ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 309: ทฤษฎีผีเสื้อขยับปีก (1)
บทที่ 309: ทฤษฎีผีเสื้อขยับปีก (1)
อาจารย์ผู้สอนหลายท่านก้มหน้าลงด้วยความละอาย
“พอเท่านี้เถอะเหล่าโจว” หลี่เทาที่เห็นว่าสถานการณ์เริ่มแย่ก็ลุกขึ้นมาและเริ่มเล่นบทคนดี “อย่างที่พูดไปเมื่อครู่ พวกเราได้ให้ข้อมูลคร่าว ๆ เกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกคุณ สิ่งสำคัญก็คือพวกคุณไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ หลังจากผ่านการพิจารณากันอย่างถี่ถ้วน ทางสำนักได้ข้อสรุปว่าเราไม่สามารถฟูมฟักเหล่านักเรียนเช่นนี้ต่อไปได้ เพราะสุดท้ายแล้ว ต่อให้มีความรู้มากมายก็ไม่ได้ช่วยให้พวกเขาอยู่รอดในสนามรบ”
“พวกเราจะต้องเตรียมจิตใจของพวกเขาให้พร้อม ความรู้ทางทฤษฎีนั้นเป็นประโยชน์พอ ๆ กับการปฏิบัติจริง วิญญาณสามารถปรากฏตัวขึ้นได้ตลอดเวลา และในรูปแบบใดก็ได้ ทางคณะกรรมการของสำนักจึงสรุปมาว่าพวกเราหละหลวมกันมากเกินไปในภาคการศึกษาที่แล้ว”
เขาจิบชาในถ้วยของตัวเองเล็กน้อยและเอ่ยต่อ “แต่ถึงอย่างนั้น พวกเราเองก็กำลังหาทางออกเพื่อผ่านเรื่องนี้ไปด้วยกันให้ได้ ทันทีที่พบข้อผิดพลาด เราจะแก้ไขและเดินหน้าต่อไป ในอนาคต ผมอยากให้พวกคุณทุกคนปลูกฝังหน้าที่และความรับผิดชอบของผู้ฝึกตนให้เหล่านักเรียนได้เข้าใจ แบ่งปันความคิดและความรู้สึกในตอนแรกที่เข้าสู่เส้นทางของพวกคุณ รวมถึงมอบคำใบ้เกี่ยวกับสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นกับส่วนอื่น ๆ ของจีนให้พวกเขาได้รู้… ผมรับประกันได้เลยว่าหลังจากการแพร่ระบาดของเหตุการณ์เหนือธรรมชาติที่มณฑลทั้งสาม สถานการณ์จะยิ่งแย่ลงเรื่อย ๆ”
“ปล่อยให้การรับมือกับเสียงโวยวายและความคิดของประชาชนเป็นหน้าที่ของประเทศ ทั้งหมดที่พวกคุณต้องคำนึงในตอนนี้ก็คือสอนนักเรียนทั้งหมดด้วยพื้นฐานที่แข็งแกร่งของคุณ ไม่ว่าจะเป็นด้านทฤษฎี ความเชื่อมั่น หรือการบ่มเพาะที่ทรงพลัง”
เขากระแอมเบา ๆ “เอาล่ะ ผมขอประกาศเงื่อนไขเกี่ยวกับการประเมินอาจารย์ผู้สอนครั้งที่สองเลยก็แล้วกัน การประเมินในครั้งนี้จะเป็นการกำหนดจำนวนรองศาสตราจารย์ที่จะได้รับการแต่งตั้งเมื่อจบหลักสูตรสองปี พึงระลึกด้วยว่าเงื่อนไขเหล่านี้จะมีผลบังคับใช้ในอีกปีครึ่ง ในระหว่างนี้ เว้นแต่ว่าจะสามารถตีพิมพ์เล่มวิจัยที่สามารถดึงดูดความสนใจจากผู้คนจำนวนมากได้อย่างที่อาจารย์ฉินทำ พวกคุณทุกคนจะต้องได้รับการประเมินอย่างเคร่งครัดตามเงื่อนไขที่ผมกำลังจะประกาศ”
เงียบ
นี่คือตำแหน่งรองศาสตราจารย์ ผู้ที่ได้รับส่วนลด 30% ของการทำธุรกรรมทั้งหมด ! คะแนนการสอนที่เขามี… ถึงแม้ว่าฉินเย่จะได้ก้าวไปสู่เส้นทางแห่งความร่ำรวยแล้ว แต่เขาก็ยังอดไม่ได้อยู่ดีที่จะนึกถึงสิทธิพิเศษของผู้ที่ได้รับตำแหน่งศาสตราจารย์
ในภาคการศึกษาที่จะถึงนี้ เขาจะทำตัวสะดุดตาไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว… การผลักดันครั้งสุดท้าย เขาจะต้องจบสองปีนี้โดยปราศจากการสร้างเรื่องใด ๆ แลกคะแนนการสอนทั้งหมดเพื่อให้ได้มาซึ่งทรัพยากร จากนั้นก็หนีหายไปในกลีบเมฆ… แต่เขาก็ยังมีความรู้สึกเหมือนว่าหน่วยอัลบาทรอสจะตามตัวเขาเจอในท้ายที่สุดอยู่ดี… หัวใจของฉินเย่ในตอนนี้เต็มไปด้วยความคิดที่สวนทางกัน
หลี่เทามองคนทั้งหมดและประกาศด้วยเสียงทุ้มต่ำ “หลังจากนี้ นักเรียนทุกคนที่จบการศึกษาจากสำนักผู้ฝึกตนแห่งแรกจะได้รับการจัดอันดับตั้งแต่ระดับ A ไปจนถึงระดับ D การประเมินของอาจารย์ผู้สอนจะถูกจัดขึ้นก่อนการจบการศึกษาเล็กน้อย โดยจะวัดจากสาขาที่มีนักเรียนระดับ A มากที่สุด ผลงานโดยรวมของอาจารย์แต่ละท่าน รวมถึงมุมมองของนักเรียนที่มีต่ออาจารย์ด้วยเช่นกัน”
“ผลงานโดยรวมของพวกคุณจะได้รับการประเมินโดยพวกนักเรียน คะแนนสะสมจะถูกใช้เป็นคะแนนพิเศษที่จะนำมาคิดในการประเมินครั้งสุดท้าย” โจวเซียนหลงโบกแฟ้มเอกสารในมือของเขา “ตัวอาจารย์ผู้สอนอาจจะเป็นคนเก่ง แต่สิ่งที่เราให้ความสนใจก็คือ เขาเป็นอาจารย์ที่มีประสิทธิภาพสำหรับเหล่านักเรียนหรือเปล่า ดังนั้นการประเมินในครั้งที่สองนี้ส่วนใหญ่จะเน้นไปที่พวกนักเรียน ผลงานในภาคปฏิบัติของผู้สอนจะเป็นเรื่องรอง ใครมีข้อคัดค้านไหม ?”
แน่นอนว่าไม่มี !
อาจารย์ผู้สอนหลายคนอดไม่ได้ที่จะมองไปที่ฉินเย่ด้วยสายตาอิจฉา ไม่มีพวกเขาคนไหนสามารถเทียบฉินเย่ได้เมื่อเป็นเรื่องของผลงานในภาคปฏิบัติ…
ริมฝีปากของฉินเย่รู้สึกแห้งผาก ให้ตายเถอะ…. ทำไมมันถึงรู้สึกเหมือนว่าคนพวกนี้กำลังอ่านความคิดเขาอยู่เลย ?!
เขาเริ่มต้นภาคการศึกษาแรกอย่างไร้ที่ติเนื่องจากต้องการที่จะรักษาตำแหน่งในเส้นทางแห่งความร่ำรวย แต่ตอนนี้ การเปลี่ยนกฎอีกครั้งได้ทำให้แผนการที่จะกวาดสมบัติขุมทรัพย์ของกลุ่มผู้พิทักษ์แห่งสวรรค์ของเขาต้องสั่นคลอน !
แต่มันก็เป็นเรื่องดีที่ฉินเย่ยังไม่จำเป็นต้องใช้ทรัพยากรอะไรในตอนนี้ ไม่เช่นนั้นผู้อำนวยการทั้งสองคงได้ทำร้ายเขาด้วยการเปลี่ยนกฎอย่างกะทันหันไปแล้ว
และขณะที่หัวใจของเขาเริ่มเต้นเร็วขึ้น สวี่อันกั๋วก็เอ่ยแทรกขึ้นด้วยเสียงที่ดังก้อง “อาจารย์ฉิน คุณมีข้อคัดค้านอะไรไหม ?”
“หะ ? อ๋อ… ไม่มีครับ ผมเห็นด้วยกับการตัดสินใจของทางสำนัก” เด็กหนุ่มตอบกลับไปอย่างช่วยไม่ได้
ทว่าเพียงเสี้ยววินาทีหลังจากนั้น เขาก็สัมผัสได้ถึงสายตาคู่หนึ่งที่กวาดไปทั่วร่างของเขา
มันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่… ล้ำลึง
รวดเร็วราวสายลม แต่ก็แหลมคมดุจใบมีดที่แทงเข้ามาที่ไขกระดูก
“ในเมื่อไม่มีใครคัดค้าน การประชุมในวันนี้ก็จบลงเพียงเท่านี้” หลี่เทาลุกขึ้นยืน “ทุกท่าน ผมเดาว่าพวกคุณคงจะต้องปรับแผนการสอนของตัวเองใหม่เล็กน้อยเพื่อให้สอดคล้องกับสิ่งที่เราเพิ่งพูดกันไปก่อนหน้านี้ ดังนั้นผมจะประกาศเลื่อนการเปิดภาคเรียนออกไปเล็กน้อย ภาคการศึกษาหน้าจะเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการในวันมะรืน ตั้งใจทำงานล่ะ”
สิ้นสุดเสียงพูด ทุกคนก็เริ่มแยกย้าย
และเมื่อทุกคนจากไป โจวเซียนหลงก็เดินไปที่ประตูที่อยู่ทางด้านข้างของหอประชุม
ประตูดังกล่าวดูไม่ปกตินัก มันถูกคลุมทับด้วยผ้าม่าน และหันหน้าเข้าหาห้องประชุมโดยตรง ทันทีที่โจวเซียนหลงดึงผ้าม่านออก มันก็เผยให้เห็นว่ามีชายอีกคนหนึ่งยืนอยู่หลังผ้าม่านนั้น
เขาเป็นชายร่างเตี้ยที่ไม่ได้มีหน้าตาที่โดดเด่น หากพูดกันตามความจริง เขาดูธรรมดาจนไม่มีคำไหนสามารถใช้อธิบายลักษณะของเขาได้
“นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ผมได้เห็นการทำงานของหน่วยอัลบาทรอสในตำนาน” โจวเซียนหลงถอนหายใจออกมาด้วยความรู้สึกมากมาย ขณะที่อีกฝ่ายเพียงแย้มยิ้มอย่างจริงใจพร้อมกับดึงผ้าคลุมหน้าออก “ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ”
“เหรอ ?” โจวเซียนหลงเลิ่กคิ้วขึ้น “ถ้าอย่างนั้น อย่างน้อยผมก็ได้เห็นหน้าคุณ นั่นไม่ใช่สิ่งที่จะ—…”
ทว่าก่อนที่เขาจะเอ่ยจบ กระดูกของชายตรงหน้าก็ส่งเสียงดังออกมาและแขนของเขาก็ยืดออก เสียงของอีกฝ่ายยังเปลี่ยนจากชายหนุ่มเป็นเด็กหนุ่มอีกด้วย “มันคือวิชาหดกระดูกน่ะครับ ! ผมฝึกมันมาตั้งแต่เด็ก~”
โจวเซียนหลงส่ายศีรษะด้วยความอ่อนใจและปรบมือให้ชายตรงหน้า หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาก็หายไป และเขาก็เอ่ยถามออกไปอย่างตรงประเด็น “คุณแน่ใจหรือยัง ?”
“ยังไม่แน่ใจนัก…” อีกฝ่ายถอนหายใจออกมา “สิ่งเดียวที่ผมมั่นใจก็คือผู้ชายในรูปนั้นคล้ายกับอาจารย์ฉินมาก แต่… ผมตรวจจับพลังปราณของเขาบนเรือสำราญไม่ได้เลย”
โจวเซียนหลงขมวดคิ้ว “ถ้าอย่างนั้นมันก็พิสูจน์ไม่ได้ว่านั่นเขาหรือไม่…”
“มันไม่ได้พิสูจน์อะไรเลยครับ” ชายตรงหน้าเอ่ยตอบเสียงเรียบ “หากเขาอยู่บนเรือสำราญลำนั้นจริง ๆ และเราไม่สามารถตรวจจับร่องรอยพลังปราณของเขาได้ แบบนั้น… มันก็ยิ่งน่ากลัวขึ้นไปอีก”
โจวเซียนหลงผงะไปเล็กน้อย จากนั้นสีหน้าของเขาก็เคร่งขรึมขึ้นกว่าเดิม
“จะว่าไป ผมรู้สึกว่าเขาค่อนข้างไม่ธรรมดา” ชายผู้พูดยกมือลูบคาง “วิชาที่เขาฝึกฝนนั้นแปลกมาก และผมก็ไม่เคยได้ยินอะไรแบบนั้นมาก่อน นอกจากนี้… การก้าวสู่ขั้นนักล่าวิญญาณตั้งแต่อายุ 18 นั้นมันน่าเหลือเชื่อมากจริง ๆ และสิ่งที่ทำให้เรื่องทั้งหมดน่ากลัวกว่าเดิมก็คือข้อเท็จจริงที่ว่าเขาเป็นผู้ฝึกตนเดี่ยว นี่… มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย”
เขาเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยต่อ “แต่… เขามีเงา”
โจวเซียนหลงพยักหน้า
อีกฝ่ายเอ่ยเสียงทุ้ม “และนั่นก็คือสิ่งที่ทำให้ผมสงสัยมากที่สุด หากชายที่อยู่ในรูปคืออาจารย์ฉินจริง ๆ งั้นเขาเป็นใครกัน ? หากไม่ใช่เพราะข้อเท็จจริงที่ว่าการปะทุของพลังหยินที่ช่องแคบสึชิมะนั้นมีความสำคัญมาก ทางหน่วยอัลบาทรอสก็คงไม่มีทางสืบสวนมนุษย์ แม้ว่าเขาจะน่าสงสัยแค่ไหนก็ตาม”
“เพราะอย่างไรแล้ว คนเป็นและคนตายนั้นไม่สามารถยุ่งเกี่ยวซึ่งกันและกันได้ ไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถมีชีวิตอยู่ได้โดยที่มีพลังหยินผสมอยู่ในร่าง”
โจวเซียนหลงเงียบไปราวกับครุ่นคิดสิ่งที่อยู่ตรงหน้า หลังจากผ่านไปสักพัก เขาก็ถามขึ้นมาว่า “แล้วทางฝั่งพวกคุณล่ะ ?”
“หัวหน้าใหญ่และรองหัวหน้าของโรงประมูลเจียเต๋ออยู่ภายใต้การจับตาดูของอัลบาทรอส” ดวงตาของเขาเป็นประกายเย็นยะเยือก “น่าเสียดาย ความทรงจำของพวกเขาถูกบิดเบือนไปโดยธูปลบความทรงจำ ไม่สิ พูดให้ถูกก็คือความทรงจำของผู้ที่อยู่บนเรือในวันนั้นทั้งหมดถูกบิดเบือนโดยธูปลบความทรงจำ นอกจากนี้กล้องวงจรปิดก็ถูกทำลายจนหมด มันมีแม้กระทั่งร่องรอยของวิญญาณขั้นยมทูตขาวดำติดอยู่บนเรือ และสิ่งที่ทำให้เรื่องนี้แย่ลงกว่าเดิมก็คือผมไม่เคยเห็นขั้นยมทูตขาวดำที่แข็งแกร่งขนาดนี้มาก่อน แถมพวกมันไม่ใช่ภูตผีของจีนอีกด้วย เรือสำราญทั้งลำถูกทำลายแทบทั้งหมดด้วยฝีมือของภูตผีพวกนี้”
“นี่เป็นความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่” โจวเซียนหลงขมวดคิ้วยุ่ง “มันต้องใช้เวลาอย่างน้อยสี่ถึงห้าปีกว่าผลของธูปลบความทรงจำจะหายไป และหากเราโชคร้าย มันก็อาจจะใช้เวลาถึงสิบปีเต็ม”
คนตรงหน้าส่ายศีรษะไปมาและกวาดสายตามองหอประชุดที่อยู่เบื้องหน้าของตนด้วยแววตาวาวโรจน์ “คุณโจวครับ… ข้อเท็จจริงที่ว่าธูปลบความทรงจำถูกใช้หมายความว่ามีใครบางคนต้องการจะซ่อนอะไรบางอย่าง คำถามก็คือ… ใคร ?”
“ข้อเท็จจริงที่ว่าเขาสามารถใช้ธูปลบความทรงจำได้โดยปราศจากคำอนุญาตของทางการหมายความว่าเขามีสถานะที่พิเศษมาก มากจนสามารถทำผิดกฎเพื่อปกปิดความจริงทั้งหมดเกี่ยวกับเรื่องนี้”
ชายคนนั้นเดินไปมาขณะที่เอ่ยต่อ “โรงประมูลเจียเต๋อได้จัดการประมูลขึ้นบนเรือสำราญ จากบนหน้าเว็บไซต์ของพวกเขา การประมูลครั้งนี้เกี่ยวข้องกับสมบัติของชาติที่ชื่อว่าถ้วยพระเนตรสวรรค์เปลี่ยนสี แต่ถ้วยใบนั้นกลับหายไปหลังจากเหตุการณ์นั้น นอกจากนี้…”
เขาสูดหายใจเข้าช้า ๆ “ในโถงประมูลมีที่นั่งอยู่ทั้งสิ้น 47 ที่ แต่กลับมีเจ้าของที่นั่งคนหนึ่งหายไปในเวลาเกิดเหตุ !”
“ตอนที่เราได้รับสัญญาณจากเรือ เมื่อทีมค้นหาและกู้ภัยไปถึงที่เกิดเหตุ พวกเราพบว่ามีคนเพียง 46 คนเท่านั้นที่มีคุณสมบัติพอที่จะนั่งที่นั่งเหล่านั้น !”
“ผู้ที่หายไป… จะต้องเป็นหนึ่งในแขก VIP ระดับสูงของโรงประมูลเจียเต๋อเป็นแน่ ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่ได้รับการจัดเตรียมที่นั่งไว้ให้” ดวงตาของผู้พูดหรี่ลงขณะที่เอ่ยต่อ “เขาจะต้องเป็นคนที่ใช้ธูปลบความทรงจำกับแขกทั้งหมด… หรือหากพูดอีกนัยหนึ่งก็คือ เขาคือผู้เดียวที่ไม่ได้รับผลกระทบจากธูป และเป็นคนเดียวที่มีความทรงจำเกี่ยวกับเหตุการณ์ทั้งหมดเหลืออยู่ ! เขาเป็นเพียงคนเดียวที่สามารถบอกเราได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นที่ช่องแคบสึชิมะ !”
โจวเซียนหลงที่ได้ยินเช่นนั้นถามต่อ “ไม่ใช่ว่าพวกคุณบอกว่ามันยังมีคนอีกสามคนที่ยังมีความทรงจำหลงเหลืออยู่หรอกหรือ ?”
ฝ่ายตรงข้ามหัวเราะออกมาอย่างขมขื่น “พวกเขาคือเหล่าคนที่พวกเราไม่สามารถเอื้อมถึง ทางมิตสุบิชิส่งผู้ฝึกตนขั้นตุลาการนรกระดับต้นมาเพื่อปฏิเสธที่จะให้ความร่วมมือในเรื่องนี้ ในขณะที่การเข้าถึงภูเขาโคยะ… จะเป็นการทำเกินขอบเขตอำนาจของเราเกินไป นอกจากนี้ พวกเขาก็ไม่มีทางบอกอะไรเราแน่ พวกเขาจะปฏิเสธคำถามของเราโดยการบอกว่าตนไม่รู้และหมดสติไปในตอนที่เกิดเหตุ”
“ไม่เช่นนั้นคุณคิดว่าผมจะหมดหวังจนต้องเดินทางมาที่สำนักผู้ฝึกตนแห่งแรกเพื่อตรวจสอบอาจารย์ฉินเหรอครับ ?” ชายคนนั้นถอนหายใจออกมาขณะที่หยิบรูปออกมาและวิเคราะห์มันอีกครั้ง
ภาพในมือของเขาถูกถ่ายมาโดยดาวเทียมในช่วงเช้าตรู่
มันเป็นภาพของห้อง ๆ หนึ่งที่เผยให้เห็นใบหน้าของฉินเย่ขณะที่เขายื่นหน้าดูพระอาทิตย์ขึ้นจากในหน้าต่าง
ภาพทั้งหมดแสดงให้เห็นใบหน้าบางส่วนที่โผล่ออกมาระหว่างช่องว่างของผ้าม่าน แต่ถึงอย่างนั้น ทุกอย่างที่ถูกถ่ายได้ก็ดูเหมือนกับเครื่องหน้าของฉินเย่ไม่มีผิด
“แล้วที่ช่องแคบสึชิมะล่ะ ? พวกคุณได้ส่งคนไปตรวจสอบพื้นที่แถวนั้นหรือยัง ?” โจวเซียนหลงมองภาพถ่ายด้วยแววตาที่ซับซ้อน
“พวกเราส่งคนไปแล้วครับ คาดว่าน่าจะได้ข้อมูลเพิ่มเติมในวันนี้” อีกฝ่ายเก็บภาพไป จากนั้น ก่อนที่เขาจะได้เอ่ยอะไรต่อ เสียงโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น
“พูดปุ๊บก็โทรมาเลย” เขาชูโทรศัพท์ให้โจวเซียนหลงดู “เดี๋ยวผมจะรายงานผลให้ทราบนะครับ”
เมื่อเอ่ยจบเขาก็หมุนตัว สวมหูฟังและรับสายทันที
แต่ไม่กี่วินาทีต่อมาใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นซีดเผือด
หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ถอดหูฟังออกและตั้งท่าจะเดินออกไปจากห้องทันที โจวเซียนหลงที่เห็นเช่นนั้นก็รีบคว้าตัวอีกฝ่ายไว้
“เกิดอะไรขึ้น ?”
“มีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น” อีกฝ่ายกัดฟันกรอด “คุณโจว กรุณาจับตาดูอาจารย์ฉินไว้ให้ดี ผมจะเดินทางไปที่ช่องแคบสึชิมะด้วยตัวเอง… หากในเทอมหน้าเรายังไม่ได้รับความคืบหน้าอะไร ผมจะเดินทางมาที่นี่อีกครั้ง”
……
ณ ช่องแคบสึชิมะ
สายลมกระโชกแรกพัดผ่านผิวน้ำ ตรงจุดที่มีซากปลาตายจำนวนนับไม่ถ้วนลอยขึ้นมา ถึงแม้ว่ามันจะผ่านมาเป็นเวลาหนึ่งเดือนแล้วตั้งแต่เกิดการต่อสู้ขึ้น แต่ทั้งช่องแคบก็ยังดูเหมือนกับเขตต้องห้ามสำหรับคนเป็น ปลาตัวใดที่ว่ายเข้ามาแถวนี้จะหงายท้องและตายในทันที ขณะที่เรือทุกลำที่แล่นผ่านก็จะกลายเป็นเรือผีสิง ทุกประเทศโดยรอบต่างระบุให้ช่องแคบแห่งนี้เป็นเขตต้องห้ามสำหรับคนเป็นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่ามหาสมุทรแห่งนี้ถูกทิ้งร้างและปราศจากซึ่งสิ่งมีชีวิตใด ๆ
ตอนนี้เป็นเวลา 18.00 น.
ดวงอาทิตย์ที่กำลังตกดินส่องแสงสีทองไปทั่วผิวน้ำ ในขณะที่เปลวไฟนรกสีแดงเข้มลุกโชนขึ้นในกลุ่มก้อนพลังหยินที่ลอยไปมาอยู่แถว ๆ นั้น หลังจากนั้นไม่นาน สุนัขล่าเนื้อที่มีเปลวไฟนรกสีเขียวลุกโชนอยู่ในร่างที่เป็นโครงกระดูกและดวงตาสีแดงก่ำก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างน่าพิศวง และพวกมันก็เริ่มสำรวจพื้นที่โดยรอบ
มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะกระทำการใด ๆ โดยไม่เหลือร่องรอยไว้
มันไม่สำคัญว่าอีกฝ่ายจะมาดีหรือมาร้าย ตราบใดที่เคยมา มันก็จะต้องมีร่องรอยบางอย่างทิ้งไว้ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นหลังจากนี้อยู่นอกเหนือการควบคุมของฉินเย่อย่างสิ้นเชิง ทฤษฎีผีเสื้อขยับปีกค่อย ๆ เริ่มขึ้นแล้ว
การสำแดงอำนาจของท่านเปาและการปรากฏตัวของสมุดแห่งความเป็นตายนั้นเพียงพอที่จะทำให้ทั้งทวีปตะวันออกต้องสั่นสะเทือน [1]
ฟุดฟิด… ฟุดฟิด… สุนัขล่าเนื้อพุ่งตัวไปตามผิวน้ำราวกับคลื่น มันขยายจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ โผล่ออกจากช่องแคบสึชิมะและค่อย ๆ ขยายการตรวจสอบไปทางญี่ปุ่นและแดฮัน แต่ขณะที่พวกเขาจะไปถึงน่านน้ำของปูซาน เปลวไฟนรกก็พลันระเบิดออกและสุนัขโครงกระดูกก็กลายเป็นเพียงเถ้าถ่านทันที
“ราชาผีตนใดกัน ? ไม่คิดหรือว่าตนเองกำลังดูถูกอำนาจของข้า หลิวอวี้อยู่ ?” เสียงหนึ่งดังขึ้นในความมืดโดยรอบ ตามมาพร้อมกับเสียงกรีดร้องของวิญญาณจำนวนมาก หลังจากนั้นไม่นาน ผิวน้ำบริเวณนั้นก็เริ่มปั่นป่วนอย่างรุนแรง
ฟึ่บ… เปลวไฟนรกจำนวนมากลอยขึ้นและพุ่งไปทางปูซานทันที กลุ่มก้อนพลังหยินขนาดใหญ่พุ่งออกมาจากในกลางของปูซานและลอยมาทางช่องแคบสึชิมะ ภายในไม่กี่นาที เสียงร้องของม้าศึกจำนวนมากก็ดังขึ้น และทหารวิญญาณที่สวมชุดเกราะจีนขี่ม้าก็ปรากฏขึ้นจากกลุ่มเมฆดำราวกับคลื่นสึนามิ
ทหารทั้งหมดคือโครงกระดูก
โครงกระดูกที่ยังคงสมบูรณ์ทุกอย่าง พร้อมด้วยผมที่ถูกมัดรวบขึ้นอย่างในหนังจีนโบราณและถือหอกยาวอยู่ในมือ พวกเขาเริ่มก่อตัวเป็นค่ายกลทหารวิญญาณขนาดใหญ่ก่อนจะหยุดลงตรงหน้าของจุดที่ปูซานตั้งอยู่
เงียบสนิท
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากความมืดด้านหลัง “…จักรพรรดิหวู่แห่งซ่งนี่เอง…”
“ดูเหมือนว่าพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์จะไม่ได้ปัดเป่าท่านไปยังสวรรค์สินะ… แต่มันก็มีข้อดีเช่นกัน มันง่ายกว่าที่จะพูดคุยกับคนรู้จัก…”
“หลิวอวี้ ท่านจำข้าได้หรือไม่ ? ข้าหวังว่าตัวเองคงไม่ได้ทำให้ท่านหวาดกลัวจนเกินไปตอนที่ข้ากรีดร้องอยู่ในพิภพอสูรนะ”
[1] เช่นเอเชีย