ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 326: การพบเจอที่น่ายินดี
บทที่ 326: การพบเจอที่น่ายินดี
ฟึ่บ… มันใช้เวลาไม่ถึงห้าวินาทีก่อนที่สายลมเย็นจะกลายเป็นสายลมกระโชกแรงที่ทำให้เสื้อผ้าของคนทั้งหมดกระพืออย่างรุนแรง วิญญาณที่อยู่โดยรอบต่างเงยหน้าขึ้นมามองด้วยความตกตะลึง แต่พวกเขาก็ได้รับคำสั่งจากผู้เป็นหัวหน้าและรีบก้มหน้าก้มตาทำงานของตนตามเดิม
มันแทบจะเหมือนกับมีรอยแยกปรากฏขึ้นเหนือศาลาเหนี่ยวรั้งวิญญาณ เสียงกรีดร้องและคร่ำครวญดังขึ้นให้ได้ยิน หลายสิบวินาทีต่อมา พลังหยินที่อยู่โดยรอบก็หลั่งไหลเข้าสู่จุดศูนย์กลางของศาลา และร่างวิญญาณสองร่างก็ก่อตัวขึ้น
มันไม่ใช่ใครอื่นนอกจากหลี่จีสี่และหวังเฉิงห่าว
ฉินเย่แย้มยิ้ม แต่ไม่นานเขาก็ต้องขยี้ตามองอีกครั้งและยกมือทึ้งผมของตัวเอง “เดี๋ยวก่อนนะ… คนแบบนี้ถูกนับว่าเป็นวิญญาณพิเศษด้วยอย่างนั้นหรือ ?!”
เขาชี้นิ้วไปยังหวังเฉิงห่าว อาร์ทิสที่ได้ยินเช่นนั้นเอ่ยเสียงเรียบ “ผู้ฝึกตนทุกคนล้วนถือว่าเป็นวิญญาณพิเศษ พวกเขาถือว่าอยู่ระดับเดียวกันกับวิญญาณที่ถูกเขียนชื่อด้วยสีแดง แต่เจ้าจะพูดว่าพวกเขาคือเส้นบรรทัดฐานของวิญญาณพิเศษก็ได้… เหตุใดเจ้าจึงจงเกลียดจงชังเจ้าเด็กนี่ขนาดนี้ ?”
“ไอ้โง่นี่ตายโดยไม่ระบุให้ข้าเป็นผู้รับมรดก ! นี่เรากำลังพูดถึงเงินหลายสิบล้านนะ !”
แววตาของอาร์ทิสเป็นประกายเย็นยะเยือก และนางก็หันไปเอ่ยสั่งเสียงเข้ม “ซูตงเซวี่ย ลากเขาไปเป็นพวกแรงงานซะ !”
อย่างไรก็ตาม มันไม่มีเสียงตอบรับใด ๆ จากหญิงสาว
ชะงักไป ฉินเย่และอาร์ทิสหันไปมองยังจุดที่ซูตงเซวี่ยเคยยืนอยู่และพบว่านาง… หายไปแล้ว และเมื่อพวกเขาหันหน้ากลับมาอีกครั้ง ทั้งสองก็พบว่า… ร่างของหวังเฉิงห่าวกำลังถูกกอดแน่นด้วยวัตถุที่รูปทรงคล้ายมนุษย์ที่ดูเหมือนจะแต่งกายคล้ายกับสาวออฟฟิศ
“ว่าไงสุดหล่อ…” ซูตงเซวี่ยเอ่ยเสียงแหบพร่าขณะที่ไล่นิ้วไปตามกรอบหน้าของหวังเฉิงห่าวอย่างแผ่วเบา ไม่สนใจสถานการณ์โดยรอบเลยแม้แต่น้อย “บอกข้ามาซิว่าเจ้ามีคนรักที่เป็นผู้ชายหรือยัง ?”
หวังเฉิงห่าวส่ายหน้าไปมาด้วยความหวาดกลัว
“แล้วคนรักที่เป็นผู้หญิงเล่า ?”
เด็กหนุ่มยังคงส่ายหน้า
ซูตงเซวี่ยแย้มยิ้มหวาดและลูบไปที่อกของอีกฝ่ายก่อนจะเลิ่กคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ “หืม ? ช่างเป็นกล้าม
อกที่หนาแน่นจริง ๆ …หืม ? สุดหล่อ เจ้ามีหน้าท้องซิกแพคด้วย… แถมเอวสอบนี่… อื้ม… ท่านฉิน ท่านช่วยหมั้นหมายเขากับคนรับใช้ผู้ซื่อสัตย์ของท่านผู้นี้ได้หรือไม่ ?”
ท่านฉิน ?
คำ ๆ นี้สร้างความปั่นป่วนให้กับหัวใจของหวังเฉิงห่าวและหลี่จีสี่เป็นอย่างมาก ทั้งสองเงยหน้าขึ้นพร้อมกัน เสี้ยววินาทีต่อมา มือ ๆ หนึ่งยกร่างของซูตงเซวี่ยออกและโยนนางออกไป ในขณะเดียวกัน ฉินเย่ก็ก้าวมาหยุดอยู่ตรงหน้าของผู้มาใหม่ทั้งสอง
“พี่ฉิน…”
“เจ้า !”
ทั้งสองเสียงเอ่ยออกมาแทบจะในเวลาเดียวกัน ฉินเย่แย้มยิ้มบางและโค้งให้อย่างสุภาพ “ไง”
“ยินดีต้อนรับเข้าสู่โลกของข้า หรือที่พวกเจ้ารู้จักกันในชื่อของ… ยมโลก”
เงียบ
ทั้งสองอ้าปากค้าง แม้แต่หลี่จีสี่ที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดีก็อดไม่ได้ที่จะอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึงขณะที่มองไปรอบสภาพแวดล้อมใหม่
ท้องฟ้าดำมืดถูกแต่งแต้มด้วยลูกไฟนรกสีแดงและสีเขียวที่ลอยไปมา วิญญาณปรากฏให้เห็นไปทั่วทุกที่ แต่พวกเขากลับไม่ได้มีสีหน้าของความอึดอัดเลยสักนิด กลับกัน มันแทบจะรู้สึกเหมือนกับว่าพวกเขาเป็นปลาที่เพิ่งได้กลับเข้าสู่แม่น้ำ… นี่ไม่ใช่ภาพที่จะสามารถพบเจอได้ในแดนมนุษย์อย่างแน่นอน
พวกเขามองเห็นว่าเท้าของทุกคนลอยอยู่เหนือพื้นประมาณหนึ่งนิ้ว บางตนเดินไปตามถนน ในขณะที่บางตนเลือกที่จะลอย วิญญาณทุกตนดูเหมือนจะยุ่งอยู่กับอะไรบางอย่าง ไม่มีใครว่างงานเลยแม้แต่นิดเดียว
คนกว่าร้อยคนแต่งการด้วยชุดเสื้อคลุมยาวสีดำและหมวกทรงสูงที่ดูไม่ต่างอะไรกับข้าราชการในสมัยก่อน จากนั้น เมื่อทั้งสองมองไกลออกไป พวกเขาก็เห็นใบไม้สีขาวเงินจำนวนมากที่ร่วงลงมาจากต้นไม้เพียงต้นเดียวที่แผ่กิ่งก้านสาขาเป็นพื้นที่กว่าสิบตารางกิโลเมตร !
นี่ไม่มีทางเป็นแดนมนุษย์… ไม่ใช่อย่างแน่นอน
ฉินเย่ไม่ได้เอ่ยขัดอะไรทั้งคู่ กลับกัน เขาเพียงหันไปกระซิบกับซูตงเซวี่ยที่เดินกลับมาหยุดอยู่ด้านข้างของตน “ข้าฝากเจ้าไปทักทายเหล่ากู่แล้วบอกเขาทีว่าในอีกไม่ช้าข้าจะส่งใครบางคนไปให้เขา”
ซูตงเซวี่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็เดินจากไปอย่างไม่เต็มใจ และมันก็เป็นเวลาเดียวกันกับที่หลี่จีสี่และหวังเฉิงห่าวหันกลับมาเผชิญหน้ากับฉินเย่ เห็นได้ชัดว่าทั้งสองมีคำถามที่จะถามจำนวนมาก แต่พวกเขาเพียงไม่รู้ว่าควรจะเริ่มจากตรงไหน
“เดินไปคุยไปเถอะ” ฉินเย่ไหล่มือไปด้านหลังและเดินนำทั้งสอง หลี่จีสี่กำลังจะเอ่ยอะไรบางอย่าง แต่ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกถึงอันตรายอย่างฉับพลัน เขาหันไปรอบ ๆ และก็พบว่ามีเกมเมอร์สาวที่ดูไม่มีพิษมีภัยคนหนึ่งกำลังจ้องมองมาตนที่
อาร์ทิสไม่ได้ใช้ร่างของตุ๊กตายางเมื่อนางอยู่ในยมโลก กลับกัน นางใช้ร่างที่เหมือนมนุษย์ธรรมดาทั่วไป เส้นผมสีดำที่สยายไปมาของนางแผ่พลังหยินที่หนาแน่นออกมาจนทำให้หลี่จีสี่ต้องหวั่นสะพรึง “ตุลาการ… ตุลาการนรกของยมโลก ?!”
อาร์ทิสไม่ได้สนใจอีกฝ่ายเลยสักนิด กลับกัน นางเพียงหมุนตัวอย่างสง่างามและเดินตามฉินเย่ไป
อย่างไรก็ตาม นางไม่ได้เดินไปพร้อมกับเด็กหนุ่มแต่อย่างใด กลับกัน นางเดินตามหลังฉินเย่เล็กน้อย
หลี่จีสี่อ้าปากค้าง เกิดอะไรขึ้น… ขั้นตุลาการนรกเดินตามหลังขั้นยมทูตขาวดำเนี่ยนะ ?! นะ นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน ?!
ไม่… ไม่ !
นั่นไม่ใช่ประเด็นหลักด้วยซ้ำ !
ประเด็กหลักของเรื่องนี้ก็คือ หากยมโลกยังอยู่ ทำไมพวกเขาถึงไม่ทำอะไรสักอย่างเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นในแดนมนุษย์ ? แล้วฉินเย่เป็นใครกันแน่ ?
มีเพียงวิญญาณเท่านั้นที่สามารถเข้ามายังยมโลกได้ แล้วทำไมอีกฝ่ายถึงมีกายเนื้อเมื่อตอนที่อยู่แดนมนุษย์ ?
ใช่แล้ว… แบบนี้นี่เอง ! เขาจะต้องเป็นผู้ที่ยืนอยู่จุดกึ่งกลางระหว่างสองโลก ด้วยสถานการณ์ในแดนมนุษย์ เขาคงรู้ว่าตัวเองจะต้องถูกชำแหละโดยศูนย์วิจัย SRC หากตัวตนที่แท้จริงของตัวเองถูกเปิดเผย ดังนั้น เขาจึงทำทุกวิถีทางเพื่อปกปิดตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง…
ความคิดของเขาดำเนินไปเรื่อย ๆ ขณะที่เดินตามฉินเย่และอาร์ทิสไปเงียบ ๆ ทุกอย่างโดยรอบผ่านไปโดยไม่เข้าหัวเลยแม้แต่นิดเดียว ทันใดนั้นเอง เสียงของฉินเย่ก็ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบงัน “สุภาพบุรุษ ก่อนอื่นเลย ข้าขอแนะนำตัวเองใหม่อีกครั้ง ข้าคือจ้าวนรกองค์ใหม่ของยมโลก”
เปรี้ยง !
ข้อมูลที่น่าตกตะลึงนี้เป็นเหมือนกับสายฟ้าที่ผ่าลงมาโดยปราศจากสัญญาณเตือนใด ๆ หากทุกอย่างก่อนหน้านี้ทำให้หลี่จี่สี่ตกอยู่ในความมึนงง เช่นนั้นข้อมูลเมื่อครู่นี้ก็คงน่าตกตะลึงจนทำให้เขากลับมาได้สติอีกครั้ง
“จ้าวนรก ? เจ้าน่ะหรือจ้าวนรก ?! เป็นไปได้อย่างไรกัน ?!”
“บังอาจ !!”
อาร์ทิสหันไปจ้องอีกฝ่ายด้วยสายตาดุดัน ผมสีดำของนางสยายไปมาอย่างน่าสะพรึงกลัว “การที่ท่านเอ่ยกับเจ้าดี ๆ ไม่ได้หมายความว่าเจ้าจะสามารถตอบกลับในลักษณะที่เท่าเทียมกันได้ ! เจ้าคิดว่าตนเองเป็นใครกัน ? มีสิทธิ์อะไรมากังขาเกี่ยวกับการแต่งตั้งเขาให้เป็นจ้าวนรก ?”
หลี่จีสี่เงียบไปขณะที่ยังมองไปที่ฉินเย่ด้วยสายตาตกตะลึง ปากของเขาอ้าออกเล็กน้อยขณะที่ดวงตาเบิกกว้าง ข้อมูลเมื่อครู่น่าตกใจเกิดไป ! เขาไม่สามารถหาความเชื่อมโยงระหว่างฉินเย่กับจ้าวนรกได้เลย ฝั่งหนึ่งคือตัวตนในตำนานที่ปกครองยมโลก ในขณะที่อีกฝั่งหนึ่งเป็นเพียงอาจารย์ผู้สอนธรรมดา ๆ คนหนึ่งของสำนักฝึกตนแห่งแรก นี่มันแตกต่างกันอย่างมาก ! ทั้งสองอยู่ห่างกันหลายปีแสง !
แม้แต่หวังเฉิงห่าวเองก็อ้าปากค้าง แทบจะเหมือนกับเขาเพิ่งถูกฟ้าผ่าลงมาเป็นครั้งที่สอง
ฉินเย่หัวเราะ “มันน่าตกใจขนาดนั้นเลยหรือ ? หรือว่า… เจ้าไม่พอใจ ?”
คลื่นพลังหยินปะทุออกมาจากร่างของเด็กหนุ่มทันที และมันก็อัดแน่นไปด้วยจิตสังหาร
หลี่จีสี่สั่นเทาไปทั้งร่างและกลับมาได้สติ เม็ดเหงื่อเย็นผุดพรายขึ้นบนหน้าผาก “มิกล้า… มันเพียงแค่… มันกะทันหันเกินไป… ข้าเพียงไม่คิดมาก่อนว่าท่านจ้าวนรกจะอยู่ข้างตัวเองมาโดยตลอด…”
“เป็นคำตอบที่ดี” ฉินเย่ยิ้มบาง “ไม่เช่นนั้น เจ้าคงกลายเป็นเพียงกลุ่มก้อนพลังหยินไปแล้ว”
หวังเฉิงห่าวลอบกลืนน้ำลายด้วยความกังวล
แตกต่าง… ฉินเย่ในตอนนี้แตกต่างจากตอนที่อยู่ที่แดนมนุษย์เป็นอย่างมาก… แต่นั่นก็ไม่ใช่ความจริงทั้งหมดเช่นกัน เขาเคยเห็นด้านนี้ของอีกฝ่ายมาก่อน !
เขาเคยเห็นด้านนี้ของอีกฝ่ายในตอนที่อยู่ที่เมืองชิงซี ครั้งแรกที่พวกเขาต้องเผชิญหน้ากับมัจจุราชแห่งยมโลก
นี่คือสีหน้าที่แท้จริงของพี่ฉินอย่างนั้นหรือ ?
ฉินเย่ไม่ได้สนใจทั้งสอง เขายังคงเอ่ยต่อเสียงนิ่ง “การที่ข้าได้มาเป็นจ้าวนรกนั้นเป็นเรื่องของโชคชะตา หลี่จีสี่ เหตุผลเดียวที่เจ้ายังมีชีวิตอยู่ตอนนี้ก็เพราะว่าเจ้าอุทิศชีวิตเพื่อแสวงหาความจริงและความยุติธรรม ข้าเองก็คงทำสิ่งเดียวกันหากข้าเป็นเจ้า แต่ถึงกระนั้น เจ้าต้องทำความเข้าใจบางอย่าง…”
เสียงของเด็กหนุ่มเปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือก พลังหยินในอากาศสั่นไหวอย่างรุนแรง “ตอนนี้เจ้าตายไปแล้ว และเจ้าก็เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรของข้า ! ดังนั้นเจ้าจงเลิกคิดเกี่ยวกับอดีตเจ้านายของเจ้าในแดนมนุษย์เสียตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป ! ดวงวิญญาณของแผ่นดินจีนทั้งหมดมีเจ้าเหนือหัวเพียงคนเดียวเท่านั้น และนั่นก็คือข้า ฉินเย่ เข้าใจหรือไม่ ?!!”
ริมฝีปากของหลี่จีสี่เม้มเข้าหากันเล็กน้อย เขาไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา ดวงตาของอาร์ทิสวาววาบขึ้นขณะที่หวังเฉิงห่าวจ้องมองฉินเย่ด้วยความตกตะลึงและเผลอก้าวถอยหลังออกมาเล็กน้อย จากนั้น ขณะที่ผมของอาร์ทิสเริ่มสยายอีกครั้ง หลี่จีสี่ก็เอ่ยออกมาด้วยเสียงแหบพร่า “ฉิน… ท่านฉิน ข้ายังมีคำถามอยู่สองสามข้อ และข้าก็หวังว่าท่านจะสามารถไขข้อข้องใจของข้าได้”
ฉินเย่จ้องเข้าไปในตาของอีกฝ่าย “ข้าขอพูดให้ชัดเจน ที่ข้ายอมตอบคำถามของเจ้านั้นไม่ใช่เพราะว่าเจ้ามีคุณค่าต่อยมโลก เรามีผู้มีความสามารถอยู่ในนรกมากเกินพอ ไม่ว่าจะเป็นโอดะโนบูนางะแห่งญี่ปุ่น หรือนักวิชาการระดับสูงกู่ชิง เหตุผลเดียวที่ข้ายอมโอนอ่อนให้เจ้าในครั้งนี้ก็เพราะเราเคยพบเจอกันมาก่อน แม้ว่าเจ้าจะเคยเป็นศัตรูของข้า แต่ในยมโลกตอนนี้ก็มีคนคุ้นหน้าคุ้นตาอยู่เพียงมากไปเท่านั้น”
หลี่จีสี่สูดหายใจเข้าช้าๆและน้ำเสียงของเขาก็อ่อนลงกว่าเดิมมาก เขาโค้งให้อีกฝ่ายอย่างเคารพ “รับทราบ”
ฉินเย่พยักหน้า “เช่นนั้นเจ้าก็ถามมาเถอะ”
หลี่จีสี่ที่ได้รับอนุญาตก็รีบถามเสียงต่ำ “นายท่าน… ข้าอยากจะทราบว่าจุดประสงค์ของยมโลกแห่งใหม่คืออะไร ? เหตุใดยมโลกจึงไม่ทำอะไรเลยทั้ง ๆ ที่แดนมนุษย์จะกำลังตกอยู่ในความโกลาหล ?”
ฉินเย่เลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถาม “มีอะไรอีกหรือไม่ ?”
“นอกจากนี้ ท่านรู้หรือไม่ว่าสิ่งที่กำลังสร้างปัญหาไปทั่วสามมณฑลทางตะวันออก… ทำไมจู่ ๆ พวกมันถึงกระตุ้นให้เกิดการก่อจลาจลของวิญญาณ ? ผู้คนนับ 10 ล้านต้องกลายเป็นคนไร้บ้านเพราะเหตุการณ์ในครั้งนี้ ! นายท่าน ท่านเห็นสถานการณ์ในเมืองซินคังใหม่แล้วมิใช่หรือ ? ท่าน… จะไม่ทำอะไรสักอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้เลยหรือ ?”
“เจ้าไม่ต้องกดดันข้าขนาดนี้ก็ได้” ฉินเย่หัวเราะออกมาอย่างขมขื่น “ประการแรก ข้าสามารถรับประกันได้ว่าจุดประสงค์ของยมโลกนั้นยังสอดคล้องกับแดนมนุษย์ พวกเราเองก็เช่นกัน ปรารถนาที่จะรักษาความสมดุลระหว่างหยินและหยาง ส่วนเรื่องที่ว่าเหตุใดยมโลกจึงไม่ทำอะไรสักอย่าง… คำตอบนั้นง่ายมาก พวกระดับสูงของยมโลกแห่งเก่าไม่ได้อยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้วเนื่องจากหายนะครั้งใหญ่ที่อุบัติขึ้นในนรก มันไม่ใช่ว่าพวกเราไม่ต้องการเคลื่อนไหว แต่มันเป็นเพราะเราไม่มีอำนาจที่จะทำเช่นนั้นได้อีกต่อไป”
“ส่วนเรื่องสามมณฑลทางตะวันออก…” เขาเงียบไปครู่หนึ่ง “หายนะที่เกิดขึ้นไม่ได้เพียงทำให้บรรดาพวกระดับสูงของยมโลกแห่งเก่าหายไปเท่านั้น แต่มันยังทิ้งให้ราชาผีทั้งสามที่เคยถูกกักขังอยู่ในยมโลกหลุดจากการควบคุมอีกด้วย พวกเขาคือตัวตนที่อยู่ขั้นฝู่จวิน ซึ่งได้แก่ ราชาผีแห่งพิภพเดรัจฉาน ราชาผีแห่งพิภพเปรต และราชาผีแห่งพิภพอสูร สามดินแดนทางตะวันออก พื้นที่สามเหลี่ยมลุ่มแม่น้ำจูเจียง มณฑลกุ้ยโจว มณฑลไห่หนาน และมณฑลเสฉวนคือที่ซ่อนตัวของพวกมัน ข้ารู้ว่าทางตะวันตกของจีนถูกใช้เป็นที่ซ่อนตัวของราชาผีแห่งพิภพอสูร แต่ข้าไม่แน่ใจเกี่ยวกับตัวตนที่อยู่ทางสามมณฑลทางตะวันออกนัก ส่วนเรื่องการจลาจลของวิญญาณ… เมื่อไม่นานมานี้ พวกเขาไม่เพียงแต่แย่งวิญญาณของโอดะโนบูนางะมาได้ แต่เรายังแย่งมหาสมบัติที่หายสาบสูญไปของยมโลกอย่างสมุดแห่งความเป็นตายมาได้ด้วย แล้วเจ้าคิดว่าพวกเขาจะยอมอยู่เฉยอย่างนั้นหรือ ?”
หลี่จีสี่พยักหน้าและโค้งคำนับให้ฉินเย่ “หมดคำถามแล้ว ขอบคุณท่านฉินสำหรับคำอธิบายทั้งหมด ต่อจากนี้ไป ข้า ผู้ฝึกตนหลี่จีสี่ ขอถวายสัตย์ว่าจะจงรักภักดีต่อยมโลกทั้งกายและใจ !”
นี่อีกฝ่ายเปลี่ยนสีเร็วไม่เบาเลยนี่… ฉินเย่พยักหน้า ไม่เหมือนกับที่เขาเคยพูดไปก่อนหน้านี้ หลี่จีสี่นั้นเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์อย่างไม่ต้องสงสัย จากประชากรในแผ่นดินจีนทั้งสิ้นกว่าพันล้านคน มีเพียงแค่ 10 ล้านคนเท่านั้นที่เป็นผู้ฝึกตน และใน 10 ล้านคน มันก็มีเพียง 108 คนเท่านั้นที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของหน่วยอัลบาทรอส มันคงจะน่าเสียดายมากหากคนเช่นนี้ไม่ได้รับการเกณฑ์ให้เข้าเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มครูฝึกของโนบูนางะ
และเขาควรจะได้รับการแต่ตั้งให้กำกับดูแลหน่วยงานใดน่ะหรือ ?
แน่นอน มันก็ต้องเป็นหน่วยขนนกทมิฬอยู่แล้ว ! ชายผู้นี้เกิดมาเพื่อเป็นขนนกทมิฬชัด ๆ! ด้วยมีหลี่จีสี่เป็นทั้งอาจารย์และครูฝึก ยมโลกจะมีสายสืบให้พร้อมใช้งานในอีกเวลาไม่นาน ! เพราะอย่างไรแล้ว ข้อเท็จจริงที่ว่าอีกฝ่ายสามารถแกะรอยมาถึงเขาได้โดยที่มีข้อมูลเพียงแค่น้อยนิดก็เป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์มากพอแล้ว !
“ข้าอยากให้เจ้าตรงไปที่กองทัพและปรับตัวให้ชินกับสภาพแวดล้อมใหม่ ข้ามั่นใจว่าเจ้าจะปรับตัวได้ในเวลาไม่นาน อาร์ตี้ พาเขาไปหาโนบูนางะที”
หลี่จีสี่ไม่ได้คัดค้านอะไร เขารีบเดินตามอาร์ทิสไปทันที จากนั้น ฉินเย่จึงหันกลับไปหาหวังเฉิงห่าวและแย้มยิ้มเย็นยะเยือก
มันเป็นรอยยิ้มที่น่ากลัวและดุร้ายจนแผ่นหลังของเด็กหนุ่มเปียกโชกทันที
“เอ่อ… พี่ฉิน… สายตาของพี่… ทำให้ข้ารู้สึกไม่สบายใจเลย…” จิตวิญญาณของหวังเฉิงห่าวตึงเครียด เขามองไปรอบ ๆ อย่างกังวลขณะที่เอ่ยกับฉินเย่ด้วยน้ำเสียงกึ่งอ้อนวอน
“ไม่สบายใจ ?! ข้าน่ะหรือทำให้เจ้าไม่สบายใจ ! จำสายตาคู่นี้ไว้ เพราะนั่นคือสิ่งสุดท้ายที่เจ้าจะได้เห็น !” ฉินเย่ยกขาขึ้นและส่งร่างของหวังเฉิงห่าวกระเด็นออกไปด้วยลูกเตะอันทรงพลัง จากนั้นเขาก็กระโดดขึ้นไปบนอากาศ คร่อมร่างของอีกฝ่าย คว้าเข้าที่ลำคอและเริ่มต่อยลงไป “ข้าใจดีถึงขนาดที่ส่งเจ้ามายังโลกหลังความตาย แต่เจ้ากลับไม่แม้แต่จะตอบแทนข้าเลยแม้แต่นิดเดียว ?! แล้วเจ้ายังกล้ามาพูดอีกหรือว่าสายตาของข้าทำให้เจ้าไม่สบายใจ ?!”
ให้ตายเถอะ…
หวังเฉิงห่าวร้องออกมา “เดี๋ยว หยุดก่อน… ข้าไม่นึกถึงพี่ตั้งแต่เมื่อใดกัน ?!”
“นึกถึงข้าอย่างนั้นหรือ ?!” ยาจกฉินเย่บิดหูของหวังเฉิงห่าวอย่างแรงและจ้องมองหน้าอีกฝ่ายเขม็ง “ทั้ง ๆ ที่ข้าประคองร่างของเจ้าเอาไว้ แต่หัวใจของเจ้ากลับล่องลอยไปที่มูลนิธิกาชาดอย่างนั้นหรือ ?! ห๊ะ ?!!”