ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 302: การขยายตัวครั้งใหญ่ครั้งแรกของยมโลก (1)
บทที่ 302: การขยายตัวครั้งใหญ่ครั้งแรกของยมโลก (1)
ฉินเย่แย้มยิ้มบางและมองภาพตรงหน้าขณะที่เสียงของประชาชนดังก้องไปทั่วฟ้า เขาก้มหน้าลงเล็กน้อยและกระซิบเบา ๆ “เป็นอย่างไรบ้าง ? การแสดงทางการเมืองของข้าไม่เลวเลยใช้หรือไม่ ?”
เสียงของอาร์ทิสตอบกลับมาให้ได้ยินภายในหัว “ดีมาก… ข้าสามารถพูดได้เลยว่าเจ้าเกิดมาเพื่อเป็นนักการเมืองโดยเฉพาะ มันไม่เหมือนกับเจ้าในเวลาปกติเลยสักนิด”
ฉินเย่ยิ้มและดึงสายตากลับมา
ใช้แล้ว… มันไม่เลวเลยจริง ๆ แต่… ข้าคิดว่ามันยังไม่พอ !
มันยังเหลือการแสดงบทสุดท้ายอีกบทหนึ่ง !
“ทุกคน” เสียงของเขาดังก้องไปทั่วฟ้า “อยู่ในความสงบ ต่อไป พวกเราจะเข้าสู่ช่วงสุดท้ายของพิธีอัญเชิญมหาสมบัติ…”
วิญญาณทั้งหมดเงียบเสียงลงในฉับพลัน พวกเขาต่างมองไปที่ฉินเย่ด้วยสายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความคาดหวัง พิธีอัญเชิญมหาสมบัติได้มองความมั่นใจและความเชื่อมั่นให้กับพวกเขา และพวกเขาก็อยากรู้เป็นอย่างมากว่าฉินเย่ได้เตรียมสิ่งใดไว้ให้พวกเขาอีก พวกเขาแทบรอไม่ไหวที่จะความน่าตกตะลึงของ ‘ของชิ้นต่อไป’
ฉินเย่เว้นช่วยให้ประชากรของเขาตื่นเต้นเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยต่อในท้ายที่สุด “ยมโลกในเวลานี้มีพื้นที่เพียงห้าตารางกิโลเมตรเท่านั้น แต่นั่นเป็นสิ่งที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เมื่อใดก็ตามที่พวกเรานำมหาสมบัติพื้นฐานของยมโลกกลับมา หรือเมื่อยมโลกพัฒนาไปถึงจุด ๆ หนึ่ง มันก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงและการขยายตัวครั้งใหญ่โดยอัตโนมัติ”
หัวใจของหยินเซี่ยงหนานเต้นแรงขึ้นทันทีที่เขาได้ยินเช่นนั้น
ยมโลกในตอนนี้ถือว่าใหญ่หรือไม่ ?
ก็อาจจะถือว่าใหญ่หากมันถูกสร้างขึ้นมาเพื่อวิญญาณเพียงตนเดียว แต่หากต้องบรรจุวิญญาณนับแสน มันก็ถือว่าเล็กมาก
ตอนแรกเขาคิดว่ามันมีเท่านี้ ยมโลกไม่สามารถขยายใหญ่ไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว ทุกอย่างจะเป็นเช่นนี้ตลอดไป ถูกปกคลุมด้วยท้องฟ้าอันมืดมิด เต็มไปด้วยดวงไฟนรกที่ลอยไปมาในอากาศอย่างไร้จุดหมาย และพร้อมด้วยเสียงของสายลมที่พัดผ่านไปทั่วดินแดน แต่ตอนนี้ ทั้งหมดนั้นกับพังทลายลงด้วยคำพูดเพียงประโยคเดียวของท่านจ้าวนรกผู้น่านับถือของเขา
อ่าา… นี่เราสามารถคาดหวังได้หรือไม่ว่าวันหนึ่งยมโลกจะเปลี่ยนเป็นดินแดนที่เราสามารถท่องเที่ยวไปยังที่ต่าง ๆ ได้ ?
มันจะมีภาพทิวทัศน์ที่สวยงามอย่างภูเขาและแม่น้ำ หรือจุดชมวิวเหนือพื้นที่ราบของยมโลกหรือเปล่า ?
และมันก็ไม่ใช่เพียงเด็กหนุ่มเท่านั้นที่เริ่มคิดถึงสิ่งต่าง ๆ เพราะอย่างไรแล้ว เหล่าคนหนุ่มสาวก็มักจะเรียกร้องหาการผจญภัยและการสำรวจดินแดนใหม่ ๆ ดวงตาของพวกเขาเปล่งประกายขึ้นทันทีที่ได้ยินประโยคนี้ คนทั้งหมดเงยหน้ามองฟ้าด้วยความคาดหวัง
ฉินเย่เข้าใจความหมายของประกายในแววตาของประชากรของตน เขารีบหันไปพยักหน้าให้อาร์ทิส ส่งสัญญาณบอกว่านางควรจะเริ่มลงมือได้ เพราะสุดท้ายแล้ว คำถามเหล่านั้นก็ควรปล่อยให้ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์มากมายเป็นผู้ตอบ
ศีรษะขนาดที่ลอยอยู่ในอากาศพยักหน้าเล็กน้อยและหันไปมองวิญญาณทั้งหมด “แดนมนุษย์นั้นมีภูมิทัศน์และลักษณะทางภูมิศาสตร์ที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละสถานที่ ยมโลกเองก็เช่นกัน แต่ละเมืองมีลักษณะทางภูมิศาสตร์และแม้แต่วัฒนธรรมเป็นของตนเอง สถานที่ที่พวกเราทั้งหมดอยู่ในตอนนี้เป็นเพียงเมืองหลวงชั่วคราวของยมโลกแห่งใหม่เท่านั้น และปัจจุบันมันก็ตั้งอยู่ในเขตของเมืองเป่าอัน เมื่อยมโลกขยายตัว จำนวนเมืองที่อยู่ภายใต้รัฐบาลกลางของเราก็จะขยายขึ้น โดยแต่ละแห่งจะอยู่ตามส่วนต่าง ๆ ของจีน หลายสิ่งหลายอย่างที่พวกเจ้าคิดไม่ถึงจะปรากฏขึ้นตามเวลาของมัน คำถามก็คือว่า ‘เมื่อใด’ เท่านั้น”
จากนั้น ราวกับกำลังครุ่นคิดถึงอดีต นางเหลือบตามองท้องฟ้าที่กว้างใหญ่และเอ่ยต่อ “ในตอนแรกที่ยมโลกแห่งเก่าขยายตัวไปในชวีฟู่ [1]แผ่นจารึกนับหมื่นปรากฏขึ้นมาจากพื้นดิน ทั้งหมดเกิดจากม้วนไม้ไผ่จำนวนมาก ในเวลานั้น ท่านจ้าวนรกองค์ที่สองของยมโลกเป็นผู้ตั้งชื่อพื้นที่แห่งนั้นว่าเป็นบ้านเกิดของขงจื๊อ และมันก็กลายเป็นที่รู้จักในฐานะของสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในมณฑลซานตง ศาลไม้ไผ่แห่งขงจื๊อ ทั้งสถานที่กินพื้นที่กว่า 50,000 ตารางฟุต”
“จากนั้น เมื่อยมโลกแห่งเก่าขยายไปถึงมณฑลหนานเหอ ทะเลสาบที่มีความยาวกว่าล้านเมตรปรากฏขึ้นอย่างไม่มีที่มาที่ไป มีแม้กระทั่งภูเขาที่ยื่นออกมาจากส่วนต่าง ๆ ของทะเลสาบ ในขณะที่ส่วนที่เหลือของสายน้ำยังคงนิ่งสนิทจนดูไม่ต่างอะไรกับกระจกแผ่นใหญ่ มันถูกตั้งชื่อว่า กระจกสะท้อนเงา มันคือดินแดนลึกลับ สถานที่ซึ่งพวกเจ้าไม่มีทางได้เห็นในแดนมนุษย์”
“…และเมื่อยมโลกขยายไปถึงน้ำตกหูโข่ว พื้นดินสั่นไหวอย่างรุนแรง รอยแตกขนาดใหญ่ห้ารอยปรากฏขึ้นบนพื้น โดยแบ่งเป็นชั้นที่มีระดับลดหลั่นกันลงไป ก่อตัวเป็นน้ำตกที่มีความสูง 342 เมตร น้ำตกห้าชั้นนั้นยิ่งใหญ่อย่างที่ไม่เคยมีให้เห็นในแดนมนุษย์ แม้แต่ขั้นตุลาการนรกที่ยืนอยู่เบื้องหน้าของมันต่างก็ต้องรู้สึกว่าตนนั้นตัวเล็กเพียงฝุ่นผง”
“…และเมื่อยมโลกขยายไปถึงจิ่วจ้าย [2] แดนสวรรค์ได้ถือกำเนิดขึ้นในนรก มันคือสวรรค์ สถานที่แห่งเดียวในยมโลกที่คล้ายกับทัศนยภาพที่สวดงามที่สุดในแดนมนุษย์ ลำธารเก้าสีที่มีกวางศักดิ์สิทธิ์อาศัยอยู่ ภูเขาแต่ละลูกจะมีสีที่แตกต่างกันออกไป… และนี่ยังไม่ได้พูดถึงหุบเขาที่ตั้งอยู่ในมณฑลไห่หนานที่รู้จักในชื่อ ‘ขุมนรกแห่งการลงทัณฑ์ทั้ง 19’ ‘เขตสามอาณาจักร’ ในเขตหนานเตี้ยน มณฑลยูนนาน และยัง ‘น้ำแข็งนิรันดร์’ ที่โด่งดังของสามมณฑลทางตะวันออก… ทัศนียภาพและสินค้าจากแต่ละพื้นที่ของยมโลกล้วนแตกต่างจากแดนมนุษย์อย่างสิ้นเชิง”
ลมหายใจของวิญญาณด้านล่างร้อนและถี่รัวขึ้นในทันที
มนุษย์นั้นหวาดกลัวในสิ่งที่ตนไม่รู้ แต่พวกเขาก็สนุกกับการครุ่นคิดถึงความเป็นไปได้ที่ไม่รู้จบเช่นกัน
อาร์ทิสเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่น้ำเสียงเย็นยะเยือกจะเอ่ยออกมา “เวลานี้ การอัญเชิญมหาสมบัติชิ้นแรกของยมโลกนั้นมาพร้อมกับการขยายครั้งใหญ่ ! พวกเจ้าทุกตน… จงอย่าตื่นตกใจ นี่คือภาพที่พวกเจ้าอาจมีโอกาสได้เห็นเพียงแค่ครั้งเดียวในชีวิตแห่งความตายของตนเอง… แม้แต่ตัวข้าเองก็ไม่เคยได้รับเกียรตินี้มาก่อนเช่นกัน…”
ทุกคนยังคงนิ่งเงียบ
สิ่งเดียวที่เหลืออยู่มีเพียงจังหวะหายใจที่ติดขัดของเหล่าวิญญาณที่อยู่โดยรอบ เพราะสิ่งพวกเขาทั้งหมดเห็น !
ด้วยทันทีที่อาร์ทิสพูดจบ ยมโลกแห่งใหม่ก็เกิดการสั่นไหวเล็กน้อย แถวอักขระภาษาสันสกฤตสีทองปรากฏบนร่างของนางราวกับริบบิ้นที่พุ่งไปยังสมุดแห่งความเป็นตายที่ลอยอยู่เหนือประตูนรกซึ่งเป็นตำแหน่งของหมิงชีหยิน ทันใดนั้น พรมแดนของยมโลกที่เคยถูกปิดล้อมด้วยกำแพงพลังหยินที่หนาแน่นก็เริ่มสั่นไหว !
“ฮ่า– !!” อาร์ทิสตะโกนออกมาเสียงดัง และสมุดแห่งความเป็นตายพลันระเบิดพลังหยินที่หนาแน่นอย่างไม่สามารถหาที่เปรียบได้ออกมา ฉินเย่มองภาพที่เกิดขึ้นอย่างตกตะลึง และเขาก็พบว่าคลื่นพลังหยินดังกล่าวนั้นหนาแน่นจนทำให้หัวของเขาตื้อไปหมด !
ไม่ใช่เพราะปริมาณที่มากมายมหาศาล แต่เพราะคุณภาพของพลังที่หลั่งไหลออกมา !
ตั้งแต่จนถึงตอนนี้ แหล่งพลังหยินที่รุนแรงที่สุดที่เขาเคยประสบมามีเพียงพลังหยินที่หลั่งไหลออกมาจากร่างของตี้ทิง แต่พลังหยินที่ไหลออกมาจากสมุดแห่งความเป็นตายนั้นบริสุทธิ์กว่าพลังหยินของตี้ทิงเสียอีก !
กึก กึก กึก กึก… เกิดเสียงอื้ออึงดังก้องไปทั่ว จากนั้น กำแพงพลังหยินทั้งหมดก็ค่อย ๆ ลดลง หนึ่งวินาทีต่อมา สมุดแห่งความเป็นตายก็ระเบิดแสงสีทองที่สุกสว่างมากกว่าที่เคยออกมา มันสว่างจนทำให้วิญญาณทั้งหมดต้องหลับตาลงอย่างช่วยไม่ได้
หากบอกว่าความสว่างของสมุดแห่งความเป็นตายเมื่อครู่นี้เป็นเหมือนกับดวงอาทิตย์ที่ขึ้นทางทิศตะวันออก การระเบิดแสดงสว่างครั้งนี้ก็เปรียบได้กับพลังแสงที่ระเบิดออกมาของบิกแบง คนละระดับกันอย่างสิ้นเชิง !
แสงสว่างตรงหน้าเป็นประกายพร่างพราว แต่เมื่อแสงนั้นจางหายไปและฉินเย่ลดมือของตนลง เขาก็พบว่า… ภาพเบื้องหน้าของเขามีสีซีดสนิท
มันเหมือนกับว่าเขาเปิดตามาเพื่อพบว่ามีเพียงแต่ตัวเองเท่านั้นที่เหลืออยู่บนโลก ทุกอย่างโดยรอบถูกปกคลุมด้วยกลุ่มก้อนพลังหยินที่ลอยไปมาราวกับกระแสน้ำ เสียงฟ้าร้องดังขึ้นจากที่ไกล ๆ ราวกับมีบางอย่างกำลังคลืบคลานเข้ามา
“ไม่ต้องกังวล” เสียงของอาร์ทิสดังขึ้นภายในหัวของเขา “แสงศักดิ์สิทธิ์จากสมุดแห่งความตายได้สาดส่องไปทั่วยมโลกและทำลายกำแพงพลังหยินที่ควบคุมเขตแดนของยมโลก กระบวนการทั้งหมดจะใช้เวลาประมาณ 20 นาที จากนั้น เมื่อยมโลกขยายตัวมากขึ้น จากเมืองเป็นนคร และไปสู่ระดับมณฑล การขยายแต่ละครั้งก็อาจจะใช้เวลายาวนานยิ่งขึ้น ตั้งแต่สองสามวันไปจนถึงหนึ่งเดือน…”
วินาทีนั้น ทั้งฉินเย่และอาร์ทิสต่างชะงักและเงยหน้าขึ้นมามองด้วยความตกใจเป็นอย่างมาก
ไม่… มีบางอย่างไม่ถูกต้อง !
บางสิ่งบางอย่างในหมอกดำ… กำลังจ้องมองมาที่เรา !
เมื่อครู่นี้ ตอนที่สมุดแห่งความเป็นตายเปล่งแสงออกมา พวกเขาสัมผัสได้ถึงการตื่นขึ้นของบางสิ่งบางอย่าง… แม้ว่าจะลำบากอย่างมากก็ตาม ยิ่งกว่านั้น พวกเขายังสามารถบอกได้ด้วยว่าตัวตนที่เพิ่งตื่นขึ้นนั้น… กำลังจ้องมาที่พวกเขาอยู่ตอนนี้
“พลังนี้… นะ นี่… หรือว่า…” แม้แต่หมิงชีหยินก็อดไม่ได้ที่สั่นเทา “นี่มัน… ท่านตี้ทิง ?!”
“เวรแล้ว…” อาร์ทิสอ้าปากค้าง ขนลุกไปทั้งร่าง “ท่านตี้ทิงจะตื่นขึ้นก็ต่อเมื่อสัมผัสได้ถึงพลังหยินที่บริสุทธิ์มาก ๆ …ท่านคงจะสัมผัสได้ถึงการกลับมาของสมุดแห่งความเป็นตาย และพยายามทำทุกทางเพื่อให้ตนตื่นขึ้นจากการหลับใหลเป็นแน่…”
ฉินเย่ที่ได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกว่าหัวสมองของตนตื้อชาไปหมด ตี้ทิงนั้นน่ากลัวเพียงได้ ?! เมื่อได้เคยเผชิญหน้าด้วยครั้งหนึ่ง เขาก็ไม่เคยคิดที่จะเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายอีกเลย แต่ใครจะไปคิดว่าตัวตนที่ทรงพลังเช่นนั้นจะตื่นขึ้นมาในเวลานี้ !
พลังหยินที่เป็นเอกลักษณ์นั้นให้ความคุ้นเคยเกินไป มันแข็งแกร่งจนไม่สามารถต้านทานได้ แต่มันก็ยังเห็นได้ชัดว่าตี้ทิงยังไม่ตรวจพบถึงการมีอยู่ของพวกเขา มันแค่กำลังพยายามค้นหาอยู่เท่านั้น !
“มันพยายามจะทำอะไร ?” ลำคอของเด็กหนุ่มรู้สึกแห้งผาก เขากระวนกระวายเป็นอย่างมาก เตรียมพร้อมที่จะหนีกลับไปยังแดนมนุษย์ทุกเมื่อ “มัน… พยายามจะจู่โจมเราอย่างนั้นหรือ ?”
ตอนนี้ไม่มีใครมองเขาอยู่ เพราะฉะนั้นมันก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องรักษาท่าทีนิ่งสงบอีกต่อไป !
“เจ้าคิดว่าตัวเองจะสามารถหนีไปได้อย่างนั้นหรือ ?” อาร์ทิสแย้มยิ้มเย้ยหยัน “พวกเรากำลังแย่งพลังมาจากท่านตี้ทิง จากการคาดการณ์ของเราในครั้งที่แล้ว เขาน่าจะตื่นขึ้นอีกครั้งหลังจากที่ผ่านไปอย่างน้อย 500 ปี หรืออาจจะ 800 ปีหากเราโชคดีพอ และเขาก็จะต้องโกรธเราเป็นอย่างมากแน่ ๆ เพราะฉะนั้น แทนที่จะหนี ทำไมเราไม่เผชิญหน้ากับเขาโดยตรงเสียเลยเล่า ?”
“…ขอโทษด้วย พอดีข้าเพิ่งนึกได้ว่าตัวเองต้มสตูว์ไว้ที่บ้าน น่าเสียดายที่บ้านยังไม่ได้ทำประกันด้วย เพราะฉะนั้นข้าคงต้องขอตัวก่อน…” สิ้นสุดเสียงพูด ฉินเย่ก็เริ่มใส่พลังเข้าไปในเศษตราจ้าวนรกที่อยู่ในมือ
แต่ก่อนที่มันจะทำงาน ดวงตาสีทองก็ปรากฏขึ้นในหมอกดำ หากไม่ใช่เพราะข้อเท็จจริงที่ว่าพวกมันกำลังจ้องมาที่เขาเขม็ง เขาก็คงคิดไปแล้วว่ามันคือดวงดาวที่ส่องสว่างอยู่บนฟ้า
“ไม่มีที่ให้หนีแล้ว” พร้อมกับการถอนหายใจที่ยาวเหยียด เส้นผมสีดำสนิทของอาร์ทิสพุ่งไปที่หมอกดำและรัดร่างของฉินเย่เอาไว้ “ช่องว่างระหว่างเราและท่านตี้ทิงนั้นมากเกินไป หากเขายอมจ่ายสิ่งทดแทน เขาก็ยังสามารถบดขยี้เราเหมือนมดตัวหนึ่งได้อยู่ดีต่อให้เราจะหลบซ่อนอยู่ในแดนมนุษย์ก็ตาม ความตายเกิดขึ้นในชั่วพริบตา นอกจากนี้… ไม่ช้าก็เร็ว อย่างไรพวกเราก็ต้องเผชิญหน้ากับท่านอยู่แล้ว ดังนั้นทำไมเราถึงไม่กัดฟันและลุยตอนนี้เลยเล่า ? อย่างไรเสียง… ความเสี่ยงในเวลานี้ก็ต่ำมากอยู่แล้ว”
“ท่านบอกว่าความเสี่ยงต่ำอย่างนั้นหรือ ?! ไม่ใช่ในมาตรฐานของข้าแน่ ! ได้โปรด ฟังข้าหน่อยเถอะ… หากท่านไม่สามารถจัดการเขาได้ มันก็ไม่มีอะไรที่จะดีไปกว่าการวิ่งหนีอีกแล้ว–… เดี๋ยว ! นี่ท่านจะทำอะไร ?! ท่าน—…”
ก่อนที่จะพูดจบประโยค เส้นผมที่รัดรอบตัวของเขาอยู่ก็ดึงเขาอย่างแรง จนกระทั่งร่างทั้งร่างของเด็กหนุ่มจมลงสู่ส่วนลึกของยมโลก
ฉินเย่ไม่ได้รับแม้แต่โอกาสที่จะได้สบถออกมาเสียงดัง สายลมกระโชกแรงพัดผ่านขณะที่เขาตกลงไปยังส่วนลึกของนรก แทบจะเหมือนกับว่าเขาได้เดินทางไปยังข่มนรกแห่งการลงทัณฑ์ทั้ง 18 ภายในชั่วพริบตา จากนั้น เมื่อเขาหยุดลง เด็กหนุ่มกลับมาอยู่บริเวณด้านล่างของยมโลกอีกครั้ง
“จะบ้าตาย ! สักวันข้าจะฆ่าท่านให้ได้ !!” กระดูกสันหลังของฉินเย่เย็นวาบ เขากัดฟันและสบถออกมาขณะที่มองไปรอบ ๆ อย่างหวาดระแวง
ที่นี่ไม่มีหมอกพลังหยินอยู่เลยแม้แต่นิดเดียว
ผืนดินที่มืดมิดและน่าสยดสยองนี้อยู่ใต้ยมโลกแห่งใหม่ ในขณะที่กลุ่มก้อนพลังหยินที่ไร้จุดสิ้นสุดทั้งหมดลอยขึ้นไปบรรจบกันเป็นยมโลกราวกับว่าสายน้ำหลายสายที่มารวมตัวกันจนเกิดเป็นน้ำตกขนาดใหญ่
เปลวไฟนรกจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งออกมาจากพลังหยินทั้งหมดราวกับริบบิ้นแห่งแสง แต่งแต้มน้ำตกที่พุ่งขึ้นด้วยแสงสว่างมากมาน มีบางครั้งที่เหล่าวิญญาณชะโงกหน้าออกมาจากไอน้ำเหล่านี้ ครวญครางและร้องโหยหวนมาจากขุมนรกแห่งการลงทัณต์ เป็นทำให้ฉินเย่เสียววาบไปตามกระดูกสันหลังได้อย่างง่ายดาย
แต่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือจะเป็นดวงตาวาวโรจน์ที่กำลังจ้องมาที่พวกเขาทันทีที่พวกเขามาที่นี่ จากนั้นมันก็ตามมาด้วยเสียงอู้อี้เบา ๆ ราวกับมีใครบางคนกำลังสั่นเกราะของตน
แต่ฉินเย่รู้ดี มันคือเสียงเกล็ดของท่านตี้ทิง…
เด็กหนุ่มลอบกลืนน้ำลายอย่างเป็นกังวล เขาสูดหายใจเข้าช้า ๆ และก้มลงด้วยความหวาดกลัว
มันดูเหมือนกับมหาสมุทรพลังหยิน เว้นแต่ร่างของตี้ทิงซึ่งนอนอยู่ ณ จุดกึ่งกลางของพื้นที่ทั้งหมด ราวกับมังกรที่ยิ่งใหญ่ ร่างของมันมีพลังหยินเล็ดลอดออกมาเป็นครั้งคราว ซึ่งส่วนใหญ่แล้วถูกดูดซับโดยยมโลกที่ลอยอยู่ด้านบน ในขณะนี้ ตี้ทิงได้ตื่นจากการหลับใหลของมันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และมันก็กำลังจ้องมาที่ฉินเย่และอาร์ทิสด้วยดวงตาสีทองของมัน
ฉินเย่รู้สึกได้เลยว่าลำคอของเขาแห้งมากกว่าเดิม เขาแย้มยิ้มออกมาอย่างประจบก่อนจะโบกมือให้ตี้ทิงอย่างแข็งทื่อ “ไง ?”
กรรรร !!! อีกฝ่ายตอบกลับมาด้วยเสียงคำรามแห่งความโกรธเกรี้ยว ส่งผลให้ทะเลพลังหยินที่อยู่ด้านล่างสั่นไหวอย่างรุนแรง พลังหยินกระจัดกระจายไปทั่วทุกแห่ง ลูกไฟนรกจำนวนมากที่ลุกโชนอยู่ดับไปในทันที แต่หลังจากนั้น ตี้ทิงก็ไอออกมาอย่างรุนแรง และร่างของมันที่พยายามพยุงตัวขึ้นมาก่อนหน้านี้ก็ล้มลงกับพื้นอีกครั้ง
“อรากษส !!!” เสียงทรงอำนาจดังขึ้นด้วยความโกรธเกรี้ยวขณะที่ตี้ทิงจ้องทั้งคู่เขม็ง “เจ้าคือตุลาการนรกของยมโลก ! กล้าดีอย่างไรถึงลอบโจมตีอสูรศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้ ?! เจ้าไม่กลัวที่จะถูกลงโทษโดยท่านจ้าวนรกเลยหรืออย่างไร ?!”
[1] บ้านเกิดของขงจื๊อ
[2] สถานที่ท่องเที่ยวสุดดึงดูดใจและสะกดสายตา อุทธยานธารสวรรค์ หุบเขาจิ่วจ้ายโกว