ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 332: หาทางออก
บทที่ 332: หาทางออก
ไม่ว่าใครต่างก็ต้องรู้สึกรำคาญเมื่อต้องมานั่งทนฟังในสิ่งที่ตัวเองไม่เข้าใจ
และราชาผีแห่งพิภพอสูรเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้นสำหรับเรื่องนี้เช่นกัน
อีกปลายด้านหนึ่งของกระแสน้ำวนพลังหยิน ราชาผีกำมือและคลายออกสลับกันอยู่หลายครั้ง เขากำลังลังเลว่าตัวเองควรจับตัวยมทูตตนนี้กลับมาที่รังของภูตผีนับหมื่นของเขาหรือไม่ แต่ท้ายที่สุดแล้ว เขาก็เลือกที่จะไม่ทำ
ชายตรงหน้าสามารถพูดออกมาด้วยท่าทางเป็นธรรมและมีเกียรติเช่นนั้นได้อย่างไร ?
และอีกฝ่ายมีสิทธิ์อะไรถึงกล้ามาเอ่ยสัญญาที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้กับเขา ?
เด็กหนุ่มผู้นี้เป็นใครกันแน่ ? มีตำแหน่งอะไรในยมโลกแห่งใหม่ ? หรือว่า… จะเป็นบุตรชายนอกกฎหมายของจ้าวนรกองค์ที่สาม ? หากเขาจับตัวคน ๆ นี้ไป… ยมโลกแห่งใหม่จะมีปฏิกิริยาอย่างไร ?
เดิมทีเขามาที่นี่พร้อมกับเจตจำนงที่จะสังหารยมทูตทุกตนที่เจอ แต่ฉินเย่กลับสามารถทำให้เขามึนงงได้ด้วยการปล่อยหมัดแห่งความสับสนเพียงไม่กี่หมัดเท่านั้น
ราชาผีรู้ตีว่าการมีอยู่ของเขานั้นขัดต่อจุดประสงค์ของยมโลกเป็นอย่างมาก มันเป็นความจริงที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้มาหลายพันปี แต่แล้วจู่ ๆ คนตรงหน้ากลับบอกเขาว่ายมโลกแห่งใหม่พร้อมที่จะแต่งตั้งตำแหน่งให้กับเขาน่ะหรือ ? อาณาจักรหรือรัฐบาลแต่ละแห่งล้วนต้องมีเป้าหมายเพื่อการดำรงอยู่ของตัวเอง แต่จ้าวนรกองค์ที่สาม… กลับกำลังจะปรับเปลี่ยนเป้าหมายที่คงอยู่มานานหลายพันปีของยมโลก ? พวกเขาจะกลายเป็นคนทรยศและอยู่ร่วมกันกับคนอย่างราชาผีจริง ๆ น่ะหรือ ?
หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ ราชาผีก็ลดพลังหยินที่น่ากลัวของตนบางส่วนลงและเอ่ยด้วยเสียงที่เคร่งขรึม “เจ้าพูดสิ่งเหล่านี้ออกมาในฐานะอะไร ?”
ภายในหัวของฉินเย่ทำงานอย่างรวดเร็ว เขารู้ดีว่ามันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะหลอกวิญญาณร้ายเจ้าเล่ห์อายุนับพันได้ด้วยคำพูดไม่กี่คำ แต่ถึงกระนั้น… เด็กหนุ่มก็ยังมั่นใจ !
ถึงแม้ว่าวิญญาณร้ายตรงหน้าจะมีอายุมานานหลายพันปี แต่ข้อเท็จจริงที่ว่าเขาถูกกักขังไว้ภายใต้กงล้อแห่งสังสารวัฏเป็นเวลานานเสียส่วนใหญ่นั้นยังคงอยู่ ดังนั้นเมื่อพิจารณาทั้งหมดแล้ว อีกฝ่ายน่าจะมีประสบการณ์ในการมีปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์เพียงไม่กี่ร้อยปีเท่านั้น นี่คือการเผชิญหน้ากันทางคำพูดระหว่างผู้มีอายุร้อยปีสองคน นอกจากนี้ ฉินเย่ยังมีข้อได้เปรียบที่เขาได้ใช้ชีวิตอยู่ในยุคสมัยที่ข้อมูลแพร่หลาย แล้วเขาจะพ่ายแพ้ต่อการต่อสู้ทางคำพูดพวกนี้ได้อย่างไร ?
“ข้า… พูดในฐานะของจ้าวนรกองค์ที่สามของยมโลก !” สมองของเขาหมุนติ้ว และจากนั้นฉินเย่ก็กัดฟันแน่นก่อนจะทิ้งระเบิดในที่สุด
ทันใดนั้น กระแสน้ำวนพลังหยินก็พุ่งสูงขึ้น และภาพใบหน้าของมนุษย์ก็บิดเบี้ยวอย่างรุนแรงขณะที่จิตสังหารแผ่ออกมาออกมาราวกับเงาดำขนาดใหญ่
“หยุดเดี๋ยวนี้” ฉินเย่ยกมือขึ้น “ราชาผีแห่งพิภพอสูร ท่านเคยคิดบ้างหรือไม่ว่ายมโลกแห่งใหม่จะอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่เพียงใดหากคนไม่ได้เรื่องเช่นข้าได้กลายเป็นจ้าวนรก ?”
ราชาผีแห่งพิภพอสูรชะงักไป…
มันราวกับว่าเขากำลังอยู่ในจุดที่ใกล้จะ ‘ปลดปล่อย’ แต่จู่ ๆ ก็พบว่าช่องทางถูกมัดเอาไว้เสียก่อน…
มันอึดอัด… อึดอัดเสียจนเขาอยากจะกลิ้งลงกับพื้นด้วยความโมโห…
ให้ตายเถอะ… เจ้าช่วยให้ความสนใจกับตำแหน่งจ้าวนรกองค์ที่สามของตัวเองให้มากกว่านี้ได้หรือไม่ ?! ช่วยพูดอย่างมีศักดิ์ศรีมากกว่านี้อีกสักนิดไม่ได้เลยหรือ ?!
จ้าวนรกองค์ที่ 1 และองค์ที่ 2 ต่างเป็นวีรษุรุษ ! พวกเขาแข็งแกร่งและกล้าหาญ แต่คนตรงหน้า… นี่ไม่ใช่ยมโลกเดียวกันกับที่เขาเคยอยู่แล้ว !
ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะยอมลดเกียรติของตัวเองถึงขนาดนี้… นี่เจ้าต้องการจะมีชีวิตรอดจนต้องทำขนาดนี้เลยอย่างนั้นหรือ…
รอยยิ้มบนใบหน้าของฉินเย่จางหายไปและเขาก็เริ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่จริงจังขึ้น “ราชาผีแห่งพิภพอสูร เวลาได้เปลี่ยนไปแล้ว มันมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องจัดการเมื่อข้าเข้ารับตำแหน่งที่ยมโลกแห่งใหม่ และข้าก็ไม่มีเวลามาพอที่จะมายุ่งกับท่าน ท่านอาจจะคิดว่าข้ากำลังทรยศต่อยมโลก แต่ข้าขอถามท่านบ้าง ท่านคิดว่าจุดประสงค์ของยมโลกคืออะไร ?”
ราชาผีแห่งพิภพอสูรรีบตอบออกไปทันที “ลงโทษผู้ที่ทำกรรมชั่วและตอบแทนผู้ที่ทำกรรมดี จัดการกับพวกที่หลุดรอดจากช่องว่างทางกฎหมายของแดนมนุษย์และสร้างความยุติธรรม”
“อีกความหมายหนึ่งก็คือการรักษาสมดุลระหว่างแดนมนุษย์และโลกใต้พิภพ เพื่อป้องกันเหล่าวิญญาณร้ายจากการก่อความไม่สงบสุขขึ้นในแดนมนุษย์ และลงโทษพวกเขา ข้าพูดถูกหรือไม่ ?” ฉินเย่สรุป
“ถูกต้อง”
“ดี ถ้าเช่นนั้น ข้าขอถามท่านอีกข้อ หลังจากผ่านบทลงโทษที่แสนโหดร้ายมาเป็นระยะเวลาหลายพันปี ท่านคิดว่าตนเองได้ชดใช้สำหรับสิ่งที่ตนกระทำผิดแล้วหรือยัง ?”
“แน่นอน !!” กระแสน้ำวนพลังหยินระเบิดคลื่นพลังหยินที่รุนแรงออกมา ราชาผีกัดฟันแน่นขณะที่ข่มความหวาดกลัวภายในใจ “เจ้าจินตนาการไม่ออกหรอกว่าบทลงโทษที่รอเจ้าอยู่ภายใต้พิภพอสูรนั้นเป็นแบบใด… ถูกกลืนกินโดยอสูรนับร้อยหรือพันตนเป็นประจำทุกวัน… เจ้าคิดว่าข้าจะสามารถลืมความเจ็บปวดของการที่เนื้อของตัวเองถูกฉีกออกจากร่างด้วยการกัดทีจะนิดได้อย่างนั้นหรือ ?!”
ฉินเย่พยักหน้า “ถ้าเช่นนั้นสิ่งที่เหลืออยู่ก็คือการรักษาสมดุลระหว่างหยินและหยาง ข้าขอถามท่านอีกครั้ง ในกรณีนี้ หากท่านยอมตกลงกับคำขอของข้า ผลลัพธ์สุดท้ายที่ข้าจะได้รับก็ย่อมออกมาเหมือนกัน ดังนั้นแล้วการกระทำของข้าจะถือเป็นการขัดต่อจุดประสงค์ของยมโลกได้อย่างไร ?”
ราชาผีแห่งพิภพอสูรชะงักไป
ใช่แล้ว… การกำจัดวิญญาณร้ายนั้นมีจุดประสงค์เพื่อไม่ให้พวกเขาสร้างความวุ่นวายให้กับแดนมนุษย์ แต่ถ้าวิญญาณร้ายเหล่านั้นถวายสัตย์ว่าจะสวามิภักดิ์ต่อยมโลก… ผลลัพธ์ที่ออกมานั้นก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ ?
ในวินาทีนั้น ภายในหัวของเขาเริ่มคิดเกี่ยวกับด้วยความเป็นไปได้มากมาย เด็กหนุ่มตรงหน้าจะทำได้หรือ ? จะสามารถทำได้จริง ๆ น่ะหรือ ? ไม่… ไม่มีทาง ! อีกฝ่ายจะไปทำอย่างนั้นได้อย่างไร ! ยมโลกไม่ได้ถูกปกครองโดยจ้าวนรกเพียงผู้เดียว มันยังวิญญาณตนอื่น ๆ อีก พวกเขาจะยอมเห็นด้วยอย่างนั้นหรือ ? ในตอนที่เขาถูกตัดสินโทษให้ต้องถูกจองจำอยู่ภายใต้กงล้อแห่งสังสารวัฏ มันก็ถูกลงมติโดยเหล่ารัฐมนตรี ชายผู้นี้…ให้คำสัญญาที่ยิ่งใหญ่ แต่เขาเกรงว่าคำพูดพวกนั้นจะไม่มีน้ำหนักเพียงพอ
ราชาผียังคงเงียบ แต่จิตสังหารของเขายังคงแผ่ออกมาจากกระแสน้ำวนพลังหยินอย่างต่อเนื่อง เขาไม่ได้ต้องฟังที่ฉินเย่พูดอีกต่อไปแล้ว เพราะเขาตระหนักได้แล้วว่าความมุ่งมั่นและความตั้งใจของตัวเองถูกทำให้อ่อนลงอย่างรวดเร็วเมื่อเผชิญหน้ากับคำพูดมากมายของอีกฝ่าย
เขากลัวว่าตัวเองจะถูกหลอกล่อโดยข้อเสนอที่แทบจะเป็นไปไม่ได้นี้
แต่ขณะที่จิตสังหารเริ่มพุ่งขึ้นถึงจุดสูงสุด ฉินเย่ก็เอ่ยขึ้นอีกครั้ง “หรือว่าท่านกำลังเป็นกังวลว่าวิญญาณตนอื่น ๆ จะไม่เห็นด้วย ?”
ฉินเย่จ้องมองที่กระแสน้ำวนพลังหยินเขม็ง วิเคราะห์ความคิดของราชาผีจากปฏิกิริยาเล็กน้อยที่อีกฝ่ายแสดงออกมา
ทำไมวิญญาณตรงหน้าถึงยังแผ่จิตสังหารออกมาไม่หยุด ?
นี่เขาไม่สามารถโน้มน้าวอีกฝ่ายได้อย่างนั้นเหรอ ? เขาพลาดตรงไหนไป ?
เขาไม่แน่ใจนักว่าปัญหาอยู่ที่ตรงนี้หรือไม่ แต่ทันทีที่เขาถามออกไป เขาก็พบว่ากระแสน้ำวนพลังหยินสั่นไหวและชะงักไปครู่หนึ่ง ดังนั้นแววตาของฉินเย่จึงเป็นประกายขึ้นและเขาก็รีบเอ่ยต่อ
“มันไม่มีอยู่อีกแล้ว” เขาเลือกใช้คำพูดอย่างระมัดระวัง “ราชาผีแห่งพิภพอสูร ท่านลองคิดดู ผู้ใดกัน…ที่จะกล้าต่อต้านข้า ?”
“พวกระดับสูงของยมโลกแห่งเก่าได้ขึ้นสวรรค์ไปพร้อมกับพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์แล้ว ทุกคนที่อยู่ในยมโลกตอนนี้ล้วนเป็นวิญญาณที่ได้รับการคัดเลือกและเลี้ยงดูโดยข้า ข้าคือกฎของดินแดนแห่งนี้ ดังนั้นผู้ใดจะกล้ามาตั้งคำถามกับการตัดสินใจของข้ากัน ?”
“นอกจากนี้ ต่อให้พวกเขาจะมีข้อกังขาใด ๆ พวกเขาก็ไม่มีเวลาให้ลงมือทำอะไรเลยสักนิด เพราะอย่างไรแล้ว… การพัฒนาของยมโลกก็มีความสำคัญมากกว่าทุกสิ่ง ! ท่านคงจะรู้ดีว่ายมทูตขาวดำนั้นรับผิดชอบเรื่องระดับเมือง หรือจะกล่าวก็คือ ในเวลานี้ ยมโลกยังมีขนาดไม่ใหญ่ไปกว่าเมืองหนึ่งเมือง และพวกเขาก็ไม่มีทางสู้กับกองกำลังอื่นได้ แม้ว่าเราจะอยากที่จะทำเช่นนั้นก็ตาม”
“และสุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด…” เขาพึมพำ “ท่านลองนึกถึงยุคสมัยที่เราอยู่”
“จนถึงตอนนี้ ท่านเองก็คงจะตระหนักได้แล้วว่าโลกนั้นเปลี่ยนไปมาก มากกว่าการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ที่เกิดขึ้นในพันปีก่อน ราชวงศ์ศักดินาที่คงอยู่มานับพันปีสิ้นสุดลงภายในชั่วพริบตา และวิญญาณสมัยใหม่ก็แตกต่างจากวิญญาณในอดีต การเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่นั้นเกิดขึ้นพร้อมกันกับการล่มสลายครั้งใหญ่ของยมโลก และไม่มีวิญญาณสมัยใหม่ตนใดที่จะรู้สึกว่ามีบางสิ่งบางอย่างผิดปกติเกี่ยวกับการกระทำของข้า ที่ข้ามอบข้อเสนอเช่นนี้ให้ท่านก็เพราะมันไม่สำคัญเลยว่าจะต้องใช้วิธีใด ตราบใดที่ข้าสามารถได้รับผลลัพธ์ที่ออกมาเหมือนกัน”
เขาจ้องเข้าไปในกระแสน้ำวนสีดำ “ตราบใดที่ข้าสามารถบรรลุตามเป้าประสงค์เดียวกันกับที่ยมโลกได้ถูกสร้างขึ้นมา เช่นนั้นมันก็ไม่มีผู้ใดสามารถพูดได้ว่าข้ากำลังทำในสิ่งที่ผิด !”
และนี้ก็ไม่ใช่เพียงคำพูดส่ง ๆ ทั่วไป ฉินเย่เอ่ยออกไปด้วยความมั่นใจอย่างยิ่งเพราะเขาตั้งใจที่จะทำให้มันเป็นเช่นนั้นจริง ๆ
เพราะท้ายที่สุดแล้ว เขาก็ถูกล้อมรอบโดยฝู่จวินสามตนที่ปกครองดินแดนขนาดใหญ่สามแห่งที่มีพื้นที่กว่า 1 แสนตารางกิโลเมตร เขาจะสามารถหลบเลี่ยงจากการทำให้วิญญาณพวกนี้ไม่พอใจได้อย่างนั้นหรือ ? ไม่ใช่ว่าเขาจะต้องรอจนกว่าตัวเองจะเลื่อนเป็นขั้นฝู่จวินหรืออย่างไร ? แล้วหากมีเรื่องผิดพลาดเกิดขึ้นระหว่างนั้นเล่า ? นั่นจะไม่ใช่จุดจบของทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาได้ทำมาจนถึงทุกวันนี้หรอกหรือ ?
นอกจากนี้… มันมีเพียงตอนที่สามารถยุติภัยคุกคามจากการดำรงอยู่ของยมโลกได้แล้วเท่านั้นที่อีกฝ่ายถึงจะสามารถทำสงครามกับราชทูตทั้ง 12 ได้ ไม่เช่นนั้น… ฉินเย่จะขายอาวุธให้กับผู้ใด ?
ทำไมเขาถึงไม่แก้ไขปัญหาเหล่านี้ด้วยสันติวิธี ? นี่มันยุคสมัยไหนกันแล้ว ? คนปกติที่ไหนจะคิดถึงเรื่องการสู้และฆ่ากันอยู่ตลอดเวลา ?
พูดอีกอย่างก็คือเขากลัว ชีวิตไม่ใช่เพียงการเอาตัวรอดในปัจจุบันเท่านั้น แต่มันยังหมายถึงการวางแผนสำหรับการเอาตัวรอดในอนาคตด้วย ! คิดว่าเขาอยากจะขอความเมตตาจากวิญญาณตรงหน้าตลอดเวลาหรืออย่างไร ?
กระแสน้ำวนพลังหยินยังคงหมุนวนอย่างบ้าคลั่ง ทว่าจิตสังหารที่แผ่ออกมานั้นได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย
เขาไม่ใช่คนโง่ คนโง่ไม่มีทางสามารถทิ้งชื่อของตนไว้ในประวัติศาสตร์ได้ แม้ว่ามันจะเป็นชื่อเสียก็ตาม ผู้ที่สามารถสร้างผลลัพธ์เช่นนี้ได้ล้วนเป็นผู้ที่มีความสามารถโดดเด่นทั้งสิ้น
และราชาผีแห่งพิภพอสูรก็ไม่ใช่ข้อยกเว้นสำหรับเรื่องนี้เช่นกัน
เขาได้หลบหนีมาจากยมโลกด้วยความตั้งใจที่ว่าตนจะไม่มีทางกลับไปถูกทรมานอยู่ภายใต้กงล้อแห่งสังสารวัฏอีกเด็ดขาด นอกจากนี้เขายังถึงขนาดสร้างโลกใต้พิภพของตัวเองและหนีมาได้ไกลขนาดนี้ อย่างไรก็ตาม เขาไม่รู้เลยว่า ‘โลกใต้พิภพ’ ที่ตนเองสร้างนั้นไม่มีทางได้รับความสนใจจากสวรรค์ ยิ่งมันขยายใหญ่ขึ้น การต่อต้านที่เขาได้รับก็ยิ่งมากขึ้นเช่นกัน ไม่ว่าจะมาจากแดนมนุษย์ จากยมโลก หรือจากสวรรค์ ไม่มีผู้ใดให้อภัยต่อการมีอยู่ของพวกเขา แต่ปัญหาเหล่านั้นจะได้รับการแก้ไขทันทีหากเขาได้อยู่ภายใต้อำนาจของยมโลกแห่งใหม่
ลองดูจากการที่เหล่าราชทูตทั้ง 12 ได้ใช้ชีวิตอย่างเชิดหน้าชูตาอยู่ตอนนี้สิ ! แล้วเขาที่อยู่ถึงขึ้นฝู่จวินกลับถูกกดดันจากทุกฝ่าย ? นี่มันตรรกะบ้าอะไรกัน ?
ภายในใจของเขาเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกมากมายที่ผสานกันเต็มไปหมด ไม่คิดเลยว่ายมทูตตรงหน้าจะสามารถแกะรอยความคิดและความรู้สึกของเขาตั้งแต่ตอนที่เขาตัดสินใจหลบหนีมาจากยมโลกมาจนถึงความคิดเกี่ยวกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาได้รับมาจากการพยายามอย่างหนัก ที่สำคัญกว่านั้น เขาเริ่มไม่แน่ใจ… ว่าโอกาสที่ถูกหยิบยื่นมาให้นี้จะสามารถรับประกันได้ว่าเขาจะไม่ต้องกลับไปทนทุกข์ทรมานภายใต้กงล้อแห่งสังสารวัฏอย่างที่เป็นมากว่าพันปีอีก ความหวาดกลัวที่มีต่อยมโลกได้ถูกสลักอยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดของจิตใจ นี่คือความจริงที่ไม่สามารถปฏิเสธได้ ไม่ว่าเขาอยากจะยอมรับมันหรือไม่ก็ตาม
หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ ราชาผีแห่งพิภพอสูรก็เอ่ยขึ้นด้วยเสียงแหบพร่า “การสนทนาของเราดำเนินไปเป็นเวลาสามสิบนาทีแล้ว เจ้ารู้หรือไม่… หากเจ้าไม่สามารถรักษาให้มันเกินสิบนาทีได้ เจ้าคงตายไปแล้ว”
“ยมโลกต้องการให้ข้าเป็นส่วนหนึ่งของมันจริง ๆ น่ะหรือ ? ฮ่า ๆๆๆ …แม้แต่ราชาผีแห่งพิภพเดรัจฉานและราชาผีแห่งพิภพเปรตต่างก็ต้องคิดว่ามันเป็นเพียงเรื่องตลก”
เขาถอนหายใจออกมา “แต่หลังจากฟังทั้งหมดที่เจ้าพูด… ข้าต้องขอยอมรับเลยว่าเจ้าสามารถกระตุ้นความสนใจของข้าได้สำเร็จ”
“เจ้าพูดเก่ง สามารถหาหัวข้อที่ทำให้ข้าตกตะลึงและลดจิตสังหารของข้า จากนั้นจึงค่อย ๆ สลายมันไปอย่างช้า ๆ ไม่เลว… ไม่เลวเลยจริง ๆ …หากเจ้าเป็นอย่างที่พูดจริง ๆ ท่านว่าที่จ้าวนรกองค์ต่อไปของยมโลก เช่นนั้นข้าก็จะรอดูสิ่งที่เจ้าจะทำอย่างใจจดใจจ่อ… !!”
“เจ้าสามารถแยกแยะถูกออกจากผิดได้อย่างชัดเจน… เมื่อเทียบกับคนโง่เง่าอย่างจ้าวนรกองค์ที่หนึ่งและเทพแห่งสงครามที่ไม่สนใจสิ่งใดอย่างจ้าวนรกองค์ที่สอง จนถึงตอนนี้ เจ้าก็อาจจะเป็นผู้ที่เหมาะสมกับตำแหน่งนี้มากที่สุด แต่… เจ้าจะต้องพิสูจน์ตัวเองให้ข้าเห็นเสียก่อนว่าเจ้าคือจ้าวนรกแห่งยมโลกอย่างแท้จริง…”
จิตวิญญาณของฉินเย่เกร็งขึ้นในทันที “ท่านหมายความว่าอย่างไร ?”
“ข้าหมายความตามที่พูด” ขณะที่พูด มือที่ซีดเผือดและเย็นยะเยือกก็ยื่นออกมาจากกระแสน้ำวันพลังหยินและแตะเบา ๆ ลงที่อกของฉินเย่
ตู้ม ! พลังที่ไม่สามารถต้านทานได้พุ่งเข้ามาราวกับคลื่นยักษ์ ฉินเย่รู้สึกราวกับว่าเขาถูกส่งไปยังส่วนลึกที่สุดของห้องใต้ดินน้ำแข็งในทันที เด็กหนุ่มกระอักเลือดออกมาจำนวนมากขณะที่ร่างของเขากระแทกเข้ากับฝาผนังอย่างแรง
แข็งแกร่งมาก….
ความหวาดกลัวปรากฏขึ้นมาจากส่วนลึกของจิตใจ
หากไม่ใช่เพราะข้อเท็จจริงที่ว่าเขาสามารถหาทางออกระหว่างความขัดแย้งนี้ได้ เขาก็คงตายไปแล้วจริง ๆ
“ยันต์แห่งความเป็นตาย ข้าเคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่งของแดนมนุษย์และยืมชื่อของมันมา” กระแสน้ำวันพลังหยินตรงหน้าเริ่มหดตัว “มีเพียงขั้นตุลาการนรกเท่านั้นที่สามารถสลายผลกระทบของมันได้ หากเจ้าเป็นจ้าวนรกจริง เช่นนั้น… การหาตุลาการนรกสักตนมาช่วยเจ้าก็คงจะไม่ใช่เรื่องยากอะไรใช่หรือไม่ ?”
“แต่หากเจ้าไม่สามารถเอาชีวิตรอดจากสิ่งนี้ไปได้ มันก็หมายความว่าเจ้านั้นไม่ได้มีความสำคัญอะไรเลยในสายตาของจ้าวนรกองค์ที่สาม และเมื่อเป็นเช่นนั้น…. ทุกอย่างที่เจ้าได้พูดออกมาก็หาได้มีความน่าเชื่อถือเลยแม้แต่นิดเดียว !”
“จงจำไว้ ยันต์แห่งความเป็นตายจะโจมตีทั้งหมดสามครั้ง และการโจมตีแต่ละครั้งจะรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ หากจนถึงตอนนั้นเจ้ายังไม่สามารถสลายผลของมันได้ เจ้าก็จะต้องตายอย่างแน่นอน”
“เตรียมเดินทางกลับ~~” เสียงกระดิ่งดังขึ้นที่นอกประตูห้อง และศีรษะจำนวนมากที่โผล่ออกมาจากประตูก็หดกลับไปอย่างรวดเร็วก่อนที่จะพากันไหลออกไปราวกับแม่น้ำขนาดใหญ่
อึก… จิตวิญญาณของฉินเย่เกร็งอยู่เช่นนั้นเป็นเวลาหลายนาที จนกระทั่งร่องรอยสุดท้ายของพลังหยินหายไปอย่างสิ้นเชิง จากนั้นเด็กหนุ่มก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกและล้มลงกับเตียง
เกือบไปแล้ว…
โลกของวิญญาณไม่สามารถมองข้ามได้จริง ๆ ผู้ใดจะไปคิดว่าราชาผีจะทำสัญลักษณ์ไว้บนตัวของเทพสวรรค์และปรากฏตัวขึ้นเช่นนี้ ? ดูเหมือนว่าความหวาดกลัวที่อีกฝ่ายมีต่อยมโลกจะลึกล้ำเกินกว่าที่เขาคิดเอาไว้มาก
“แต่… ไม่ใช่ว่าพวกเขาคิดที่จะก่อกบฏหรอกหรือ ?” เด็กหนุ่มลูบคางของตน “เราสัมผัสถึงร่องรอยเหล่านั้นจากเสียงของเขาไม่ได้เลยสักนิด… มันไม่เหมือนกับราชทูตทั้ง 12 บางทีมันอาจจะเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เขาได้ประสบมา ราชาผีแห่งพิภพอสูรคือผู้ใดกันแน่ ? บุรุษผู้มีชื่อฉาวโฉ่ที่ใช้สกุลฉิน ? ผู้ที่ทำเรื่องชั่วร้ายจนถึงขนาดที่ถูกสั่งให้รับโทษภายใต้การทรมานของกงล้อแห่งสังสารวัฏไปชั่วนิรันดร์…”
ทว่าก่อนที่เขาจะได้คิดอะไรไปมากกว่านี้ ความเจ็บปวดที่รุนแรงก็แผ่ซ่านออกมาจากที่กลางอก !