ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 330: ปฏิสัมพันธ์ระหว่างโลกใต้พิภพในทวีปตะวันออก (3)
บทที่ 330: ปฏิสัมพันธ์ระหว่างโลกใต้พิภพในทวีปตะวันออก (3)
ฉินเย่ไม่มีความเมตตาเลยสักนิด
หรือต่อให้เขามี มันก็คงถูกกลืนหายไปโดยบรรยากาศที่รกร้างและความโกลาหลในยมโลกแห่งเก่าไปแล้ว
นี่คือเส้นทางสู่ความร่ำรวยเส้นทางใหม่ของยมโลกอย่างแท้จริง ! มันคือสิ่งที่แม้แต่ป่าไม่ฮวงหัวลี่ก็ไม่สามารถเทียบได้ ! เพราะอย่างไรแล้ว การเข้าตีตลาดย่อมนำมาสู่ความอิ่มตัวของความต้องการขายซึ่งส่งผลให้ราคาตลาดของสินค้าของเขาลดลง นอกจากนี้ เขาก็เริ่มเป็นกังวลแล้ว ด้วยว่าแหล่งเงินทุนของเขาจะมาจากที่ใดเมื่อเขาไม่มีป่าไม้ฮวงหัวลี่ให้ตัด
บางคนอาจจะแนะนำให้พิมพ์ธนบัตรเพิ่ม แต่เหล่าผู้เชี่ยวชาญทางการเงินย่อมรู้ดีว่านั่นจะเป็นการนำไปสู่ภาวะเงินเฟ้อและการล่มสลายทางเศรษฐกิจในท้ายที่สุด
ในขณะเดียวกัน การล้มเหลวในการพิมพ์ธนบัตรก็จะทำให้เขาไม่สามารถจ่ายเงินให้กับเหล่าทหารเกณฑ์ของตนเองได้
มันเป็นสถานการณ์ที่ยากต่อการตัดสินใจ
แต่ตอนนี้ ในที่สุดเขาก็เจอทางออกของปัญหาเหล่านี้แล้ว !
ไม่… มันไม่ใช่แค่ทางออก แต่มันคือโอกาสที่จะนำไปสู่ความร่ำรวยที่ยั่งยืน !
สงครามการเงิน ! พ่อค้าอาวุธ !
ทันใดนั้นฉินเย่ก็ค้นพบว่าตัวเขานั้นรักสงคราม
หากไม่ใช่เพราะเขาได้ค้นพบถึงความตึงเครียดระหว่างราชาผีทั้งสามและราชทูตทั้ง 12 ความคิดของเขาก็คงยังวนเวียนอยู่ในเมืองเล็ก ๆ ของตัวเอง เขาคงยังคิดหาวิธีในการรักษาจุดยืนของเขาเองในขณะที่พัฒนากองทัพ แต่การค้นพบนี้ได้ปลดล็อกความเป็นไปได้มากมายสำหรับเขา และมันก็ได้แก้ปัญหาทั้งหมดที่รบกวนยมโลกแห่งใหม่อยู่ในตอนนี้ !
แผนการดั้งเดิมของเขาก็คือการกำหนดแผนการสำหรับการพัฒนาของยมโลกภายในระยะเวลาห้าปี แต่การค้นพบที่น่าสั่นสะเทือนนี้ได้ทำให้เขาได้ความคิดที่ตกตะกอนเกี่ยวกับทิศทางการพัฒนาของยมโลกไปอีกหลายสิบปี !
“แล้วท่านคิดว่าอย่างไร ? เห็นหรือไม่ว่าข้าไม่ได้โกหกที่บอกว่าพวกเราจะมุ่งหน้าไปที่ญี่ปุ่นภายในห้าสิบปี ?” เขาเชิดคางขึ้นเล็กน้อยและกระแอมออกมา รอยยิ้มชั่วร้ายปรากฏขึ้นที่มุมปาก “และ… ยังไม่เพียงเท่านั้น”
“ก่อนหน้านี้พวกเราคิดที่จะเสริมสร้างอำนาจของยมโลกเพื่อที่จะทำให้ราชทูตทั้ง 12 ยังคงปฏิบัติตนอยู่ในกรอบและขจัดความคิดเกี่ยวกับการก่อกบฏของพวกเขา อย่างไรก็ตาม การเสริมสร้างอำนาจใดจะดีไปกว่าความมั่นคงที่ได้จากการเป็นพ่อค้าอาวุธ ?”
“ตราบใดที่ยมโลกแห่งใหม่สามารถเป็นพ่อค้าอาวุธให้กับฝ่ายต่าง ๆ และสร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองในฐานะของการไม่เลือกปฏิบัติได้ เชื่อเถอะ… ความขัดแย้งในพื้นที่ใกล้เคียงก็จะยังคงอยู่ต่อไปอีกประมาณ 100 ปี และในร้อยปีนี้ ข้าก็สามารถขยายยมโลกไปถึงระดับนครแล้ว !”
เมื่อขยายถึงขนาดนคร เศรษฐกิจก็จะดีขึ้น และยมโลกก็จะไม่ต้องอาศัยการขายอาวุธในการนำไปสู่ความร่ำรวยอีกต่อไป พวกเขาจะสามารถหันเหความสนใจทางเศรษฐกิจออกจากการทหารและเข้าสู่การค้าในประเทศต่าง ๆ แทน
มันคือทางออกที่สมบูรณ์แบบ !
เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าตัวเองจะฉลาดขนาดนี้
แปะ แปะ แปะ… อาร์ทิสปรบมือหลังจากเงียบไปนาน นางต้องยอมรับเลยว่าฉินเย่นั้นเกิดมาเพื่อเป็นนักการเมืองอย่างแท้จริง นางไม่ค่อยเข้าใจรายละเอียดของสิ่งที่อีกฝ่ายพูดเท่าใดนัก แต่นางก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกทึ่งเกี่ยวกับแผนการที่ชาญฉลาดของเขาสำหรับยมโลก
“ข้าจะสนับสนุนเจ้าเต็มที่” นางจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของฉินเย่ “ข้ารู้ว่าสิ่งที่เจ้าเพิ่งพูดออกมานั้นเป็นเพียงภาพรวมเท่านั้น และมันก็ยังมีรายละเอียดอีกมากมายที่จะต้องพิจารณาและสรุปออกมา นอกจากนี้… ทุกอย่างจะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับปฏิกิริยาของเหล่าราชทูตทั้ง 12 ในการประชุมราชสำนักที่จะถูกจัดขึ้นในปลายปีนี้ แต่ข้อเท็จจริงที่เจ้าสามารถหาโอกาสที่ซุกซ่อนอยู่ท่ามกลางความวุ่นวายได้ก็ทำให้ข้าตัดสินใจที่จะเชื่อใจเจ้า”
ฉินเย่ลูบคางของตนอย่างครุ่นคิด “ข้าจะไปพูดคุยเรื่องนี้อย่างละเอียดกับโนบูนางะอีกที ข้าเกรงว่าเขาจะเป็นเพียงคนเดียวที่จะสามารถเข้าใจความซับซ้อนของแผนการเหล่านี้ได้ อ้อ อาร์ตี้…”
เขาหันไปหาอาร์ทิส “การตรัสรู้ของพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์… ข้ากำลังสงสัยว่ามันมีความเป็นไปได้ไหมว่าจะมีผู้รอดชีวิตคนอื่นอยู่ในเมืองอื่น ๆ ของยมโลก ?”
“มันอาจจะมี !” อาร์ทิสตอบ “การตรัสรู้ของพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์เป็นเหตุหายนะที่ทำลายโลกทั้งหมด นครเฟิงตูเองนั้นได้รับการเสริมสร้างกำลังและความทนทานมาตลอดหลายพันปี ดังนั้นมันจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมมันถึงสามารถต้านทานผลกระทบของการตรัสรู้ของพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์และยังไม่ได้รับความเสียหายใด ๆ ได้ และมันก็เป็นเหตุผลหลักของการปรากฏตัวของเหล่าแมลงแห่งหายนะเช่นกัน ในทางกลับกัน… บ้านเรือนที่อยู่ใกล้กับจุดศูนย์กลางของการระเบิดนั้นถูกทำลายจนหมด แต่มันก็อาจจะมีบางเมืองที่ตั้งอยู่บริเวณชายขอบของยมโลกที่ไม่ได้ถูกทำลายโดยสมบูรณ์”
“มันคงดีหากเราสามารถหาเมืองและซากเหล่านี้ได้ อย่างน้อยที่สุดเราก็จะได้สามารถเรียนรู้ได้ว่ายมโลกแห่งเก่าเคยสร้างสิ่งก่อสร้าง อาคารของพวกเขาอย่างไร แต่ไม่ต้องห่วง การระบุตำแหน่งของสถานที่เหล่านี้ไม่ได้ยากนัก การล่มสลายแห่งเก่า การล่มสลายของยมโลกแห่งเก่าและการสูญหายไปของแหล่งพลังหยินจะต้องทำให้สิ่งก่อสร้างเหล่านี้ค่อย ๆ ปรากฏออกมา ข้าคิดว่านี่น่าจะเป็นปรากฏการณ์ที่เราจะได้เห็นภายในเวลาอีกไม่กี่สิบปี และเมื่อเวลานั้นมาถึง เราก็แค่มุ่งหน้าไปที่นั่นเท่านั้น”
นางสูดหายใจเข้าช้า ๆ “มันเป็นเพราะสถานที่เหล่านี้เช่นกันที่ทำให้ราชทูตทั้ง 12 หันหลังให้กับราชาผีทั้งสาม ข้าอาจจะไม่สามารถให้ความมั่นใจในเรื่อง ๆ อื่น ๆ ได้… แต่ข้าขอยืนยันเลยว่ามันจะต้องมีสถานที่ที่เหลืออยู่อย่างแน่นอน !”
“สถานที่แรกก็คือสถานบันคุนหลุน หรือที่รู้จักกันในนามสถาบันจอกศักดิ์สิทธิ์แห่งยมโลก มันตั้งอยู่บนเขาคุนหลุน ที่ซึ่งคลื่นกระแทกของการตรัสรู้ของพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์จะต้องไปไม่ถึง”
“สถานที่กลุ่มที่สองก็คือคลังอาวุธของฐานทัพหลักทั้งห้าของยมโลก ข้าไม่รู้ตำแหน่งที่แน่นอนของมัน แต่ข้ามั่นใจว่ามันมีอยู่จริงเพราะข้าเคยเห็นมันปรากฏอยู่ในบันทึกนรก ! คลังอาวุธทั้งห้านี้เต็มไปด้วยอาวุธร้ายแรงที่คล้ายกับโลงศพส่งวิญญาณ มันยังมีหินวิญญาณจำนวนมากถูกเก็บอยู่ในสถานที่เหล่านี้อีกด้วย น่าเสียดายที่ตำแหน่งของมันเป็นความลับ และมันก็ยังไม่แน่ใจว่าเราจะสามารถระบุตำแหน่งของมันได้หรือไม่ด้วย”
“สถานที่แห่งที่สามก็คือเขตเหมืองแร่สามเขตหลัก ทั้งหมดนี้ตั้งอยู่ที่สามมณฑลทางตะวันออก พื้นที่สามเหลี่ยมลุ่มแม่น้ำจูเจียง และสามมณฑลทางตะวันตก ข้าคิดว่ามันเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้พวกราชาผีเลือกเจาะจงซ่อนตัวที่พื้นที่เหล่านี้เช่นกัน เพราะอย่างไรแล้ว พื้นที่เหล่านี้ก็มีหินวิญญาณจำนวนมาก ส่วนกำลังการผลิต… เจ้าเคยได้ยินเกี่ยวกับเหมืองเงินที่โด่งดังของญี่ปุ่น เหมืองเงินอิวะมิ มาบ้างหรือไม่ ?”[1]
ฉินเย่อ้าปากค้าง
แต่ก่อนที่เด็กหนุ่มจะได้กระโดดด้วยความดีใจ อาร์ทิสก็เอ่ยต่อเสียงเรียบ “แต่ทั้งหมดนี้ก็เป็นของยมโลกแห่งเก่า ถึงแม้ว่าแมลงแห่งหายนะจะไม่สามารถมุ่งหน้าไปที่สถานที่เหล่านี้ได้ แต่สุดท้ายสถานที่พวกนี้ก็จะจางหายไปตามกฎของสวรรค์อยู่ดี”
“แล้วมันต้องใช้เวลานานเท่าใด ?” ฉินเย่แทบจะสบถออกมาเสียงดัง นี่มันกฎของสวรรค์แบบใดกัน ?! ในตอนแรก เขาก็ไม่ได้รับมรดกของหวังเฉิงห่าว และพอมาตอนนี้ แม้แต่มรดกของยมโลกแห่งเก่าก็กำลังจะหายไปอีกเนี่ยนะ ?!
นี่ตัวเขามีคุณสมบัติในการผลักดันมรดกของผู้อื่นหรืออย่างไร ?
ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมอาร์ทิสถึงไม่ขอให้เขาหาสมบัติที่เป็นชิ้นเป็นอันในตอนที่กลับไปยังยมโลกแห่งเก่า
นครเฟิงตูคือศูนย์กลางทางการเมืองของยมโลกแห่งเก่า และมันก็เป็นสถานที่เก็บมรดกทางเอกสารและงานวิจัยทั้งหมดของยมโลก แต่สิ่งอื่น ๆ อย่างสายแร่และคลังแสงจะไม่มีทางถูกเก็บอยู่ที่นี่
“เรายังมีเวลา” อาร์ทิสเงียบไปครู่หนึ่ง “มันน่าจะใช้เวลาประมาณ 200 ปี… อ่า ซึ่งนั่นหมายความว่าเราเหลือเวลาอีกประมาณ 90 ปีเท่านั้น นอกจากนี้… ตอนนี้เจ้ายังไม่สามารถเข้าไปในนั้นได้ด้วย”
“เพราะอะไร ?”
“จะรีบไปทำไมกัน ?!” อาร์ทิสเริ่มหงุดหงิดกับท่าทีของอีกฝ่าย “ยมโลกแห่งใหม่ยังมีขนาดเล็กเกินไป แต่เจ้ากลับคิดที่จะขยายไปสู่มณฑลอื่น ๆ แล้วอย่างนั้นหรือ ?! หากเจ้าต้องการเมืองท่า ได้ ! ไม่มีปัญหา แต่เจ้าไม่จำเป็นต้องคิดถึงเรื่องอื่นนอกเหนือจากเรื่องนั้น ! และข้าก็มีเหตุผลส่วนตัวที่ยังไม่บอกข้อมูลพวกนี้กับเจ้า ทุกอย่างจะถูกเปิดเผยออกมาเมื่อถึงเวลาที่สมควร !”
ฉินเย่ชะงักไปก่อนจะถามออกมาว่า “อย่างวันนั้น… วันที่เรื่องของแมลงแห่งหายนะเพิ่งแวบเข้ามาในหัวท่านน่ะหรือ ?”
และนั่นก็คือจุดจบระหว่างมิตรภาพของทั้งสอง
อาร์ทิสหมุนตัวและเตรียมจะเดินจากไปด้วยความโมโห แต่ทันใดนั้นฉินเย่ก็คว้าปลายแขนเสื้อของอีกฝ่ายเอาไว้ “เดี๋ยวก่อน… ข้ายังมีคำถามสุดท้าย”
อาร์ทิสที่ได้ยินเช่นนั้นก็หันกลับมามอง “ปล่อย…”
ฉินเย่หลุบตาลง เหลือบสายตาไปมองวิญญาณหมอผีที่ยังคงก้มหน้าอยู่กับพื้นและเอ่ยเสียงเบา “ท่านบอกว่าราชทูตทั้ง 12 และราชาผีทั้งสามล้วนเป็นผู้ที่ใช้ชีวิตอยู่เกินกำหนดและยื้อเวลาเอาไว้เท่านั้น… แล้วถ้า… ข้ายอมช่วยเหลือพวกเขาในเรื่องนี้ ท่านคิดว่าพวกเขาจะขอบคุณเราแล้วยอมให้คำมั่นว่าจะจงรักภักดีกับเราหรือไม่ ? เพราะอย่างไรแล้ว ท่านก็เคยบอกว่าผู้ที่ไม่ได้รับการแต่งตั้งจากยมโลกจะไม่สามารถเลื่อนขั้นได้ และพวกเขาก็จะกลายเป็นเพียงกลุ่มก้อนพลังหยินที่สลายหายไปตามกาลเวลาเท่านั้น นอกจากนี้ มันก็เป็นเรื่องที่ยากสำหรับพวกเขาในการหาเลือดและเนื้อในแดนมนุษย์ไม่ใช่หรือ ? หากจู่ ๆ พวกเขาเผชิญหน้ากับพวกผู้ฝึกตนที่หล่อเหลาอย่างข้าเล่า ? พวกเขาจะไม่หวาดกลัวจนเสียสติและถูกกำจัดไปอย่างนั้นหรือ ?”
อาร์ทิสกะพริบตาปริบ ๆ จากนั้นนางจึงเอ่ยออกมาในที่สุด “เจ้าไม่จำเป็นต้องรีบร้อนขนาดนั้น… ตอนแรก เจ้าคิดที่จะเรียกตัวพวกเขากลับมา ตอนนี้เจ้าก็คิดที่จะเป็นพ่อค้าอาวุธให้พวกเขา หากรีบร้อนมาก เจ้าอาจจะเป็นฝ่ายที่ถูกฆ่าเสียเอง นอกจากนี้ รอจนกว่าเราจะแข็งแกร่งพอก่อนจึงจะเรียกตัวพวกเขากลับมาก็ไม่เสียหายอะไร… จริงสิ ในภาคการศึกษาหน้า เจ้าจะต้องเริ่มการฝึกฝนต่อสู้จริงแล้ว ดังนั้น แทนที่จะกำจัดวิญญาณร้าย เหตุใดเจ้าไม่ลองพยายามชักชวนพวกเขามาเป็นพวกแทนเล่า ? แบบนั้นเจ้าอาจจะได้รับรู้ถึงความคิดที่อีกฝ่ายมีต่อเจ้าก็เป็นได้”
“นี่… ท่านกำลังจะบอกข้าว่าท่านเองก็ไม่รู้คำตอบเช่นกันอย่างนั้นหรือ ?” ฉินเย่ถามออกมาด้วยความประหลาดใจ
“ข้าเป็นตุลาการนรก ! เหตุใดข้าจะต้องมาสนใจความคิดของพวกแมลงตัวจ้อยพวกนี้ด้วย ?” อาร์ทิสกลอกตาใส่ฉินเย่ก่อนจะจากไป
ครู่ต่อมา ฉินเย่หยิบลูกบอลวิญญาณขึ้นมาจากพื้นและผนึกวิญญาณหมอผีกลับเข้าไปตามเดิม จากนั้นจึงใส่พลังเข้าไปในเศษตราจ้าวนรกและกลับไปยังแดนมนุษย์
……
เมืองซินคังใหม่ โรงพยาบาลประชาชนแห่งแรก
นี่คือโรงพยาบาลที่ดีที่สุดในเมือง หากเป็นวันธรรมดาอื่น ๆ ทั้งโรงพยาบาลก็คงจะว่างเปล่าและไร้ผู้คน เพราะสุดท้ายแล้ว มันจะมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะทำงานอยู่ในสถานที่อย่างโรงพยายามหลังจากคำประกาศเหตุการณ์เหนือธรรมชาติเริ่มดังขึ้น แม้ว่าพวกเขาจะได้รับการเสนอเงินเดือนที่สูงมากก็ตาม แต่ตอนนี้… ทั้งชั้นสามของโรงพยาบาลกลับเปิดไฟสว่างจ้า
ฉินเย่นอนอยู่บนเตียงภายในห้องพักผู้ป่วยห้องหนึ่ง ใบหน้าของเขาขาวซีดและร่างถูกคลุมด้วยผ้าห่ม กวนเกิน ผู้ฝึกตนคนอื่น ๆ และเหล่านักเรียนจากสำนักฝึกตนแห่งแรกต่างนั่งอยู่ข้างเตียงและมองไปที่เขาอย่างเป็นกังวล
อุปกรณ์เครื่องมือแพทย์มากมายถูกวางอยู่รอบตัว ในขณะที่แพทย์หลายคนจ้องดูค่าตัวเลขทั้งหมดพร้อมขมวดคิ้วยุ่ง
“หมอเฉิน เขาเป็นอะไรครับ ?” กวนเกินถามอย่างร้อนใจ
หมอเฉินส่ายศีรษะ “พูดยากครับ… ชีพจร ระดับเลือด และแม้แต่ระบบเผาผลาญทั้งหมดของเขาล้วนปกติ แต่เขากลับยังไม่ได้สติ คลื่นสมองเองก็ไม่เสถียร มันแทบจะเหมือนกับ…”
เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ความผิดปกติของการลดความเป็นตัวของตัวเอง”[2]
กวนเกินขมวดคิ้วยุ่ง
เขาได้ใช้ความพยายามมากมายเพื่อที่จะรวบรวมแพทย์พวกนี้มา และนี่ก็คือคำตอบเดียวที่เขาได้
เรื่องคราวนี้มันใหญ่เกินไป ยมทูตขาวดำจากยมโลกปรากฏตัวขึ้น วิญญาณขั้นยมทูตขาวดำบุกเข้ามาในเมืองซินคังใหม่เป็นครั้งแรก การตายของอัลบาทรอส อาจารย์ผู้สอนดีเด่นของสำนักฝึกตนแห่งแรกที่ยังไม่ได้สติ และการตายของนักเรียน…
“เห้อ…” เขาถอนหายใจออกมา นี่คงจะเป็นจุดจบของเส้นทางอาชีพของเขาเสียแล้ว…
สิ่งที่เป็นปัญหาที่สุดของเรื่องนี้ก็คือการตายของหน่วยอัลบาทรอส พวกเขาจะต้องส่งเจ้าหน้าที่คนอื่นมาสอบสวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างละเอียดเป็นแน่ เพราะท้ายที่สุดแล้วทุกคนต่างก็รู้ดีว่าชีวิตของอัลบาทรอสนั้นมีค่ามากเพียงใด
ทันใดนั้น นางพยาบาลตนหนึ่งก็ร้องออกมาเสียงดัง หมอเฉินหันไปหาอีกฝ่ายด้วยความไม่พอใจ “คุณเป็นอะไร ? เอะอะโวยวายทำไม ? ไม่รู้หรือว่าไม่ควรส่งเสียงดังในเวลากลางคืน”
“เอ่อ…” นางพยาบาลคนดังกล่าวเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบออกมาอย่างไม่แน่ใจนัก “หมอเฉินคะ… เมื่อครู่นี้ ดิฉันเห็นนิ้วของคนไข้… ขยับ…”
“ว่าไงนะ ?” หมอเฉินลุกขึ้นยืน จากนั้น ราวกับเป็นการยืนยันสิ่งที่นางพยาบาลเห็น นิ้วมือของฉินเย่กระดิกอยู่อีกสองสามครั้งก่อนที่เขาจะค่อย ๆ ลืมตาขึ้นในที่สุด
“ที่นี่ที่ไหน…” ฉินเย่แสร้งทำเป็นอ่อนแรงและสับสน
“อาจาร์ฉิน !”
“อาจารย์ฉินฟื้นแล้ว !!”
“ดีแล้วที่คุณไม่เป็นอะไร ! ศาสตราจารย์เทาเพิ่งโทรศัพท์มาเมื่อครู่ !”
“ฮือออ ฮึก ฮืออ… อาจารย์ฉิน คุณทำให้เรากลัวนะ”
การฟื้นขึ้นมาของเด็กหนุ่มเรียกเสียงตะโกนร้องอย่างดีใจจากโดยรอบ หมอเฉินเอ่ยออกมาเบา ๆ “คนไข้เพิ่งได้สติ ทุกคนอย่าส่งเสียงดัง ! พวกคุณออกไปรอข้างนอกก่อน จากนั้นค่อยเข้ามาหลังจากที่เราตรวจอาการของคนไข้เรียบร้อยแล้ว”
นักเรียนทั้งหมดเดินออกไปในทันที ทิ้งไว้เพียงหมอเฉินและพยาบาลอีกจำนวนหนึ่งเอาไว้ภายในห้อง หลังจากตรวจอาการของฉินเย่เรียบร้อยแล้ว หมอเฉินก็พยักหน้าให้กับกวนเกินก่อนจะจากไปเช่นกัน
ด้วยเหตุนี้ ผู้ที่เหลืออยู่ในห้องจึงมีเพียงกวนเกินและฉินเย่
หลังจากผ่านไปหลายนาที กวนเกินก็ยื่นมือออกมาและถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน “กวนเกิน อธิบดีหน่วยสอบสวนพิเศษสาขาเมืองซินคังใหม่ ผมเสียใจด้วยเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น”
“การเสียชีวิตของอาจารย์และนักเรียนเป็นสิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมายของเราจริง ๆ แต่ถึงกระนั้น ผมหวังว่าคุณจะเข้าใจว่ามันเป็นหน้าที่ของผู้ฝึกตนที่จะยืนหยัดในแนวหน้าเพื่อต่อสู้กับการรุกรานของวิญญาณ และเหตุการณ์ที่น่าเศร้าพวกนี้ก็เป็นสิ่งที่เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้”
ฉินเย่พยักหน้า อย่างไรก็ตาม กวนเกินยังคงยืนอยู่ที่เดิม จ้องมองฉินเย่นิ่งขณะจุดบุหรี่ของตน เด็กหนุ่มเองก็ไม่พูดอะไรออกมาเช่นกัน
กวนเกินดูดบุหรี่เข้าไปเฮือกหนึ่งก่อนจะเงยหน้ามองเพดานด้วยความรู้สึกมากมาย “ผมรู้จักหลี่จีสี่มาหลายปี…”
ฉินเย่ก้มหน้าลง ประกายเย็นยะเยือกวาววาบขึ้นจากส่วนลึกของดวงตา
[1] สามารถผลิตแร่เงินออกมาได้ 38 ตันต่อปี
[2] ผู้ป่วยจะรู้สึกขาดการเชื่อมต่อหรือแยกออกจากตัวตน เหมือนกับว่าพวกเขาเป็นผู้สังเกตการณ์ภายนอก และไม่สามารถควบคุมความคิดหรือการกระทำของตนได้