ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 341: การมาถึงของข้าราชการศักดินา
บทที่ 341: การมาถึงของข้าราชการศักดินา
ยมโลกในเวลานี้เต็มไปด้วยความร้อนแรง
มันเห็นได้ชัดเลยว่าทุกอย่างถูกเตรียมการไว้หมดแล้ว ยิ่งเข้าใกล้วันกำหนดการมากขึ้นเท่าใด เหล่าข้าราชการทั้งหมดก็ยิ่งตกอยู่ในสภาวะตึงเครียดมากขึ้นเท่านั้น เพราะอย่างไรแล้ว มันก็มีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่รู้ว่าในปลายปีนี้พวกตนจะต้องเผชิญหน้ากับสิ่งใด
ยมโลกแห่งใหม่เพิ่งถูกก่อตั้งขึ้น แต่พวกเขากลับถูกจับตามองจากสายตาอันเฉียบคมของราชทูตทั้ง 12 ที่อยู่ล้อมรอบ… พระราชกฤษฎีกาที่เชิญคนทั้งหมดกลับมายังเมืองหลวงได้ถูกแจกจ่ายไปแล้ว เหล่าประชากรวิญญาณต่างดีใจเป็นอย่างมาก เพราะไม่ว่าอย่างไร ชาวจีนทุกคนก็มักจะรู้สึกเบิกบานใจกับงานเฉลิมฉลองและความตื่นเต้นเหล่านี้อยู่แล้ว มันคือสิ่งที่ถูกสลักไว้ในส่วนลึกของกระดูกของพวกเขา ดังนั้นเมื่อรายชื่อของราชทูตทั้ง 12 ถูกประกาศออกมา คนทั้งหมดก็อดไม่ได้ที่จะอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง
“จิวยี่… หยางจีเย่.. อวี๋เชียน ! ล้อกันเล่นหรือเปล่า ? นี่เรื่องจริงอย่างนั้นหรือ ?”
“พระเจ้า… ราชทูตทั้ง 12 ต่างเป็นบุคคลผู้มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์จีน…”
“ให้ตายเถอะ… พวกเขายังอยู่อย่างนั้นหรือ ?! พวกเขายังอยู่ !! ไม่น่าเชื่อ !”
“ฮ่า ๆๆ แต่ไม่ว่าพวกเขาจะเก่งกาจสักเพียงไหน พวกเขาก็ยังต้องตอบรับคำเรียกตัวของยมโลกไม่ใช่หรือ ? เพราะพวกเรายังคงเป็นเจ้าแห่งดินแดน !”
ตรงกันข้ามกับความตื่นเต้นภายในใจของประชาชน โนบูนางะได้ฝึกฝนกองกำลังของเขาทั้งกลางวันและกลางคืน ตั้งแต่เมื่อห้าเดือนที่แล้ว กองพันทหารที่หนึ่งแห่งยมโลกได้เข้าสู่การจัดการทางทหารอย่างเต็มรูปแบบ และไม่มีผู้ใดได้รับอนุญาตให้เข้าหรือออกจากค่ายทั้งนั้น ดังนั้นมันจึงไม่มีผู้ใดรู้เลยว่ายมโลกกำลังเป็นเช่นไร หรือว่ากำลังมุ่งหน้าไปยังทิศทางไหน
“ฮ่า !!!” ทหารทั้งหมดตะโกนออกมาอย่างพร้อมเพรียง พวกเขากำลังอยู่ที่ใต้ต้นไม้เงินของยมโลก และการดำรงอยู่ของพวกเขาในพื้นที่แห่งนี้ก็ทำให้พวกเขาสามารถทำหน้าที่คุ้มกันโรงพิมพ์ธนบัตรกลางของยมโลกของยมโลกได้ด้วยเช่นกัน ระยะเวลาเพียงไม่กี่เดือนนั้นไม่เพียงพอที่จะเปลี่ยนให้พวกเขาเป็นกองกำลังชั้นยอดได้ แต่ถึงกระนั้น พวกเขาก็พัฒนามามากจากตอนที่เพิ่งเกณฑ์เข้ามา
ด้านหน้าของค่ายทหารมีเวทีที่ถูก 50 เมตรตั้งอยู่ โนบูนางะนั่งอยู่บนเวทีในชุดเกราะของเขา ถือธงผืนเล็กอยู่ในมือ ในทุกครั้งที่ผืนธงขยับ ทหารวิญญาณที่อยู่ด้านล่างจะเปลี่ยนท่วงท่าของพวกเขาไปสู่กระบวนท่าต่อไป ผู้คุ้มกันส่วนตัวของโนบูนางะและเหล่าทหารม้าจะเดินดูตามแถวพร้อมกับแส้ไฟในมือ และผู้ใดก็ตามที่ถูกจับได้ว่าทำตัวขี้เกียจก็จะถูก ‘ตักเตือนอย่างอ่อนโยน’ ด้วยการเฆี่ยนเบา ๆ
“ใส่แรงเข้าไปอีก ! พวกเจ้าไม่ได้กินข้าว–… ข้าหมายถึง แรงใจของพวกเจ้าหายไปที่ใดหมด !”
“หลังจากฝึกฝนมาเป็นเวลานานขนาดนี้ยังมีท่าทีอ่อนปวกเปียกแบบนี้ได้อย่างไร ? เจ้ามันไร้ประโยชน์ที่สุด !”
“หากพวกเจ้ายังทำตัวน่าสมเพชเช่นนี้ต่อไป สุดท้ายเจ้าก็มีแต่จะตายในสนามรบเท่านั้น!”
เนื่องจากอยู่ที่นี่มาเกือบครึ่งปี นักรบญี่ปุ่นทั้งหมดจึงเริ่มพูดภาษาท้องถิ่นได้ดีขึ้นเรื่อย ๆ
โนบูนางะโบกธงในมือของตนอีกครั้ง แต่ทันใดนั้นเอง กลุ่มก้อนพลังหยินก็พุ่งออกมาจากฟ้าราวกับลูกธนูและตรงมาที่ไหล่ของเขา
มันคือนกที่ก่อตัวขึ้นจากพลังหยิน
นกส่งสาร
นี่คือวิธีการติดต่อสื่อสารที่มักจะพบเห็นในยมโลก ผู้ที่อยู่ขั้นตุลาการนรกขึ้นไปจะมีความสามารถในการมองเห็นนกส่งสารเหล่านี้ ยิ่งกว่านั้น จากเปลวไฟนรกที่ติดอยู่ ผู้รับจะสามารถรู้ได้ทันทีว่าผู้ส่งคือใคร
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ในยมโลกตอนนี้มีเพียงอาร์ทิสผู้เดียวเท่านั้นที่มีความสามารถในการส่งนกส่งสารเหล่านี้
หัวใจของโนบูนางะเต้นแรงขึ้นและเขาก็รีบยกมือส่งสัญญาณให้คนทั้งหมดทันที “พักครึ่งชั่วโมง มุไรคุง โนบูทาดะ มานี่เดี๋ยว”
เมื่อมุไรซาดาคัตสึและโนบูนางะมาถึงที่เวทีหลัก ทั้งคู่ก็สังเกตเห็นนกสื่อสารที่เกาะอยู่ที่ปลายนิ้วของโนบูนางะ ในขณะที่เจ้าตัวเอ่ยขึ้นว่า “พวกเขามาแล้ว”
พวกเขามาแล้ว… ประโยคที่สั้นและกระชับ แต่กลับทำให้มุไรซาดาคัตสึและโนบูทาดะขนลุกชัน !
มาแล้ว… พวกเขามาแล้ว ! ในที่สุด !
ราชทูตทั้ง 12 ที่ยมโลกแห่งเก่าได้มอบหมายให้ไปประจำการในต่างแดน… ในที่สุดก็เดินทางกลับมาที่ยมโลกแห่งใหม่แล้ว !
ญี่ปุ่นนั้นตั้งอยู่ใกล้กับจีนมาก และชื่อของเหล่าเทพแห่งสงครามผู้โด่งดังเหล่านี้เป็นเหมือนกับตำนานสำหรับพวกเขา ไม่คิดเลยว่าในที่สุดก็จะได้เผชิญหน้ากันอย่างตรงไปตรงมา
แค่ความคิดที่ผลุดขึ้นมานี้ก็ทำให้พวกเขาตื่นเต้นจนแทบจะไม่สามารถควบคุมตัวได้
“ท่านพ่อ !” โนบูทาดะประสานกำปั้นและโค้งคำนับอย่างเคารพ เปลวไฟภายในดวงตาของเขาลุกโชนขึ้น “ท่านฉินสั่งการมาว่าอย่างไร ? พวกเราจะต้องรบกับพวกเขาหรือไม่ ? หากเป็นเช่นนั้น… โปรดส่งข้าไปด้วยเถิด !”
“อวดดี !” โนบูนางะทุบโต๊ะอย่างแรงและเอ่ยต่อด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ทหารของเรายังไม่เคยรบจริงเลยแม้แต่ครั้งเดียว แต่เจ้ากลับแนะนำให้พวกเขาไปสู้กับเทพแห่งสงครามผู้มีชื่อเสียงเหล่านั้นน่ะหรือ ? นี่เจ้ากำลังพยายามทำให้ยมโลกตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากหรืออย่างไร ?”
“อย่างไรก็ตาม เจ้าไม่จำเป็นต้องเป็นกังวล ท่านฉินได้สั่งให้ทหารทั้งหมดลาดตระเวนพื้นที่ทั้งหมดโดยไม่ต้องให้ความสนใจกับราชทูตทั้ง 12 เจ้ารู้หรือไม่ว่านั่นหมายความว่าอย่างไร ? หากเราให้ความสนใจกับพวกเขามากจนเกินไป มันจะดูเหมือนว่าพวกเราขาดความมั่นใจเมื่อต้องเผชิญหน้ากับพวกเขา ฟังให้ดี… เรายังมีโอกาสอีกมากมายที่จะได้ปะทะกับพวกเขาในอนาคต”
เมื่อเอ่ยจบ โนบูทาดะและมุไรซาดาคัตสึก็จากไปเพื่อกระจายชุดคำสั่งล่าสุด โนบูนางะสูดหายใจเข้าช้า ๆ จัดเสื้อผ้าของตนให้เรียบร้อย จากนั้นจึงกลายร่างเป็นกลุ่มก้อนพลังหยินที่พุ่งตรงไปที่ประตูนรกอย่างรวดเร็ว
เมื่อเขามาถึง ฉินเย่ กู่ชิง อาร์ทิส และซูตงเซวี่ยต่างก็ยืนรออยู่ก่อนแล้ว เขาโค้งคำนับฉินเย่และเอ่ยถามทันที “นายท่าน สถานการณ์ที่นี่เป็นเช่นไรบ้าง ?”
อาร์ทิสยกมือขึ้น คนทั้งหมดพลันหายตัวไปจากบริเวณนั้นก่อนที่พวกเขาจะปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งบนหลังคา
กระจกแห่งกรรมที่ถูกแขวนอยู่ที่จุดสูงสุดของประตูนรกได้ตื่นขึ้นแล้ว และกลุ่มก้อนพลังหยินก็เริ่มก่อตัวขึ้นที่ผิวหน้ากระจก ทันทีที่มันเห็นคนทั้งหมดปรากฏตัวขึ้น กระจกโบราณก็เอ่ยขึ้นว่า “ข่าวจากนกส่งสารรายงานว่าราชทูตทั้ง 12 ได้ข้ามอาณาเขตของราชาผีและเข้ามาถึงที่ราบตอนกลางของจีนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พวกเขาน่าจะเดินทางมาถึงเมืองเป่าอันในอีกไม่เกินสิบชั่วโมง”
ไม่มีผู้ใดเอ่ยอะไรออกมา
พวกเขาไม่สามารถอธิบายความรู้สึกภายในใจของตัวเองตอนนี้ได้เลยแม้แต่น้อย การเตรียมการตลอดครึ่งปีของพวกเขากำลังจะมาถึงจุดสูงสุด มันคงจะเป็นการโกหกหากจะบอกว่าพวกเขาไม่รู้สึกกังวลเลย
เพราะไม่ว่าอย่างไรแล้ว เทพแห่งสงครามพวกนี้ก็คือเหล่ายอดฝีมือในอดีตทั้งสิ้น !
คนทั้งหมดหันไปมองฉินเย่ และพวกเขาก็ต้องพบว่าใบหน้าของเด็กหนุ่มในเวลานี้นั้นเคร่งขรึมอย่างเห็นได้ชัด หลังจากผ่านไปสักพักใหญ่ ในที่สุดเขาก็เอ่ยออกมา “พวกเราได้เตรียมการทุกอย่างเท่าที่เราสามารถทำได้แล้ว ทุกท่าน จงประจำอยู่ที่ตำแหน่งของตัวเอง และทำในสิ่งที่ตนต้องทำ ข้าเคยบอกไปหลายครั้งแล้ว แต่ความสำคัญของการประชุมในครั้งนี้ทำให้ข้าต้องเอ่ยย้ำมันอีกครั้ง”
เขาหันไปมองคนทั้งหมด “นี่คือการสร้างความสัมพันธ์ทางการทูตครั้งแรกของยมโลกแห่งใหม่”
“พวกเราจะเปิดพรมแดนของตัวเองและส่งเสียงให้โลกทั้งใบได้ยินเป็นครั้งแรก หากผู้ใดทำพลาด เช่นนั้นก็จงอย่าโทษข้าที่จะหันหลังให้ก็แล้วกัน”
“รับทราบ !!” คนทั้งหมด รวมถึงอาร์ทิส เอ่ยตอบออกมาอย่างกระตือรือร้น
“ในเก้าชั่วโมงนี้ ข้าต้องการให้ถนนสายหลักปราศจากผู้คนและเตรียมพร้อมสำหรับการมือถึงของพวกเขา กองพิธีการเตรียมตัวให้พร้อมอยู่ตลอดเวลา เอาล่ะ แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตัวเองได้แล้ว” ฉินเย่โบกมือ “ข้าจะรออยู่ที่นี่ ราชทูตทั้ง 12 จะเดินทางเข้ามายังดินแดนของเราเป็นครั้งแรก… ข้าจะยอมพลาดโอกาสในการได้เห็นภาพที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ไปได้อย่างไร ?”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น คนทั้งหมดก็เปลี่ยนร่างเป็นกลุ่มก้อนพลังหยินและแยกย้ายไปทำหน้าที่ของตน ในขณะที่อีกด้านหนึ่ง ฉินเย่เพียงนั่งลงบนหลังคา หรี่ตามองท้องฟ้าที่ดำมืดตรงหน้า
บรรยากาศที่แสนตึงเครียด
ท้องฟ้าตรงหน้าแสดงให้เห็นถึงความสงบก่อนที่จะเกิดพายุขึ้น นี่เป็นครั้งแรกที่ท้องฟ้าเหนือศีรษะของเขาเจือไปด้วยสีแดง แทบจะเหมือนกับกระแสเลือดที่สาดซัดเข้ามาในยมโลกแห่งใหม่จากทุกทิศทางไม่มีผิด โดยปกติแล้วท้องฟ้าของยมโลกจะเต็มไปด้วยเปลวไฟนรกสีแดง เขียวและขาวล่องลอยกระจัดกระจายไปทั่ว แต่วันนี้กลับมีเพียงดวงไฟสีขาวบริสุทธิ์เท่านั้นที่ยังคงลอยไปรอบ ๆ หลุมอุโมงค์น้ำวนของก้อนเมฆบนท้องฟ้า
เหล่าวิญญาณที่อยู่ด้านล่างเริ่มสังเกตเห็นปรากฏการณ์ที่น่าเหลือเชื่อ บางส่วนเริ่มชี้ไปที่ท้องฟ้า กระซิบกระซาบกัน ก่อนจะถูกเหล่าเจ้าหน้าที่เอ่ยเตือนให้ทำงานต่อเบา ๆ
ฟิ้ว~… สายลมแปลกประหลาดที่ไม่มีที่มาที่ไปพัดผ่านร่างของฉินเย่ ส่งผลให้เสื้อคลุมของเขาสะบัดไปมาอย่างบ้าคลั่ง
สาเหตุที่บอกว่าแปลกประหลาดเป็นเพราะมันพัดมาจากทุกทิศทาง หมิงชีหยินรีบอธิบาย “นี่คือสัญญาณว่าอุโมงค์สู่ยมโลกได้ถูกเปิดแล้ว และแขกของเราก็กำลังเดินทางมาอย่างรวดเร็ว”
มันเอียงหน้าขึ้นราวกับกำลังมองขึ้นไปบนฟ้า “โลกใต้พิภพทุกแห่งล้วนมีสีของตัวเอง หลังจากนี้เจ้าจะเข้าใจว่าข้าหมายความว่าอย่างไร เจ้าจะสามารถแยกแยะโลกใต้พิภพของพวกเขาได้จากสีของพลังหยินที่แตกต่างกัน ยกตัวอย่างเช่น สีแดงบนท้องฟ้าในตอนนี้บ่งบอกถึงการเข้ามาใกล้ของวิญญาณร้าย หรือระดับตุลาการนรกนั่นเอง และมันก็เป็นเพราะว่าพวกเขากำลังมุ่งหน้าเข้ามาจากทุกทิศทาง จึงทำให้ที่กระแสน้ำวนได้ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า”
ฉินเย่ไม่ได้ตั้งใจฟังนัก เขากำลังนึกถึงคำพูดที่ตนได้เตรียมไว้สำหรับการประชุมราชสำนักที่กำลังจะมาถึง ทั้งสิ่งที่เขาจะต้องพูดและพูดเมื่อไหร่ ตนควรเริ่มเจรจาเมื่อใดและควรจะเปิดตัวยุทธภัณฑ์เมื่อไหร่ ถึงแม้ว่ามันจะได้ผ่านการจำลองมาแล้วในหัวหลายต่อหลายครั้ง แต่เขาก็ยังรู้สึกว่ามันยังไม่เพียงพออยู่ดี
ผู้ที่กำลังมาเหล่านี้ไม่ใช่พวกชั้นต่ำอย่างเชาโยวเต๋า พวกเขาคือข้าราชการศักดินา ! ผู้ที่ควบคุมกฎเกณฑ์และความเป็นระเบียบเรียบร้อยของรัฐบริวารมาเป็นเวลาสักพักใหญ่ ! มันจะเป็นการดีกว่าที่จะไม่ประมาท !
หมิงชีหยินยังคงพูดต่อไปเรื่อย ๆ และมันก็ยังเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาของฉินเย่เช่นเดิม เด็กหนุ่มยังคงจ้องไปยังท้องฟ้าที่อยู่ห่างออกไป จากนั้น หลังจากผ่านเวลาไปพักใหญ่ เสียงฆ้องก็ดังขึ้น เรียกเด็กหนุ่มให้กลับออกมาจากภวังค์ของตน
ตึ่ง ตึ่ง ตึ่ง… ถนนสายหลังของยมโลก เส้นทางที่ยื่นออกมาจากประตูนรก พลันถูกสาดซัดด้วยคลื่นพลังหยินที่รุนแรง ทันใดนั้น ทุกอย่างโดยรอบถูกจัดให้เป็นระเบียบ พลังหยินสีดำผลักดันให้ประชากรวิญญาณทั้งหมดถอยไปอยู่ทั้งสองฝั่งของทาง ตามมาติด ๆ ด้วยเหล่าเจ้าหน้าที่รัฐของยมโลก สายคาดแบ่งเขตถูกติดตั้งอย่างรวดเร็ว และประชากรที่ตื่นเต้นทั้งหมดก็ได้รับประกาศเตือนว่าผู้ใดก็ตามที่เข้ามาใกล้สายคาดดังกล่าวภายในรัศมี 20 เมตร พวกเขาจะถูกสังหารโดยไม่จำเป็นต้องมีการสอบสวนใด ๆ
คลื่นพลังหยินดังกล่าวนั้นมิใช่ใครอื่นแต่เป็นทัพเกราะทมิฬ
พวกเขาสวมชุดเกราะที่ดูยิ่งใหญ่ของตนเอง มันมีขนาดใหญ่โต เทอะทะ และไร้ความงดงาม แตกต่างจากชุดเกราะพยัคฆารูปแบบใหม่อย่างสิ้นเชิง พร้อมกับชุดเกราะของตน ทหารแต่ละนายยืนตัวตรงและเว้นระยะห่างจากกันและกัน 15 เมตร พวกเขาตั้งทวนเล่มยาวของตนไว้บนพื้น ยืนประจำที่ของตนในทั้งสองฝั่งของถนนราวกับเสาเหล็กสีดำ
ฟึ่บ !
ทันใดนั้น พรมสีแดงม้วนใหญ่ถูกปูออกมาจากปากประตูนรก ยื่นยาวไปตามถนนทั้งสาย วิญญาณผู้หญิงสองแถวที่แต่งกายด้วยเครื่องแต่งกายของสาวใช้โบราณลอยออกมา… แต่ละตนล้วนถือตะเกียงไฟที่ลุกโชนด้วยเปลวไฟนรกสีเขียวหยกอยู่ในมือก่อนจะมายืนเรียงตัวอยู่ที่ด้านหน้าของทัพเกราะทมิฬอย่างเป็นระเบียบ เหล่าวิญญาณที่ทำงานอยู่ทั้งสองฝั่งของถนนต่างหยุดมือของตนและชะโงกหน้ามองอย่างอยากรู้อยากเห็น
“มาถึงแล้ว !” ทันใดนั้นหมิงชีหยินก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทาเล็กน้อย “ข้าราชการศักดินาตนแรก… ได้มาถึง ณ ที่แห่งนี้แล้ว !”
ตู้ม !!
ก่อนที่มันจะเอ่ยจบ กระแสน้ำวนบนท้องฟ้าก็หมุนตัวอย่างรุนแรง เสียงร้องโหยหวนของเหล่าวิญญาณพลันดังให้ได้ยินจากทั่วทุกที คลื่นพลังหยินของขั้นตุลาการนรกปรากฏขึ้นที่ทางเข้าของยมโลกแห่งใหม่ ตามมาติด ๆ ด้วยการปรากฏตัวขึ้นของพลังหยินที่มีกลิ่นคาวเลือดติดอยู่ !
ทหารวิญญาณ !
และพวกเขาก็มีอย่างน้อย 5,000 นายเสียด้วย !
!!!… ยมโลกแห่งใหม่หยุดนิ่งอย่างสมบูรณ์ เสียงของทหารวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนดังข้ามพรมแดนและเข้าสู่ยมโลกแห่งใหม่ราวกับคลื่นสึนามิที่กำลังสาดซัดมาทางพวกเขา ณ บริเวณหน้าประตูนรก โนบูนางะสูดหายใจเข้าช้า ๆ สีหน้าของเขาเคร่งขรึมเป็นอย่างมาก ด้วยการขยับมือเพียงเล็กน้อย ทหารวิญญาณที่อยู่ภายใต้คำบัญชาของเขาก็กระจายตัวไปโดยรอบราวกับปรอท แฝงตัวอยู่ในหมู่ประชากรวิญญาณ ล้อมรอบประตูนรกเอาไว้
อาร์ทิสเองก็มีสีหน้าที่เคร่งเครียดอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ เร็วมาก… ใครกัน ? ผู้ที่นำกองกำลังขนาดใหญ่เช่นนี้มาด้วย แถมยังรีบมาถึงเป็นคนแรก… ด้วยความเร็วเช่นนี้… อีกฝ่ายจะต้องรีบพุ่งมาที่นี่ทันทีที่ได้รับพระราชกฤษฎีกาเป็นแน่
แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาวิเคราะห์เรื่องเหล่านี้ นางขยับมือเบา ๆ และเงินกระดาษจำนวนมากกระจายตัวอยู่กลางอากาศขณะที่นางเปลี่ยนกลับไปเป็นร่างที่แท้จริงของอรากษส ยืนอยู่ที่หน้าอุโมงค์สู่ยมโลก
ตึก ตึก… เสียงฝีเท้าที่เป็นระเบียบและพร้อมเพรียงของเหล่าทหารวิญญาณเป็นเหมือนกับเสียงกลองที่ส่งผลต่อจังหวะหัวใจของเหล่าวิญญาณที่อยู่โดยรอบ ทัพเกราะทมิฬกระชับมือที่ถือทวนยาวของตนอยู่โดยไม่รู้ตัว เสี้ยววินาทีต่อมา เสียงแหลมสูงของแตรดังขึ้น และเสียงสองเสียงก็ดังขึ้นพร้อมกัน
“กษัตริย์อวี๋เชียนแห่งลิชชาวีตอบรับคำเรียกตัว”
“กษัตริย์หยางจีเย่แห่งลูซอนตอบรับคำเรียกตัว”
ในที่สุดพวกเขาก็มาถึง…
ฉินเย่หลับตาลง สูดหายใจเข้าช้า ๆ และเปลี่ยนร่างเป็นกลุ่มก้อนพลังหยินที่พุ่งไปที่ทางเข้าเช่นกัน
ในที่สุดก็ถึงเวลาที่จะได้เห็นผลลัพธ์ของการเตรียมการอย่างหนักตลอดหกเดือนที่ผ่านมาของพวกเขาเสียที !
ไม่จำเป็นต้องวิ่งหนี ไม่จำเป็นต้องหลบซ่อน ยมโลกแห่งใหม่อยู่นี่แล้ว และมันก็พร้อมอ้าแขนต้อนรับอดีตเจ้าหน้าที่จากรัฐบริวารทั้งหมดอย่างจริงใจ ! เพราะไม่ว่าอย่างไร นี่ก็คือความมีเมตตาและความกล้าหาญที่ยมโลกพึงมี !