ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 318: เขตไล่ล่า D-69 (1)
บทที่ 318: เขตไล่ล่า D-69 (1)
ค่ำคืนกำลังจะมาเยือน
เวลากลางวันนั้นค่อนข้างสั้นสำหรับทางเหนือ ที่เลวร้ายไปมากกว่านั้นก็คือมันเป็นวันที่มีเมฆมากและปกคุลมไปทั่วท้องฟ้า ราวกับจะมีพายุเกิดขึ้นในคืนนี้
หลังจากทานอาหารเย็นตอน 17.30 น. รถทั้งสามคันก็ออกเดินทางจากค่ายทหารและมุ่งหน้าไปยังของขอบแดนของเมืองซินคังใหม่
“นายกังวลเหรอ ?” เย่ซิงเฉินยิ้มขณะที่มองไปยังหวังเฉิงห่าว พวกเขาทั้งสองนั่งข้างกัน
เขามาจากครอบครัวของผู้ฝึกตน ดังนั้นเขาย่อมเคยกำจัดวิญญาณมาก่อน
“ฉันยังไม่เป็นไร” หวังเฉิงห่าวยิ้มตอบ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเมืองชิงซียังคงถูกสลักอยู่ในส่วนลึกของจิตใจ การสังหารหมู่ของนักเชิดหุ่นและกองเลือดที่ไหลออกมาจากศพของเพื่อนร่วมชั้นนั้นเลวร้ายกว่าวิญญาณธรรมดาที่พวกเขากำลังจะเผชิญหน้ามาก
และมันก็เป็นเพราะเคยมีประสบการณ์ในเรื่องนี้มาก่อนที่ทำให้เขาเริ่มตรวจสอบสิ่งประดิษฐ์เวทย์และยันต์ที่ได้รับมาอย่างละเอียด
เขาได้รับสิ่งประดิษฐ์รูปน้ำเต้าที่สามารถเปิดใช้งานได้ด้วยใส่พลังปราณเข้าไปและยันต์ที่ชื่อว่า ‘ยันต์แห่งความพิโรธของเทพแห่งสายฟ้า’ ตลอดเทอมที่แล้ว เขาเรียนรู้มาว่าหนึ่งสิ่งที่วิญญาณส่วนใหญ่หวาดกลัวก็คือสายฟ้า
นักเรียนแต่ละคนจะได้รับยันต์สิบแผ่นและสิ่งประดิษฐ์เวทย์หนึ่งชิ้น หากพวกเขาใช้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เรียนมาในเทอมที่แล้ว การอดทนไว้สัก 30 นาทีก็ไม่ใช่ปัญหาเลยสักนิด เท่านั้นก็เพียงพอที่จะทำให้ฉินเย่มาช่วยพวกเขาได้ทัน
เย่ซิงเฉินเหลือบมองเพื่อนอีกสองคนที่นั่งอยู่รถคันเดียวกัน ทั้งคู่ต่างมีผลคะแนนที่ยอดเยี่ยม และตอนนี้ทั้งสองก็กำลังพูดอวดกันเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขากำลังจะทำ “ฉันจะกำจัดวิญญาณร้ายทั้งหมดที่อยู่ในเขตไล่ล่าที่ได้รับมอบหมายเลย !”
“ใช่ ! ใครจะอยากได้ยันต์พวกนี้กัน ! แค่ฉันคนเดียวก็จัดการกับพวกมันทั้งหมดได้แล้ว !”
เหอะ… เย่ซิงเฉินส่งเสียงออกมาอย่างดูถูกก่อนจะเอ่ยเตือนด้วยความหวังดี “ระวังไว้ก่อนดีว่า ใครจะรู้ พวกนายอาจต้องใช้ของพวกนี้ก็ได้”
รถของพวกเขาได้ขับออกมาจากใจกลางเมืองซินคังใหม่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ภาพเบื้องหน้าของคนทั้งหมดเริ่มวังเวงมากขึ้นเรื่อย ๆ บางทีพื้นที่แถวนี้อาจจะเคยเต็มไปด้วยผู้คน แต่ตอนนี้ มันแทบจะไม่มีรถขับผ่านเลยแม้แต่คันเดียว
เหล่าคนเดินถนนต่างก็ดูเร่งรีบหรือไม่ก็ปั่นรีบจักรยานราวกับต้องการจะกลับบ้านก่อนตะวันตกดิน บริการขนส่งสาธารณะได้หยุดทำงานไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วในเวลานี้ แม้แต่แท็กซี่เองก็ไม่กล้ารับผู้โดยสารอีกต่อไป
ร้านค้าต่าง ๆ ที่เรียงรายอยู่ข้างถนนปิดตัวลง ในขณะที่แสงไฟจากป้ายโฆษณาเองก็ดับลงเช่นกัน ทั่วทั้งเมืองเปลี่ยนจากย่านการค้าที่คึกคักเป็นดินแดนรกร้างภายในไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง ทันใดนั้นเอง บรรยากาศที่น่ากดดันเริ่มก่อตัวขึ้น นาฬิกาภายในรถก็ดังบอกเวลาในที่สุด
เต้ง… เต้ง…
มันดังทั้งสิ้นหกครั้ง บ่งบอกว่าตอนนี้เป็นเวลา 18.00 น.
ขณะนี้ เมืองซินคังใหม่ รวมถึงอีก 85% ของจีนเริ่มเปิดเสียงประกาศแบบเดียวกัน “ประชาชนทุกท่าน ตอนนี้เป็นเวลา 18.00 น. ทางรัฐบาลของเตือนให้ประชาชนทุกคนกลับเข้าที่พักอาศัยของตัวเองภายใน 20 นาที โปรดใช้วิจารณญาณ การไม่ปฏิบัติตามอาจส่งผลให้เสียชีวิตได้”
“ประชาชนทุกคนที่ยังอยู่ในพื้นที่สาธารณะรบกวนออกจากสถานที่ภายใน 18.10 น. กรุณาอย่างเดินเข้าใกล้พื้นที่ที่เป็นกระจก หน้าต่าง หรือสถานที่ที่ไร้ผู้คน รวมถึงไม่เข้าไปใกล้กับอาคารเก่าหรือถูกทิ้งร้างโดยเด็ดขาด หากพบเห็นสิ่งผิดปกติ จงอย่าทำการตรวจสอบด้วยตนเองและออกห่างจากจุดดังกล่าวทันที ผู้ใดก็ตามที่เดินอยู่เพียงลำพังอย่าหันกลับไปมองด้านหลังเป็นอันขาด”
“นอกจากนี้ กรุณาจำให้ขึ้นใจว่าไม่ควรอยู่เพียงลำพัง ไม่ว่าจะเป็นคนในพื้นที่หรือชาวต่างชาติก็ตาม เพราะอาจทำให้เกิดอันตรายต่อชีวิตได้ ทางเราขอแนะนำให้ทุกท่านจับกลุ่มกันอย่างน้อยสามคนภายในที่พักแห่งหนึ่ง อย่าออกไปไหนมาไหนในเวลากลางคืน สุดท้าย กรุณาอย่างตื่นตระหนกหากเผชิญเข้ากับสิ่งผิดปกติ ข้อความนี้จะถูกเปิดวนต่อไปเรื่อย ๆ ประชาชนทุกท่าน ตอนนี้เป็นเวลา 18.00 น…..”
ประกาศดังกล่าวดังก้องไปทั่วเมืองซินคังใหม่… ร้านค้าในบริเวณโดยรอบปิดสนิท เจ้าของร้านบางคนถึงขนาดเริ่มติดยันต์และเครื่องป้องกันอื่นไปทั่วร้าน ถึงแม้ว่าทางรัฐบาลจะไม่เคยให้ความกระจ่างแก่พวกเขาในเรื่องนี้… แต่ประชากรส่วนใหญ่ก็พอจะสามารถเดาได้ด้วยตัวเองแล้ว
พาหนะที่เหลืออยู่บนถนนในเวลานี้มีเพียงรถของทางกองทัพเท่านั้น มันเป็นเวลา 18.00 น.แล้ว
วูบ… ทันใดนั้น ผู้ฝึกตนทั้งหมดก็รู้สึกถึงความเย็นที่ไล่ไปตามกระดูกสันหลังของตน
พลังหยินโดยรอบพุ่งสูงขึ้น
ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมาแม้แต่คำเดิม สนามรบเริ่มปรากฏให้เห็นในธารสายตา และแม้แต่นักเรียนที่อวดดีและมั่นใจที่สุดก็ยังเริ่มตรวจสอบแผ่นยันต์ในมือและนึกถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่ตนได้ร่ำเรียนมาในเทอมที่แล้ว จากนั้น ท่ามกลางบรรยากาศที่ตึงเครียดและเงียบสงัด รถทั้งสามคันก็ขับมาจอดที่หน้าชุมชนเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง
เขตไล่ล่า D-72
เขตเหมาหยวน
พื้นที่บริเวณนี้ถูกติดไฟจนสว่างไปทั่ว และมันก็มีทหารประมาณสิบนายคอยเฝ้าอยู่ที่หน้าประตูทางเข้าหลัง ทั้งหมดมีสีหน้าโล่งใจขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเห็นการมาถึงของผู้ที่มาประจำการแทนพวกตน
“พวกคุณไปได้แล้ว” หลี่จีสี่และฉินเย่เดินเข้าไปห้องเฝ้าระวัง “การเชื่อมต่อทั้งหมดใช้งานได้ใช่ไหม ?”
“ครับ ทุกอย่างถูกติดตั้งตามคำสั่งที่ได้รับมา มอนิเตอร์ทุกตัวรับสัญญาณจากกล้องวงจรปิดในพื้นที่ทั้งหมด” เจ้าหน้าที่ร่างสูงปาดเหงื่อยบริเวณหน้าผากของตน “ถ้าอย่างนั้น พวกเราไปได้แล้วใช่ไหมครับ ? พวกคุณ… ระวังตัวด้วยนะครับ…”
เขากลืนน้ำลายอย่างหวาดหวั่นขณะที่โน้มตัวเข้าไปใกล้และกระซิบด้วยเสียงที่สั่นเทา “มีวิญญาณร้ายแฝงตัวอยู่ในเขตนี้…”
หลี่จีสี่พยักหน้า หลังจากที่กะก่อนหน้าจากไป เขาก็รีบเชื่อมต่ออุปกรณ์ทั้งหมดกับคอมพิวเตอร์หลัก และเขตไล่ล่าทั้ง 12 ก็ปรากฏขึ้นบนหน้าจอภายในห้องทันที
นักเรียนทั้งสิบถูกปล่อยไว้ที่หน้าเขตไล่ล่าที่พวกเขาได้รับมอบหมายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ด้วยความบังเอิญ ภาพจากกล้องวงจรปิดของเขตไล่ล่า D-69 ซึ่งเป็นเขตไล่ล่าที่หวังเฉิงห่าวได้รับมอบหมาย ปรากฏขึ้นอยู่กึ่งกลางของจอมอนิเตอร์ทั้งหมด ซึ่งฉินเย่และหลี่จีสี่สามารถเห็นมันได้อย่างชัดเจน
เด็กหนุ่มมองหน้าจอทั้งหมดก่อนจะก้มลงเล่นเกมในมือถือของตนต่อ
“นักเรียน” หลี่จีสี่ลุกขึ้น ความรู้สึกที่ซับซ้อนมากมายปรากฏขึ้นในส่วนลึกของแววตาของเขา “ผมขอประกาศให้ปฏิบัติการปราบปรามของสำนักฝึกตนแห่งแรกเริ่มต้นขึ้น ณ บัดนี้”
“โปรดกลับมาโดยที่ยังมีชีวิต”
ไม่มีใครรู้เลยว่าข้อความนี้ยังถูกส่งไปยังอีกตำแหน่งหนึ่งด้วย
เกาเกินยืนอยู่หน้าโรงงานร้างแห่งหนึ่ง สวมหูฟังและอยู่พร้อมกับผู้ฝึกตนอีกจำนวนหนึ่ง เขาเองก็เช่นกัน… ที่ได้ยินคำประกาศในการเริ่มปฏิบัติการ
“บัดซบ…” เขากัดก้นบุหรี่ที่อยู่ภายในปากของตนอย่างแรงก่อนจะพ่นมันลงที่พื้น “เพื่อนร่วมงานทุกท่าน… เตรียมฟังคำสั่งจากผม ปลดล็อกได้ !!”
กรี๊ดดดด… ทันทีที่ประตูเหล็กขึ้นสนิมด้านหน้าของเขาถูกเปิดออก เสียงกรีดร้องที่น่าสะพรึงกลัวก็ดังก้องไปทั่ว
มันเต็มไปด้วยความกระหายเลือดและความดุร้าย เต็มไปด้วยความคับข้องใจต่อมนุษยชาติและความแค้น
“แซ่กกก… อ่าาาา… ฮือออ… ทำไม… ทำไมถึงไม่ช่วย… ข้าไม่ได้อยากตาย… ข้า… อยากมีชีวิต…” เสียงร้องเบา ๆ ของวิญญาณดังขึ้นให้ได้ยินคลอไปกับเสียงดังหวิว ๆ ของลม โซ่จำนวนมากทอดยาวเข้าไปในใจกลางโรงถลุงเหล็ก แต่ละเส้นถูกแปะทับด้วยยันต์จำนวนมาก พวกมันสะบัดไปมาอย่างรุนแรง อันที่จริง แม้แต่ผนังด้านในของโรงงานเองก็ถูกแปะด้วยยันต์ที่ถูกเขียนด้วยหมึกสีแดงเข้มเช่นกัน
ฟึ่บ… ใบไม้และกิ่งไม้จำนวนมากปลิวไปตามพื้น กวนเกินกัดฟัน คว้าโซ่เส้นหนึ่งแน่นด้วยมือของตน ในขณะที่มืออีกข้างใช้ดึงดาบที่อยู่ด้านหลังและฟันลงไปโดยปราศจากความลังเล !
เคร้ง !
ซ่ากกกกก !!! โซ่เส้นยาวขาดสะบั้น ด้านในของโรงถลุงเหล็ก เสียงกรีดร้องที่เสียดแทงหัวใจดังขึ้นกว่าเดิม กรี๊ดดด ! ภายในเสี้ยววินาที โซ่ที่เหลืออยู่ทั้งหมดก็ขาดออก ! แผ่นยันต์ที่ติดอยู่ตามสายโซ่ระเบิดออกพร้อมกันก่อนจะกลายเป็นเพียงฝุ่นผง !
คนทั้งหมดสามารถสัมผัสได้ทันทีว่ามีบางอย่าง… บางอย่างที่ไม่ต่างอะไรกับสายลม ได้พุ่งออกมาจากโรงถลุงเหล็กและกำลังพุ่งตรงมาที่ร่างของพวกเขา
มันเป็นความเย็นที่แผ่ซ่านไปถึงกระดูก
ในกี่วินาทีต่อมา เกาเกินเข่าอ่อนและทรุดลงกับพื้นอย่างอ่อนแรง เขาหัวเราะออกมาอย่างขมขื่นและจุดบุหรี่ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาด้วยมือที่สั่นเทา “รายงานถึงสำนักงานใหญ่… วิญญาณที่เขตไล่ล่า C-56 ได้ถูกปลดปล่อยแล้ว… เจ้าหน้าที่ทั้งหมดเริ่มใช้มาตรการป้องกัน… เป้าหมายปลายทางของมัน… คือเขตไล่ล่า D-69…”
“ถิ่นที่อยู่เดิมของมัน…”
…
ชุมชนหลานเทียน
หวังเฉิงห่าวยืนอยู่ตรงหน้าของอาคารบริเวณชั้นที่ 2 เขาสูดหายใจเข้าช้า ๆ เพื่อระงับหัวใจที่เต้นแรงของตนเอง
นี่คือครั้งแรกที่เขาต้องมาเผชิญหน้ากับตัวตนที่น่ากลัวเหล่านี้นับตั้งแต่เหตุการณ์ในเมืองชิงซี เขาบอกกับตัวเองอยู่เสมอว่าไม่ต้องกลัว เพราะอย่างไรแล้ว วิญญาณพวกนี้จะน่ากลัวกว่านักเชิดหุ่นที่เขาเคยเจอสักแค่ไหนเชียว ? แต่ถึงกระนั้น เขาก็ยังไม่สามารถสลัดความกลัวของตัวเองออกไปได้ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม
“ชุมชนหลานเทียนคือสถานที่แรกที่ได้รับรายงานเกี่ยวกับเหตุการณ์เหนือธรรมชาติ…” ในที่สุดเด็กหนุ่มก็สามารถรวบรวมความกล้าเพื่อที่จะเปิดประตูได้ ทว่าทันทีที่เขาก้าวเท้าเข้าไป เสียงของบางอย่างก็ดังขึ้น !
“เชี่ย !!” หัวของเขาตื้อไปหมด เขารีบหันกลับไปมองด้านหลัง แต่ก็ต้องตกใจกับเงาสะท้อนของตนเองบนประตูกระจกด้านหลัง
มันไม่ใช่สิ่งใดอื่นนอกจากกลุ่มก้อนพายุที่ก่อตัวมาตลอดทั้งหมด
….พายุฝนเริ่มตกกระหน่ำ !!
สายฝนตกลงมาอย่างหนักหน่วง กระทบกับใบไม้บริเวณโดยรอบจนเกิดเสียงดังไปทั่ว หวังเฉิงห่าวส่ายศีรษะเบา ๆ รวบรวมความกล้าทั้งหมดและเดินเข้าไปด้านใน
ทว่า… ทันทีที่เขาก้าวเข้าไป หลอดไฟบริเวณโถงทางเดินด้านในก็เริ่มกะพริบก่อนจะดับไปในที่สุด
ในขณะเดียวกัน แสงไฟที่อยู่ในส่วนที่เหลือของชั้นที่ 1 เองก็กะพริบและดับไปเช่นกัน ความมืดเข้าปกคลุมพื้นที่ทั้งหมดอย่างกะทันหัน
“เวรเอ้ย!!!” เสียงร้องตกใจที่ฟังดูเหมือนจะเป็นเสียงของชายแก่คนหนึ่งดังมาจากทางลิฟต์ของชั้นที่ 1 ทันทีที่ไฟดับลง จากนั้นมันก็ตามมาด้วยเสียงของการกดปุ่มลิฟต์อย่างรุนแรง
ยังมีใครอยู่แถวนี้อีกเหรอ ?
หวังเฉิงห่าวชะงักไป จากนั้น ขณะที่เขากำลังจะตะโกนบอกให้อีกฝ่ายว่าอย่าขึ้นลิฟต์ เขาก็ได้ยินเสียงประตูลิฟต์เริ่มปิดลง
เด็กหนุ่มได้สติ จากนั้น โดยไม่คิดอะไรมาก เขารีบพุ่งตัวไปที่ทางหนีไฟทันที !
เขาต้องการจะช่วยคนที่อยู่ด้านใน
ภายในใจของเขาเต็มไปด้วยความเป็นห่วงที่มีต่อเพื่อนมนุษย์คนนั้น ความรู้สึกที่มีต่อหน้าที่และความรับผิดชอบ ช่วยลดความกลัวภายในใจได้เป็นอย่างมาก เขารู้ดีว่ามันมีอะไรบางอย่างอยู่ในที่แห่งนี้
มันมีบางสิ่งบางอย่างที่กำลังซ่อนตัวอยู่ภายในความมืดรอบ ๆ เขา บางที… มันอาจจะแอบตามเขามาตั้งแต่ที่เขาก้าวเข้ามาภายในตึกแล้วก็ได้
โดยที่หวังเฉิงห่าวไม่ทันได้สังเกต จู่ ๆ ตัวเลขของลิฟต์ก็เปลี่ยนไป ตัวเลขที่ควรจะเป็น 1… 2… 3… กลับกลายเป็น -1… -2… -7… -8… -9 !
……
ภายในลิฟต์ แสงไฟกะพริบอย่างบ้าคลั่ง เมื่อประตูลิฟต์กำลังจะปิด เด็กหนุ่มสะดุ้งตัวอย่างแรง เขารีบยกมือปิดหน้าและร้องออกมาสุดเสียง “ไม่ ! อย่าเข้ามานะ !!”
เสียงของเขาแหบพร่าอย่างเห็นได้ชัด
ประตูลิฟต์ปิดเข้าหากันช้า ๆ ใบหน้าของเด็กหนุ่มในเวลานี้ซีดเผือด ก่อนที่เขาจะได้ยินเสียงชายสูงวัยดังขึ้น “กลัวอะไรกัน ?! เธอทำให้ฉันตกใจนะ !”
คนเหรอ ?
คนเป็น ๆ?
เด็กหนุ่มเลียริมฝีปากที่แห้งผากของตัวเองและลอบกลืนน้ำลายอย่างเป็นกังวล เขาลดมือลงช้า ๆ
ตรงหน้าของเขาคือชายสูงวัยที่ตกใจจนแทบเสียสติไม่แพ้กัน อีกฝ่ายเอนหลังพิงกับผนังลิฟต์ ไฟที่ติด ๆ ดับ ๆ ภายในลิฟต์ทำให้เห็นใบหน้าที่ซีดเผือด และยังเผยให้เห็นว่าชายสูงวัยกำลังถืออะไรบางอย่างอยู่ในมือ อกของเขากระเพื่อมขึ้นลงอย่างรุนแรงในทุกจังหวะการหายใจ
เขาแก่มากแล้ว
ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอย แต่เขาก็ดูเหมือนจะเต็มไปด้วยพลังสำหรับคนในวัยนี้ แต่ด้วยเหตุผลที่แปลกประหลาดบางประการ เด็กหนุ่มยังคงไม่สามารถสลัดความรู้สึกที่ว่าใบหน้าของชายตรงหน้าซีดกว่าปกติออกไปได้
ดังนั้น เขาจึงยังไม่ลดการป้องกันลงทั้งหมด แต่ยังคงแนบหลังกับผนังของลิฟต์ แววตาสั่นเทาด้วยความหวาดกลัวขณะจ้องกลับไปที่ชายสูงวัย “คุณ… ถืออะไรไว้ในมือขวา ?”
ชายสูงวัยไพล่มือขวาของเขาไว้ด้านหลัง และมันก็เห็นได้ชัดว่าเขาถือเชือกเส้นหนึ่งเอาไว้
ทว่า… ปลายอีกด้านหนึ่งของเชือกกลับว่างเปล่า !
“อ่า…” ลมหายใจที่ติดขัดของชายสูงวัยสงบลงในที่สุด จากนั้นจึงเอ่ยออกไปด้วยเสียงทุ้มต่ำ “อยากลองเดาดูไหม ?”
ภายในหัวของเด็กหนุ่มตื้อไปหมด และแข้งขาของเขาก็อ่อนแรง “มะ มะ ไม่…”
ชายสูงวัยเงยหน้าขึ้น เขาดูเหมือนกับคนที่ป่วยหนักและใกล้จะตายเต็มที “แน่นอน… มันคือหมาไงล่ะ…”
จากนั้นเขาจึงหันกลับไปดู
แต่เขาก็ต้องตกใจ
“เห้ย… หมาของฉันหายไปไหน ?!” และก่อนที่เขาจะทันได้เอ่ยจบ จู่ ๆ ชายสูงวัยก็แน่นิ่งไปราวกับหุ่นยนต์เก่า ๆ ที่ขึ้นสนิม
รูม่านตาของเขาเริ่มขยายออกในขณะที่ริมฝีปากแห้ง และวินาทีต่อมาร่างทั้งร่างของเขาก็เริ่มสั่นเทาอย่างรุนแรง เขารีบทุบประตูลิฟต์อย่างแรง “เปิดประตู ! เปิดประตูเดี๋ยวนี้ ! ปล่อยฉันออกไป ! ปล่อยฉันออกไป !!!”
ผนังของลิฟต์ถูกขัดจนเงา
เงาจนเขาเห็นเงาสะท้อนได้อย่างง่ายดาย
ดังนั้น… เขาจึงเห็นว่าเด็กหนุ่มด้านหลังของตนได้อ้าปากออกจนมีขนาดเมตรครึ่ง เผยให้เห็นฟันซี่ที่แหลมคมราวกับเขี้ยวของสัตว์ป่า !
“อ๋อ… หมานี่เอง…”
“เจ้าทำให้ข้ากลัวแทบแย่…”
“เมื่อครู่นี้ ข้านึกว่าจะมีผู้ฝึกตนตามเจ้าเข้ามาในลิฟต์เสียอีก… ฮ่า ๆๆๆ …ดีจริง ๆ…”
ครื้นนน !
ลิฟต์สั่นไหวอย่างรุนแรงตามเสียงร้องที่กรีดแทงหัวใจและเสียงกระดูกหัก ในเวลาเดียวกัน เลือดก็สาดกระเซ็นไปทั่วลิฟต์