ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 303: การขยายตัวครั้งใหญ่ครั้งแรกของยมโลก (2)
บทที่ 303: การขยายตัวครั้งใหญ่ครั้งแรกของยมโลก (2)
ตี้ทิงพูดภาษาเรา ?
สัญชาตญาณแรกของฉินเย่ก็คือบรรเทาความตึงเครียดของสถานการณ์ “โปรดอย่าอารมณ์เสียมากนักที่รัก มันจะไม่ดีกับตับ พวกเราเองก็ไม่มีทางเลือกอื่นเช่นกัน…”
เทียบกับครั้งที่แล้วที่พวกเขามาที่นี่ มันเห็นได้ชัดเลยว่าบาดแผลบนร่างของตี้ทิงนั้นดีขึ้นเล็กน้อย แต่มันก็เป็นเพียงน้ำหนึ่งหยดในมหาสมุทรเท่านั้น
“นายท่าน” อาร์ทิสโค้งคำนับอีกฝ่ายอย่างเคารพ “อดีตตุลาการนรกแห่งหมินเฟิง อรากษส ผู้ที่มากับข้าคือจ้าวนรกองค์ที่สามของยมโลก พวกเรามาที่นี่ในวันนี้เพื่อแสดงความเคารพต่อท่าน”
ฉินเย่ได้ยินเสียงกัดฟันที่ดังขึ้นได้อย่างชัดเจน ดวงตาข้างหนึ่งที่ลืมขึ้นของตี้ทิงกวาดสายตามองอาร์ทิสอย่างเฉยเมยก่อนจะเปลี่ยนมามองเขาอย่างจับสังเกต
แข็งแกร่ง… ร่างทั้งร่างของเขาถูกห่อหุ้มด้วยความรู้สึกเย็นยะเยือก เม็ดเหงื่อเย็นผุดพรายขึ้นบนหน้าผากและไหลลงมาข้างแก้ม ยิ่งศัตรูตรงหน้าแข็งแกร่งมากเท่าไหร่ ช่องว่างที่เขาสัมผัสได้ก็จะยิ่งกว้างมากขึ้นเท่านั้น เด็กหนุ่มรู้สึกตนนั้นไม่ต่างอะไรกับทารกแรกเกิดเมื่อต้องเผชิญหน้ากับตี้ทิงในตอนนี้
เขารู้สึกเหมือนตัวเองกำลังแก้ผ้าเปลือยเปล่าต่อหน้าของอีกฝ่าย
หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ ตี้ทิงก็เอ่ยขึ้นในที่สุด “จ้าวนรกองค์ที่สามของยมโลก…” จากนั้น ก่อนที่ฉินเย่จะได้ตอบอะไรออกไป จิตสังหารอันรุนแรงก็แผ่ออกมาราวกับคลื่นสึนามิที่สาดซัดไปทั่วดินแดน !
“เจ้าได้ขออนุญาตจากข้าหรือยัง ?”
“ผู้ใดอนุญาตให้มนุษย์ธรรมดาเรียกตนเองว่าจ้าวนรกองค์ที่สามแห่งยมโลก ?!”
“เจ้าคิดว่าตัวเองมีระดับพลังการบ่มเพาะที่ไร้เทียมทานเฉกเช่นจ้าวนรกองค์ที่สองหรืออย่างไร ?! ฮ่า ๆๆ…” ตี้ทิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่มีพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่จนทั้งอาร์ทิสและฉินเย่ต้องถอยห่างออกมาจากเดิมสิบเมตร อสูรร่างใหญ่เอ่ยต่อ “เจ้า… ตุลาการนรก… กล้าดีอย่างไรถึงทำร้ายอสูรศักดิ์สิทธิ์ของยมโลก ! ความผิดที่ไม่สามารถให้อภัยได้… และข้า… ก็จะไม่มีทางยอมรับขยะไร้ค่าอย่างมนุษย์ผู้นี้ในฐานะของจ้าวนรกองค์ที่สามเป็นอันขาด !”
“รอก่อนเถอะ… เมื่อใดก็ตามที่ข้าตื่นขึ้นจากการหลับใหลอย่างแท้จริง… ข้าจะทำให้เจ้าได้รู้ถึงผลลัพธ์ที่จะตามมาของการกระทำเหล่านี้… ขุมนรกแห่งการลงทัณฑ์ทั้ง 18 ก็ไม่เพียงพอสำหรับการล่วงละเมิดของเจ้า… ข้าจะเป็นผู้มองดูเจ้าถูกลงโทษด้วยขี้ผึ้งน้ำมันมนุษย์และถูกเนรเทศไปยังทะเลวิญญาณอันไร้ขอบเขต ที่ซึ่งเจ้าจะสร้างแสงสว่างให้กับคนกรรเชียงเรือไปชั่วนิจนิรันดร์…”
“ท่านตี้ทิง โปรดระมัดระวังคำพูดของท่านด้วย” เสียงที่เอ่ยออกมาของอาร์ทิสเปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือก “ตำแหน่งจ้าวนรกนั้นไม่เคยอยู่ภายใต้การแต่งตั้งของผู้มีอำนาจใด ๆ แม้แต่พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ก็ไม่กล้าพูดในสิ่งที่ท่านเพิ่งพูดออกมา…”
ครืดด… ตี้ทิงข่วนกรงเล็บของมันไปบนพื้นจนเกิดเป็นรอยลึกหลายรอย เสียงของมันสั่นเทาด้วยความโกรธ “ข้าจะไม่ยอมฟังเรื่องไร้สาระพวกนี้แน่…”
“รีบยกยมโลกแห่งใหม่ออกจากข้าเดี๋ยวนี้ ! ไม่เช่นนั้น…”
“ไม่เช่นนั้นจะทำไม ?” อาร์ทิสโค้งให้อีกฝ่ายอีกครั้ง “สมุดแห่งความเป็นตายอยู่ในมือของเราแล้ว และท่านก็ไม่สามารถทำอะไรเราได้จนกว่าท่านจะหายดี นอกจากนี้ ท่านตี้ทิง ท่านพึงรู้เอาไว้ด้วยว่าพวกเราไม่ได้สร้างยมโลกขึ้นเหนือท่านเพียงเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว…”
อาร์ทิสพยายามสบตากับฉินเย่ขณะที่เด็กหนุ่มปฏิเสธอย่างแข็งขืน เมื่อตระหนักได้ว่าความพยายามของตนสูญเปล่า นางก็กัดฟันและตะโกนใส่อีกฝ่ายผ่านกระแสจิต “เลิกลีลาได้แล้ว ! ตี้ทิงไม่ใช่ผู้ที่จะเพิกเฉยต่อตำแหน่งและสถานะ ! ต่อให้การบ่มเพาะของข้าแข็งแกร่งกว่าเจ้า ข้าก็ยังมีตำแหน่งต่ำกว่าเจ้าอยู่ดี ! เพราะอย่างไรแล้ว จนกว่าเจ้าจะสามารถแต่งตั้งให้ข้าเป็นยมทูตของยมโลกแห่งใหม่ได้อย่างเป็นทางการ ข้าก็ไม่ต่างอะไรกับวิญญาณเร่ร่อน ! ท่านตี้ทิงไม่แม้แต่จะสบตากับข้าด้วยซ้ำ !”
“แต่เจ้านั้นแตกต่างออกไป ! ไม่ว่าจะพูดอย่างไร เจ้าก็ยังเป็นว่าที่จ้าวนรกองค์ต่อไปของยมโลก ! มันจะต้องพูดกับเจ้าในฐานะที่เท่าเทียมกัน ! ไม่เช่นนั้นมันก็จะเป็นการทำลายชื่อเสียงของตัวเองในฐานะของอสูรศักดิ์สิทธิ์แห่งยมโลก !”
แต่ ! ข้า ! ไม่ ! อยาก ! คุย !
ฉินเย่ส่ายหน้าไปมาอย่างรุนแรง ใครจะไปอยากคุยกับสัตว์ประหลาดตรงหน้ากัน ?! แล้วบทสนทนาแบบนี้มันน่าสนุกตรงไหน ?! พูดจริง ๆ นะ การหนีกลับบ้านไปต้มสตูว์ยังดีกว่าตั้งเยอะ…
ก่อนที่เขาจะได้เอ่ยอะไรออกไป เส้นผมกระจุกหนึ่งก็พุ่งมารัดตัวของเขาและลากเขาไปยังจุดกึ่งกลางระหว่างอาร์ทิสและตี้ทิง
เงียบ
สถานการณ์ค่อนข้างอึดอัด
จากนั้น หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ฉินเย่ก็โบกมือให้ตี้ทิงอย่างไร้เรี่ยวแรง เม็ดเหงื่อเย็นไหลลงมาข้างแก้ม “หวัดดี ข้า… ข้า…”
“พูด !!!” อาร์ทิสตะโกนผ่านกระแสจิตอีกครั้ง “คิดถึงทุกอย่างที่เกิดขึ้น ! ทั้งหมดที่เราเสียสละไปเพื่อให้ได้มาถึงจุดนี้ ! พูดออกไปด้วยตำแหน่งจ้าวนรกแห่งใหม่ ! และหยุดตัวสั่นสักทีให้ตายเถอะ !”
ฉินเย่ลอบกลืนน้ำลายอย่างเป็นกังวล “ข้า… ข้าชื่อฉินเย่…”
บรรยากาศอึดอัดโดยรอบพลันเปลี่ยนเป็นน่าขายหน้าทันที
อาร์ทิสเงยมองขึ้นฟ้าด้วยความผิดหวังในขณะที่ฉินเย่สุดหายใจเข้าช้า ๆ ขณะที่กำเศษตราจ้าวนรกแน่น ทันใดนั้น เสียงบางอย่างก็ดังขึ้น หัวใจของเขาพลันตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม
มันเป็นเสียงที่เขาเคยได้ยินมาก่อน
คุ้นมาก มันไม่ใช่สิ่งใดอื่นแต่คือเสียงของการสะท้อนเกล็ดของตี้ทิง !
ครั้งที่แล้วที่เขาได้ยินเสียงนี้ก็คือตอนที่อาร์ทิสเกือบจะต้องตายไป และตอนนี้ จากเท่าที่เขาเห็น เกล็ดทั้งหมดบนร่างของตี้ทิงตั้งขึ้น เตรียมพร้อมจะยิงออกมาทุกเมื่อ !
“แฮ่ก… แฮ่ก…” มันหอบหายใจอย่างแรงก่อนจะระเบิดหัวเราะออกมาดังลั่น “จ้าวนรก… ฮ่า ๆๆ! จ้าวนรก !!”
อสูรศักดิ์สิทธิ์ไอออกมาอย่างรุนแรง เลือดสีทองซึมออกมาจากบาดแผลที่เปิดกว้างอีกครั้ง แต่ถึงกระนั้น ใบหน้าของมันในเวลานี้กลับเต็มไปด้วยความดูถูก “เจ้าไม่เหมาะกับคำ ๆ นั้นเลยแม้แต่นิดเดียว”
ทันทีที่มันเอ่ยออกมา อาร์ทิสก็กรีดร้องเสียงดังและเปลี่ยนเป็นร่างจริงอย่างรวดเร็ว ศีรษะขนาดใหญ่ของนางลอยอยู่กลางอากาศขณะที่เส้นผมสีดำสยายไปมาอย่างบ้าคลั่งราวกับงูพิษ ลูกไฟนรกหมื่นดวงปรากฏขึ้นล้อมรอบนางและฉินเย่ ปกป้องทั้งคู่เอาไว้จากด้านใน
“เจ้าคาดหวังสิ่งใด ? แค่มนุษย์ธรรมดาที่กินเห็นเทียนสุ่ยเข้าไปแต่กล้าที่จะขอดำรงตำแหน่งจ้าวนรกของยมโลก ?!” ตี้ทิงเลียริมฝีปากของมันขณะที่ร่างของมันยังคงหายใจหอบที่มีอย่างติดขัด เห็นได้ชัดว่ามันพยายามรวบรวมแรงทั้งหมดที่มีเพียงเพื่อการโจมตีในครั้งเดียว “จ้าวนรก… คือผู้ที่มีอำนาจสูงสุดในหมู่วิญญาณนับหมื่นล้านตน คือบุคคลผู้เป็นวีรบุรุษแห่งภูตผี แต่เจ้า.. มนุษย์ธรรมดา ที่หวาดกลัวจนตัวสั่นเมื่อมาอยู่ต่อหน้าข้า จะสามารถเทียบเท่าจ้าวนรกผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองก่อนหน้าเจ้าได้อย่างไร ?!”
รอยยิ้มประจบประแจงบนใบหน้าของฉินเย่หุบลงในทันใด เขาจ้องเขม็งไปที่อสูรตรงหน้า
“ทำไม ? ไม่พอใจอย่างนั้นหรือ ? เจ็บใจอย่างนั้นหรือ ?” ตี้ทิงเปิดปากและหัวเราะออกมาเสียงดัง เกล็ดบนหลังของมันยังคงตั้งขึ้นอย่างน่าสะพรึงกลัวขณะที่มันยังคงเอ่ยกับฉินเย่อย่างดูถูกเหยียดหยาม “จ้าวนรกองค์แรกนั้นมีพรสวรรค์อันยอดเยี่ยมและเฉลียวฉลาด ส่วนจ้าวนรกองค์ที่สองก็มีระดับการบ่มเพาะที่แข็งแกร่งจนไม่มีผู้ใดสามารถเทียบได้ แล้วเจ้ามีสิ่งใด ?!”
“เจ้าเป็นผู้ใดก็ไม่รู้ ! เป็นแค่มนุษย์คนหนึ่งที่ได้รับโอกาสในการขึ้นครองบัลลังก์โดยบังเอิญ กล้าดีอย่างไรถึงมาพูดต่อรองกับข้า ?!”
ตู้ม !! ครั้งนี้ ตี้ทิงเอ่ยออกมาด้วยกำลังทั้งหมดของมัน และพลังหยินที่อยู่โดยรอบก็ระเบิดออกมาทันที เปลี่ยนสภาพแวดล้อมโดยรอบของพวกเขาเป็นพายุพลังหยินที่รายล้อมด้วยลูกไฟนรกที่ยังคงลุกโชนอยู่โดยรอบ
นี่คือความคิดที่แท้จริงของตี้ทิง
มันไม่เคยคิดที่จะยอมรับฉินเย่เลยแม้แต่น้อย
ไม่ว่าจะในฐานนะใด ! เงื่อนไขใด !
ต่อให้ยมโลกจะล่มสลายไปแล้ว แต่มันก็ยังมีราชทูตทั้ง 12 ให้เลือก หรือไม่ก็ยมทูตที่รอดชีวิตจากการล่มสลายครั้งใหญ่มาได้ ดังนั้นมนุษย์ธรรมดาจะมาเป็นจ้าวนรกได้อย่างไร ?! นี่อีกฝ่ายคิดว่าตัวเองแข็งแกร่งเหมือนจ้าวนรกองค์ที่สองอย่างนั้นหรือ ?!
นอกจากนี้… เจ้ามดตัวจ้อยนี่กล้าดีอย่างไรถึงมาร่วมมือกับตุลาการนรกเพื่อใช้ประโยชน์และแย่งพลังหยินไปจากมัน ?
หากฉินเย่แข็งแกร่งเหมือนจ้าวนรกองค์ที่สอง มันก็คงไม่ว่าอะไร
แต่ชายตรงกน้าเป็นเหมือนกับฝุ่นผงที่ไม่มีค่าอะไรในสายตาของมัน ดังนั้นมันไม่มีทางยอมรับตัวตนของฉินเย่เป็นอันขาด !
ยมโลกมีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 3,000 ปี แล้วมนุษย์ธรรมดา ๆ ตรงหน้าจะมาขึ้นครองบัลลังก์ได้ง่าย ๆ ได้อย่างไร ?!
“อ่า…” ฉินเย่ถูจมูกของตนเองและกระแอมออกมาเสียงแห้ง “เกี่ยวกับเรื่องนั้น… หากท่านไม่พอใจ… ข้า… ลาออกดีหรือไม่ ?”
“ฮ่า ๆๆๆ …ขยะ …ขยะอย่างไรก็เป็นขยะอยู่วังยันค่ำ !” ตี้ทิงคำรามออกมาเสียงดัง “ขี้ขลาด ไร้ซึ่งความกล้า ไม่มีความกล้าเลยแม้แต่น้อย ! เจ้าคิดว่าตำแหน่งจ้าวนรกคือสิ่งที่เจ้าสามารถเข้า ๆ ออก ๆ ได้ดั่งใจคิดหรืออย่างไร ?!”
มันไม่มองไปที่ฉินเย่อีกต่อไป อสูรศักดิ์สิทธิ์หันไปไปหาอาร์ทิสและเอ่ยต่อ “แค่ก… แค่ก… เจ้าเรียกเขาว่าอย่างไรนะ จ้าวนรกองค์ที่สาม ? แค่ก แค่ก… ข้าจะช่วยหาทางออกให้เจ้าก็แล้วกัน ยมโลกแห่งใหม่ออกจากร่างของข้าซะ แล้วข้าจะยอมไว้ชีวิตเจ้า…”
“คำขู่ขอท่านไม่มีความหมายอะไรสำหรับข้า” ฉินเย่ถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน “แม้แต่ข้าก็ยังสามารถบอกได้ว่าท่านกำลังแสดงอยู่ การโจมตีที่ท่านกำลังเตรียมการอยู่ในตอนนี้… จากการคำนวณของข้า ท่านมีโอกาสเพียง 50% เท่านั้นที่จะสามารถป้องกันไม่ให้เราหลบหนีออกไปได้ ข้าหมายถึง ปี ๆ หนึ่งท่านสามารถฟื้นตัวได้มากเพียงใดกัน ? แม้แต่ในครั้งที่แล้วท่านก็ไม่สามารถฆ่าข้าได้ เพราะฉะนั้น ด้วยความเคารพ… ข้าเกรงว่าครั้งนี้ท่านก็จะยังไม่สามารถฆ่าข้าได้อยู่ดี”
อสูรศักดิ์สิทธิ์แย้มยิ้ม
ด้วยรูปลักษณ์ที่เป็นอสูร มันจึงไม่ชัดเจนนักว่ามันกำลังแย้มยิ้มอยู่หรือเปล่า แต่ถึงอย่างนั้น สัญชาตญาณของฉินเย่ก็บอกเขาว่าตี้ทิงกำลังยิ้ม !
ในเสี้ยววินาทีต่อมา เกล็ดที่ตั้งขึ้นพวกนั้นก็พุ่งออกมาอย่างรวดเร็วดุจสายฟ้า
เร็วจนมองไม่ทัน
มันเร็วมากจนฉินเย่ไม่สามารถตอบสนองต่ออันตรายที่พุ่งเข้าหาตัวได้ทันเวลา เขารู้สึกเพียงแค่มีกระแสลมรุนแรงที่พัดผ่านตน จากนั้นก็ตามมาติด ๆ ด้วยเสียงร้องที่โหยหวนของอาร์ทิสที่ดังขึ้นจากด้านหลัง ทุกอย่างเกิดขึ้นในชั่วพริบตา
“!!!…” ฉินเย่สูดหายใจเข้าช้า ๆ ก่อนจะหันไปด้านหลัง และเขาก็พบว่าอาร์ทิสได้สะบัดเส้นผมของนางเข้าด้วยกัน ก่อตัวเป็นกำแพงป้องกันการโจมตีที่พุ่งออกมาจากหลังของตี้ทิง อย่างไรก็ตาม อานุภาคของการโจมตีนั้นรุนแรงจนนางกระเด็นไปด้านหลัง
“แค่ก แค่ก แค่ก…” บาดแผลของตี้ทิงเริ่มมีเลือดสีทองไหลออกมาอีกครั้ง จากนั้น พร้อมกับฟันที่กัดแน่น มันพยายามยืนขึ้น ด้วยร่างที่ใหญ่โต เพียงการลุกขึ้นยืนก็ทำให้เกิดลมกระโชกแรงพัดไปทั่ว ส่งผลให้เศษดินและฝุ่นมากมายฟุ้ยกระจายไปในอากาศ
“ไม่เพียงแต่ขี้ขลาด แต่เจ้ายังมีสายตาที่ย่ำแย่อีกด้วย” ลมหายใจของมันติดขัด และร่างที่ใหญ่โตของมันก็สั่นไหวอย่างรุนแรงขณะที่ก้าวไปหาฉินเย่อย่างช้า ๆ ในขณะที่อีกด้านหนึ่ง ฉินเย่ยังคงยืนนิ่งอยู่กับที่ มองดูตี้ทิงที่เดินเข้ามาหาตนอย่างช้า ๆ
ตุบ… เสียงอู้อี้ดังขึ้น ร่างใหญ่โตของอสูรศักดิ์สิทธิ์หยุดลงเมื่ออยู่ห่างจากฉินเย่ประมาณร้อยเมตร ดวงตาสีทองจ้องมองเด็กหนุ่มตรงหน้าอย่างไร้อารมณ์ ความตึงเครียดปกคลุมไปทั่วบริเวณ ทุกอย่างดูเหมือนจะถูกแช่แข็งไปในวินาทีนั้น
“ทำลายพันธสัญญาและไปซะ” เสียงของมันแน่นิ่งปราศจากความรู้สึกและอารมณ์ใด ๆ “เป็นเด็กดีและเพลิดเพลินไปกับบัลลังก์ของเจ้าในขณะที่ยังมีโอกาส จากนั้น หลังจากผ่านไปร้อยปี เมื่อข้าฟื้นฟูบาดแผลของตัวเอง ข้าจะทำลายรัฐบาลของพวกเจ้าทั้งหมดและหาผู้ที่คู่ควรมาแทน ส่วนเจ้า…”
มันกวาดสายตาไปมองฉินเย่ “เมื่อพิจารณาถึงคุณงามความดีที่เจ้าได้ทำลงไป ข้าจะมอบเมืองสักเมืองให้ เจ้าจะได้เล่นเป็นกษัตริย์ตามที่เจ้าต้องการ ด้วยวิธีนั้น เจ้าก็จะได้อยู่ห่างจากชนชั้นสูงของยมโลกและไม่สร้างความรำคาญให้กับผู้อื่นไปชั่วนิรันดร์”
ฉินเย่ยิ้ม
ไม่ใช่ให้กับตี้ทิง แต่เขายิ้มให้กับยมโลกแห่งใหม่ที่ลอยอยู่เหนือศีรษะของตัวเองตอนนี้ จากนั้นเด็กหนุ่มก็หลับตาลง
เขาคือจ้าวนรก
จ้าวนรกองค์ถัดไปของยมโลก
ไม่ว่าเขาจะไม่เต็มใจกับมันมากเพียงใด แต่เขาก็ยังขึ้นครองบัลลังก์ในท้ายที่สุด แม้ว่ามันจะลำบากและหนักหนาอย่างไม่น่าเชื่อ แต่เขาก็สามารถนำพายมโลกผ่านปีที่หนักหนาสาหัสนี้มาได้
แล้วทำไมเขาถึงต้องฟังคำกล่าวหาของผู้ที่ไม่เคยมีส่วนร่วมในการสร้างยมโลกแห่งใหม่แม้แต่นิดเดียวด้วย ?
ตี้ทิงล้ำเส้นเขาเกินไป และฉินเย่ก็ไม่สามารถทนได้อีกต่อไป
ราวกับสัมผัสได้ถึงสิ่งผิดปกติ อาร์ทิสตะโกนออกไปทันที “ฉิน—…”
“เงียบ !” ฉินเย่ตะคอกกลับไป จากนั้นจึงสบตากับตี้ทิงโดยตรง ทำให้มันผงะไปเล็กน้อย เด็กหนุ่มถาม “เล่นเป็นกษัตริย์อย่างนั้นหรือ ?”
โดยไม่เว้นจังหวะ เขาเอ่ยต่อ “แล้วท่านเล่า ?”
“ข้า ?”
“ท่านคืออสูรศักดิ์สิทธิ์ของยมโลก เวลานี้ แดนมนุษย์กำลังตกอยู่ในความโกลาหล ราชาผีทั้งสามยังคงเดินไปมาบนพื้นดิน ราชทูตทั้ง 12 มีเจตนาที่ไม่ดีต่อยมโลกแห่งใหม่ พวกเราทั้งหมดต่างพยายามอย่างหนักเพื่อที่จะสร้างจุดยืนให้กับตนเอง ในขณะที่ท่าน… ไม่เพียงแต่ละทิ้งความรับผิดชอบในฐานะของหนึ่งในแกนอำนาจสูงสุดของยมโลกแห่งเก่า แต่ท่านยังพยายามขัดขวางการเจริญเติบโตของยมโลกแห่งใหม่อย่างสุดความสามารถอีกด้วย !”
ตี้ทิงตกตะลึง
มันไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่ามนุษย์ธรรมดา ๆ ที่มันสามารถบดขยี้ได้ด้วยนิ้วเดียวจะพูดกับมันด้วยน้ำเสียงเช่นนี้
“เจ้ารนหาที่ตายแล้ว !!” พลังหยินจำนวนมาปะทุออกมาต่อหน้าต่อตาของฉินเย่ มากจนร่างทั้งร่างพร่าเลือนท่ามกลางกลุ่มหมอกดำ
“เจ้าไม่ใช่จ้าวนรก… ไม่มีผู้ใดยอมรับคนขี้ขลาดเช่นเจ้า ! เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้าสังหารเจ้าที่นี่ ตอนนี้หรืออย่างไร ?!”