ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 342: การรวมตัวกันของเหล่าผู้ยิ่งใหญ่ (1)
บทที่ 342: การรวมตัวกันของเหล่าผู้ยิ่งใหญ่ (1)
ไม่นานฉินเย่ก็ตามอาร์ทิสมาติด ๆ ทั้งสองพุ่งตัวไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง ยมโลกในเวลานี้ถูกปกคลุมด้วยความเงียบ ทั้งอาร์ทิสและฉินเย่ไม่แม้แต่จะมองหน้ากัน สายตาของทั้งคู่ต่างจับจ้องไปที่กลุ่มเมฆสีดำทะมึนที่กระแสน้ำวนสีแดงเพิ่งก่อตัวขึ้น
ใหญ่มาก
ความจะสูงประมาณ 50 เมตร และดูไม่ต่างอะไรกับอุโมงค์เลือดเลยแม้แต่น้อย
“ไม่ว่าจะเป็นผู้ใด จงอย่าตื่นตระหนก” ผู้นำทั้งสองของยมโลกได้เปลี่ยนไปอยู่ในร่างยมทูตเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เส้นผมของอาร์ทิสสยายออกอย่างน่าสะพรึงกลัวขณะที่พวกเขาพุ่งตัวไปข้างหน้า นางเอ่ยเตือน “ความพิเศษของโลกใต้พิภพแต่ละแห่งนั้นแตกต่างกัน และมันก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะสามารถคาดเดาได้ว่าพวกเขาเป็นใคร แต่… ด้วยจิตใจของเจ้า เจ้าคงไม่กังวลเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว”
นี่คือความตั้งใจสุดท้ายของท่านในการจะสยบความตึงเครียดที่เกิดขึ้นเช่นนั้นหรือ ? ฉินเย่แย้มยิ้มบาง ขณะที่หัวใจที่เต้นแรงของเขาค่อย ๆ สงบลง
ใช่แล้ว พวกเขาคือยมทูตที่แท้จริง เขาขยัน เขาเป็นแบบอย่างที่ดี และเขายังสร้างความมั่นใจให้กับเหล่าประชากร เพราะฉะนั้นทำไมเขาถึงต้องรู้สึกหวาดหวั่นเมื่อต้องเผชิญหน้ากับผู้ใต้บังคับบัญชาของยมโลกแห่งเก่าด้วย ?
เมื่อวังน้ำวนเลือดเคลื่อนที่เข้ามาใกล้ มันดูไม่ต่างอะไรกับม่านบาง ๆ ที่แยกระหว่างสองโลกเลยสักนิด เงินกระดาษสีเหลืองจำนวนมากเริ่มกระจัดกระจายไปทั่วท้องฟ้าและตกลงไปด้านล่าง สายตานับไม่ถ้วนจับจ้องไปที่ม่านใสตรงหน้าอย่างไม่ละสายตา
อาร์ทิสและฉินเย่พุ่งตัวไปข้างหน้าอย่างไม่ลังเล และในเสี้ยววินาทีต่อมา โลกสีขาวดำก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าของทั้งคู่
โลกกลายเป็นสีขาวในขณะที่สิ่งรอบข้างกลายเป็นสีดำสนิท พลังหยิน ณ บริเวณนี้แปรปรวนอย่างรุนแรง ส่งผลให้ทั้งมิติดูราวกับภาพลวงตา เงาขนาดใหญ่ดูเหมือนจะบิดตัวไปมาในความมืด แต่ที่สำคัญที่สุดคือกองกำลังทหารสองกองที่ยืนเรียงกันอย่างเป็นระเบียบอยู่หน้ามิติที่เพิ่งเปิดออกนี้ ทหารวิญญาณกว่าหมื่นตนปรากฏให้เห็นต่อหน้าของตนทั้งหมด
ทหารแต่ละนายสวมชุดเกราะและถือหอกเล่มยาวในมือขณะที่ยืนแน่นิ่งอยู่กับที่ เมื่อมองจากไกล ๆ เปลวไฟนรกจำนวนมากที่ลุกโชนจากร่างมายาของพวกเขานั้นไม่ต่างอะไรกับกำแพงทหารวิญญาณเลยแม้แต่น้อย และยังไม่เพียงเท่านั้น มันยังมีอสูรวิญญาณสูงประมาณ 20 เมตรที่กระจายตัวอยู่ในหมู่ทหารวิญญาณพวกนี้อีกด้วย !
อสูรวิญญาณทั้งหมดนอนอยู่กับพื้น พวกมันดูเหมือนวัว แต่กลับมีเขาหนึ่งเขาที่งอกออกมาจากกลางหน้าผาก คล้ายกับเขาแพะ กล้ามเนื้อบนร่างของมันเป็นสีขาวซีด บิดตัวไปมาราวกับซากศพ ดวงตาสีแดงก็ปรากฏขึ้นทั้งสองฝั่งของร่าง ลูกตาของมันลุกโชนด้วยเปลวไฟนรก เชือกจำนวนมากใช้ผูกติดกับร่างของมันและเชื่อมต่อกับกล่องที่ถูกแกะสลักไว้อย่างงดงาม
เป็นกองกำลังที่น่ายำเกรงเป็นอย่างมาก
การยืนอยู่เบื้องหน้าของกองกำลังที่แข็งแกร่งเช่นนี้ไม่ต่างอะไรกับการเผชิญหน้ากับคลื่นสึนามิที่ทรงพลังเลยแม้แต่น้อย แรงกดดันเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถระงับได้ง่ายๆ
อย่างไรก็ตาม กองกำลังดังกล่าวกลับยืนอยู่เบื้องหลังของชายสองคน
คนหนึ่งแต่งกายด้วยเครื่องแต่งกายของขุนนางสมัยราชวงศ์หมิง โหนกแก้มสูง คิ้วและหนวดเคราสีขาว ในขณะที่อีกคนหนึ่งสวมชุดเกราะแม่ทัพจากสมัยราชวงศ์ซ่ง ทันทีที่ฉินเย่ปรากฏตัวขึ้น วิญญาณทั้งสองสั่นเทาเล็กน้อย จากนั้น หลังจากสัมผัสได้ถึงพลังหยินจากร่างของเด็กหนุ่ม ทั้งคู่ก็คุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้น เอ่ยออกมาด้วยเสียงที่ดังก้องและไม่ได้ปิดบังความประหลาดใจของตนแม้แต่นิดเดียว “ข้ากระหม่อม อวี๋เชียนและหยางจีเย่ ขอคาราวะท่านจ้าวนรกองค์ใหม่แห่งยมโลก”
พรึ่บ ! ทันทีที่ชายทั้งสองคุกเข่าลง ทหารวิญญาณนับหมื่นที่อยู่ด้านหลังเองก็คุกเข่าลงตามผู้เป็นนาย ร้องตะโกนออกมาเสียงดัง “คาราวะท่านจ้าวนรก ! จ้าวนรกจงเจริญ !”
ฟิ้ว… กระแสลมรุนแรงพัดผ่านทั่วทั้งดินแดน ส่งผลให้เงินกระดาษที่กระจายตัวอยู่ปลิวไปมาอย่างบ้าคลั่ง ฉินเย่เอามือไพล่ไปด้านหลังและยืนอยู่เบื้องหน้าของบุคคลในตำนานทั้งสองที่มีชื่อเสียงในเรื่องของความจงรักภักดี ขณะที่พยายามทำทุกอย่างเพื่อข่มความคิดของตนไม่ให้นึกถึงความยิ่งใหญ่ของคนตรงหน้า จากนั้น หลังจากผ่านไปสักพัก เขาก็เอ่ยออกมาในที่สุด “อวี๋เชียน หรือที่รู้จักกันในชื่ออวี๋เช่าเป่า หลังจากต่อสู้ในวิกฤตป้อมทูมู ท่านได้ระดมทหารและชาวเมืองกว่า 220,000 คนเพื่อป้องกันเมืองหลวงเมื่อผู้บุกรุกออยรัตน์จับตัวจักรพรรดิอิงจงเป็นตัวประกัน ท่านได้ประกาศกร้าวว่าความมั่นคงของบ้านเมืองนั้นสำคัญกว่าชีวิตของเจ้าศักดินา และสืบเนื่องมาจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น สุดท้ายท่านจึงถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฏและถูกประหารชีวิต”
จากนั้น ฉินเย่จึงหันไปมองชายวัยกลางคนที่ถือหมวกนักรบและคุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้น “หยางเย่ แม่ทัพผู้มีชื่อเสียงแห่งราชวงศ์ซ่งเหนือ หรือที่รู้จักกันในนามหยางไร้พ่าย ท่านได้เอาชนะกองทัพเหลียวที่ด่านประตูห่านป่าและสร้างความตกตะลึงให้กับชาวชี่ตัน หลังจากนั้น ท่านก็ถูกบังคับให้เข้าร่วมการต่อสู้ที่เจ้าเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างมากโดยขุนนางที่ทุจริตหวางเซิน และได้เสียชีวิตลงเนื่องจากบาดเจ็บสาหัส ท่านได้รับแต่งตั้งให้เป็นไท่เว่ย์หรือผู้บัญชาการทหารสูงสุดและเป็นเจ้าเมืองต้าถง สามารถพูดได้เลยว่าท่านคือบรรพบุรุษที่ทำให้ชื่อของตระกูลหยางได้สลักอยู่ในพงศาวดาร พวกท่านทั้งสอง…”
เขาเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงก้มหน้ามองบุคคลทั้งสองที่ยังคงคุกเข่าอยู่ที่พื้นและเอ่ยถาม “มาที่นี่ทำไม? ”
มาที่นี่ทำไม ?
พวกเจ้ามาที่นี่เพื่อตอบรับหมายเรียกประชุมของราชสำนัก ? หรือว่ามีแรงจูงใจซ่อนเร้นบางอย่างและเตรียมที่จะวาดเส้นแบ่งเขตระหว่างโลกใต้พิภพของพวกเจ้าและยมโลก ?
อวี๋เชียนที่แต่งกายด้วยชุดขุนนางสีแดงเข้มรีบตอบออกมาโดยที่ยังคงคุกเข่าก้มหน้าอยู่ “ยมโลกแห่งใหม่เพิ่งก่อตั้งขึ้น และมันก็สมควรที่จะได้รับการสรรเสริญจากโดยรอบต่อไป เนื่องจากปราศจากคำสั่งการจากยมโลก ข้าจึงนำเครื่องบรรณาการเหล่านี้มาโดยอิงจากระบบเดิมของยมโลกแห่งเก่าซึ่งระบุไว้ว่ารัฐจะจัดเก็บภาษี 50% จากผลผลิตในที่ดินของตน และ 20% ของภาษีจะถูกส่งมอบให้กับยมโลกในฐานะของเครื่องบรรณาการ นี่คือเครื่องบรรณาการระยะเวลาร้อยปีของโลกใต้พิภพแห่งลิชชาวี โดยมีมูลค่าทั้งสิ้น 1 หมื่นล้านหินวิญญาณ ฝ่าบาทโปรดยืนยัน… เกาเยว่”
หนึ่งในทหารวิญญาณที่ยืนอยู่ด้านหลังของเขาที่สวมเครื่องแต่งกายสีแดงเช่นกันก้าวออกมาและประสานกำปั้นและโค้งคำนับฉินเย่อย่างเคารพ สิ่งที่น่าชื่นชมก็คือทหารวิญญาณเหล่านี้ไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมาสบตากับฉินเย่เลยแม้แต่น้อย อีกฝ่ายเพียงก้าวมายืนอยู่ข้าง ๆ อวี๋เชียนและคุกเข่าลง คลี่ม้วนกระดาษและเริ่มอ่านออกมา “รายงานท่านจ้าวนรก รายการต่อไปนี้คือผลผลิตทั้งหมดของโลกใต้พิภพแห่งลิชชาวี… อสูรภูเขา 10 ตัว หินวิญญาณ 5,000 ตัน ไม้มืดมน 50 ตัน หินจุติ 1 ตัน สายน้ำพลังหยินเข้มข้น 1 ตัน กล่องความลับหยิน 100 กล่อง…”
ฉินเย่ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา เขาเพียงปล่อยให้เกาเยว่อ่านรายงานต่อจนจบ และเขาก็ไม่ได้ตั้งใจฟังรายงานเช่นกัน เขาเพียงมองไปยังอสูรวิญญาณที่ลากกล่องแกะสลักจำนวนมากด้วยความรู้สึกที่ล่องลอยในใจ จากนั้น เมื่อเกาเยว่เอ่ยจบ เด็กหนุ่มก็เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มต่อ “ท่านทั้งสองโปรดลุกขึ้นก่อน”
“พ่ะย่ะค่ะ” อวี๋เชียนและหยางจีเย่ลุกขึ้นพร้อมกัน แต่ทันทีที่พวกเขาลุกขึ้นยืน เสียงของฉินเย่ที่ดูเหมือนจะแผ่วเบาจนไม่ได้ยินก็ดังขึ้นในหูของทั้งสอง “มีอะไรอีกหรือไม่ ?”
มีอะไรอีกหรือไม่ ?
ดวงตาของอวี๋เชียนและหยางจีเย่วูบไหว ครั้งนี้เป็นหยางจีเย่เองที่เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น “ฝ่าบาท ไม่ว่าจะมีข้าราชการศักดินาสักกี่ตนที่หันหลังให้ยมโลก แต่พวกเรา… พวกเรายินดีที่จะยืนอยู่ฝั่งเดียวกับยมโลกแห่งใหม่ !”
อวี๋เซียนเองก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก “ชาวจีน แม้จะตายไปแล้วก็ยังเป็นชาวจีน วิญญาณพวกนี้กล้าดีอย่างไรถึงคิดจะต่อต้านยมโลก ?! เพียงแค่พระองค์เอ่ยสั่ง พวกเราจะทำทุกอย่างเพื่อกำจัดคนทรยศให้หมดไปจากยมโลก แม้ว่านั่นจะหมายถึงต้องกระโจนเข้าไปในกองไฟก็ตาม !”
“มีเพียงยมโลกเท่านั้นที่สมควรปกครองโลกใต้พิภพของจีน ! คนอื่นล้วนเป็นพวกนอกรีตทั้งสิ้น ! ใต้พื้นพิภพของแผ่นดินจีนจะต้องมีจักรพรรดิเพียงองค์เดียวเท่านั้น !”
นี่คือการถวายสัตย์ว่าจะสวามิภักดิ์ !
ทั้งสองคือข้าราชการศักดินากลุ่มแรกที่แสดงความจงรักภักดีต่อนรก ! การคาดเดาของพวกเขาก่อนหน้านี้ไม่ผิดพลาดเลยแม้แต่น้อย !
ฉินเย่จ้องมองคนทั้งสองก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ น่าเสียดาย คำปฏิญาณของพวกเขาเป็นเพียงแค่ลมปากเท่านั้นสำหรับฉินเย่
แม้ว่าเขาจะแน่ใจ 99% ว่าคนตรงหน้าซื่อสัตย์ต่อยมโลก แต่ฉินเย่ก็ยังไม่ยอมเสี่ยงกับโอกาส 1% ที่เหลือเด็ดขาด
“ข้าเองก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะเป็นเช่นนั้น” เขาตอบ “พวกท่านทั้งสองตามข้าเข้ามาด้านใน ส่วนคนอื่นให้รอด้านนอก…”
เขากวาดสายตาไปมองทหารวิญญาณที่ยืนอยู่ทั้งหมด “จงยืนอยู่กับที่ของตน ผู้ใดก็ตามที่เข้ามาในเมืองโดยปราศจากคำอนุญาตจากข้าจะถูกประหารในโทษฐานกบฏ !”
“พ่ะย่ะค่ะ !” อวี๋เชียนและหยางจีเย่พยักหน้าอย่างเคร่งครัด
จากที่พวกเขารู้มา จ้าวนรกองค์ใหม่ของยมโลกนั้นยังอายุไม่ถึง 20 ปี หากนี่เป็นในสมัยอดีต มันก็คงไม่ต่างอะไรกับการยกบัลลังก์ให้กับเหล่าผู้ที่ต้องการได้แย่งชิงกัน ซึ่งหากความโกลาหลเหล่านั้นเกิดขึ้นในยมโลก มันจะต้องสร้างความหายนะให้กับเหล่าประชากรจีนนับพันล้านอย่างแน่นอน !
ทั้งราชาผีทั้งสามและราชทูตทั้ง 12 โลกใต้พิภพของจีนในเวลานี้ต่างต้องเผชิญหน้าทั้งจากศึกภายในและภายนอก ภายใต้สถานการณ์เช่นนั้น มันจึงเป็นการดีที่จะไม่อนุญาตให้กองกำลังใด ๆ เข้าไปในเมือง ยิ่งกว่านั้นพวกเขายังสามารถบอกได้ด้วยว่าคำสั่งของฉินเย่นั้นเด็ดขาดและไม่สามารถเจรจาต่อรองได้ อันที่จริงพวกเขายังรู้สึกด้วยว่าจ้าวนรกองค์ใหม่นั้นค่อนข้างใจร้อนเกินไปที่ยอมเชื่อใจการให้คำมั่นของพวกเขาตั้งแต่ต้น เพราะไม่ว่าอย่างไร พวกเขาก็เพิ่งพบกันครั้งแรก ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงไม่ได้รู้สึกไม่พอใจกับคำถามของเด็กหนุ่มเลยแม้แต่น้อย
พวกเขารู้ดีว่าการกระทำนั้นสำคัญกว่าคำพูด และวิธีที่ดีที่สุดในการพิสูจน์ตัวเองของพวกเขาก็คือการเป็นดาบในมือของผู้เป็นนาย !
ดังนั้นพวกเขาจึงตั้งใจที่จะกำจัดผู้ใดก็ตามที่แสดงท่าทีขัดขืน !
แม้ว่านั่นจะหมายความถึง… การหันคมดาบเข้าใส่อดีตสหายร่วมรบของตนเองก็ตาม
“หากพวกเขามองว่าเราเป็นสหายร่วมรบกันจริง ๆ” หยางจีเย่มองไปทางท้องฟ้าที่อยู่ห่างออกไปด้วยสายตาเย็นชา “การมายืนอยู่ฝั่งเดียวกันก็น่าจะเป็นเรื่องที่น่าดีใจกว่าไม่ใช่หรือ ? ทักษะการใช้หอกไร้พ่ายของตระกูลหยาง… ไม่ได้หลั่งเลือดมานานกว่าร้อยปีแล้ว…”
ขณะที่พูด ดวงตาของเขาก็ฉายแววเย็นยะเยือก
ไม่เพียงแต่เขาเท่านั้น คนทั้งหมดที่อยู่โดยรอบต่างก็สัมผัสถึงสิ่งผิดปกติได้ในทันที และพวกเขาก็หันไปมองท้องฟ้าที่ดำมืดอีกครั้ง
ฟิ้ว~… ลมพายุพัดมาอย่างรุนแรง ในขณะที่เงินกระดาษที่กระจัดกระจายไปในอากาศค่อย ๆ เพิ่มจำนวนขึ้นจนปกคลุมไม่ทั่วท้องฟ้า จากนั้น เสียงร้องอันแผ่วเบาตัดผ่านท้องฟ้าที่เงียบสงัดก่อนจะเปลี่ยนเป็นเสียงที่ดังสนั่นในท้ายที่สุด !
ตุ้ม ตุ้ม ตุ้ม !
เสียงกลองดังขึ้นอย่างเป็นจังหวะ สร้างความสั่นสะเทือนไปทั่วยมโลกแห่งใหม่ ไม่กี่วินาทีต่อมา ดวงตาขนาดใหญ่เจ็ดคู่พลันปรากฏขึ้นในความมืด จากนั้นคลื่นพลังหยินที่รุนแรงเจ็ดคลื่นก็สาดซัดเข้ามา !
“นี่มัน…” อาร์ทิสอ้าปากค้าง “ตุลาการนรก… ตุลาการนรกเจ็ดตน ! ทั้งหมดนี่… ล้วนเป็นข้าราชการศักดินา ! ข้าราชการศักดินาเจ็ดตนได้มาถึงพร้อมกัน ! พวกเขาเป็นใครกัน ?!”
หยางจีเย่เป็นคนแรกที่ตอบสนองต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น “ตั้งค่ายกล !!!” ทันใดนั้น เสียงแตรก็ดังขึ้นท่ามกลางกองกำลังของเขา มันเป็นตอนนั้นเองที่ฉินเย่สังเกตเห็นว่ากองกำลังทั้งสองถูกสั่งการโดยหยางจีเย่แต่เพียงผู้เดียว และอวี๋เชียนเองก็ไม่ได้สนใจอะไร
“เตรียมเผชิญหน้ากับกองกำลังของศัตรู !” ทันทีที่หยางจีเย่ตะโกนออกไป เขาก็เปลี่ยนร่างเป็นพายุที่พุ่งไปที่อสูรภูเขาที่ตัวใหญ่ที่สุด และเปลวไฟนรกก็ลุกโชนขึ้นในมือ เหล่าทหารวิญญาณที่ยืนนิ่งอยู่กับที่ของตนตะโกนออกมาอย่างพร้อมเพรียง “รับบัญชา !!”
ฟึ่บ !
เสี้ยววินาทีต่อมา พวกเขาทั้งหมดย่อตัวลง ทหารวิญญาณที่ยืนอยู่แถวหน้าสุดยกโล่สูงหนึ่งเมตรขึ้นข้างหน้าตน ก่อตัวเป็นกำแพงเกราะที่เหลือช่องว่างไว้เพียงพอสำหรับการโจมตีด้วยหอก และไม่นาน ค่ายกลป้องกันสามชั้นก็ก่อตัวขึ้น !
นี่คือวิธีการป้องกันกองกำลังทหารม้าที่กำลังมุ่งหน้าเข้ามา ทหารม้าที่พุ่งเข้ามายังค่ายกลหอกเหล่านี้จะต้องบาดเจ็บสาหัสหรือตายไปในที่สุด
ตุ้ม ตุ้ม ตุ้ม… ฝ่ายตรงข้ามใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ! อาร์ทิสและฉินเย่พุ่งตัวขึ้นไปในอากาศ 50 เมตร และทั้งสองก็เห็นว่ากลุ่มก้อนพลังหยินบนฟ้ากำลังปั่นปวนจนดูราวกับน้ำที่กำลังเดือด เสียงกลองดังขึ้นเรื่อย ๆ ขณะที่เวลาเดินผ่านไปอย่างช้า ๆ จากนั้น ประมาณสิบนาทีต่อมา ท้องฟ้าตรงหน้าก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ! ม้าวิญญาณเจ็ดตัวที่แบกธงสูงสองเมตรไว้บนหลังก็ปรากฏตัวออกมาจากกลุ่มก้อนพลังหยินดังกล่าว ! ร่างของพวกมันห่อหุ้มไปด้วยพลังหยิน ในขณะที่เงินกระดาษจำนวนมากกระจัดกระจายไปโดยรอบ
ธงทั้งเจ็ดผืนมีสีที่แตกต่างกันออกไป และมันก็เพราะว่าความแตกต่างเหล่านี้นี่เองที่ทำให้หัวใจของฉินเย่กระตุกอย่างแรง
“เจ้าศักดินากั๋วจื่ออี้แห่งจักรวรรดิเขมร !”
“เจ้าศักดินาฉางเย่ชุนแห่งสยาม!”
“เจ้าศักดินาหม่าหยวนแห่งเบอร์มาเนีย!”
“เจ้าศักดินาหลิวอวี้แห่งฮันยาง!”
“เจ้าศักดินาฮั่นฉินหูแห่งซานฟอตซี!”
“เจ้าศักดินาเกาฉางกงแห่งเจียวจื่อ!”
“เจ้าศักดินาชากันเตมูแห่งดินแดนแห่งป่าไผ่!”
ทั้งหมดเจ็ดคน…
ทันทีที่เขาพบว่าหลิวอวี้เองก็อยู่ในหมู่คนทั้งหมด ฉินเย่ก็รับรู้ได้ทันทีว่ากลุ่มคนเหล่านี้จะต้องไม่มีทางยืนอยู่ฝั่งเดียวกับตนอย่างแน่นอน
แต่เขาก็ไม่คิดเลยว่าข้าราชการศักดินาทั้งเจ็ดตนจะร่วมมือกันแบบนี้ !
และที่ทำให้ทุกอย่างแย่ลงกว่าเดิมก็คือกั๋วจื่ออี้ ฉางเย่ชุน และฮั่นฉินหูที่เขาได้คาดการณ์ไว้ว่ามีแนวโน้มที่จะเป็นพันธมิตรก็ไม่ได้อยู่ฝั่งเดียวกันกับเขาเช่นกัน !