอย เขาถามออกมาเบา ๆ “ทำอย่างไรดี ?”
อาร์ทิสหัวเราะออกมาอย่างขมขื่นและส่ายหน้าไปมา “เราสามารถหาวัตถุดิบเพิ่มได้ แต่คำถามก็คือเจ้าพร้อมที่จะเสี่ยงติดคุกหรือไม่ ? หากไม่ บางทีมันอาจจะดีกว่าหากเขาคิดหาทางอื่นอย่างการใช้เงินโบราณอย่างเหรียญทองแดง เงินแท่ง และทองแท่ง”
ฉินเย่ส่ายหน้า จำนวนของเหล่านั้นที่พวกเขาสามารถผลิตได้มีน้อยมาก นอกจากนี้ วัตถุดิบที่เป็นทอง เงิน และทองแดงก็ราคาสูงมาก และมันไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะสามารถหามาได้ด้วยเงินเพียงไม่กี่พันล้านหยวน
นี่คือสิ่งที่ต้องใช้เงินทุนอย่างต่ำ 1 แสนล้านหยวน
“ซูตงเซวี่ย เจ้ามีความเห็นอย่างไร ?” หลังจากพบว่าหญิงสาวนั้นเป็นเหมือนเพชรในตมเมื่อเป็นเรื่องของการบริหารจัดการ ฉินเย่ก็ไม่รังเกียจที่จะถามความคิดเห็นของอีกฝ่าย
น่าเสียดาย ซูตงเซวี่ยเองก็หัวเราะออกมาอย่างขมขื่นเช่นกัน “นายท่าน นี่เป็นเรื่องยากมากจริง ๆ ธนบัตรนั้นดูยิ่งใหญ่มาก แต่สัญลักษณ์เหล่านี้คือสิ่งที่บ่งบอกว่าท่านเป็นคนจากที่ใด มันคือสิ่งที่ทำให้ประชากรของท่านรู้สึกถึงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และมันก็เป็นส่วนที่ไม่สามารถแยกได้กับระบบอื่น ๆ ของยมโลก ดังนั้นข้าคิดว่าเราไม่ควรใช้งานระบบการเงินนี้จนกว่าเราจะมั่นใจแล้ว”
เป็นจริงเช่นนั้น ฉินเย่ถอนหายใจออกมาและลุกขึ้นยืน เคาะนิ้วไปบนโต๊ะเบา ๆ ขณะที่จมอยู่ในห้วงความคิดของตนเอง
นี่ไม่ใช่ปัญหาที่สามารถแก้ไขได้ในทันที
แต่การจัดตั้งระบบการเงินก็มีความสำคัญต่อการพัฒนาของยมโลกในระดับต่อไปเป็นอย่างมาก ! ของหลายร้อยตันหลั่งไหลเข้าสู่ตลาด ในขณะที่สายการผลิตมากมายกำลังอยู่ในขั้นตอนจัดตั้ง ยมโลกต้องมีระบบการเงินเพื่อสนับสนุนการเปิดตลาด ! และหากพวกเขาสามารถสร้างเส้นทางการค้ากับข้าราชการศักดินาตนอื่น ๆ ได้ในปลายปีนี้ การมีอยู่ของระบบการเงินก็จะยิ่งมีความสำคัญมากขึ้นไปอีก !
การแลกเปลี่ยน ?
ตัดออกจากตัวเลือกไปได้เลย นั่นมันล้าสมัยเกินไป นอกจากนี้ ในขณะที่ทุกคนต่างใช้เงินกระดาษกัน ฉินเย่จะสามารถบอกพวกข้าราชการศักดินาได้หรือว่ายมโลกแห่งใหม่ไม่มีแม้แต่ระบบการเงินให้ใช้ ? นี่พวกเขาจะดูโบราณแค่ไหนกัน ?
แม้แต่หยางจีเย่และอวี๋เชียนก็ไม่ต้องการที่จะเป็นส่วนหนึ่งของยมโลกหากพวกเขามาได้ยินอะไรแบบนั้น
เขาครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่อีกประมาณครึ่งชั่วโมงก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน “ออกประกาศ บอกประชากรของเราทั้งหมดว่าการจัดตั้งระบบการเงินมีเหตุจำเป็นจะต้องเลื่อนเวลาออกไปก่อนเล็กน้อย แต่นี่จะไม่ส่งผลเสียต่อพวกเขา เพราะท้ายที่สุดแล้ว ระบบการเงินก็เป็นเหมือนกับข้อจำกัดที่บังคับให้พวกเขาทำงานอยู่แล้ว ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ ดูเหมือนว่าข้าจะไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากให้อิสระแก่พวกเขาในการเล่นซุกซนเล็กน้อย”
ไม่มีใครกล้าเอ่ยอะไรเกี่ยวกับความคิดที่ทำลายภาพพจน์ของตัวเองของฉินเย่
เหล่าผู้จดบันทึกจดทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉินเย่เอ่ยออกมาโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมามอง จากนั้นขณะที่ฉินเย่กำลังจะจากไป อาร์ทิสก็เอ่ยขึ้น “ทำไมเจ้าไม่ลองถาม… เขาชื่อว่าอะไรนะ… ชายแก่ที่เจ้าช่วยไว้รอบที่แล้วน่ะ ?”
“ไม่มีทาง” ฉินเย่ส่ายศีรษะ “ต่อให้เป็นมิตซูบิชิก็ไม่น่าจะส่งของเหล่านี้มาให้เราได้”
ซูตงเซวี่ยยกมือขึ้นถาม “ฝ่าบาท ถ้าเช่นนั้นพิธีอัญเชิญสมุดแห่งความเป็นตายจะยังจัดตามกำหนดเดิมหรือไม่ ?”
“ทุกอย่างยังดำเนินตามกำหนดการเดิม” ฉินเย่เริ่มใส่พลังหยินของตนเข้าไปในเศษตราจ้าวนรก และร่างของเขาก็ค่อย ๆ หายไปจากยมโลก “สิ่งอำนวยความสะดวกทางสันทนาการและความบันเทิงที่ข้านำกลับมาด้วยน่าจะเพียงพอที่จะยื้อเวลาให้เราได้ ในระหว่างนี้ข้าจะคิดหาวิธีจัดการกับปัญหาวิกฤตทางการเงินของเราไปด้วย เพราะอย่างไรแล้วเราก็คงไม่สามารถอาศัยสิ่งของเหล่านี้ในระยะยาวได้ และการจัดตั้งระบบการเงินก็จะยังเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาของเรา…”
ทันทีที่เขากลับมาถึงที่ห้องพักของตัวเอง เด็กหนุ่มก็รีบเปิดแล็ปท็อปของตัวเองและหาข้อมูลทันที
แต่ยิ่งเขาหามากเท่าไหร่ สีหน้าของเขาก็ยิ่งขมขื่นมากขึ้นเท่านั้น
“ธนบัตรกระดาษคือทรัพยากรที่มีเอกลักษณ์แตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ ทั้งวัสดุที่ใช้และกระบวนการผลิตทั้งหมดต่างเป็นความลับสุดยอด ผู้ใดก็ตามที่ครอบครองสิ่งเหล่านี้จะถูกดำเนินการตามกฎหมายทันที” — ไป่ตู้
“คุณภาพของกระดาษฝ้ายนั้นดีเยี่ยม มันประกอบด้วยเส้นใยที่มีคุณสมบัติสูงกว่าเยื่อไม้ธรรมดาที่ใช้ทำกระดาษทั่วไป เนื้อสัมผัสของกระดาษฝ้ายนั้นเรียบเนียบและละเอียด แต่ก็ทนทานและสามารถพับได้ วัสดุทำให้เกิดเสียงที่ดังชัดเมื่อดึง สลัดหรือพลิกไปมา ผู้ปลอมแปลงส่วนใหญ่มักเลือกที่จะใช้หลอด ก้านไม้และเศษผ้าเป็นส่วนประกอบ และเสื้อสัมผัสของกระดาษที่ออกมาก็จะนุ่มและหยาบ ฉีกขาดได้ง่าย หากสะบัดมันไปมาในอากาศ มันจะเกิดเป็นเสียงอู้อี้เบา ๆ” — โซวโก่ว
“โดยทั่วไปแล้ว กระดาษฝ้ายนั้นปราศจากสิ่งเจือปนใด ๆ มีสีขาว และไม่เติมสารฟอกสีเรืองแสง หากอยู่ภายใต้รังสีอัลตราไวโอเลต มันจะไม่แสดงปฏิกิริยาเรือแสงสายใด ๆ ในขณะที่กระดาษทั่วไปจะเกิดการเรืองแสงขึ้น พวกมันมักจะเรืองแสงสีฟ้าหรือม่วงออกมาเมื่อถูกฉายด้วยรังสีอัลตราไวโอเลต” — กูเกิล
“ธนบัตรกระดาษนั้นเป็นวัสดุที่ถูกควบคุมโดยรัฐ และการครอบครองสิ่งเหล่านี้ถือเป็นเรื่องต้องห้ามโดยสิ้นเชิง” — ซินล่าง
หมึกพิมพ์พิเศษสลับสีคือสิ่งที่มีค่ามากกว่ากระดาษฝ้ายเสียอีก ฉินเย่แทบไม่อยากจะค้นหาเกี่ยวกับมันเลยสักนิด เพราะอย่างไรแล้ว มันก็คือสิ่งที่ถูกคุ้มกันการขนส่งโดยกองทัพ
“ได้อะไรบ้าง ?” อาร์ทิสกลับมาในช่วงเวลาอาหารเย็น และนางก็พบว่าฉินเย่ยังคงค้นหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ตพร้อมกับสวมแว่นตาอย่างที่มักจะเห็นอยู่บ่อยครั้งในช่วงนี้
“ไม่ค่อยดีเท่าไหร่” ฉินเย่เคาะนิ้วบนแป้นพิมพ์ “ข้อสรุปเดียวที่ข้าได้มาหลังจากที่หาข้อมูลตลอดบ่ายก็คือ …ลืมมันไปซะ”
“ยมโลกยังขาดอะไรอยู่อีกหลายอย่าง” เด็กหนุ่มรินกาแฟให้กับตัวเอง “หากเรามีมรดกพันปีอยู่… ทั้งหมดที่เราต้องทำก็คงจะมีแค่เอ่ยปาก และเราก็จะมีทีมนักวิจัยคอยคิดทดลองและหายทางออกที่ดีที่สุดให้ เราอาจจะสามารถบรรลุเป้าหมายที่ข้าตั้งเอาไว้ในตอนแรกได้ด้วยซ้ำ”
เขาจิบกาแฟของตัวเองและมองออกไปยังสนามบาสเกตบอลที่อยู่ด้านนอก ถึงแม้ว่ามันจะเป็นช่วงปลายกรกฎาคม แต่มันก็ยังมีคนจำนวนหนึ่งที่ยังเล่นบาสเกตบอลอยู่ที่สนาม
“ระบบการเงินจะต้องถูกจัดตั้งขึ้นภายในสิ้นปี สิ่งอำนวยความสะดวกในการพักผ่อนหย่อนใจอย่างพวกหนังสือ อุปกรณ์กีฬาและอื่น ๆ สามารถทำให้ประชาชนสงบลงได้เพียงชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น แต่มันไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหาที่ยั่งยืน มีเพียงระบบการเงินเท่านั้นที่สามารถสร้างความมั่นคงให้กับชาติและมอบเป้าหมายในการทำงานให้กับพลเมืองได้ นอกจากนี้… ข้าจะใช้ตัวกลางการแลกเปลี่ยนอะไรสำหรับการทำเส้นทางการค้ากับกษัตริย์แห่งฮันยางหากข้าไม่มีระบบการเงิน ?”
เขาพ่นลมออกมาอย่างฮึดฮัดขณะวางแก้วกาแฟลงอย่างแรง “ข้าไม่เชื่อหรอกว่าตัวเองจะจนมุมด้วยเรื่องแบบนี้ !”
อาร์ทิสกำลังจิบกาแฟในแก้วของนางขณะที่ฉินเย่เอ่ยประโยคนี้ออกมา นางชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะวางแก้วลงเสียงเบา
……
ตามที่ฉินเย่คาดการณ์เอาไว้ การประกาศเลื่อนการจัดตั้งระบบการเงินในยมโลกไม่ได้สร้างให้เกิดกระแสความไม่พอใจใด ๆ ขึ้นในหมู่ประชากรวิญญาณ เพราะตอนนี้พวกเขาทุกคนต่างให้ความสนใจอยู่กับสิ่งอำนวยความสะดวกด้านสันทนาการ หนังสือ อุปกรณ์กีฬาและอื่น ๆ อีกมากมาย ดังนั้นใครจะไปสนใจเรื่องแบบนั้นกัน ?
หากรัฐบาลตั้งใจที่จะปกปิดข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอะไรบางอย่าง ประชาชนก็ย่อมไม่สามารถสัมผัสถึงความผิดปกติได้เลยแม้แต่น้อย เหมือนกับข่าวสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนในปี 2018 มันเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น ?
ไม่ใช่ว่าข่าวเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ถูกกลบทับด้วยการพาดหัวข่าวอื่น ๆ หรอกหรือ ? มนุษย์สมัยนี้ล้วนถูกดึงความสนใจได้ง่ายด้วยสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวอยู่แล้ว
ด้วยเหตุนี้ฉินเย่จึงหยุดให้ความสนใจเกี่ยวกับระบบการเงินและใช้เวลากับความพยายามของตนกับงานก่อสร้างในยมโลก เขาเริ่มแจกจ่ายและจัดสรรทรัพยากรให้กับหน่วยงานต่าง ๆ และเขาก็พบว่ามีประชากรสมัครเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของบริษัทก่อสร้างมากขึ้น หลังจากนั้นไม่นาน แผนกใหม่ ๆ ก็ถูกจัดตั้งขึ้น พิมพ์เขียวได้รับการอนุมัติ และอุตสาหกรรมก่อสร้างก็เข้าสู่ช่วงเฟื่องฟูอย่างเต็มรูปแบบ
วันที่ 10 สิงหารคม ฉินเย่อนุมัติการจัดตั้งหน่วยงานราชการขึ้นมาใหม่และประกาศให้ประชาชนได้ทราบ
ห้องโถงเสริมทางด้านซ้ายของประตูนรกถูกใช้เป็นพื้นที่ขององค์กรเป็นการชั่วคราว และห้องโถงเสริมทางด้านขวาถูกใช้สำหรับการประชุมเรื่องสำคัญ ๆ ที่ฉินเย่ต้องเข้าร่วมด้วยตัวเอง ส่วนในช่วงที่ไม่มีการประชุม มันจะถูกใช้โดยเหล่าคณะกรรมการหมู่บ้านของยมโลกแทน
ผู้ตรวจสอบอดีตกรรมจำนวน 300 กว่าตนนั่งเรียงกันอยู่ที่หน้าประตูนรก ในขณะที่โรงพิมพ์ธนบัตรกลางของยมโลกได้ครอบครองพื้นที่บริเวณด้านหลังของรูปปั้นของพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์เป็นการชั่วคราว
หากพูดอีกนัยหนึ่งก็คือ พื้นที่ทุกตารางนิ้วภายในประตูนรกล้วนถูกใช้งานอย่างเต็มที่เนื่องจากตอนนี้พวกเขายังไม่มีทางเลือกอื่น อาคารราชการ ศาลาหมู่บ้าน และอาคารของหน่วยงานต่าง ๆ ยังคงอยู่ภายใต้การก่อสร้าง และอย่างเร็วที่สุด… พวกมันก็น่าจะพร้อมใช้งานในปีหน้า
กระทรวงการคลัง กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงคมนาคม กระทรวงกลาโหม กระทรวงการเมือง กระทรวงธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงศึกษาธิการ และป้ายพร้อมกับโล่… ทุกอย่างล้วนถูกติดไว้ที่รอบห้องโถงเสริมฝั่งซ้ายมือ และแต่ละกระทรวงก็ถูกแยกออกจากกันด้วยฉากกั้นที่ถูกสร้างขึ้นอย่างลวก ๆ จากไม้ฮวงหัวลี่เท่านั้น รัฐบาลของพวกเขาไม่ได้ใหญ่มาก และแต่ละกระทรวงก็มีข้าราชการอยู่ไม่เกินสิบคน
วันที่ 15 สิงหารคม กู่ชิงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอด ในที่สุดเขาก็สำรวจพื้นที่และวางแผนงานทั้งหมดเสร็จสิ้น หลังจากนั้นเขาก็เริ่มทุ่มเทให้กับงานออกแบบอาคารหลัก ๆ ที่ยมโลกจำเป็นต้องมีอย่างรวดเร็ว
วันที่ 22 สิงหารคม เหลือเวลาอีกแค่หกวันเท่านั้นก่อนที่จะถึงพิธีอัญเชิญมหาสมบัติชิ้นแรกของยมโลก โนบูนางะเองก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจมากก็คือจำนวนวิญญาณที่เข้ามาเกณฑ์ทหารมีถึงหมื่นตน ! หนึ่งในสิบของจำนวนประชากรวิญญาณทั้งหมด ! นี่มันเป็นเหมือนฝันที่เป็นจริงชัด ๆ!
เพราะท้ายที่สุดแล้วยุคสมัยแห่งความรุ่งโรจน์ของอำนาจทางการทหารก็สอดคล้องไปกับยุคสมัยแห่งความรุ่งโรจน์ของชาติ
รายงานมากมายถูกเผาจากยมโลกและส่งมาให้ฉินเย่ที่อยู่ในแดนมนุษย์เพื่อขอการอนุมัติจากเขา ตลอดทั้งเดือน ไม่มีวิญญาณตนใดที่ว่างงานเลยแม้แต่ตนเดียว และเพียงชั่วพริบตา วันที่ 28 สิงหาคมก็มาถึง
พิธีอัญเชิญมหาสมบัติชิ้นแรกของยมโลก
“พร้อมหรือไม่ ?” ฉินเย่ตรวจดูตัวเองในกระจกขณะที่ติดกระดุมเสื้อของตน วันนี้… เขาและอาร์ทิสจะปรากฏตัวต่อหน้าพลเมืองทั้งหมดในสถานะของยมทูต
“พร้อม” ศาสตราจารย์หลี่และศาสตราจารย์อันยืนรอทั้งคู่อยู่ด้านนอก ฉินเย่เอ่ย “พวกเจ้าตัดสินใจได้หรือยังว่าพวกเราควรจะอัญเชิญกองทัพใดในห้ากองทัพไร้เทียมทานมา ?”
ศาสตราจารย์ทั้งสองสบตากันก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างพร้อมเพรียง “ทัพเกราะทมิฬ !”
ฉินเย่ชะงักไปครู่หนึ่ง เขาไม่คิดว่าชายสูงวัยทั้งสองจะเลือกทัพเกราะทมิฬ ราวกับรับรู้ถึงความสงสัยของเด็กหนุ่ม ทั้งคู่รีบอธิบายทันที “นายท่าน ท่านโอดะบอกพวกเราว่าอีกไม่นานจะมีการสร้างชุดเกราะหนักจำนวนมาก และทัพเกราะทมิฬก็ขึ้นชื่อในเรื่องของความแข็งแกร่ง เปรียบได้กับรถถังในสงครามสมัยใหม่ ในหมู่ห้ากองทัพไร้เทียมทาน ทัพเกราะทมิฬนั้นเหมาะกับชุดเกราะหนักที่ท่านโอดะพูดมากที่สุด”
ฉินเย่พยักหน้า “อาร์ตี้ ท่านคิดว่าอย่างไรหากเราจะอัญเชิญสมุดแห่งความเป็นตาย อัญเชิญทัพเกราะทมิฬ จากนั้นถึงขยายดินแดนของยมโลก ?”
“ไม่ต้องห่วง” เสียงของอาร์ทิสดังมาจากขื่อที่อยู่ด้านบน “การแสดงนี้จะถูกสลักอยู่ในความทรงจำของพวกเขาไปตลอดกาล แม้แต่ข้าเองก็ไม่เคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับสิ่งที่เจ้าเพิ่งพูดมาเลยสักครั้ง… ดังนั้นวิญญาณเหล่านี้ควรจะขอบคุณดวงดาวนำโชคของพวกเขาที่ทำให้พวกเขาได้เห็นทั้งสามสิ่งนี้พร้อมกัน !”