ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 307: ความทะเยอทะยานของฉินเย่
บทที่ 307: ความทะเยอทะยานของฉินเย่
ฉินเย่เป็นคนมีเหตุผล ตัววัดความไร้สาระทั้งหมดภายในใจของเขาได้ถูกกำจัดออกไปหลังจากที่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนจำนวนมากมาเป็นเวลานาน
ดังนั้นเขาจึงรู้ดีว่าตัวเองเก่งอะไรและมีข้อจำกัดอยู่ที่ตรงไหน เขาเลือกที่จะหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าอย่างตรงไปตรงมาในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับตัวเองเป็นการส่วนตัวเนื่องจากรู้ดีว่าจุดแข็งของตนนั้นอยู่ที่การทำงานในเงามืดและควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างอย่างลับ ๆ
หรือหากพูดในอีกความหมายหนึ่งก็คือ เขาเป็นเหมือนตัวละครที่ไม่ค่อยน่าสนใจแต่สามารถสร้างผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่ได้ เหมือนอย่าง… ทวิช? [1]
ดังนั้นเขาจึงครุ่นคิดอย่างหนักว่าแต่ละขั้นตอนในการพัฒนายมโลกนั้นควรดำเนินการอย่างไร แนวทางปัจจุบันของเขาคือสิ่งที่เขาได้ตัดสินใจไว้แล้วเช่นกัน เว้นก็แต่สิ่งนี้ที่เพิ่งยกขึ้นมาเพื่อขอความคิดเห็นของอาร์ทิส
“ทำไม ? เป็นไปไม่ได้อย่างนั้นหรือ ?”
อาร์ทิสจ้องมองเด็กหนุ่มราวกับเห็นผี “ยมโลกแห่งใหม่เพิ่งมีขนาดเท่าเมืองเท่านั้น แต่เจ้ากลับคิดที่จะสร้างเมืองแห่งใหม่แล้วอย่างนั้นหรือ ? เจ้าไม่คิดว่าตัวเองกำลังทำผิดขั้นตอนอยู่หรือ ?”
“ข้าเพียงแค่อยากรู้ว่ามันจะเป็นไปได้หรือไม่เท่านั้น” ฉินเย่อธิบาย “เหตุผลนั้นง่ายมาก หนึ่ง ตอนนี้พวกเรามีประชากรวิญญาณน้อยมาก สอง รายได้ของเรามีอยู่อย่างจำกัด สาม การประชุมราชสำนักที่จะถูกจัดขึ้นในปลายปีก็ยังไม่มีความแน่นอน อาจจะมีบางคนที่ยอมเข้าร่วมกับเรา ในขณะที่คนอื่น ๆ อาจจะแยกตัวจากเราไป หากข้าสามารถสร้างข้อตกลงทางการค้ากับผู้ที่ต้องการที่จะแยกตัวเป็นอิสระได้… เราจะปล่อยให้พวกเขาเข้า ๆ ออก ๆ และเดินเตร็ดเตร่ไปทั่ว ๆ ยมโลกพร้อมกับพ่อค้าของพวกเขาอย่างนั้นหรือ ?”
อาร์ทิสเงียบไปและแววตาของนางก็ดูเหมือนว่านางกำลังครุ่นคิดบางอย่าง
“เมื่อเราสร้างเมืองใหม่ขึ้นมา ข้าวางแผนที่จะย้ายหมิงชีหยินไปดูแลเรื่องทั้งหมดที่นั่น มันยังเป็นการช่วยเพิ่มจำนวนวิญญาณที่หลั่งไหลเข้ามาในยมโลกด้วย พวกเราไม่สามารถวางใจได้ ราชาผีทั้งสามยังคงเดินไปมาที่นอกพรมแดนนรก จับตาดูทุกการเคลื่อนไหวของเรา ยมโลกแห่งเก่าได้ล่มสลายไปแล้ว และวิญญาณก็อาละวาดไปทั่ว ทุกวินาทีที่เราปล่อยวิญญาณพวกนี้ไว้ก็ไม่ต่างอะไรกับทิ้งของขวัญไว้ให้พวกราชาผีนั่น”
ฉินเย่สูดหายใจเข้าช้า ๆ “ถึงแม้ว่าข้าจะไม่สามารถสร้างเมืองบริวารขึ้นมาได้จำนวนมาก แต่แค่เมืองเดียว… มันก็น่าจะมีความเป็นไปได้ และทุกอย่างก็จะมั่นคงขึ้นหลังจากการประชุมราชสำนักในปลายปีนี้”
“เดือนตุลาคม” ดวงตาของเขาเป็นประกายขึ้นขณะที่มองออกไปนอกหน้าต่างด้วยความตื่นเต้น “ข้าจะส่งคำเชิญไปให้ราชทูตทั้ง 12 ในปลายเดือนตุลา แน่นอนว่ารวมถึงข้าราชการแห่งอาณาจักรสินธุและกษัตริย์แห่งฮันยางด้วย มันผ่านมาร้อยปีแล้วหลังจากที่พวกเขาได้รับข่าวคราวจากยมโลก… ข้าคิดว่าพวกเขาเองก็คงจะคิดถึงเราเช่นกัน…”
เงียบ….
หลังจากผ่านไปพักใหญ่ ในที่สุดอาร์ทิสก็เอ่ยออกมา “ความคิดของเจ้าเมื่อครู่อาจจะเป็นไปไม่ได้หากเป็นเมื่อสองสามเดือนก่อน แต่ด้วยการมีสมุดแห่งความเป็นตายอยู่ในมือ มันก็ไม่ใช่สิ่งที่เราจะไม่สามารถทำได้แต่อย่างใด… แต่เจ้าแน่ใจนะว่าจะไม่พิจารณาเรื่องนี้ดูอีกที ? เจ้าไม่คิดหรือว่าการสร้างเมืองอีกเมืองขึ้นมาในตอนที่เมืองหลวงของยมโลกยังไม่เป็นรูปเป็นร่างนั้นจะไม่เป็นการเร่งรีบเกินไป ? ข้ารู้ว่าการพัฒนานั้นจำเป็นต้องเป็นไปอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะเกี่ยวกับเรื่องโอกาสสำหรับการค้าทางทะเล แต่… เจ้าได้คิดบ้างหรือไม่ว่าหากเมืองใหม่ที่ก่อตั้งขึ้นนั้นพัฒนาไปเร็วและแข็งแรงกว่าเมืองหลวงของยมโลก มันอาจจะมีการก่อจลาจลขึ้น ?”
ฉินเย่แสยะยิ้ม “ท่านคิดว่าเรามีโนบูนางะไว้ทำไม ?”
“การเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วนั้นจำเป็นต้องใช้การมีอยู่ของทหารเพื่อรักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อย ข้าวางแผนที่จะให้โนบูนางะไปประจำการที่เมืองท่าทันทีที่มันถูกสร้างขึ้น หากมีผู้ใดกล้าลุกขึ้นมาต่อต้านเรา…”
ประกายเย็นยะเยือกวาววาบขึ้นมาในดวงตา “ข้าก็จะฆ่าพวกมันครั้งแล้วครั้งเล่าจนกระทั่งไม่มีผู้ใดกล้าลุกขึ้นมาต่อต้านเราอีก !”
อาร์ทิสเงียบไป นางรู้ดีว่าตนเองไม่ได้เก่งเรื่องการเมืองและการปกครอง ดังนั้นนางจึงรู้ดีว่าตัวเองควรสนับสนุนมากกว่าที่จะหักล้างมัน
ส่วนที่เหลือของวันผ่านไปอย่างรวดเร็วและเช้าวันต่อไปก็มาถึงภายในชั่วพริบตา
วันที่ 28 สิงหาคม มันคือวันแรกของภาคการศึกษาใหม่ ในที่สุดฉินเย่ก็ออกมาจากช่วง ‘จำศีล’ ของตัวเองและกลับมาสู่โลกมนุษย์อีกครั้ง
แต่ทันทีที่เขาทำเช่นนั้น เขาก็ได้เห็นภาพที่น่าประหลาดใจ
เขาเหลือบตาไปเห็นตอนที่กำลังเดินผ่านสนามบาสเกตบอล ก่อนจะหันไปมองอีกครั้งด้วยความตกตะลึง หวาดกลัว และโกรธจัด
ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายกว่าแล้ว พิธีเปิดภาคการศึกษาของทางสำนักจะถูกจัดขึ้นในตอนเย็นที่หอประชุมใหญ่ ดังนั้นนักเรียนส่วนใหญ่จึงกลับมาถึงที่สำนักเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และสนามบาสเกตบอลก็เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย ซึ่งมันก็เป็นเหตุผลนี้เองที่ทำให้เขาได้เห็นภาพที่ไม่ค่อยเข้ากันนัก
หลินฮั่นสวมเสื้อแขนกุดและทำการดังค์ที่น่าประทับใจเพื่อที่จะเรียกเสียงเชียร์อย่างบ้าคลั่งจากผู้ชมทั้งหมด ร่างที่สูง 1.87 เมตรของเขาดูโดดเด่นเป็นอย่างมาก ในขณะที่กล้ามเนื้อที่โปนใหญ่ราวกับถูกฉีดยากระตุ้นของเขาทำให้นักเรียนผู้หญิงที่อยู่โดยรอบแทบหมดสติ… แต่มันก็ยังไม่ใช่ปัญหาอะไร เพราะอย่างไรแล้ว กล้ามเนื้อของหลินฮั่นนั้นไม่เพียงพอที่จะทำให้ฉินเย่ต้องหันกลับไปมองอีกครั้ง เรื่องของเรื่องก็คือ…
ไอ้โง่นั่นเดินไปนั่งพร้อมกับรอยยิ้มโง่ ๆ บนใบหน้า และหญิงสาวหน้าตาน่ารักที่สูง 1.7 เมตรคนหนึ่งก็ส่งขวดน้ำให้มัน !
บัดซบ !
ไอ้ทรยศ !
ความยุติธรรมในโลกนี้มันอยู่ที่ไหน ?!
ฉินเย่มองภาพที่ไม่น่าเกิดขึ้นด้วยดวงตาที่วาวโรจน์ หากมีใครอยู่ใกล้ ๆ อีกฝ่ายอาจจะได้ยินเสียงเปรี๊ยะดังออกมาจากร่างของฉินเย่ไปแล้ว ให้ตายเถอะ… ทั้ง ๆ ที่เขาทำงานอย่างหนักในช่วยฤดูร้อนแต่เจ้าหมอนี่กลับใช้ชีวิตอย่างสนุกสนานเนี่ยนะ ?! เกิดอะไรขึ้นกับสัญญาที่เราให้ไว้ว่าจะเป็นเทวดาของกันและกันตลอดไป ?! นี่นายจะทิ้งความรับผิดชอบของตัวเองไปแบบนี้น่ะหรือ ? ไม่… ฉันไม่ได้สนใจหรอกว่านายจะไม่โสดแล้ว… ที่ฉันสนก็คือการที่นายมีแฟนในขณะที่ฉันยังโสดอยู่ต่างหาก !!!
คำสบถและคำก่นด่ามากมายระเบิดออกมาจากใจของเขาราวกับน้ำพุ ทว่าเด็กหนุ่มก็ทำให้เพียงกัดฟันแน่นขณะที่ยังคงจ้องไปที่หลินฮั่น หญิงสาวที่นั่งอยู่ข้าง ๆ อีกฝ่ายทำแม้กระทั่งเช็ดเหงื่อบนหน้าผากให้หลังจากที่ยื่นขวดน้ำให้แล้วด้วย ! …ดื่มเข้าไป …ดื่มเข้าไปแล้วตายไปซะ ! ขอให้น้ำนั่นใส่กรดซัลฟิวริกไว้ข้างใน ! จากนั้น อวัยวะภายในของนายก็จะถูกกัดกินและนายก็จะได้ตายอย่างน่าสยดสยอง ! ไอ้คนหนักแผ่นดิน !
ทว่าน่าเสียดาย… อวัยวะของอีกฝ่ายไม่ถูกกัดเซาะ
หลินฮั่นสวมเสื้อแจ็กเกตของตัวเอง จับมือหญิงสาว โบกมือให้เหล่านักเรียนเป็นการลาก่อนจะเดินออกจากสนามบาสเกตบอล ฉินเย่ที่เห็นเช่นนั้นก็เดินตามทั้งคู่ไปด้วยความอิจฉาเป็นอย่างมาก
ให้ตายเถอะ ! เขาขอให้คู่รักตรงหน้าตายไปซะ !
ฉินเย่ยังคงสาปแช่งทั้งสองอยู่ภายในใจอย่างเงียบ ๆ รีบ ๆ ตายไปซะ ! แล้วนายก็จะได้ไปเจอฉันในนรก จ้าวนรกผู้นี้ค่อนข้างเหงามากทีเดียว…
“สีหน้าของคุณดูไม่ค่อยดีนะ…” ฉินเย่ที่เดินเลี้ยวตรงหัวมุมก็ชนเข้ากับซู่เฟิง เขามองคนตรงหน้าด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยดีนักขณะที่เอ่ยตอบลอดไรฟัน “ในหมู่พวกเรามีคนทรยศอยู่”
ซู่เฟิงหันไปมองยังคู่รักหวานแหว๋วที่เดินนำหน้าพวกตน “หากพิจารณาจากประวัติของเขาที่เป็นถึงหนุ่มหล่อของสำนักฝึกตนแห่งแรก มันก็เป็นแค่เรื่องของเวลาเท่านั้นก่อนที่อะไรแบบนี้จะเกิดขึ้น… ในความเป็นจริง เรื่องนี้เกิดขึ้นไม่นานหลังจากที่เขาชวนเราไปเข้างานสังคมนั่น หลังจากกลับมาจากงานเลี้ยง เขาก็หัวเราะไม่หยุดไปอีกตั้งสามวัน”
“เดี๋ยวนะ… หนุ่มหล่อของสำนักฝึกตนแห่งแรก ?! ใครเป็นคนตั้งชื่อนั้นให้เขากัน ?! ทำไมไม่เห็นมีใครมาถามผมเรื่องนี้เลย ?!” ฉินเย่ปฏิเสธอย่างแข็งขัน
ซูเฟิงหยินโทรศัพท์ของตนขึ้นมา กดมันอยู่หลายครั้งจากนั้นก็ไล่ดูเนื้อหาทั้งหมด “คุณได้อันดับ 6 ในรายการ หลินฮั่นได้อันดับ 1 ตามมาด้วยเย่ซิงเฉิน จากนั้นก็หวังเฉิงห่าว คนต่อไปคุณไม่รู้จัก แต่ผมขอบอกก่อนว่าผมได้อันดับ 5 จากทั้งหมด”
ไอ้โง่คนไหนมันเป็นคนเริ่มการจัดอันดับนี้ขึ้นมากัน ?
แล้วคุณหมายความว่าอย่างไรที่ว่า “ผมขอบอกก่อนว่าผมได้อันดับ 5 จากทั้งหมด ?!”
ในฐานะของอาจารย์ผู้สอน มันสมเหตุสมผลเหรอที่คุณจะมาสนใจพวกเรื่องไร้สาระและทำเป็นมองไม่เห็นสิ่งที่สำคัญ ๆ จริงอย่างคะแนนการสอนและแผนการศึกษา ?
ฉินเย่คว้าโทรศัพธ์มาจากมือของซู่เฟิง ไล่ดูเนื้อหาของมันอีกประมาณสิบวินาทีก่อนที่จะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงไม่พอใจนัก “ความพยายามโง่ ๆ”
ในอีกด้านหนึ่ง ซู่เฟิงตกตะลึงเป็นอย่างมากกับความเร็วที่ฉินเย่คว้าโทรศัพท์ไปจากมือของเขา และมันก็ยิ่งมากขึ้นไปอีกเมื่อได้ยินความไม่เข้ากันของคำพูดของฉินเย่เกี่ยวกับระบบจัดอันดับและสีหน้าบิดเบี้ยวของเด็กหนุ่ม…
แต่ขณะที่ซู่เฟิงจะเก็บโทรศัพท์ของตัวเอง เขาก็ได้รับคำแจ้งเตือนจากกลุ่มแชทอาจารย์ผู้สอน
ข้อเท็จจริงที่ว่าเขาได้รับข้อความนั้นไม่ได้สำคัญนัก สิ่งที่สำคัญก็คือผู้ที่ส่งข้อความดังกล่าวมา… โจวเซียนหลง
“วันนี้เราจะมีการประชุมกันในเวลา 15.00 น.ที่หอประชุมของสาขาการต่อสู้ อาจารย์ทุกท่านจะต้องเข้าร่วม”
“เกิดอะไรขึ้น ?” ฉินเย่ขมวดคิ้ว “นี่หัวหน้าโจวถึงช่วงวัยหมดประจำเดือนแล้วเหรอ ? ผมไม่เห็นเขาตลอดฤดูร้อน แม้แต่ผู้อำนวยการสวี่เองก็เหมือนกัน นี่พวกเขาต้องการจะตรวจดูแผนการสอนของเราอย่างนั้นเหรอ ?”
ดวงตาของซู่เฟิงหรี่ลงเล็กน้อยขณะที่เขาเดินนำฉินเย่เข้าไปในร้านบะหมี่ สั่งบะหมี่สองชามและวางตะเกียบลงบนขอบชามเบา ๆ “ถ้าเป็นแค่นั้นก็คงจะดี…”
เขาเหลือบตามองไปรอบ ๆ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เบาลงกว่าเดิม “ผมได้ยินข่าวลือมาว่าเมื่อไม่กี่เดือนก่อนมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น”
ฉินเย่มีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นทันที
สิ่งแรกที่เข้ามาในหัวของเขาก็คือหากเป็นในสองสามเดือนที่ผ่านมา มันก็ไม่น่าจะมีเรื่องอะไรที่ใหญ่ไปกว่าการต่อสู้กันที่ช่องแคบสึชิมะแล้ว แดนมนุษย์อาจจะมองไม่เห็นยมทูต แต่มันไม่มีทางที่จะสามารถปกปิดการสำแดงอำนาจของท่านเปาได้ รวมถึงพลังอันยิ่งใหญ่ของสมุดแห่งความเป็นตายด้วย !
หรือว่า… เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะไปดึงความสนใจของรัฐบาลจีน ? “มีเรื่องอะไร ?” ฉินเย่ถามเสียงเบา
ซู่เฟิงกระซิบตอบ “คุณรู้เรื่อง… สามพื้นที่หลักที่มีเหตุการณ์เหนือธรรมชาติเกิดขึ้นหรือเปล่า ?”
ฉินเย่พยักหน้า เขาเคยเห็นแผนที่ของการเกิดเหตุการณ์ธรรมชาติมาก่อน และมันก็มีพื้นที่สามจุดที่เป็นสีแดงเข้มอย่างผิดปกติ ซึ่งมันก็คือจุดที่เขาคาดเดาว่าน่าจะเป็นที่อยู่ของราชาผีทั้งสาม !
“มณฑลตะวันออกทั้งสาม มณฑลยูนนาน มณฑลกุ้ยโจว และมณฑลเสฉวน รวมไปถึงสามมณฑลที่อยู่ใกล้ ๆ กับมณฑลจูเจียง” ซูเฟิงเคาะตะเกียบของตนลงบนโต๊ะเบา ๆ ขณะที่เอ่ยต่อเสียงเบา “ผมได้ยินมาว่ามณฑลทางตะวันออกทั้งสามมีการแพร่กระจายของเหตุการณ์เหนือธรรมชาติอย่างเต็มรูปแบบในช่วงเดือนสิงหาคม เริ่มที่แรกด้วยเมืองเฟิ่งเทียน ว่ากันว่าสถานการณ์ที่นั่นรุนแรงจนพวกเขาเห็นการก่อตัวขึ้นของรังภูตผีนับหมื่น จุดกึ่งกลางของมณฑลทั้งสาม เมืองเฟิ่งเทียน ได้กลายเป็นเขตต้องห้ามสำหรับคนเป็นไปแล้ว มีการอพยพอย่างเร่งด่วนของเหล่าประชากรที่อาศัยอยู่ในพื้นที่บริเวณนั้น และมณฑลเหอเป่ย์ เมืองเยียนจิง และมณฑลคังเว่ยก็กำลังรับผู้อพยพทั้งหมด นอกจากนี้ ว่ากันว่าวิญญาณขั้นตุลาการนรกตนนั้นปรากฏตัวขึ้นที่สามมณฑลทางตะวันออกอีกด้วย อันที่จริง ในข่าวลือบอกว่ามันอาจจะอยู่ในระดับเดียวกันกับพวกราชันย์วิญญาณเลยด้วยซ้ำ ยิ่งกว่านั้น… ผมได้ยินมาว่ามีการเผชิญหน้าอย่างเต็มกำลังกับกองกำลังของหน่วยสอบสวนพิเศษเกิดขึ้น เทพแห่งสงครามโจวและผู้อำนวยการสวี่ต่างก็ถูกเรียกตัวไปด้วยเหตุผลนี้”
ฉินเย่ฟังเรื่องทั้งหมดด้วยท่าทีใจเย็น แต่ฝ่ามือของเขากลับเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ
ทฤษฎีผีเสื้อขยับปีก ?
การต่อสู้ที่ช่องแคบสึชิมะจะต้องกระตุ้นให้หนึ่งในพวกราชาผีเคลื่อนไหว เพราะอย่างไรแล้ว… มณฑลทั้งสามก็ไม่ได้อยู่ห่างจากช่องแคบสึชิมะมากนัก !
ด้วยเหตุผลแปลกประหลาดบางประการ เขามีความรู้สึกว่าการแพร่กระจายของเหตุการณ์เหนือธรรมชาติในครั้งนี้… มีความเกี่ยวโยงกันกับการต่อสู้ของเขาที่ช่องแคบสึชิมะ
“คุณไปได้ยินเรื่องพวกนี้มาจากที่ไหน ?” ฉินเย่กัดฟันกรอด “ทางสำนักไม่มีทางแจ้งข้อมูลเหล่านี้ให้เราทราบเพราะต้องการที่จะสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ แต่คุณกลับรู้…”
ฉินเย่ไม่อยากจะยอมรับพวกเรื่องพวกนี้เลยสักนิด แต่ไม่ว่าเขาจะมองอย่างไร สิ่งที่ซู่เฟิงเล่าให้ฟังก็มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นเรื่องจริง และหากมันเป็นเช่นนั้น… เขาคงไปดึงความสนใจของภูตผีคลุ้มคลั่งสักตนแล้วแน่ ๆ… นี่เขา… เผลอทิ้งร่องรอยเอาไว้อย่างั้นเหรอ ?
อีกฝ่ายจะสามารถแกะรอยเราจนมาถึงเมืองเป่าอันได้หรือเปล่า ?
เด็กหนุ่มอดไม่ได้ที่จะตัวสั่นกับความคิดนั้นของตนเอง
“คุณลืมไปแล้วหรือว่าผมเองก็มาจากศูนย์วิจัยSRC เหมือนกัน ? และผมก็อยู่คนละระดับกับเจ้าทึ่มหลินฮั่นอย่างสิ้นเชิง” ซู่เฟิงเว้นจังหวะครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยต่อ “ผมค่อนข้างมั่นใจว่าพวกเราจะประกาศเรื่องนี้ให้พวกเราทุกคนได้ทราบในการประชุมตอนบ่าย คอยดูเถอะ หากแหล่งข้อมูลของผมถูกต้อง มันก็มีความเป็นไปได้สูงที่ทางสำนักจะเปิดตัวหลักสูตรที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิงในภาคการศึกษาที่กำลังจะมาถึงนี้… เอาล่ะ นั่นเป็นการคาดเดาที่มากเพียงพอแล้วสำหรับตอนนี้ เรามารอดูกันว่าบ่ายนี้หัวหน้าใหญ่ของเราจะพูดอะไร”
กว่าพวกเขาจะทานอาหารกลางวันเสร็จมันก็เป็นเวลาบ่ายโมงตรงแล้ว ฉินเย่กลับไปที่ห้องของตัวเองและนอนลงบนเตียงอย่างกระสับกระส่าย แม้ว่าจะพยายามดึงความสนใจของตัวเองโดยการเซ็นอนุมัติเอกสารและรายงานต่าง ๆ จากยมโลก แต่เขาก็ยังไม่สามารถสลัดความรู้สึกกังวลที่อยู่ภายในใจออกไปได้ เขาอยากจะกลับไปที่ยมโลกและถามอาร์ทิสเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่เขาก็ยังไม่แน่ใจนักว่าข่าวที่ได้ยินมานั้นเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า
“ให้ตายเถอะ… นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้น…” เด็กหนุ่มถอนหายใจออกมาก่อนจะนอนพักจนถึงเวลา 14.30 น. จากนั้นจึงเดินไปที่หอประชุมของสาขาการต่อสู้ เพียงเพื่อที่จะพบว่าเขาเป็นหนึ่งในคนแรก ๆ ที่ไปถึงที่นั่น
โจวเซียนหลง สวี่อันกั๋ว หลี่เทา และศาสตราจารย์ทั้งห้านั้นรออยู่ก่อนแล้ว
เขาลอบสังเกตคนทั้งหมดเงียบ ๆ แต่ละคนมีสีหน้าเคร่งขรึม เถาหรานโบกมือให้เขาและพยายามฉีกยิ้มปลอม ๆ ให้ “เสี่ยวฉิน การประชุมแลกเปลี่ยนทางวิชาการตงไห่เป็นอย่างไรบ้าง ? คุณเจอเหตุการณ์หรือเรื่องอะไรบ้างไหม ?”
“ไม่ครับ” ฉินเย่ตอบอย่างเป็นมิตรก่อนจะถามกลับ “มีเรื่องอะไรที่ผมควรจะเป็นกังวลหรือเปล่า ?”
“ไม่มี ๆ ผมก็แค่ถามเฉย ๆ” เถาหรานยิ้มก่อนจะกลับไปนั่งกับเหล่าศาสตราจารย์คนอื่นอย่างเงียบ ๆ
ไม่นาน อาจารย์คนอื่น ๆ ก็มาถึง หลินฮั่นที่ทำท่าจะเดินไปนั่งข้าง ๆ ฉินเย่ก็ถูกเด็กหนุ่มจ้องด้วยสายตาพิฆาต
“ไสหัวไป !” ฉินเย่ชี้ไปยังที่นั่งรอบ ๆ ตน “นี่นั่งแถวนี้มีไว้สำหรับสุนัขผู้โดดเดี่ยวเท่านั้น ไม่ใช่สำหรับคุณ !”
ทันใดนั้น คนทั้งหมดที่อยู่รอบ ๆ เขาก็ลุกขึ้นและย้ายที่
มีแค่เขาเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ยังคงนั่งอยู่ตรงนั้น
คลื่นแห่งความกระอักกระอ่วนปกคลุมไปทั่วห้องบรรยาย
[1] อ้างอิงจากเกม LoL ทวิช(Twitch) คือแชมเปี้ยนที่ใช้พิษและคอยซุ่มโจมตีในการต่อสู้