ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 333: สะพานนกสาลิกา
บทที่ 333: สะพานนกสาลิกา
ความเจ็บปวดดังกล่าวนั้นรุนแรงจนแทบจะเหมือนกับมันกำลังฉีกกระชากวิญญาณของเขาออกจากกัน
“อ๊ากกกก… !!!!” เขากุมอกและกรีดร้องออกมาอย่างน่าสังเวช เด็กหนุ่มกัดฟันแน่นและรวบรวมแรงทั้งหมดภายในร่างในการฉีกเสื้อออก และเขาก็พบว่าเวลานี้ที่อกของตนเองมีอักขระสีเขียวหยกปรากฏขึ้น
มันแทบจะเหมือนกับว่าอกของเขาถูกฉีกออก และเปลวไฟนรกที่ลุกโชนก็หลั่งไหลออกมาจากภายใน แม้แต่ดวงตาของเขาก็เริ่มที่จะเปลี่ยนเป็นสีเขียวหยก ภายในหัวของเขาเริ่มถูกเผาไหม้โดยลาวาที่ร้อนระอุ และทันใดนั้น ประตูห้องพักก็ถูกเปิดออกอย่างแรง
“อาจารย์ฉิน เกิดอะไรขึ้นครับ ?!” เย่ซิงเฉินพุ่งเข้ามาและภาพความเจ็บปวดที่รุนแรงของฉินเย่ก็ทำให้เขาตกใจเป็นอย่างมาก และมันก็เป็นภาพสุดท้ายที่ฉินเย่เห็นเช่นกัน ก่อนที่เขาจะหมดสติไป หูของเขาได้ยินเสียงร้องตะโกนของเหล่านักเรียนคนอื่นๆ “หมอ ! เร็วเข้า รีบไปตามหมอมา ! อาจารย์ฉิน อดทนไว้ !”
หลังจากนั้น เขาก็ไม่รับรู้อะไรอีกเลย
หลังจากผ่านไปสักพักใหญ่ ในที่สุดเขาก็ได้สติ ทุกอย่างตรงหน้าดูพร่าเลือน แทบจะเหมือนกับว่าโลกทั้งใบสั่นไหว ดวงตาของเขามองไปรอบ ๆ โดยไม่รู้ตัวก่อนที่ใครสักคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ จะถอนหายใจออกมาในที่สุด หลังจากผ่านไปสักพัก ภาพตรงหน้าก็กลับมาชัดเจนอีกครั้ง
เขาไม่ได้อยู่ในห้องพักเดิมเหมือนก่อนหน้านี้
ทุกอย่างโดยรอบเป็นสีขาวสะอาด และมันก็มีอุปกรณ์การแพทย์ตั้งอยู่เต็มไปหมด ชายวัยกลางคนคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้า ชูนิ้วขึ้นมาตรงหน้าของเขา ในที่สุดฉินเย่ก็ได้สติ และอีกฝ่ายก็ยกมือขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าผากของตนเอง “ดีจริง ๆ ที่คุณไม่เป็นอะไร”
“ผม…” ทันทีที่เอ่ยออกมา ฉินเย่ก็พบว่าเสียงของเขาแหบพร่า ในขณะที่ความเจ็บปวดในร่างกายเริ่มกระจายไปทั่วร่างอีกครั้ง มันแทบจะเหมือนกับว่าร่างกายของเขากำลังถูกเผาไหม้ ขจัดความชื้นที่มีอยู่ในร่างกายออกไปทั้งหมด
มันทรมานมาก
เป็นความเจ็บปวดที่เจาะลึกเข้าไปถึงกระดูก ความเจ็บที่ลุกโชนขึ้นปะทุขึ้นมาจากส่วนที่ลึกที่สุดของร่างกาย
“ยังไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น” ชายวัยกลางคนที่สวมป้ายกรมสหการแพทย์ของหน่วยสอบสวนพิเศษเอ่ยขึ้นอย่างไม่พอใจ “สภาพของคุณแย่มาก ตอนนี้คุณกำลังอยู่บนเครื่องบินเพื่อพาตัวกลับไปยังเมืองเป่าอัน รู้ตัวหรือเปล่าว่าตัวเองหมดสติไปนานแค่ไหน ? ถ้ารู้ให้กะพริบตาซ้าย ถ้าไม่รู้ให้กะพริบตาขวา”
ฉินเย่กะพริบตาขวา
“สามวัน” ชายวัยกลางคนถอนหายใจออกมา “เมืองซินคังใหม่ไม่สามารถรักษาคุณได้ ดังนั้นเราจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพอตัวคุณกลับมาที่เมืองเป่าอัน ทางสำนักได้รับรู้เกี่ยวกับสถานการณ์ของคุณแล้ว และหัวหน้าโจวก็จะมารับคุณที่สนามบินด้วยตัวเอง”
ฉินเย่สามารถรวบรวมแรงบางส่วนได้ในที่สุด “ผม—…”
“อย่าพูด” ชายวัยกลางคนเอ่ยซ้ำ “สภาพของคุณแย่มาก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่สามารถรักษาได้ อวัยวะภายในของคุณถูกกระแทกด้วยคลื่นพลังหยินที่ทรงพลัง ซึ่งก่อตัวเป็นเปลวไฟนรกที่รุนแรงในเวลาต่อมา โชคดีที่เปลวไฟพวกนั้นคงอยู่ไม่นานมาก ไม่เช่นนั้น… ชีวิตของคุณคงตกอยู่ในอันตราย”
“ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาคิดถึงเรื่องอื่น พักผ่อนให้เพียงพอ หากต้องการอะไรให้กดปุ่มที่อยู่ที่นิ้วซ้ายของตัวเอง”
จากนั้นชายวันกลางคนก็เดินจากไป ฉินเย่พยายามยกศีรษะของตนขึ้นมาด้วยความยากลำบาก และเขาก็พบว่ามีเครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจถูกแปะไว้ที่อกของตัวเอง และมันก็ยังมีสายโยงระยางเต็มไปหมด เมื่อสังเกตดูดี ๆ เขาก็พบว่าตั้งแต่บริเวณช่วงท้องขึ้นมาจนถึงช่วงลำคอของเขามีรอยไหม้ปรากฏอยู่ !
ยันต์แห่งความเป็นตาย…
ทันใดนั้นเด็กหนุ่มก็ตัวสั่นด้วยความกลัว นี่คือฝีมือของราชาผี… ช่างเป็นไฟนรกที่รุนแรงจริง ๆ แม้แต่ยมทูตก็ไม่สามารถต้านทานมันได้ และ… คนภายนอกก็ยังไม่สามารถตรวจจับได้ถึงการมีอยู่ของมัน ?
สามวัน… นี่เป็นเสียงแรกของระฆังมรณะ หากเขาไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้ก่อนวันมะรืน… เขาจะต้องตายอย่างแน่นอน !
เขารีบเอื้อมเข้าไปในกระเป๋า ใส่พลังเข้าไปในเศษตราจ้าวนรกของตนและจิตวิญญาณของเขาก็กลับไปที่ยมโลก นักเรียนคนอื่น ๆ อาจจะตกใจมากหากเขาหมดสติไปอีกครั้ง แต่ด้วยความรุนแรงของสถานการณ์ เขาไม่มีทางอื่นอีกแล้ว
……
เมื่อฉินเย่ลืมตาขึ้นอีกครั้ง เขาก็กลับมายืนอยู่ที่ยมโลก ยันต์แห่งความเป็นตายนั้นมองไม่เห็นสำหรับแดนมนุษย์ แต่มันกลับเปล่งแสงราวกับดวงดาราเมื่ออยู่ในยมโลก โชคดีที่ตอนนี้เขายังไม่ได้รู็สึกเจ็บปวดอะไร แต่เขาก็สัมผัสได้ว่าตัวเองน้ำหนักลดลงจากการทดสอบรอบแรกที่ผ่านมา
หลังจากถูกฉินเย่เรียกตัว ไม่นานอาร์ทิสก็มาถึง เมื่อนางเห็นเด็กหนุ่ม นางก็เอ่ยออกมาด้วยความตกใจ “สะพานนกสาลิกา ?”
“ท่านพูดบ้าอะไร ?” ฉินเย่เอ่ยอย่างไม่พอใจ “รีบเอาไอ้บ้านี่ออกไปจากตัวข้าเดี๋ยวนี้ !”
อาร์ทิสไม่ได้ตอบอะไรออกมาทันที กลับกัน นางสะบัดผมและผ่าเสื้อของฉินเย่ออกก่อนที่จะไล่นิวไปตามอกของเด็กหนุ่มอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากผ่านไปสักพัก นางก็เงยหน้าขึ้นมาและเอ่ยด้วยเสียงที่เคร่งขรึม “เจ้าไปเจอกับราชาผีแห่งพิภพอสูรมา”
นางหมายความตามที่พูด
“ใช่ และเขาก็ใส่ยันต์บ้า ๆ นี่เข้ามาในร่างของข้า บอกข้าว่ามีเพียงขั้นตุลาการนรกเท่านั้นที่สามารถจัดการกับผลของมันได้ เร็วเข้าสิ ! ร่างของข้าร้อนไปหมดเพราะถูกยันต์บ้านี่เผา ! หากไม่รีบเอามันออกภายในสามวันข้าจะต้องตายแน่ !” ฉินเย่เอ่ยออกมาอย่างโมโห
“มันไม่ใช่สิ่งที่ข้าจะสามารถทำอะไรได้” อาร์ทิสเม้มปาก “สิ่งนี้ไม่ได้เรียกว่ายันต์แห่งความเป็นตาย แต่มันเรียกว่า ‘สะพานนกสาลิกา’ มันคือคำสาปที่สามารถใช้ได้โดยขั้นฝู่จวินเท่านั้น ทางเดียวที่จะเอามันออกได้ก็คือพบเจอกับคู่ครองแห่งโชคชะตาของเจ้าและแบ่งปันค่ำคืนแห่งความรักกับนาง”
ฉินเย่แน่นิ่งไป
มันเหมือนกับสายฟ้าที่ผ่าลงมาโดยไม่มีคำบอกกล่าว
“ท่านเอามันออกไม่ได้ ?!” เขาเอ่ยถามเสียงสูงและรีบคว้าคอเสื้อของอาร์ทิสเอาไว้ “ถ้าเช่นนั้นทำไมเขาถึง–… ข้าเข้าใจแล้ว…”
เขาปล่อยมือที่กำคอเสื้อของอีกฝ่าย “ไอ้เวรนั่น… เขาไม่คิดที่จะยอมปล่อยมันผ่านไปง่าย ๆ! เขาอยากรู้ว่าสิ่งที่ข้าพูดนั้นเป็นจริงหรือเปล่า หากยมโลกแห่งใหม่แข็งแกร่ง เราก็คงจะสามารถถอนคำสาปนี้ออกไปได้ในทันที หรือต่อให้ไม่ เขาก็ยังสามารถทดสอบความแข็งแกร่งของยมโลกแห่งใหม่ด้วยสิ่งนี้ได้อยู่ดี อีกความหมายหนึ่งก็คือ เขาเตรียมที่จะสังหารข้าตั้งแต่แรกอยู่แล้ว !”
“ถูกต้อง” อาร์ทิสสูดหายใจเข้าช้า ๆ “วิธีการที่จะถอนคำสาปที่เรียกว่าสะพานนกสาลิกานั้นมีอยู่ทั้งสิ้นสามวิธี วิธีแรกก็คือการร่วมรักกับคู่ครองแห่งโชคชะตา คนที่เจ้าถูกกำหนดมาให้ครองคู่ด้วยเท่านั้น ไม่ใช่ใครก็ได้ที่เจ้าจะแต่งงานด้วย หากพูดอีกนัยหนึ่งก็คือ มันจะต้องเป็นคนที่เหมาะสมกับเจ้ามากที่สุด มันอาจจะมีเพียงคนเพียงคนเดียวหรือหลายคนก็ได้”
“ถ้าเช่นนั้นไม่ใช่ว่าข้าต้อง… นั่นน่ะ…” ฉินเย่เอ่ยอย่างอาย ๆ
“เจ้าคิดว่าควรเองอยู่ในจุดที่ควรจะมานั่งอายกับเรื่องนี้อย่างนั้นหรือ…” อาร์ทิสหัวเราะเสียงเย็น “วิธีที่สองก็คือระงับมันด้วยวัตถุหยิน”
“ต้องเป็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์โดยสมบูรณ์ วัตถุที่ระดับต่ำกว่านี้ไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะท้ายที่สุดแล้ว ขั้นฝู่จวินก็ถือว่าเป็นหนึ่งในตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก โลกใต้พิภพที่มีขนาดเล็กส่วนใหญ่ก็ล้วนถูกปกครองโดยขั้นฝู่จวินทั้งสิ้น เจ้าสามารถพูดได้ว่าความแข็งแกร่งนั้นมีอำนาจเหนือขนบธรรมเนียมประเพณี ซึ่งพวกเขาถูกปกครองโดยพระยมที่อยู่ในขั้นฝู่จวินเท่านั้น ดังนั้นฝู่จวินจึงมีอำนาจมากพอที่จะดึงพลังของวัตถุศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ออกมาได้อย่างเต็มรูปแบบ มีเพียงวัตถุศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นที่จะสามารถระงับและคลายคำสาปนี้ได้”
ดวงตาของฉินเย่เป็นประกายขึ้นมาทันที “สมุดแห่งความเป็นตายเล่า ? เรามีสมุดแห่งความเป็นตายอยู่ในครอบครองไม่ใช่หรือ ?”
อาร์ทิสส่ายหน้าและหัวเราะออกมาอย่างขมขื่น “สมุดแห่งความเป็นตายนั้นทรงพลังจนแม้แต่ขั้นฝู่จวินก็แทบจะไม่สามารถใช้มันได้ และข้าเองก็ไม่สามารถดึงพลังของมันออกมาได้อย่างเต็มรูปแบบ ข้าสามารถใช้งานมันในลักษณะง่าย ๆ เท่านั้น นอกจากนี้ ข้าสามารถใช้มันระงับคำสาปได้แค่เพียงชั่วคราว แต่ไม่สามารถทำลายมันได้”
“ที่บอกว่าระงับ… ท่านหมายความว่าอย่างไร ?” ฉินเย่เอ่ยถามด้วยริมฝีปากที่สั่นเทา
อาร์ทิสจ้องหน้าคนตรงหน้าเขม็ง “ยกตัวอย่างเช่น ข้าสามารถลดความถี่ของผลกระทบของคำสาปจากหนึ่งครั้งต่อวันเป็นหนึ่งครั้งต่อเดือน และแม้ว่าเราจะสามารถลดความรุนแรงของมันลงได้ แต่ข้าขอบอกเลยว่าอย่างมากที่สุดเจ้าก็มีเวลาเพียงแค่ห้าปีเท่านั้น หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ ภายในห้าปี เจ้าจะต้องสร้างฮาเร็มของตัวเอาให้เสร็จ หรือไม่ ตัวข้าก็ต้องบรรลุเป็นขั้นฝู่จวินให้ได้ แต่เจ้าสามารถตัดตัวเลือกอย่างหลังทิ้งไปได้เลยเพราะข้าสัมผัสได้ว่าข้ายังต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อย 30-40 ปีสำหรับเรื่องนั้น”
“ให้ตายเถอะ… ท่านช่วยพยายามให้มากกว่านี้ไม่ได้หรืออย่างไร ?!”
“เจ้าคิดว่านี่เป็นแค่เรื่องของการขยันหรือไม่ขยันอย่างนั้นหรือ ?! เจ้าคิดว่าข้าสามารถทำอะไรได้หากจีนไม่มีสงครามเกิดขึ้น ?!”
ฉินเย่ถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน โชคดี… ที่พวกเขาสามารถระงับผลของมันไปได้อีกห้าปี ไม่เช่นนั้น ฉินเย่คงจะเริ่มคิดที่จะทำการเซ็ปปุกุอย่างจริงจังไปแล้ว เพราะความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นนั้นยากเกินจะต้านทานจริง ๆ
“วิธีที่สาม…” อาร์ทิสเอ่ยต่อช้า ๆ “คือสิ่งที่เจ้าน่าจะสามารถทำได้มากที่สุด”
สายลมพัดผ่าน เส้นผมที่ยุ่งเหยิงปลิวไปตามแรงลมขณะที่นางจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของฉินเย่ “และนั่นคือระบุตำแหน่งของสิ่งที่มีดวงวิญญาณของผู้ที่มีแข็งแกร่งกว่าขั้นฝู่จวินสิงสถิตอยู่ ของสิ่งนั้นสามารถเป็นได้สิ่งที่มีชีวิตหรือไม่มีชีวิตก็ได้ นอกจากนี้ มันไม่สำคัญด้วยว่าวัตถุชิ้นนั้นจะมีอยู่มานานเพียงใดแล้วก็ตาม”
ฉินเย่ถอนหายใจออกมาและกัดฟันแน่นขณะที่เอนตัวพิงเสาที่อยู่ด้านหลังของตน “นี่ท่านกำลังล้อข้าเล่นอยู่หรือไง ?”
“ขั้นฝู่จวินคือตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดของทั้งหยินและหยาง ! แล้วข้าจะไปหาของแบบ–… เดี๋ยวก่อนนะ…”
เขากลับมายืนตัวตรงอีกครั้ง “ยมโลกแห่งเก่า ?!”
“พระตำหนักทั้งสิบของยมโลกแห่งเก่า ! ข้าสามารถหาสิ่งของแบบนั้นจากที่นั่นได้ใช่หรือไม่ ?!”
อาร์ทิสส่ายศีรษะ ทำลายความฝันของฉินเย่เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย “ไม่มีทาง… พระยมแห่งพระตำหนักทั้งสิบได้ขึ้นไปอยู่บนสวรรค์แล้ว พวกเขาเหลือไว้เพียงพวกคราบเทพเจ้าเท่านั้น และตอนนี้พวกมันก็คงจะเต็มไปด้วยแมลงแห่งหายนะไปแล้วด้วย มันไม่มีทางเลยที่จะจัดการพื้นที่เหล่านั้นด้วยกองกำลังทหารของเจ้าในตอนนี้ นอกจากนี้ คราบเทพเจ้าก็เป็นอาหารชั้นดีสำหรับราชาแมลงแห่งหายนะ แม้แต่ข้าก็ไม่สามารถทำอะไรกับมันได้ แล้วจะนับประสาอะไรกับเจ้าและทหารวิญญาณของยมโลกในเวลานี้…”
แววตาของฉินเย่ถูกปกคลุมไปด้วยความสิ้นหวังขณะที่เขาเงยหน้ามองขึ้นไปบนฟ้า “สวรรค์อยากให้ข้าตาย… ข้ารู้ว่าข้าควรจะอยู่แค่ในยมโลกและไม่ออกไปไหนจนกว่าเราจะรวบรวมกองกำลังที่แข็งแกร่งได้ ! ไม่คิดเลยว่าทุกอย่างจะจบลงภายในพริบตาแบบนี้…”
“สงบสติอารมณ์ซะ !” อาร์ทิสตะคอกเสียงดัง “ว่าที่จ้าวนรกของยมโลกจะหมดหวังด้วยเรื่องเพียงแค่นี้ได้อย่างไร ?!”
“ข้าจะตายอยู่แล้ว ! ท่านช่วยให้เวลาข้าในการสงสารตัวเองสักครู่ไม่ได้หรืออย่างไร ?!”
ใจเย็น ๆ ใจเย็น ๆ …ไม่เช่นนั้นนางอาจจะผลักดันอีกฝ่ายจนไปถึงจุดที่ไม่สามารถหวนกลับมาได้… อาร์ทิสประสานมือเข้าด้วยกันและสงบใจลงก่อนจะเอ่ยเสียงเย็นว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าตราสัญลักษณ์ของข้าราชการศักดินานั้นถูกออกโดยผู้ที่มีอำนาจสูงที่สุดในยมโลก ?”
สีหน้าโศกเศร้าของฉินเย่หายไปทันที และเขาก็มีความปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่อีกครั้ง ดวงตาของเด็กหนุ่มเป็นประกายสดใส “อีกความหมายหนึ่งก็คือ… ทั้งหมดที่เขาต้องทำมีเพียงการนำตรามาจากเหล่าข้าราชการศักดินา—…”
แต่อาร์ทิสก็เอ่ยแทรกขึ้นว่า “น่าเสียดาย ตราพวกนี้ถูกพวกข้าราชการศักดินาพวกนั้นพกติดตัวอยู่เสมอ การสูญเสียตราสัญลักษณ์หมายถึงการสูญเสียตำแหน่งในฐานะของข้าราชการศักดินาของยมโลก และพวกเขาก็ต้องเผชิญหน้ากับความโกรธของสวรรค์”
แววตาที่สดใสของฉินเย่จางหายไปอย่างรวดเร็ว
ความโศกเศร้าแผ่ซ่านเขามาในใจของเขาอีกครั้ง
“แต่…”
ฉินเย่เงยหน้าขึ้นมามองขณะที่อาร์ทิสเอ่ยต่อ “พวกเขาไม่ใช่ข้าราชการศักดินาอีกต่อไปแล้ว สัญลักษณ์ดังกล่าวสูญเสียอำนาจของมันทันทีที่ยมโลกเก่าได้ล่มสลายไป พวกเขาไม่ต่างอะไรกับวิญญาณร้าย และวิญญาณร้ายก็ไม่สามารถใช้ตรานี้ได้”
“เฮ้ออ…” ฉินเย่ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งใจ แต่ก่อนที่เขาจะได้เอ่ยอะไรออกมา อาร์ทิสก็เอ่ยต่อ “น่าเสียดาย ตราพวกนี้มีเพียงข้าราชการศักดินาที่มีไฟวิญญาณระดับฝู่จวินเท่านั้นที่จะมีมัน เพราะอย่างไรแล้ว ตราเหล่านั้นก็เคยผ่านมือพระยมมาแล้วทั้งสิ้น…”
ความเศร้าเข้าปกคลุมอีกครั้ง…
หัวใจของฉินเย่จมอยู่กับความสิ้นหวังอีกครั้ง เขาพยายามทำทุกอย่าง แม้กระทั่งวางแผนอย่างพิถีพิถันในทุกขั้นตอนเพื่อให้แน่ใจว่าเขาสามารถเอาชีวิตรอดได้ แต่ทุกอย่างกลับพังทลายลง สรุปแล้วเขาเหลือเวลาอีกแค่ห้าปีสินะ ? จบสิ้นแล้ว… จบแน่ ๆ …ชีวิตนั้นช่างแสนลำบาก
“แต่…”
“ท่านช่วยพูดให้มันจบในคราวเดียวเลยไม่ได้หรือ ?!!!” ฉินเย่แทบจะไม่สามารถข่มความปรารถนาที่จะลุกขึ้นไปตบหน้าของอีกฝ่ายแรง ๆ ได้ น่าเสียดาย แต่เขารู้ดีว่าตัวเองไม่สามารถสู้นางได้ ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงงอตัวเหมือนสุนัขที่กำลังเห่าออกไป
เขาโมโหเป็นอย่างมาก
อาร์ทิสกลอกตา “เจ้าไม่คิดหรือว่าการเล่าเรื่องในลักษณะเช่นนี้มันเป็นศิลปะและน่าตื่นเต้นกว่า ?”
“ศิลปะคือการระเบิด บอกมา ท่านรู้สิ่งใด ?!” ฉินเย่ตะโกนกลับเสียงดัง พยายามข่มความต้องการที่จะฉีกร่างของอาร์ทิสเป็นชิ้น ๆ
ในที่สุด อาร์ทิสก็หุบยิ้มและเอ่ยต่อด้วยความจริงจัง “อย่างไรก็ตาม มันยังมีอีกบุคคลหนึ่งซึ่งพิเศษมาก ๆ มากเสียจนการแต่งตั้งตำแหน่งข้าราชการศักดินาให้เขาจะต้องถูกยกไปพูดถึงในสภาผู้อาวุโสของยมโลก และมันก็ได้รับการอนุมัติหลังจากที่ผ่านการประชุมไปแล้วหลายครั้ง… และตราของเขาก็เคยผ่านมือของพระยมในพระตำหนักที่เก้า ผู้ซึ่งได้ใส่ดวงไฟวิญญาณของตนเข้าไปในตรานี้ สิ่งนี้ถูกทำเอาไว้เพื่อเป็นคำเตือนให้เขาว่าจงอย่าออกนอกลู่นอกทาง”
ดวงตาของฉินเย่ลุกโชนขึ้นขณะที่เขาถามต่อด้วยความสงสัย “หรือว่า… คน ๆ นั้นก็คือ”
“ใช่แล้ว” อาร์ทิสยิ้มบาง “เขาไม่ใช่ผู้ใดอื่นแต่เป็นจักรพรรดิหวู่แห่งซ่ง หลิวอวี้ หรือที่รู้จักกันในชื่อหลิวจี้หนู ชายเพียงคนเดียวในประวัติศาสตร์จีนที่เป็นที่รู้จักกันในชื่อของบุคคลที่อยู่ยงคงกระพัน !!”