ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 337: เกราะพยัคฆา (2)
บทที่ 337: เกราะพยัคฆา (2)
มันคือแบบสอบถาม
นอกจากนี้… คำถามของมันยังค่อนข้างกระจัดกระจายมาก อย่างน้อยที่สุด มันก็ไม่สามารถรวบรวมจุดประสงค์ของแบบสอบถามเหล่านี้ได้เลย
“ข้อที่ 1: วิธีการสื่อสารที่ท่านมักจะใช้คือวิธีใด ? A: ตะโกน B: นกกางเขน C: เฟซบุ๊ก D. วีแชต” หวังเฉิงห่าวยิ้มออกมาขณะที่อ่าน “ข้อที่ 2: ท่านต้องการสื่อความบันเทิงแบบใดในดินแดนของตนเอง ? A: LOL. B: ไพ่นกกระจอก C: นารูโตะ D:…Patty ?”[1]
ฉินเย่ไม่ได้ตอบ เขาเพิ่งเชิดหน้าขึ้นอย่างภาคภูมิใจ หวังเฉิงห่าวยังคงอ่านต่อไปเรื่อยๆ
“แบรนด์เสื้อผ้าและรูปแบบที่ท่านชื่อชอบ: A: สมัยราชวงศ์ถัง B: สมัยราชวงศ์หมิง C: Armani. D: Paul Smith”
“เครื่องประดับที่ท่านชื่นชอบ: A: จี้หยก B: พัดด้ามจิ้ว C: นาฬิกาข้อมือ D: น้ำหอม (ไม่นับรวมกับถุงเครื่องหอม)”
มีคำถามอยู่ทั้งสิ้น 25 คำถาม หวังเฉิงห่าวอ่านคำถามทั้งหมดภายในคราวเดียว จากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นมามองฉินเย่ด้วยความตกตะลึง “นี่ท่าน… ต้องการจะวัดเซนส์ทางแฟชั่นของพวกเขาอย่างนั้นหรือ ?”
“ผิดแล้ว” ฉินเย่เอ่ยด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย “มันมีไว้เพื่อใช้ทดสอบว่าพวกเขา… ตามทันยุคสมัยหรือไม่ !”
“ข้าอยากรู้ว่าข้าราชการศักดินาพวกนั้นยังยึดติดกับยุคสมัยโบราณอยู่หรือไม่ ข้าจะให้หลี่จีสี่นำแบบสอบถามพวกนี้ไปให้กับข้าราชการศักดินาของโลกใต้พิภพต่าง ๆ ข้าไม่เชื่อว่าพวกเขาจะสามารถเข้าใจถึงเจตนาแฝงที่ซ่อนอยู่ได้ มันจะถูกส่งให้กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลั่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แม่ทัพ รวมถึงราชทูตทั้ง 12 เอง ข้ามั่นใจว่าพวกเขาจะต้องยอมทำตามคำขอของข้าในฐานะของจ้าวนรกองค์ใหม่ของยมโลก”
เขาหยิบกองเอกสารกองหนึ่งออกมา “การสอบถามนี้จะใช้เวลาทั้งสิ้นหนึ่งเดือน จากนั้น… เราก็จะได้รู้กันว่าพวกเขาเป็นกษัตริย์แบบใด หากพวกเขายังคงยึดติดอยู่กับยุคสมัยโบราณ พวกเขาก็จะเป็นเหมือนลูกแกะที่เดินเข้าสู่โรงเชือดเมื่อกลับมายังยมโลกเท่านั้น”
พวกเขาจะกลายเป็นอาหารจานหลักในงานเลี้ยงอาหารของยมโลก !
หลังจากที่ออกคำสั่งทุกอย่างเสร็จสิ้น ฉินเย่ก็จมดิ่งอยู่กับกระบวนการวางแผนและเริ่มค้นหาผู้ที่มีความสามารถในด้านการจัดการประมูล มันสามารถพูดได้เลยว่าเขาแอบคิดถึงการทำงานกับหัวหน้าไป๋เล็กน้อย…
เขาอยากรู้จริง ๆ ว่าหัวหน้าไป๋ของโรงประมูลเจียเต๋อจะคิดอย่างไรหากรู้ว่าจ้าวนรกกำลังแอบคิดถึงตนอยู่เงียบ ๆ ในยมโลก…
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว หลังจากผ่านไปสองวัน อาร์ทิสก็กลับมาที่ยมโลกด้วยท่าทางเหน็ดเหนื่อย
“เจ้าควรจะรีบจัดการ” นางนั่งลงประจำที่ของตนขณะเอ่ยต่อ “พวกแมลงแห่งหายนะวางไข่เร็วมาก และจำนวนของพวกมันตอนนี้ก็มีอยู่เต็มไปหมด หากเราไม่รีบ เราอาจจะไม่มีโอกาสที่จะกลับเข้าไปในเมืองหลักได้อีกในภายภาคหน้า”
“แล้วของที่ข้าให้หาเล่า ?” ฉินเย่ถามกลับอย่างเร่งรีบ
อาร์ทิสโบกมือ และถุงเอกภพถุงหนึ่งก็คลายตัวออกกลางอากาศ เผยให้เห็นร่างของแมลงแห่งหายนะที่ตายแล้วสิบตัวและชุดเกราะสีดำหนึ่งชุด
มันเป็นชุดเกราะสีดำสนิท ที่บริเวณอกและไหล่ถูกประดับด้วยสัญลักษณ์หัวเสือ พื้นผิวของเกราะเงาวับและเรียบเนียนเป็นอย่างมาก มันไม่ใช่ชุดเกราะที่ดูดีที่สุด แต่พลังหยินที่แผ่ออกมาจากมันนั้นบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่ามันอยู่ในระดับต้น ๆ อย่างไม่ต้องสงสัย
“อก ไหล่ ข้อมือ และเข่า ทั้งหมดรวมเป็นเจ็ดชิ้น” ฉินเย่ตรวจดูของด้วยสิ่งที่เขาอ่านมาจากม้วนกระดาษที่ได้มาจากค่ายทหารของยมโลกแห่งเก่า น้ำเสียงของเด็กหนุ่มสั่นเทาด้วยความตื่นเต้น “เราสามารถใส่หินวิญญาณเข้าไปในชิ้นส่วนเหล่านี้และเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับทหารวิญญาณที่สวมชุดเกราะเหล่านี้ได้… นอกจากนี้…”
เขาสัมผัสกับที่หัวของเสือที่อยู่บนข้อมือ มันดูแตกต่างจากส่วนอื่น ๆ หัวเสือนี้มีกรามล่างที่ดูเหมือนจะกว้างและนูนกว่าหัวเสืออื่น ๆ ราวกับว่ามันมีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ นอกจากนี้ด้านนอกของมันยังมีร่องรอยมีดปรากฏอยู่ด้านนอกด้วย
เขากดมันลงไปเบา ๆ และใบมีดคมก็ยื่นออกมาจากช่องที่ปากในทันที
“หากพวกเขาสูญเสียอาวุธคู่กายของตนไป พวกเขาก็ยังสามารถรักษาชีวิตของตนเองไว้ได้ด้วยอาวุธลับเหล่านี้” เด็กหนุ่มเอ่ยออกมาด้วยความพอใจเป็นอย่างมาก นี่คือกุญแจที่จะผลักดันยมโลกแห่งใหม่ไปให้สู่ชื่อเสียงในฐานะของผู้ค้าอาวุธชั้นยอด เวทีได้ถูกสร้างขึ้นแล้ว และเขาก็ยินดีอย่างยิ่งที่จะได้เข้าร่วมด้วยตัวเอง แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือพวกเขาจะต้องมีสินค้าชั้นยอดอยู่จริง ๆ
และในกรณีนี้ เกราะพยัคฆานั้นครบถ้วนในเงื่อนไขทั้งหมด ! เขามั่นใจเลยว่ามันจะกลายเป็นหัวใจสำคัญของการประชุมราชสำนักที่กำลังจะมาถึงนี้อย่างแน่นอน !
ดูหมิ่นความทันสมัยอย่างนั้นหรือ ?
เขาจะแสดงให้คนเหล่านี้ได้รับรู้ถึงความน่าสะพรึงกลัวของการค้าในยุคสมัยปัจจุบัน !
“ยังไม่หมดเพียงเท่านั้น…” อาร์ทิสมองดูม้วนกระดาษและอ้าปากค้าง “มันยังส่งเสริมค่ายกลสู้รบอีกด้วย แม้ว่าจะใช้ทหารเพียง 90% ของจำนวนที่ใช้จริง เจ้าก็จะสามารถสร้างค่ายกลสู้รบที่ถูกต้องได้ ?! ของแบบนี้… เจ้าแน่ใจหรือว่าจะขายมันให้กับราชทูตทั้ง 12 ?!”
ฉินเย่ยืดตัวและเลิ่กคิ้วขึ้นเป็นเชิงถาม แล้วทำไมถึงต้องไม่ขายด้วยเล่า ?
“ข้าเกรงว่าเจ้าจะกำลังประเมินศักยภาพของชุดเกราะชุดนี้ต่ำเกินไป…” อาร์ทิสกัดฟันแน่น “ค่ายกลสู้รบ.. .คือหัวใจหลักของความแข็งแกร่งของทหารวิญญาณ มันสามารถทำให้ทหารวิญญาณที่อ่อนแอที่สุดต่อสู้กับขั้นตุลาการนรก หรือแม้แต่ขั้นฝู่จวินได้ ข้อเท็จจริงที่ว่ามันต้องการทหารน้อยลง 10% ในการสร้างค่ายกลหมายความว่า… มันจะมีจำนวนทหารในสนามรบเพิ่มมากขึ้น ! เจ้านึกภาพออกหรือไม่ว่ามันจะส่งผลกับการต่อสู้ที่พวกเขาเข้าร่วมมากเพียงใด ?!”
อย่างนั้นหรือ… ฉินเย่ลูบไล้เกราะพยัคฆาอย่างแผ่วเบาราวกับสัมผัสคนรักขณะที่เอ่ยว่า “เช่นนั้น… มันก็ยิ่งเหมาะกับจุดประสงค์ของข้ามากขึ้นไปอีก ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ทำไมข้าถึงไม่ควรเรียกมันว่า… ผู้ทำลายความมั่งคั่งกันเล่า ?”
“เจ้า…”
“เหตุใดท่านจึงเป็นกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้นัก ?” ฉินเย่หยิบผ้าผืนเล็กออกมาและเช็ดมือของตัวเอง “ข้าขอถามอะไรท่านอย่าง ข้าราชการศักดินาเหล่านี้สามารถดึงกองกำลังทหารล้านนายออกมารบได้หรือไม่ ?”
อาร์ทิสชะงักไป
ข้าราชการศักดินาเหล่านั้นไม่สามารถทำได้อย่างแน่นอน
“มีสิ่งใดให้ต้องกลัวในเมื่อนี่มันไม่มีความเป็นไปได้ด้วยซ้ำ ? ยมโลกแห่งใหม่ไม่เหมือนกับโลกใต้พิภพของฮันยาง พวกเขามีประวัติศาสตร์นับร้อยปีหนุนหลัง ในขณะที่เรากำลังยุ่งอยู่กับการจัดการอะไรหลาย ๆ อย่าง …ทหาร 1 ล้านนายน่ะหรือ ?”
เขาอ้าปากหาว “มันยังเร็วเกินไปที่จะพูดถึงเรื่องพวกนี้”
จากนั้นสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป และเขาก็เอ่ยกับอาร์ทิสด้วยเสียงฮึดฮัดเล็กน้อย “จะว่าไป ท่านไม่เห็นสิ่งอื่นตอนที่กลับไปที่กำแพงเมืองเลยอย่างนั้นหรือ ? ทำไมจึงไม่นำมันกลับมาด้วย ? นี่ท่านทำตามคำสั่งโดยไม่มีความคิดต่อยอดอะไรเลยหรือ ?! แล้วแบบนี้ท่านจะสามารถเข้าใจในระบบสังคมนิยมได้อย่างไร ?”
อาร์ทิสนิ่งไป “สิ่งอื่น ?”
ฉินเย่พึมพำ “อย่าบอกข้านะว่าท่านไม่เห็นพวกหน้าไม้อะไรบ้างเลย…”
อาร์ทิสยังคงนิ่งอยู่อีกประมาณสิบนาทีก่อนจะรีบพุ่งออกไปด้วยความโกรธ
เจ้ามันเป็นคนแบบใดกัน ?!
……
ณ โลกใต้พิภพของฮันยาง
ท้องฟ้าในเวลานี้ถูกปกคลุมด้วยความมืด และลูกไฟนรกก็ลอยไปมาในอากาศ กำแพงเมืองที่สูงกว่า 20 เมตรถูกปกคลุมด้วยกองกำลังทหารจำนวนมาก หอคอยหน้าไม้ตั้งตระหง่านอย่างยิ่งใหญ่ที่จุดสูงสุดของกำแพง แผ่รัศมีที่เย็นยะเยือกและยิ่งใหญ่ออกมา ในขณะที่ทหารวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนเดินลาดตระเวนไปตามแนวกำแพง ด้านในของกำแพง ทุกอย่างดูคึกคักและรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก
เพราะไม่ว่าอย่างไรแล้ว มันก็เป็นเวลากว่าหลายร้อยปีแล้วที่โลกใต้พิภพของฮันยางได้กลายเป็นรัฐบริวารของยมโลกแห่งเก่า
ความรุ่งโรจน์ของพวกเขาไม่ใช่ความสำเร็จที่น่าโอ้อวดอะไร
หากเดินเข้ามาทางประตูหลักของโลกใต้พิภพ คุณจะพบว่าทั้งสองฝั่งถูกเรียงรายไปด้วยสถาปัตยกรรมในสมัยของราชวงศ์ฮั่น ผสมผสานไปกับวัดในศาสนาพุทธจำนวนนับไม่ถ้วน ทุกอาคารเผยให้เห็นถึงความสัมพันธ์กับพระพุทธศาสนาได้เป็นอย่างดี ผู้คนที่อาศัยอยู่ดูเหมือนจะเต็มไปด้วยความสงบสุข
ตลาดนัดถูกตั้งอยู่ตามท้องถนนของเขตที่อยู่อาศัย ทุกอย่างดูเหมือนกับแผ่นดินจีนในสมัยราชวงศ์เหนือ-ใต้ แต่สิ่งที่น่าตื่นตาตื่นใจมากที่สุดก็คือพระราชวังสีดำสนิทที่ตั้งอยู่ ณ ใจกลางของโลกใต้พิภพของฮันยาง
และมันก็คือพระราชวังของหลิวอวี้
เวลานี้เขากำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์ของตนเอง โถงพระราชวังสะท้อนให้เห็นสถาปัตยกรรมในสมัยราชวงศ์เหนือ-ใต้ ผสมผสานไปกับอิทธิพลจากราชวงศ์ฮั่น สีส่วนใหญ่ที่ใช้คือสีดำและสีขาว สร้างบรรยากาศที่เคร่งขรึมให้กับตัวสถานที่ สีแดงเข้มตามปกติที่ขับเน้นสีทองนั้นไม่มีให้เห็นเลยแม้แต่น้อย
นอกจากนี้ คนทั้งหมดยังนั่นในลักษณ์ที่คุกเข่าลงกับพื้น
โถงขนาดใหญ่เต็มไปด้วยผู้คนนับสิบ และหนึ่งในนั้นก็คือหลี่จีสี่ หลิวอวี้สวมมงกุฎสีดำและเสื้อคลุมยาวสีดำปักมังกรทองห้าตัว เขายกถ้วยทองสัมฤทธิ์ในมือของตนขณะที่เอ่ยว่า “เชิญ”
คนทั้งหมดดื่มของเหลวในแก้วของพวกเขาพร้อมกัน
“ท่านจ้าวนรกหมายความว่าอย่างไรกัน ?” เขาวางแก้วลงและหยิบแผ่นกระดาษขึ้นมาด้วยแววตาสงสัย “พวกเราล้วนต้องปฏิบัติตามพระราชกฤษฎีกาอยู่แล้ว แต่เป้าประสงค์ของแบบสำรวจนี้คืออะไรกัน ?”
“ตัวข้าเองก็มิอาจทราบได้ แต่มันน่าจะเป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับงานอดิเรกและความสนใจของพระองค์” หลี่จีสี่ไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับเนื้อหาในการประชุมครั้งล่าสุดเลยแม้แต่น้อย เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยเสริม “แต่ครั้งหนึ่งท่านฉินเคยเอ่ยเอาไว้ว่าทางยมโลกจะเตรียมของขวัญไว้ให้กับรัฐบริวารแต่ละแห่งโดยอิงจากคำตอบของแบบสอบถามนี้”
“หึหึ…” เปลวไฟสีทองในดวงตาของหลิวอวี้วูบไหวเล็กน้อยก่อนจะหัวเราะเย้ยหยันออกมา “ยมโลกจะเตรียมของขวัญสำหรับการกลับไปของพวกเราได้อย่างไรด้วยสภาพที่ทรุดโทรมในตอนนี้ ?”
หลี่จีสี่ยังคงเงียบ เพราะอย่างไรแล้วเขาก็เพิ่งมาอยู่ในยมโลก และเขาก็ยังไม่ได้มีความรู้สึกของการเป็นส่วนหนึ่งของมันเท่าไหร่นัก
นอกจากนี้ เขาไม่รู้ด้วยว่าฉินเย่กำลังคิดอะไรอยู่ และนั่นทำให้เขาไม่รู้เลยว่าตัวเองควรพูดหรือไม่ควรพูดอะไรออกไป
หลิวอวี้สะบัดแขนเสื้อ หยิบแก้วไวน์สัมฤทธิ์ขึ้นมาและถามอย่างไม่ใส่ในนัก “ราชทูตแห่งยมโลกเอ๋ย เจ้าคิดว่าโลกใต้พิภพของฮันยางนั้นเป็นเช่นไร ? เทียบกับโลกใต้พิภพของเจ้าเหนือหัวของเจ้าได้หรือไม่?”
“ที่นี่สวยงามมาก” หลี่จีสี่ตอบคามความจริง “แต่แม้ว่าจะเพิ่งถูกสร้างขึ้นมาใหม่ ยมโลกก็ยังคงเป็นโลกใต้พิภพดั้งเดิมของแผ่นดินจีน นอกจากนี้ ข้าเชื่ออย่างยิ่งว่าความรุ่งโรจน์และความเจริญเติบโตของยมโลกในเวลานี้นั้นอยู่เหนือความคาดหมายของท่านหลิวอย่างแน่นอน”
หลิวอวี้ลุกยืนขึ้นพร้อมกับแก้วสัมฤทธิ์ในมือและแย้มยิ้มบาง แผ่รัศมีอันรุ่งโรจน์และยิ่งใหญ่ออกมาจากร่าง “เจ้ารู้หรือไม่ว่ามีนักกวีจำนวนมากเพียงใดที่พูดถึงการครองราชย์ของข้าในสมัยราชวงศ์เหนือ-ใต้ ? ดินแดนของข้านั้นยิ่งใหญ่ไม่เป็นสองรองใคร แม้แต่ในหมู่รัฐบริวารที่ตกอยู่ภายใต้การปกครองของยมโลก ราชทูตหลี่ เหตุใดเจ้าจึงไม่มาทำงานให้กับข้าแทนเล่า ? มันน่าจะดีกว่าหมู่บ้านเล็ก ๆ อย่างที่ยมโลกเป็นอยู่ในตอนนี้มิใช่หรือ ?”
หลี่จีสี่ยิ้มออกมาอย่างขมขื่น
หากพูดกันตามความจริง มันไม่สำคัญเลยว่าเขาจะทำงานที่ใด เพราะอย่างไรแล้ว ฉินเย่แทบจะแต่งตั้งให้เขาเป็นยมทูตขั้นนักล่าวิญญาณของยมโลกในทันทีที่มาถึงยมโลก และเขาก็รู้ดีว่าการแต่งตั้งนี้ไม่ใช่การยกย่องเขาแต่อย่างใด กลับกัน มันแสดงให้เห็นถึงขอบเขตความไม่ไว้วางใจที่ฉินเย่มีต่อเขา ดังนั้นอีกฝ่ายจึงเลือกที่จะผูกมัดเขาไว้ด้วยฐานะของยมทูตแห่งยมโลก
หลังจากดื่มไวน์ในแก้วของตนเสร็จ เขาก็ลุกขึ้นยืนและโค้งคำนับ “ท่านหลิวยังมีอีกหลายสิ่งที่ต้องทำ ดังนั้นข้าไม่ขอรบกวนเวลาอันมีค่าของท่านไปมากกว่านี้จะดีกว่า ข้าขอตัวลา…”
หลิวอวี้มองดูอีกฝ่ายจากไปอย่างเงียบ ๆ อันที่จริง ทั้งโถงพระราชวังนั้นถูกปกคลุมด้วยความเงียบ หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็หัวเราะออกมาและเขวี้ยงแก้วสัมฤทธิ์ลงกับพื้น “อวดดี”
“ข้าเองก็ได้สร้างความรุ่งโรจน์ของโลกใต้พิภพแห่งนี้มาตั้งแต่ครั้งที่มันยังมีขนาดเล็กกว่าหมู่บ้านเช่นกัน แม้ว่าข้าจะไม่เคยไปที่ยมโลกแห่งใหม่มาก่อน… แต่มันจะเจริญรุ่งเรืองได้สักเพียงใดกัน ? มีสิ่งใดบ้างที่ข้าไม่สามารถมอบให้เขาได้ ? เหตุใดจึงยึดถือในคำพูดและสัญญาลม ๆ แล้ง ๆ ของเจ้าเด็กเหลือขอนั่น ?”
“ข้าเสนอทางเลือกให้เขา แต่เขากลับปฏิเสธมัน ช่างอวดดีเสียจริง !!”
นายพลผู้หนึ่งลุกขึ้นและประสานมือก่อนจะโค้งคำนับ “ข้าควร…”
“ไม่ต้อง” หลิวอวี้มองอีกฝ่ายด้วยแววตาดุดัน “ไม่ว่าอย่างไรเขาก็คือราชทูตแห่งยมโลก การประชุมราชสำนักยังไม่ถูกจัดขึ้น ดังนั้นการกระทำเหล่านั้นอาจถือว่าเป็นการก่อกบฏได้ ! อวี๋เชียนและหยางจีเย่ยังคงจับตาดูการกระทำของข้าอย่างหวาดระแวงราวกับต้องการปกป้องลูกแกะจากหมาป่า ดังนั้นเราจึงไม่ควรเอิกเกริกมากเกินไป”
เขาโบกมือ และแบบสอบถามก็ลอยเข้ามาอยู่ในมือ “ส่วนสิ่งนี้… ข้าอยากรู้จริง ๆ ว่าเจ้าเด็กนั่นพยายามจะใช้กลอุบายอะไรอีก ?”
“ฝ่าบาท นี่เป็นเพียงกระดาษธรรมดาเท่านั้น พวกเราได้ตรวจสอบและยืนยันแล้วว่ามันไม่ได้ซ่อนศาสตร์แห่งนรกใด ๆ เอาไว้ อีกฝ่ายต้องการสิ่งใดกันแน่ ?”
“และมันก็ไม่ใช่พระราชกฤษฎีกาด้วย ราชทูตตนนั้นบอกว่าทางยมโลกต้องการจะเตรียมของขวัญสำหรับการกลับไปโดยอิงจากคำตอบในแบบสอบถามนี้ ไม่ว่าข้าจะมองอย่างไร ยมโลกก็ยังหวาดกลัวเราอยู่”
“ใช่แล้ว… ข้าได้ยินมาว่าเขาเชิญราชทูตทั้ง 12 กลับไปที่ยมโลกในสิ้นปีนี้ และนี่ก็เป็นการติดต่อกลับครั้งแรกหลังจากที่ยมโลกเงียบหายไปกว่าร้อยปี เขาจะไม่หวาดกลัวต่อสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นได้อย่างไร ?”
“ข้ายังได้ยินมาอีกว่าจ้าวนรกองค์ใหม่ของยมโลกนั้นดูไม่ต่างอะไรกับเด็กวัยรุ่นทั่วไปเลยแม้แต่น้อย ฮ่า ๆๆ …จ้าวนรกองค์ที่สองได้ขึ้นครองราชย์ก็เพราะว่าความแข็งแกร่งของเขา ตำแหน่งที่สำคัญเช่นนี้จะต้องถูกครอบครองโดยผู้ที่มีความสามารถมากเพียงพอเท่านั้น ดังนั้นท่านหลิวจะยอมให้เจ้าเด็กเหลือขอนี่ปกครองเหนือรัฐบริวารของพระองค์ได้อย่างไร ?”
เกิดเสียงถกเถียงกันดังขึ้นภายในโถงขนาดใหญ่ หลินอวี้ที่ได้ยินเช่นนั้นเพียงส่ายศีรษะ “ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม พระราชกฤษฎีกาได้ถูกส่งมาแล้ว เราไม่มีทางเลือกนอกจากปฏิบัติตาม หลี่อันกั๋ว !”
“ฝ่าบาท”
“ในอีกหนึ่งเดือนครึ่ง จงเตรียมกองกำลังทหารฝีมือดี 3,000 นายและติดตามข้าไปยังยมโลกแห่งใหม่ !” ประกายเย็นยะเยือกฉายขึ้นมาจากส่วนลึกของแววตาของเขา “เราจะไปพบเจ้าเหนือหัวของพวกลิงเหล่านี้กัน”
“รับทราบพ่ะย่ะค่ะ !”
เขาหันไปสั่งคนอื่นๆ และไม่นานนายพลทั้งหมดก็เดินออกไปจากห้องโถง ตอนนี้จึงเหลือเพียงหลิวอวี้ผู้เดียวเท่านั้นที่นั่งอยู่ภายในห้อง เขาหยิบปากกาขึ้นมา หลี่ตาลง และเริ่มกรอกแบบสอบถามอย่างช้า ๆ
“มีแต่เด็กเท่านั้นที่ใช้กลอุบายเช่นนี้ แม้ว่าข้าจะไม่รู้ว่าเจ้ากำลังพยายามเล่นอะไร แต่… ข้าจะยอมเล่นมันกับเจ้าก็แล้วกัน…”
“เพราะอย่างไรแล้ว บางครั้ง แม้แต่เสือที่ดุร้ายก็ยังต้องมอบความเมตตาต่อลิง…”
[1] Patty ในที่นี้น่าจะหมายถึงโหวเพ่ยเฉิน หรือ Patty Hou อดีตผู้ประกาศข่าวของไต้หวันที่โด่งดังและเป็นที่รู้จักในเรื่องของความงาม