ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 312: หลุมพราง !
บทที่ 312: หลุมพราง !
ฉินเย่ใช้เวลาส่วนหนึ่งไปกับการปรับแผนการเรียนการสอนก่อนจะจมอยู่ในกองเอกสารที่ต้องการการเซ็นอนุมัติอีกครั้ง
ยิ่งรายละเอียดเกี่ยวกับการพัฒนาลงลึกมากเท่าไหร่ จำนวนเอกสารที่ต้องได้รับการตรวจทานและอนุมัติก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น ตอนแรกเขาคิดว่าจะลองคิดเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างราชทูตทั้ง 12 ยมโลกแห่งเก่า และยมโลกแห่งใหม่อย่างละเอียด แต่น่าเสียดายที่ในไม่ช้า เขาก็ต้องจมอยู่ในกองเอกสารเสียก่อน ไม่มีสิ่งใดที่ไม่ได้รับการอนุมัติตราบใดที่พวกเขาส่งเอกสารที่มีความหนาถึง 12 นิ้ว และถ้ามีเอกสารเสริมด้วย มันก็ต้องเพิ่มขึ้นไปอีก 12 นิ้ว…
วันที่ 1 กันยายน หน่วยงานราชการของยมโลกแห่งใหม่ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการ และก็มีจำนวนข้าราชการอยู่ทั้งสิ้น 50 คน เนื่องด้วยพื้นที่ภายในโถงเสริมทางด้านซ้ายมือมีอยู่อย่างจำกัด มันจึงไม่มีทางที่จะสามารถบรรจุจำนวนคนมากกว่านั้นได้
โชคยังดีที่พิมพ์เขียวของอาคารราชการแห่งใหม่ที่กู่ชิงได้วาดเอาไว้ได้รับการอนุมัติแล้ว และงานก่อสร้างก็เริ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อสิบวันก่อน
วันที่ 12 กันยายน หอจดหมายเหตุของยมโลกได้ก่อตั้งขึ้น และรายละเอียดทั้งหมดที่เกี่ยวกับการก่อตั้งอุตสาหกรรม การก่อสร้างอาคารแต่ละหลัง …เหตุการณ์สำคัญทั้งหมดถูกจดบันทึกไว้ในหอจดหมายเหตุแห่งนี้เพื่อที่ยมโลกจะได้เริ่มเขียนประวัติศาสตร์ของมันเองในท้ายที่สุด ในขณะเดียวกัน หอจดหมายเหตุยังจดบันทึกและวางตารางเกี่ยวกับงานเฉลิมฉลอง ประเพณี และเทศกาลต่าง ๆ รวมถึงสิ่งที่จะถูกดำเนินการในวันเหล่านี้เอาไว้อีกด้วย ตามรายงาน วันที่ 18 มีนาคมถูกกำหนดให้เป็นวันนรก หรือที่รู้จักกันในชื่อของวันสถาปนายมโลกแห่งใหม่
วันที่ 15 กันยายน กองพันทหารที่หนึ่งแห่งยมโลกได้ถูกจัดตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการ มีทหารวิญญาณที่ได้รับการเกณฑ์เข้ามาทั้งสิ้น 12,000 นาย ส่วนใหญ่เป็นวิญญาณที่อยู่ในวัย 30 ปี โนบูนางะเป็นผู้ส่งรายงานนี้ด้วยตนเอง ระบุว่าพวกเขาได้เริ่มการฝึกซ้อมอย่างเป็นทางการ และพวกเขาก็หวังว่าฉินเย่จะสามารถกลับไปที่ยมโลกได้ภายในเวลาสองเดือนเพื่อเข้าร่วมการต่อสู้กับแมลงแห่งหายนะครั้งแรกของพวกเขา
บรรลุเป้าหมายสามอย่างภายในไม่ถึงครึ่งเดือน ยังไม่รวมถึงความสำเร็จเล็ก ๆ น้อย ๆ อีกจำนวนมาก รวมทั้งการจัดตั้งโรงงานและสายงานผลิตอีกจำนวนมาก ถึงแม้ว่าฉินเย่จะพยายามแจกจ่ายงานให้ได้มากที่สุดเท่าที่เขาจะสามารถทำได้ การดำเนินการส่วนใหญ่ก็ยังจำเป็นจะต้องรอการอนุมัติจากเขาก่อนที่จะสามารถเริ่มลงมือได้อยู่ดี
เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น และมันก็มีบางครั้งที่เขาไม่ค่อยสนใจเนื้อหาของงานเท่าใดนัก แต่เขาก็ยังติดตามอยู่เสมอว่าการพัฒนาในยมโลกเป็นไปถึงไหนแล้ว นอกจากนี้ ภาคการศึกษาใหม่เองก็ได้เริ่มขึ้นแล้ว และมันก็เป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะเดินทางกลับไปยังยมโลกบ่อย ๆ เหมือนแต่ก่อน
เขาต้องไปสอนในตอนเช้าในขณะที่ต้องคอยให้คำชี้แนะกับพวกนักเรียนในการฝึกฝนในตอนเย็น ดังนั้นกว่าที่เขาจะกลับไปที่ห้องมันก็เป็นเวลากว่าสี่ทุ่มแล้ว หลังจากนั้นเขาก็ใช้เวลาว่างที่เหลือของตัวเองในการตรวจดูสมบัติของยมโลกแห่งเก่าที่ยังเหลืออยู่อีกมาก
อาจารย์ผู้สอนทุกคนรู้ดีว่าฉินเย่ชอบเข้าสังคมและงานเลี้ยงมากเพียงใด แต่ช่วงนี้เขากลับปฏิเสธทั้งสองอย่างนั้นและใช้เวลาทั้งหมดอยู่ภายในห้องของตนเองทุกวัน
“หลายวันที่ผ่านมานี้คุณยุ่งอะไรนักหนา ?” หลินฮั่นถามฉินเย่ขณะที่พวกเขากำลังนั่งพักอยู่ภายในห้องพักของเหล่าอาจารย์
ข้อดีอย่างหนึ่งเกี่ยวกับหลินฮั่นก็คือการที่เขาเป็นคนพูดตรง เขาไม่เคยพูดอะไรอ้อมไปอ้อมมา
สภาพของฉินเย่ดูไม่ได้แตกต่างไปจากปกตินัก อย่างมากที่สุด สิ่งที่เปลี่ยนไปก็คือพักนี้เด็กหนุ่มมักจะสวมแว่นสายตาอยู่เสมอ แต่ชายตัวโตก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่ารอบ ๆ ตัวของฉินเย่มีกลิ่นอายของความตายห่อหุ้มอยู่ มันเหมือนกับว่าอีกฝ่ายสามารถตายได้ทุกเมื่อ
แต่ฉินเย่กลับไม่สนใจ เขาหลับตาลง ในขณะที่ยมโลกพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ งานของเขาก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกัน รายงานที่เขาต้องอ่านทุกวันมีความสูงอย่างน้อยหนึ่งฟุตเมื่อนำมากองรวมกัน
หลินฮั่นไม่ได้สนใจที่ฉินเย่เมินตน คุณจะเมินผมแล้วยังไง… ผมไม่สน… เพราะอย่างไรแล้ว ผมก็ชินมันเสียแล้ว
เต้ง เต้ง เต้ง… เสียงระฆังบอกคาบถัดไปดังขึ้น ฉินเย่ลืมตา หยิบแผนการสอนของตนและทำท่าจะเดินออกไปจากห้องพัก ทว่าทันใดนั้นเอง หลินฮั่นก็เคาะโต๊ะเบา ๆ “นี่ คืนนี้ ที่ห้องร้องคาราโอเกะ มีอาจารย์ผู้หญิงอีกสองคนไปด้วย คุณจะไปด้วยกันไหม ?”
“ไม่” ฉินเย่ตอบโดยไม่หันกลับไปมอง
“นี่ ! ไปเถอะ ! ผมเลี้ยงเอง ! ไปด้วยกัน !” หลินฮั่นตะโกนออกมาเสียงดังจากด้านหลัง “ทำไมต้องกักตัวอยู่แต่ในห้องทั้งวันด้วย ? ตลอด 20 วันที่ผ่านมาคุณทำตัวเหมือนต้องการจะหลบแสงอาทิตย์ตลอดเลย หรือว่าคุณกำลังหมกมุ่นอยู่กับเรื่องผี ๆ อยู่ ?!”
เรื่องผี ๆ บ้านแกน่ะสิ !
ฉินเย่แทบอดไม่ไหวที่จะหันกลับไปและทิ้งระเบิดใส่อีกฝ่าย น้องชาย… นายอาจมองเป็นเรื่องตลก แต่ฉันกำลังหมกมุ่นอยู่กับเรื่องผี ๆ อยู่จริง ๆ!
แต่เขาก็ไม่คิดที่จะหันไปทำอะไรกับเสียงเห่าอันทรงพลังของฮัสกี้ที่อยู่ด้านหลัง ทันใดนั้นฉินเย่ก็รู้สึกว่าตัวเองแก่ขึ้น เขาโบกมืออย่างไม่ใส่ใจนัก ทว่าขณะที่เขาจะเดินจากไป เด็กหนุ่มก็สัมผัสได้ถึงแขนอันทรงพลังที่คว้าไหล่ของเขาเอาไว้
น้ำหนักของแขนเพียงข้างเดียวน่าจะประมาณสิบกิโลกรัม ! พระเจ้า… นี่อีกฝ่ายขว้างขาหมูใส่เขาเหรอ ?!
หลินฮั่นที่เดินตามเขามาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้วางแขนของตนรอบไหล่ของฉินเย่ และตอนนี้ชายร่างใหญ่ก็กำลังจ้องมองเด็กหนุ่มพร้อมกับขมวดคิ้ว “เกิดอะไรขึ้นกันคุณ ? อยากจะระบายอะไรให้พี่ชายคนนี้ฟังไหม ? พวกเราเป็นแค่พี่น้องที่ชอบทะเลาะกันเป็นครั้งคราวเฉย ๆ ทำไมต้องสวมบรรยากาศของระดับชาเลนเจอร์[1] เอาไว้ด้วย… รู้ตัวหรือเปล่าว่าเริ่มมีกลิ่นความตายโชยออกมาจากร่างแล้วนะ ? ตอนนี้เท้าข้างหนึ่งของคุณคงก้าวเข้าไปในโลงแล้วด้วย”
ให้ตายเถอะ… นี่นายเป็นหมาเหรอ ?!
ฉินเย่มองหลินฮั่นราวกับเห็นผี จมูกของนายสามารถได้กลิ่นความตายตั้งแต่เมื่อไหร่ ? ฉันรู้แล้ว… ฉันจะแต่งตั้งให้นายเป็นสุนัขตำรวจหลังจากที่นายตายไป !
“ผมแค่พักผ่อนไม่พอเท่านั้น” เมื่อเห็นว่าดูเหมือนจะไม่ยอมปล่อยตนจนกว่าจะได้คำตอบ ฉินเย่จึงข่มความโกรธที่ลุกโชนภายในใจและเอ่ยออกไปอีกครั้ง
“ผมรู้ หรือว่านี่เป็นเพราะทางสำนักกดดันคุณมากเกินไป ?” หลินฮั่นมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเข้าใจก่อนจะโน้มตัวเข้าไปและกระซิบเบา ๆ ข้างหู “นี่คือเหตุผลว่าทำไมพี่ชายคนนี้ถึงเตรียมสิ่งดี ๆ ไว้ให้ยังไงล่ะ”
ตี๊ดดดด !
เสาอากาศบนศีรษะของฉินเย่ตั้งขึ้นทันที และร่างที่เอื่อยเฉื่อยของเขาก็มีพลังขึ้นมาในบัดดล สัญชาตญาณของเขาบอกเขาว่า ‘สิ่งดี ๆ’ ที่เจ้าฮัสกี้ตัวโตนี่พูดถึงจะไม่มีทางเป็นสิ่งที่ดีอย่างแน่นอน เขาหันไปจ้องหน้าหลินฮั่น “คุณควรจะเตรียมพร้อมสำหรับผลที่จะตามมาให้ดี เพราะผมไม่สามารถรับประกันได้ว่าจะสามารถยั้งตัวเองไว้ได้หรือเปล่า”
หลินฮั่นมองฉินเย่ด้วยสายตาเหลือเชื่อ จากนั้นด้วยสีหน้าที่เจ็บปวด เขาเอ่ยต่อ “คุณจำที่เทพแห่งสงครามโจวเคยบอกว่าพวกเราจะเริ่มฝึกฝนการต่อสู้จริงในภาคการศึกษานี้ ?”
ฉินเย่ยังคงจ้องมองอีกฝ่ายนิ่งโดยไม่เอ่ยอะไรออกมา
ข้างหน้ามีหลุมพรางอยู่ เขาจะต้องระวังให้ดี
“สีหน้าแบบนั้นคืออะไร ? นี่คุณคิดว่าผมพยายามจะหลอกคุณหรือไง ?!” หลินฮั่นตกใจและเอ่ยอย่างเหยียดหยาม “ตารางเพิ่งถูกปล่อยออกมาเมื่อสองวันก่อน คุณได้ดูมันหรือยัง ? เราจะเริ่มอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 ตุลาคม หนึ่งต่อหนึ่ง เทพแห่งสงครามโจวจะมาดูการสอนของอาจารย์แต่ละคนด้วยตัวเอง ส่วนอาจารย์ผู้สอนหนึ่งคนจะต้องดูแลนักเรียนสิบคน และเมื่ออิงตามความชื่นชอบของนักเรียน ผมเลยถูกจัดให้รับผิดชอบในอาทิตย์แรก”
“เดี๋ยวก่อนนะ” ฉินเย่จับประเด็นสำคัญอย่างชาญฉลาด ให้ตายเถอะ… นั่นมันหมายความว่ายังไงกัน ?
ตัวเลือกที่ชื่นชอบของพวกนักเรียนกลายเป็นคุณไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ?
ไอ้หนู นายไม่คิดเหรอว่าตัวเองพูดข้ามรายละเอียดมากเกินไป ? นายคงจะพูดมันขึ้นมาเองใช่ไหม ?
น่าขยะแขยง !
หลินฮั่นเข้าใจสายตาของฉินเย่ในทันที และเขาก็ยืดอกของตัวเองอย่างภาคภูมิใจ “นี่คุณกำลังกังขาในสิ่งที่ผมพูดอยู่ใช่ไหม ? ผมไม่ได้พยายามจะอวดนะ แต่ยุคสมัยของความแข็งแกร่งของคุณมันจบไปแล้ว ตอนนี้เป็นยุคสมัยที่ถูกสร้างขึ้นโดยสกุลหลิน !”
“นั่นไม่มีทางเป็นไปได้” ฉินเย่ปรับระดับแว่นสายตาของตัวเอง “ขนาดใช้เวลาหนึ่งปีแสง เรายังตามกันไม่ทันเลยด้วยซ้ำ”
หลินฮั่นขมวดคิ้วใส่อีกฝ่ายและมองด้วยสายตาเย่อหยิ่ง เขาแกล้งทำเป็นถอนหายใจออกมา แต่มันก็เห็นได้ชัดว่าเขากำลังเหยียดหยามฉินเย่อยู่
เขากดเข้าไปในแอปโม่โม่
จากนั้นจึงกดเข้าไปในกลุ่มนักเรียนของสำนักฝึกตนแห่งแรก
รอยยิ้มเยาะบนใบหน้าของเขาไม่ต่างอะไรกับหมาป่าในคราบของลูกแกะเลยแม้แต่น้อย
ฉินเย่จ้องมองหลินฮั่นราวกับตัวเองกำลังมองคนใหม่ “โอเค… ผมแค่ไม่คิดว่าคุณจะทำแบบนี้”
“ดูและเรียนรู้… พวกเราควรจะสนใจและเป็นห่วงชีวิตความเป็นอยู่ของเหล่านักเรียนอยู่เสมอ นี่เป็นส่วนหนึ่งในหน้าที่ของเราในฐานะของอาจารย์ผู้สอน” หลินฮั่นแย้มยิ้มก่อนจะส่งโทรศัพท์ให้กับฉินเย่
“ต่อไปเป็นคาบของอาจารย์ฉินนี่ เราจะทำยังไงกันดี ?” หลอดเป่าเมล็ดถั่วแห่งความสุขถาม
“ให้ตายเถอะ… ฉันอยากเข้าเรียนกับอาจารย์หลินมากกว่า ! คาบอาจารย์ฉินน่ากลัวชะมัด ! ย้ายเถอะ !” แววตาของฉินเย่เป็นประกายเย็นยะเยือกเมื่อเห็นข้อความทั้งหมด เขารีบจำรายชื่อเอาไว้ จากนั้น ด้วยตัวตนที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังบัญชีปลอมของหลินฮั่นอีกที เขาส่งข้อความเข้าไปในกลุ่ม “คาบของอาจารย์ฉินมีอะไรกัน ? ส่วนตัวฉันคิดว่ามันไม่เลวเลยนะ”
ทันใดนั้น ในกลุ่มก็ระเบิดด้วยข้อความตอบกลับจำนวนมาก
“ว่าไงนะ ?! นี่นายแน่ใจใช่ไหมว่าตัวเองเคยเข้าเรียนคาบของเขา ? เทอมที่แล้วมันสนุกมาก ! แต่ตั้งแต่ที่เทอมนี้เริ่มต้นขึ้น มันรู้สึกเหมือนว่าพวกเรานั่งอยู่ในห้องเก็บศพชัด ๆ! เอ่อ ฉันหมายถึงมันรู้สึกเหมือนห้องเก็บศพทุกครั้งที่เขาเดินเข้ามาในห้องบรรยายน่ะ” เชกสเปียร์ตอบกลับ
“ฉันรู้สึกเหมือนว่าความกระตือรือร้นของตัวเองถูกดูดออกจากร่างกายในทุกนาทีที่เข็มนาฬิกาเดินเลย… พวกนายคิดไหมว่าอาจารย์ฉินดูเหนื่อย ๆ ยังไงก็ไม่รู้ ? เขานอนไม่พอหรือเปล่า ? เขาอายุพอ ๆ กับเรา แต่จู่ ๆ มันก็รู้สึกเหมือนว่าเขาแก่ขึ้นสัก 20 ปี !” หมวกสีเขียวสดใสของคุณแชทโต้ตอบ
“หรือว่าเขาคิดว่าตัวเองเป็นที่ชื่นชอบและสนิทกับพวกนักเรียนเกินไปในเทอมที่ผ่านมา เทอมนี้เขาก็เลยเปลี่ยนวิธีและเลือกใช้วิธีลำบากแทน ? ฉันชอบอาจารย์ฉินคนเก่ามากกว่า เขาอาจจะยังดูเหมือนเดิม แต่มันรู้สึกเหมือนว่าจิตวิญญาณของเขาหายไป เห้อ …คนหน้าตาดีนั้นหาง่าย แต่คนที่มีจิตวิญญาณที่แรงกล้านั้นหายาก ดูเหมือนว่าอาจารย์ฉินจะกลับไปสู่ร่างก่อนหน้านี้เสียแล้ว…” ‘คำอธิบายที่น่าเกลียด’ ตอบคล้ายจะเสียดาย
“หน้าตาดี ? ฉันไม่เห็นด้วย เขาผอมแห้งจะตาย อย่างมากที่สุดก็แค่พอดูได้เท่านั้น ดูกล้ามเนื้อที่แข็งแรงของอาจารย์หลินสิ… ว้าวชะมัด…”
“ไม่ ๆๆ …ฉันชอบเสี่ยวเย่ผู้น่ารักและแสนจะบริสุทธิ์มากกว่า บางทีบางส่วนของเขาอาจจะพัฒนาเป็นหมาป่าน้อยก็ได้ !”
“เดี๋ยวก่อนนะ… เธอพูดราวกับตัวเองเคยเห็นอย่างนั้นแหละ…”
ประเด็นบทสนทนาทั้งหมดเริ่มบิดเบี้ยวอย่างไม่น่าเชื่อ
และริมฝีปากของฉินเย่ในเวลานี้เองก็เช่นกัน
ให้ตายเถอะ… นี่เขาจัดการเจ้าเด็กพวกนี้ได้เลยหรือเปล่า ?!
ใครผอมแห้ง ?! มา มาพูดกันต่อหน้าสิ ! ยังไม่ได้ยืนยันอะไรเลยแล้วจะรู้ได้ยังไง ? หน้าของเขาก็เด็กแบบนี้อยู่แล้ว จะมาโทษกันได้ยังไง ? ไม่สิ… เขาพยายามอย่างหนักกับบทเรียนพวกนี้ เพราะฉะนั้นเจ้าเด็กพวกนี้มามองข้ามความพยายามของเขาแล้วบอกว่าเขาเป็นเหมือนห้องเก็บศพเดินได้ได้ยังไงกัน ?!
ภายในใจของเขารู้สึกเจ็บปวด… เด็กหนุ่มโยนโทรศัพท์คืนให้หลินฮั่นและถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน
แต่ก็อย่างว่า มันก็ต้องได้อย่างเสียอย่าง…
เขามีเวลาและพลังงานมากมาย และตอนนี้เขาก็ใส่ 80% ของพลังทั้งหมดให้กับยมโลกแห่งใหม่ แล้วแบบนี้เขาจะเอาเวลาที่ไหนมากังวลเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ พวกนี้ ?
เพราะท้ายที่สุดแล้ว ยมโลกก็เป็นของเขา ที่พักพิงสุดท้ายของเขา มันคือสิ่งที่สำนักฝึกตนแห่งแรกไม่สามารถแทนที่ได้
“ชื่อเสียงของคุณกำลังตกอยู่ในอันตรายมาก นั่นคือเหตุผลว่าทำไมผมถึงหาโอกาสให้คุณพัฒนาความสัมพันธ์ครูศิษย์กับพวกนักเรียน” หลินฮั่นเก็บโทรศัพท์และขยิบตาให้ฉินเย่ “คุณจำที่ผมพูดก่อนหน้านี้ได้ไหม ? ที่ผมบอกว่าผมได้ถูกจัดให้เป็นคนดูแลอาทิตย์แรกของการฝึกฝนต่อสู้จริง ?”
“อืม” ฉินเย่เหลือบมองโทรศัพท์ของตนและก้าวเท้าเร็วขึ้น คาบเรียนกำลังจะเริ่มแล้ว
“ผมขอสลับมันกับของคุณ”
ตู้ม !
เสาสัญญาณบนศีรษะของฉินเย่ระเบิดออกทันที เขาลูบศีรษะของตนเองและคว้าเข้าที่คอของหลินฮั่นก่อนจะมองอีกฝ่ายด้วยใบหน้าที่บูดบึ้ง “คุณ… ขอสลับมันกับผม ?!”
“ไม่ต้องขอบใจอะไรทั้งหมด” หลินฮั่นยิ้มกว้าง แทบจะเหมือนกับกำลังบอกฉินเย่ว่ามันไม่มีอะไรให้ต้องขอบคุณ จากนั้น ด้วยรอยยิ้มเห็นฟัน เขาเอ่ยต่อ “มณฑลคังเว่ย ติดกับสามมณฑลทางตะวันออก ที่นั่นมีทุ่งหญ้าขนาดใหญ่ด้วย ! คุณไม่คิดว่ามันเจ๋งเหรอ ? ไม่ดีใจเลยหรือไง ?”
ขอบคุณกับผีน่ะสิ !!!
ฉินเย่แทบจะเป็นบ้า !
เขารู้อยู่แล้วว่ามันจะต้องมีหลุมพรางอยู่เบื้องหน้า แต่เขาไม่รู้เลยว่ามันจะใหญ่ขนาดนี้ ! นี่มันเป็นหลุมพรางที่ใหญ่จนสามารถฝังเขาทั้งเป็นได้เลยด้วยซ้ำ !
อาร์ทิสเตือนเขาไว้ว่าให้อยู่ในสำนักฝึกตนแห่งแรกจนกว่าจะถึงปลายปี แต่สถานการณ์กลับพลิกผันภายในชั่วพริบตา !
และจากสถานที่มากมายทั้งหมด มันกลับเลือกสถานที่ที่อยู่ติดกับสามมณฑลทางตะวันออก !
พระเจ้าช่วย… สวรรค์ทรงโปรด… หรืออะไรก็ตาม !!! นี่ฟ้าต้องการที่จะให้เขาตายเร็ว ๆ หรือเปล่า ? หรือเพราะว่าเนื้อเรื่องดำเนินช้าเกินไป ฟ้าเลยทิ้งระเบิดลูกใหญ่ลงมาแบบนี้ ?!
“นี่ ? เหล่าฉิน ? เป็นอะไรหรือเปล่า ? ทำไมถึงหน้าซีดขนาดนั้น ? คุณ… คุณจะเป็นลมเหรอ ? พระเจ้า ! นี่คุณคงจะตื่นเต้นมาก ๆ เลยสินะ ?!”
[1] อ้างอิงจากเกม LoL