ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 327: แผนกความรอบคอบ
บทที่ 327: แผนกความรอบคอบ
“หยุด หยุดก่อน หยุด !!!” หวังเฉิงห่าวร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด “ข้าหมายถึง… หากทุกคนทำหน้าที่ของตนเองและแสดงความรักออกมาสักเล็กน้อย โลกก็จะน่าอยู่ขึ้นไม่ใช่หรือ…”
“ความรัก ? ผู้ใดจะไปรักข้าหลังจากที่เจ้าทิ้งทุกอย่างไป ?! นี่เรากำลังพูดถึงเงิน 10 ล้านหยวนอยู่นะ… 10 ล้าน !!! ข้ามอบความเมตตาให้กับเจ้า แต่เจ้ากลับเลือกที่จะบริจาคมรดกทั้งหมดในนามของตัวเองให้กับมูลนิธิกาชาด… หากสวรรค์ยอมมอบโอกาสให้ข้าอีกครั้ง ข้าจะเย็บปากจะเสียตั้งแต่แรก !”
หลังจากผ่านช่วงเวลาแห่งความโง่เขลา หวังเฉิงห่าวก็ตระหนักได้ว่าที่นี่… ไม่ได้ต่างอะไรจากแดนมนุษย์เท่าไหร่…
“ข้ามีให้เจ้าเลือกสองตัวเลือก” ฉินเย่หยุดการโต้เถียงและมอบทางลัดให้กับอีกฝ่าย
“ประการแรก อีกไม่นานยมโลกจะเปิดทางเข้าโดยตรงสู่เมืองเป่าอันผ่านศาลาเหนี่ยวรั้งวิญญาณ ข้าสามารถแต่งตั้งให้เจ้าเป็นนักล่าวิญญาณและเจ้าก็สามารถไปเที่ยวเล่นที่แดนมนุษย์ได้ตามใจชอบ” ฉินเย่ดึงเสื้อของตัวเองและสะบัดแขนเสื้อ “ประการที่สอง เรียนรู้จากเหล่ากู่ชิง เรียนรู้จากความรู้และประสบการณ์มากมายของเขา จากนั้นก็เข้าไปทำงานในศาลาในของข้า”
“…สะ สะ ศาลาใน ?!” หวังเฉิงห่าวมองฉินเย่ราวกับเห็นผี หมายความว่าอย่างไรที่ว่าศาลาใน ? นี่ท่านอยากจะเป็นจักรพรรดิมากขนาดนั้นเลยหรือ ?!
สามพระตำหนัก หกหมู่เรือนและ 3,000 พระสนม ? ความทะเยอทะยานของท่านนั้นช่างชัดเจนเหลือเกินพี่ชาย…
“นั่นคือสองตัวเลือกที่เจ้ามี” รอยยิ้มของฉินเย่จางหายไปขณะที่เขาตบไหล่หวังเฉิงห่าว “เจ้าหนู เจ้าคือคนที่สองจากกลุ่มคนวงในของข้าที่มายังยมโลก ข้าหวังว่าเจ้าจะเลือกตัวเลือกที่สอง เพราะยิ่งมีวิญญาณมาถึงที่นี่มากขึ้นเท่าไหร่ การจัดการสถานที่แห่งนี้ก็จะยิ่งยากขึ้นเท่านั้น ทุกคนล้วนมีหน้าที่ของตัวเอง อันที่จริง พวกเราอาจจะได้เห็นพรรคการเมืองต่าง ๆ ปรากฏขึ้นเสียด้วยซ้ำ…”
เขาจ้องหน้าอีกฝ่าย “ดังนั้น ข้าจึงหวังว่าเจ้าจะเต็มใจช่วยข้าในเรื่องนี้”
“ข้า ?!” หวังเฉิงห่าวชี้ตัวเองราวกับเพิ่งเห็นผี “นี่ท่านล้อข้าเล่นหรือเปล่า ?”
ฉินเย่หันไปกวาดสายตามองยมโลกด้วยสายตาจริงจัง “แน่นอนว่าตอนนี้เจ้าอาจจะยังไม่สามารถช่วยอะไรได้มากนัก แต่ถ้าในภายภาคหน้า… เจ้าอาจได้รับตำแหน่งสำคัญ ๆ ในยมโลก อย่างเช่น… พระยมแห่งพระตำหนักทั้งสิบ มันก็เป็นคนละเรื่องกัน”
หวังเฉิงห่าวกะพริบตาปริบ ๆ อย่างมึนงง “ฉินกวงหวาง ? [1] นี่ท่านประเมินข้าสูงเกินไปแล้วรู้ตัวหรือเปล่า ?”
“ผิดแล้ว ข้าเพียงกำลังสร้างนายพลจากคนแคระต่างหาก” ฉินเย่กลอกตาใส่อีกฝ่าย
“นอกจากนี้ เจ้าไม่ควรจะเรียกมันว่าพระยมแห่งพระตำหนักทั้งสิบอีกต่อไปแล้ว นั่นมันล้าสมัยเกินไป พวกเราจะต้องตามโลกให้ทัน” ฉินเย่ลูบคางของตนอยู่ครู่หนึ่ง “อาณาจักรของข้าจะต้องไม่เหมือนกับยมโลกแห่งเก่า ข้าได้คิดชื่อที่ดีกว่านี้เอาไว้แล้ว”
“ยกตัวอย่างเช่น ?”
“หนึ่งหาง !”[2] ฉินเย่เอ่ยออกไปด้วยความมุ่งมั่น “หากเจ้ากลายเป็นพระยม เจ้าก็จะเป็นที่รู้จักในนามของหวังหนึ่งหาง หรือที่รู้จักในชื่อชูคาคุ และข้าก็จะเป็นที่รู้จักอย่างเป็นทางการในชื่อของเงาไฟรุ่นที่สาม หรือไม่ก็เทพอัสนี… เจ้าคิดว่าอย่างไร ?”[3]
หวังเฉิงห่าวที่ได้ยินเช่นนั้นก็มีสีหน้าพะอืดพะอมราวกับต้องการจะอาเจียนออกมา นี่มันบ้าอะไรกัน ?!
หลังจากพยายามระงับเส้นเลือดที่เต้นตุบ ๆ อยู่ที่ข้างขมับของตัวเอง หวังเฉิงหาวก็ตอบกลับไป “ถ้าเช่นนั้น… เราจะเรียกยมโลกว่าแคว้นไฟด้วยหรือไม่ ? ชื่อของมันดูคุ้นเคยเกินไปหรือเปล่า… จะว่าไป พี่ฉิน ท่านมั่นใจหรือว่ามันจะเป็นการดีที่จะแสดงความสามารถในการตั้งชื่อของท่านออกมา… นอกจากนี้ ท่านแน่ใจหรือว่าหวังหนึ่งหางมันไม่ใช่ชื่อของปลา ?”
หวังหนึ่งหาง ซ่งสองหาง โอวหยางสามหาง… จากนั้นก็ฉินสิบหาง ? นี่ท่านมั่นใจหรือว่าท่านไม่ได้กำลังเปลี่ยนที่นี่ให้เป็นตลาดอาหารทะเล ?!
ท่านช่วยจริงจังกับเรื่องพวกนี้ให้มากกว่านี้ได้หรือไม่ ?!
“นั่นไม่ใช่ประเด็น ประเด็นก็คือการมีแรงบันดาลใจและความทะเยอทะยาน !” ฉินเย่หยุดพูดไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยต่อ “ตกลงตามนี้ก็แล้วกัน ข้าแจ้งเหล่ากู่เกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว เดี๋ยวหลังจากนี้ข้าจะพาเจ้าไปรายงานตัวกับเขา”
…ถ้าเช่นนั้นท่านจะให้ตัวเลือกข้ามาสองตัวเลือกทำไมตั้งแต่แรก ?! แก้มของหวังเฉิงห่าวกระตุกอย่างไม่สามารถควบคุมได้ หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เด็กหนุ่มก้มหน้าลงด้วยความโมโห “โอเค… ท่านคือหัวหน้า และข้าก็ไม่มีที่อื่นให้ไปอีกแล้ว… แต่ข้าจะต้องเรียนรู้อะไรจากผู้อาวุโสกู่ชิงกัน ?”
“โกง… ไม่ใช่ ข้าหมายถึงเจ้าควรจะเริ่มต้นด้วยการเขียนรายงาน !” ฉินเย่ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เห้อ~… เกือบจะหลุดพูดความตั้งใจที่แท้จริงออกไปแล้ว…
หวังเฉิงห่าวจ้องมองฉินเย่ด้วยสายตาเหลือเชื่อ “รายงาน ? พูดถึงเรื่องนี้… อาจารย์ฉิน… ข้าจำได้ว่าเมื่อไม่นานมานี้ท่านเพิ่งตีพิมพ์เล่มวิจัยไปในแดนมนุษย์… หรือว่า…”
“อ่า ? นี่เจ้าจำเป็นจะต้องจริงจังกับเรื่องเล็กน้อยพวกนั้นด้วยหรือ…”
“พระเจ้า ! ให้ตายเถอะ… มันเป็นอย่างนี้นี่เอง ! นะ นี่ท่าน… ท่านยังสามารถเชิดหน้าอยู่ได้อย่างไรกัน ?! นั่นมัน… นั่นมันเทียบได้กับโกงเลยนะ ! อ่า จะว่าไป ข้าจะได้มีโอกาสเจอกับนักเรียนคนอื่น ๆ อีกหรือไม่ ?”
“แน่นอน… ข้าสามารถพาพวกเขามาที่นี่คืนนี้เลยด้วยซ้ำหากเจ้าต้องการ แต่มันเป็นการเดินทางเที่ยวเดียวนะ…”
หลังจากบังคับให้หวังเฉิงห่าวเข้ามาควบคุมรัฐบาลที่มีอยู่ได้สำเร็จ เขาก็ไปส่งอีกฝ่าย จากนั้นสีหน้าอบอุ่นของฉินเย่ก็สลายหายไปอีกครั้ง
เขาเดินจากไปอย่างช้า ๆ ไม่ใช่ไปทางประตูนรก แต่เป็นทาง… ต้นไม้เงิน
โรงงานกำลังถูกสร้างขึ้นภายใต้ต้นไม้ ห่างออกไประยะหนึ่งเองก็มีการแบ่งพื้นฐานไว้สำหรับก่อสร้างประมาณหนึ่งตารางกิโลเมตรและกำลังดำเนินการอยู่เช่นกัน อย่างไรก็ตาม สิ่งก่อสร้างบริเวณนี้ทั้งหมดล้วนมีความสูงกว่าสิบเมตร
บริเวณนี้มีวิญญาณอยู่ไม่มากนัก ซึ่งส่วนใหญ่แล้วต่างรีบโค้งคำนับให้ฉินเย่ทันทีที่เห็น แต่ไม่มีผู้ใดเดินเข้ามาคุยด้วยเลยแม้แต่น้อย และที่สำคัญกว่านั้นก็คือ ผู้ที่ดูแลการก่อสร้างในพื้นที่แห่งนี้ก็ไม่ใช่ผู้ใดอื่นนอกจากมุไร ซาดาคัตสึ
โรงพิมพ์ธนบัตรกลางของยมโลกจะต้องเป็นแกนหลักของยมโลกในอนาคตอันใกล้ และวิญญาณทั้งหมดที่มีส่วนร่วมในงานก่อสร้างก็จะต้องเซ็นสัญญาในการรักษาความลับก่อนที่จะเข้าทำงาน อันที่จริง พวกเขาไม่รู้เกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขากำลังสร้างเลยแม้แต่น้อย คำสั่งสุดท้ายที่ได้รับจากฉินเย่ก็คือพวกเขาจะต้องสร้างมันให้เสร็จภายในหนึ่งเดือน ไม่ว่าจะต้องทำอย่างไรก็ตาม
เพราะว่าวิญญาณไม่จำเป็นต้องกินหรือนอน ดังนั้นมันจึงมีความเป็นไปได้ที่จะประสบความสำเร็จในสิ่งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้นี้
แต่ถึงกระนั้น เขากลับไม่ได้เดินเข้าไปสถานที่ก่อสร้างของโรงพิมพ์ธนบัตรกลางแต่อย่างใด เด็กหนุ่มเพียงเดินไปยังจุดก่อสร้างที่มีเสาไม้สูงสิบเมตรตั้งอยู่
ผู้ที่กำลังลาดตระเวนอยู่บริเวณโดยรอบคือทหารวิญญาณที่แต่งกายด้วยชุดเกราะโบราณ พวกเขาทั้งหมดคือเหล่าทหารม้าของตระกูลโอดะ
รายละเอียดเกี่ยวกับโครงการถูกติดอยู่บนกระดานด้านหน้าของพื้นที่ก่อสร้าง และคำว่าแผนกความรอบคอบก็ถูกเขียนเอาไว้ด้วยตัวอักษรสีแดง [4]
“ท่านฉิน” มุไร ซาดาคัตสึรีบเดินเข้ามาหาทันทีที่เขาเห็นการมาถึงของฉินเย่ เด็กหนุ่มพยักหน้า “บอกให้ทุกคนออกไปจากที่นี่ที ข้าจำเป็นต้องใช้สถานที่แห่งนี้สักครู่”
แน่นอน ไม่มีผู้ใดกล้าขัดคำสั่งของเขา ในเวลาไม่นาน คนทั้งหมดที่อยู่บริเวณโดยรอบก็จากไป และมันก็ไม่เหลือวิญญาณให้เห็นแม้แต่ตนเดียว ทั่วทั้งสถานที่ถูกปกคลุมด้วยความเงียบทันที
และมันก็เป็นตอนนั้นเองที่ฉินเย่หยิบลูกบอลวิญญาณออกมาจากเสื้อคลุม ใส่พลังหยินของตัวเองเข้าไปและลูกบอลวิญญาณก็คลายตัวออกราวกับดอกปี่อั้นสีทอง สายพลังหยินสายหนึ่งหลั่งไหลออกมาอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะพบว่าฉินเย่ยืนอยู่ตรงหน้าตนพร้อมกับรอยยิ้มบางบนใบหน้า นางรีบก่อตัวเป็นรูปร่าง คุกเข่าลงบนพื้นและเอ่ยออกมาด้วยความหวาดกลัว “นะ นะ นายท่าน….”
ไม่ใช่ผู้ใดอื่นนอกจากวิญญาณหมอผีที่ฉินเย่จับมาจากเมืองซินคังใหม่
มุไร ซาดาคัตสึได้เตรียมเก้าอี้ไว้ให้ฉินเย่ก่อนที่จะจากไปเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงนั่งลอย่างสง่างาม ไขว่ห้าง และเคาะนิ้วไปบนที่วางแขนเบา ๆ “ยินดีต้องรับสู่ยมโลก”
นี่คือยมโลก ?
วิญญาณหมอผีมองไปรอบ ๆ อย่างหวาดระแวง ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา
“ที่นี่จะเป็นแผนกความรอบคอบของยมโลก ทุกอย่างยังอยู่ในระหว่างดำเนินการ แต่ข้าคิดว่าทันทีที่งานเสร็จ เราจะตกแต่งมันด้วยโคมไฟขี้ผึ้งน้ำมันมนุษย์ กงล้อแห่งสังสารวัฏ และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ อีกมากมาย” ฉินเย่แย้มยิ้มบางให้อีกฝ่าย “เจ้าชอบหรือไม่ ?”
วิญญาณตรงหน้าตัวสั่นเทา นางเพียงกัดฟันแน่นและโค้งคำนับจนศีรษะแนบพื้น ไม่กล้าเอ่ยอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว
ฉินเย่เอ่ยต่อ “ข้ากำลังคิดว่าข้าอาจจะปล่อยให้เจ้าอยู่ในยมโลก แต่จงลืมเรื่องตำแหน่งสูง ๆ ไปได้เลย เจ้าจะสามารถใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ได้อย่างสงบสุข และเมื่อกงล้อแห่งสังสารวัฏสามารถใช้การได้อีกครั้ง ข้าก็จะส่งเจ้าไปตามทางของตัวเอง แต่…”
เขาเชยคางวิญญาณตรงหน้าขึ้นด้วยเท้าของตัวเอง “ทั้งหมดนี่ก็ขึ้นอยู่กับว่าคำตอบของเจ้าน่าพึงพอใจมากน้อยเพียงใด”
แน่นอน เด็กหนุ่มคือผู้เชี่ยวชาญระดับโลกเมื่อเป็นเรื่องของการขายผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจเพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลที่ตัวเองต้องการ
วิญญาณหมอผีไม่กล้าเอ่ยอะไรออกมา นางเพียงพยักหน้าตอบเบา ๆ
“ข้าถาม เจ้าตอบ” ฉินเย่ประสานมือไว้ที่หน้าตักของตัวเองอย่างใจเย็น “ใครคือผู้ที่บงการเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสามมณฑลทางตะวันออก ? เขามีทหารวิญญาณอยู่ภายใต้บังคับบัญชามากเพียงใด และเขามีผู้ช่วยอีกหรือไม่ ? แล้วตัวเจ้าอยู่ในตำแหน่งใดในนี้ ?”
วิญญาณหมอผีรีบโค้งคำนับและเอ่ยตอบ “นายท่าน… พวกเราทั้งหมดรู้เพียงว่าหัวหน้าของเหตุการณ์ทางสามมณฑลทางตะวันออกคือราชาผี หากพูดอย่างเจาะจงก็คือราชาผีแห่งพิภพอสูร แต่ไม่มีผู้ใดรู้ชื่อที่แท้จริงของเขา เขามีทหารวิญญาณอยู่ทั้งสิ้น 200,000 นาย แต่ไม่มีวิญญาณตนใดที่อยู่ระดับสูงเลย”
ฉินเย่พยักหน้า คำตอบของนางอยู่ในกรอบที่เขาคาดการณ์เอาไว้ เพราะอย่างไรแล้ว ตอนนี้จีนแทบจะไม่มีผู้ที่มีพรสวรรค์อยู่เลย
คนกลุ่มเดียวที่เหลืออยู่ก็คือเหล่าราชทูตทั้ง 12 ที่ต่างกระจัดกระจายตัวออกไปปฏิบัติหน้าที่ของตน
การถูกปราบปรามโดยกงล้อแห่งสังสารวัฏย่อมหมายความว่าราชาผีพวกนี้จะต้องเคยเป็นพวกคนชั่วที่ถูกบันทึกชื่ออยู่ในพงศาวดาร เมื่อลองมองย้อนกลับไป คนชั่วเหล่านี้ไม่มีผู้ใดที่เป็นทหารเลยแม้แต่คนเดียว กลับกัน ส่วนใหญ่แล้วพวกเขามักจะเป็นขันทีหรือไม่ก็รัฐมนตรีผู้มีอำนาจมากกว่า
ราชาผีทั้งสามที่ซ่อนตัวอยู่ในพื้นที่สามส่วนของจีน พวกเขามีวิญญาณจำนวนมากอยู่ใต้บังคับบัญชา แต่เขาอยากรู้ว่าใครเป็นคนรับผิดชอบฝึกฝนวิญญาณพวกนั้น ?
ไม่เหมือนกับกองกำลังในสมัยใหม่ ทหารวิญญาณต่อสู้โดยปราศจากอาวุธปืน จะมีคนสมัยใหม่สักกี่คนที่รู้ศิลปะการต่อสู้ที่สามารถสั่งสอนให้กับทหารเหล่านี้ได้ ? จะมีสักกี่คนที่เรียนรู้เกี่ยวกับค่ายกลสงครามและการเคลื่อนไหวของกองทัพ ? ใครจะสามารถมองดูกระแสของการต่อสู้และเปลี่ยนสถานการณ์ได้ด้วยคำสั่งเดียวอย่างเหล่าแม่ทัพผู้โด่งดังในอดีต ?
จำนวนเป็นเพียงตัวเลขเท่านั้น เขาไม่ได้สนใจมันเลยแม้แต่น้อย อาร์ทิสเคยบอกเขาว่าส่วนที่แข็งแกร่งที่สุดของทหารวิญญาณคือค่ายกลที่พวกเขานำมาใช้ หากปราศจากค่ายกลพวกนั้น ตุลาการนรกตนเดียวก็สามารถกำจัดทหารวิญญาณนับ 10 ล้านได้อย่างง่ายดาย แต่เมื่อเริ่มมีการนำค่ายกลมาใช้ แม้แต่ทหารวิญญาณเพียง 100,000 นายก็สามารถเอาชีวิตของตุลาการนรกได้ ที่เขากำลังเป็นกังวลจริง ๆ ก็คือตัวของราชาผีเอง
ขั้นฝู่จวิน…
อีกฝ่ายคือวิญญาณอายุพันปีที่มีค่าพลังหยินสูงถึง 10 ล้าน ฉินเย่ไม่กล้าที่จะกระตุกหนวดเสือก่อนที่เขาจะมีทหารวิญญาณล้านนายอยู่ภายใต้บังคับบัญชา
วิญญาณหมอผีเอ่ยต่อ “นอกเหนือจากทหารวิญญาณ 200,000 นายแล้ว มันยังมีวิญญาณขั้นยมทูตขาวดำอีก 36 ตนที่รู้จักในนาม 36 เทพสวรรค์[5] นอกจากนี้เขายังมีผู้พิทักษ์สองตนที่อยู่ขั้นตุลาการนรก พวกเขาคือลูกน้องคนสนิทของราชาผี ข้า… เป็นหนึ่งใน 36 เทพสวรรค์ ลำดับที่ 20 ข้าเคยได้ยินมาว่าสามลำดับแรก… เคยได้รับคำชมจากตัวราชาผีเองว่าเป็นวิญญาณที่มีลักษณะเฉพาะเป็นของตัวเอง ถึงแม้ว่าพวกเขาจะอยู่ขั้นยมทูตขาวดำ แต่พวกเขาก็มีความสามารถที่เทียบได้กับขั้นตุลาการนรก…”
วิญญาณพิเศษ ?
ฉินเย่ลูบคางของตนและครุ่นคิดเกี่ยวกับข้อมูลที่เพิ่งได้มา ดูเหมือนว่าความแข็งแกร่งของราชาผีจะไม่ได้มากจนเกินไป หลังจากผ่านไป 100 ปีอีกฝ่ายสามารถรวบรวมได้เพียงยมทูตขาวดำ 36 ตนและสองขั้นตุลาการนรกเท่านั้น กองกำลังพวกนี้อาจจะเพียงพอที่จะเปลี่ยนให้เมืองเฟิ่งเทียนกลายเป็นเขตต้องห้ามสำหรับคนเป็นได้ แต่มันก็ยังไม่พอที่จะควบคุมทั้ง 41 เมืองในสามมณฑลทางตะวันออก
เขาไม่สามารถส่งยมทูตขาวดำหนึ่งตนไปควบคุมเมืองแต่ละเมืองได้ด้วยซ้ำ
เขากำลังกังวล… แววตาของเด็กหนุ่มเป็นประกายขึ้น ราชาผีแห่งพิภพอสูรกำลังกังวลใจ เหตุการณ์ที่ช่องแคบสึชิมะได้สร้างความหวาดกลัวให้กับเขา และมันก็ทำให้พวกเขาตัดสินใจออกจากที่ซ่อนและเริ่มตามหายมโลกแห่งใหม่อย่างเปิดเผย
ฉินเย่แสยะยิ้มในใจ ต่อให้อีกฝ่ายระบุตำแหน่งของพวกเขาได้… แต่ฝ่ายนั้นจะกล้ามาหรือ ?
ความปลอดภัยของเขาได้รับการรับประกันเมื่ออยู่ภายในเมืองเป่าอัน นอกจากนี้ ด้วยสมุดแห่งความเป็นตาย ยมโลกแห่งใหม่ไม่ใช่หมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ไร้เกราะป้องกันอีกแล้ว
“แต่…” ราวกับกำลังนึกอะไรบางอย่าง วิญญาณตรงหน้าเงียบไปครู่หนึ่ง “ข้าจำได้ว่า… มีคนเคยเรียกราชาผีแห่งพิภพอสูรว่าท่านฉิน… แต่ข้าไม่แน่ใจนัก…”
สกุลฉิน ? จากสกุลเดียวกับเขาอย่างนั้นหรือ ? ฉินเย่ตกตะลึงเล็กน้อย หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็ถามออกไป “ผู้ใดเป็นคนเรียกเขาแบบนั้น ?”
มันเป็นเรื่องธรรมดาที่จะเปิดเผยข้อมูลทั้งหมดที่ตนมีให้อีกฝ่ายได้ทราบ เพราะอย่างไรแล้ว วิญญาณหมอผีก็ต้องการมีชีวิตอยู่ถึงวันพรุ่งนี้ ดังนั้นนางจึงโค้งคำนับและเอ่ยว่า “หลิวจี้หนู นั่นคือชื่อที่ราชาผีเรียกชายผู้นั้น”
จักรพรรดิหวู่แห่งซ่ง หลิวอวี้ ?
ดวงตาของฉินเย่เบิกกว้างขึ้นทันที แบบนี้ ทุกอย่างก็ชัดเจนมากขึ้น สามมณฑลทางตะวันออกและโลกใต้พิภพของฮันยาง… อาศัยอยู่บนพรมแดนที่คาบเกี่ยวกัน !
ใช่แล้ว… นี่คือประเด็นสำคัญของเรื่องทั้งหมด !
ความสัมพันธ์ระหว่างราชาผีทั้งสามและราชทูตทั้ง 12 คือสิ่งที่เขาอยากรู้อย่างละเอียดมาโดยตลอด ! อันที่จริง มันเพิ่งไม่ถึงหนึ่งอาทิตย์ด้วยซ้ำที่เขาเริ่มสงสัยขึ้นมาว่าความสัมพันธ์ระหว่างคนพวกนี้… อาจจะซับซ้อนกว่าที่เขาคิดเอาไว้
พื้นที่สามเหลี่ยมลุ่มแม่น้ำจูเจียงตั้งอยู่เหนือสี่เขตทางใต้ รวมถึงล้านช้าง สยาม มาลายา และสิงหปุระ ในขณะที่อีกด้านหนึ่ง สามมณฑลทางตะวันตกก็อยู่ติดกับภูฏานและเบอร์มาเนีย เขาไม่เชื่อว่าราชทูตทั้ง 12 จะยังนิ่งเฉยต่อการเคลื่อนไหวของราชาผีทั้งสาม !
ทำไมราชาผีถึงเลือกสถานที่พวกนี้ในการซ่อนตัว ?
ทำไมพวกเขาถึงเลือกอยู่ใกล้กับราชทูตทั้ง 12 ?
นี่คือประเด็นหลักของเรื่องทั้งหมด อันที่จริง มันอาจจะเป็นกุญแจสำคัญที่นำไปอยู่โอกาสที่ยิ่งใหญ่ในการประชุมราชสำนักที่จะถูกจัดขึ้นในปลายปีก็เป็นได้ !
[1] ชื่อของพระยมผู้ประจำอยู่ในพระตำหนักแรกของพระตำหนักทั้ง 10
[2] อ้างอิงจากนารูโตะ เรียกตามชื่อของปีศาจที่มีตั้งแต่หนึ่งหางไปจนถึงเก้าหาง โดยปีศาจที่ถูกผนึกอยู่ภายในท้องของนารูโตะ จุดที่จักระไหลออกมา คือปีศาจจิ้งจอกเก้าหาง
[3] เงาไฟรุ่นที่สามในที่นี้อ้างอิงถึงโฮคาเงะรุ่นที่ 3 ในการ์ตูนเรื่องนารูโตะ ในขณะที่เทพอัสนีที่ว่านั้นอ้างอิงถึง คาถาเทพอัสนีของโฮคาเงะรุ่นที่ 4 ใช้
[4] แผนกความรอบคอบรับผิดชอบกฎอัยการศึก คล้ายกับกรมราชทัณฑ์ของหน่วยงานยุติธรรม
[5] อ้างอิงจาก 108 ดวงดาวแห่งโชคชะตา 36 เทพสวรรค์ (天罡) และ 72 อสูรพิภพ (地煞)