ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 343: การรวมตัวกันของเหล่าผู้ยิ่งใหญ่ (2)
บทที่ 343: การรวมตัวกันของเหล่าผู้ยิ่งใหญ่ (2)
ฉินเย่นิ่งไปเป็นเวลาสามวินาทีเต็ม ก่อนจะสูดหายใจเข้าช้า ๆ นี่เป็นเรื่องปกติ… หากพูดกันตามความจริง มันสมควรที่จะเป็นเช่นนี้อยู่แล้ว เพราะไม่ว่าอย่างไร คนเหล่านี้ก็คือผู้ที่มีชีวิตอยู่เมื่อนานมาแล้ว และมันก็คงจะเป็นการหลอกตัวเองเกินไปหากคิดให้พวกเขายังคงซื่อสัตย์ทั้ง ๆ ที่เวลามันผ่านมานานขนาดนี้
แต่… เขาก็ไม่คิดเลยว่าจะมีข้าราชการศักดินาที่ไม่จงรักภักดีจำนวนมากถึงเพียงนี้ แถมยังร่วมมือกันเพื่อส่งเสียงของตัวเองอีกด้วย !
ไม่แปลกใจเลยที่ก่อนหน้านี้หลิวอวี้กล้าพูดกับเขาราวกับว่าตนอยู่ในตำแหน่งที่เท่าเทียมกัน ไม่คิดเลยว่าสถานการณ์มันจะเลวร้ายถึงเพียงนี้…
น่าเสียดายที่เขาไม่มีเวลามาคิดเวลามาพิจารณาถึงเรื่องพวกนี้มากนัก พายุที่ทรงพลังส่งผลให้ธงทั้งเจ็ดโบกสะบัดอย่างรุนแรง ธงแต่ละผืนถูกปักเป็นรูปของมังกรที่พุ่งทะยาน ทันทีที่ทหารวิญญาณปรากฏตัวขึ้น กลุ่มก้อนพลังหยินที่ด้านหลังของพวกเขาพลันหลั่งไหลออกมาราวกับน้ำที่ไหลออกมาเขื่อนกั้น
ตู้ม ตู้ม ตู้ม !! กลุ่มก้อนพลังหยินและการเคลื่อนไหวของทหารวิญญาณดูไม่ต่างอะไรกับกระแสน้ำที่สาดซัดเข้าชายฝั่ง เศษหินและฝุ่นกระจัดกระจายไปในอากาศ ทหารวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนกระโดดออกมาจากความมืด ปกคลุมร่างของตนด้วยพลังหยินราวกับเทพแห่งความตายที่กลับมาจากดินแดนแห่งความตายอย่างหาญกล้า นอกจากนี้ พวกเขาทั้งหมดล้วนแต่งกายด้วยชุดเกราะสีดำ คล้ายกับเครื่องแต่งกายของทหารม้าในยุคสมัยราชวงศ์ซ่ง ทั้งหมดสวมเกราะชั้นดีและถือทวนยาว มีดสั้นถูกผูกไว้ข้างเอว ในขณะที่คันธนูยาวถูกพาดผ่านร่างกาย แม้แต่ม้าของพวกเขาเองก็สวมเกราะที่ดำและหนาเช่นกัน
เมื่อมองจากไกล ๆ หากไม่นับรวมไฟนรกสีเขียวหยกที่ลุกโชนอยู่ภายในทหารชุดเกราะแถวหน้าสุด พวกเขาดูไม่ต่างอะไรกับกระแสน้ำสีดำที่หลั่งไหลเข้ามาเลยแม้แต่น้อย เสี้ยววินาทีต่อมา ทหารวิญญาณกว่าหมื่นคนที่ซ่อนอยู่ภายในกระแสพลังหยินสีดำที่อยู่ด้านหลังทหารม้าแถวแรกก็ลุกโชนด้วยเปลวไฟนรกสีเขียวหยกน่าขนลุกเช่นกัน
ราวกับแม่น้ำที่ซัดเข้าตลิ่งหรือการะระเบิดของดวงดาว ทหารม้าสวมเกราะนับพันนายเริ่มกระจายตัวออกมาจากความมืดและพุ่งเข้าหาค่ายกลขนาดใหญ่ เสียงควบม้าศึกที่ดุเดือดทำให้หัวใจหยุดเต้น อันที่จริง พวกเขายังเห็นอีกด้วยว่าทวนในมือของทหารม้าเหล่านั้นเกิดประกายไฟสีเขียวขึ้นขณะที่พุ่งหน้ามาที่ทางเข้าของยมโลก
พรึ่บ ! ขณะที่ทหารม้านับพันพุ่งเข้ามา เงินกระดาษในอากาศก็เริ่มถูกพัดอย่างรุนแรงมากขึ้น เสียงจากการควบม้านั้นสร้างความบีบคั้นจนแทบจะเหยียบย่ำให้หัวใจของคนทั้งหมด แต่มันกลับทำให้เลือดภายในกายของฉินเย่เดือดพล่านขึ้นด้วยรู้ดีว่ากองทัพแนวหน้าสุดนี้เป็นของผู้ใด
เจ้าศักดินาชากันเตมูแห่งดินแดนแห่งป่าไผ่ !
“นี่มัน… สถูปเหล็ก !”[1] เขาเอ่ยออกมาเบา ๆ กองกำลังทหารม้าสวมเกราะนั้นเป็นเอกลักษณ์ของจักรวรรดิมองโกล และมันก็เป็นสิ่งที่มีเพียงข้าราชการศักดินาของมองโกลเท่านั้นที่เป็นคนทำ
แต่สิ่งที่น่าตกใจที่สุดก็คือข้อเท็จจริงที่ว่านี่เป็นเพียงคลื่นลูกแรกเท่านั้น และความมืดที่ซ่อนอยู่ในหมู่ทหารและทหารม้าก็หลั่งไหลออกมาตามกำลังแนวหน้าในเวลาไม่นาน ! ฉินเย่สูดหายใจเข้าช้า ๆ คลื่นความโกรธผุดขึ้นมาจากส่วนลึกของจิตใจ
พวกเขาสร้างกองทัพของตนเอง !
ข้าราชการศักดินาได้รับอนุญาตให้มีทหารภายใต้อาณัติได้เพียง 5,000 นายเท่านั้น อวี๋เชียนและหยางจีเย่ที่มาถึงก่อนก็ต่างยึดถือตัวเลขเหล่านี้ แต่คนพวกนี้….
เขาสัมผัสได้ถึงพลังหยินที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของขั้นตุลาการนรกเจ็ดตน แต่จำนวนทหารภายใต้บังคับบัญชาของพวกเขานั้นมีจำนวนถึงหลักแสน ! ไม่ใช่ว่านี่เป็นการดูหมิ่นยมโลกแห่งเก่าหรืออย่างไร ? นี่มันเป็นการดูถูกเขาในฐานะของจ้าวนรกไม่ใช่หรือ ?!
ช่างน่าตลกเสียจริง หากเป็นเมื่อก่อน ฉินเย่ก็คงจะไม่สนใจอะไรเมื่อเห็นภาพตรงหน้า อ้าว… มีกองกำลังเป็นของตนเองหรือ ? แล้วนั่นมันเกี่ยวอะไรกับข้ากัน ?
แต่ตั้งแต่ที่เขาได้ยอมรับหน้าที่ของตนในฐานะของจ้าวนรกองค์ใหม่ของยมโลก และพยายามทุ่มเทอย่างหนักเพื่อฟื้นฟูนรก เขาก็รู้สึกถึงความโกรธและความเดือดดาลที่พลุ่งพล่านออกมาจากส่วนลึกของจิตใจอย่างแท้จริง
“เป็นเพียงรัฐบริวารแต่กลับกล้าท้าทายผู้เป็นนาย… นี่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าพวกเขาต่อต้านยมโลกแห่งใหม่ คนพวกนี้ไม่เคารพข้าเลยแม้แต่น้อย…” แววตาของเด็กหนุ่มวาวโรจน์ขึ้นอย่างอันตราย จิตสังหารที่รุนแรงเริ่มก่อตัวขึ้น
และมันก็เป็นจิตสังหารที่รุนแรงมาก ๆ เสียด้วย
“ใจเย็น ๆ อดทนไว้” อาร์ทิสเอ่ย “ทหารวิญญาณที่แท้จริงนั้นแตกต่างจะทหารวิญญาณที่อยู่ภายใต้อำนาจของพวกเศษสวะ ทหารวิญญาณที่แท้จริงหมื่นนายนั้นเพียงพอที่จะกวาดล้างอำนาจในโลกใต้พิภพขนาดเล็กและทำให้เกิดความโกลาหลขึ้นได้ และตอนนี้… พวกเราก็ยืนอยู่เบื้องหน้ากองกำลังทหารอย่างน้อย 1 แสนตน และแม่ทัพของพวกเขาเองก็ไม่ใช่พวกเศษสวะเช่นกัน พวกเราเสียเปรียบอย่างมากในเรื่องของจำนวน ทั้งในแง่ของทหารและแม่ทัพ”
ฉินเย่หลับตาลงและระงับความโกรธภายในใจ ไม่กี่วินาทีต่อมาเขาก็ลืมตาขึ้นอีกครั้งและเอ่ยออกมาด้วยเสียงเย็นยะเยือก “ไม่ต้องห่วง ข้าไม่โง่ถึงขนาดฆ่าตัวตายหรอก”
“นอกจากนี้… การฆ่าก็ไม่จำเป็นจะต้องใช้ดาบหรือมีดเสมอไป” เขาถอนหายใจออกมา “ยิ่งกว่านั้น… นี่เป็นโอกาสที่ดีสำหรับอวี๋เชียนและหยางจีเย่ในการพิสูจน์คำพูดของพวกเขาด้วยการกระทำ !”
หลังจากผ่านไป 20 นาที กลุ่มก้อนพลังหยินบนฟ้าที่ดูไม่ต่างอะไรกับรอยแยกของนรกและเปลวไฟนรกที่หลั่งไหลออกมาจากความมืดอย่างต่อเนื่องก็รวมเขากับกองกำลังทหารม้าที่ก่อตัวอยู่ก่อนแล้ว ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าราชทูตทั้ง 12 จะมีกองกำลังที่มากมายเช่นนั้น กองทัพทหาร 1 แสนนายนั้นเพียงพอที่จะกวาดล้างชาติอื่น ๆ ในภูมิภาคไปจนถึงหมู่เกาะเครื่องเทศ ![1] และกองกำลังทั้งหมดนั้นก็กำลังหันหอกของพวกเขาเข้าใส่ยมโลก !
กรุบ กรุบ กรุบ… เสียงของกีบเท้าม้าดังก้องไปทั่วท้องฟ้า แต่น่าแปลก ไม่มีทหารตนใดตะโกนออกมาเลยแม้แต่คนเดียว มันแทบจะเหมือนกับว่าพวกเขา… กำลังแสดงเศษเสี้ยวความเคารพสุดท้ายที่ตนเองมีต่อนรกออกมา แม้ว่าจะกำลังเผชิญหน้ากับกองกำลังที่ไม่อาจต้านทานได้ หยางจีเย่กลับไม่หวาดหวั่นเลยแม้แต่น้อย กลับกัน เขาเพียงเอ่ยคำสั่ง และธงของเขาก็ถูกชูขึ้นในอากาศ
ฟึ่บ ฟึ่บ ฟึ่บ ! เสียงของลูกธนูไฟถูกหยิบขึ้นมาในท่าเตรียม หากสถูปเหล็กเป็นเหมือนกับแม่น้ำที่เชี่ยวกราก เช่นนั้นกองกำลังของหยางจีเย่ก็เป็นเหมือนกับเขื่อนขนาดใหญ่ที่ไม่สามารถขยับเขยื้อนไปไหน ภายในเวลาไม่กี่วินาที กองกำลังของชากันก็เข้ามาอยู่ในระยะ 50 เมตร ซึ่งเป็นระยะที่ดีที่สุดในการยิงธนู
หยางจีเย่ยกมือขึ้น
สายลมรุนแรงกวาดไปทั่วดินแดน เคราสีขาวของอวี้เชียนปลิวไปมาแม้ว่าเขาจะยังยืนหยัดอย่างมั่นคงราวกับก้อนหิน เพราะไม่ว่าอย่างไร เขาก็เคยมีส่วนร่วมในวิกฤตป้อมทูมู ตอนที่กองกำลังของศัตรูได้ลักพาตัวองค์จักรพรรดิของเขาในสมัยนั้นไป ภาพตรงหน้านั้นไม่ส่งผลอะไรเลยกับประสบการณ์ของเขา
มีเพียงสงครามเท่านั้น มีเพียงสงครามเท่านั้นที่จะสามารถจบทุกสิ่ง !
ภายในใจของพวกเขาไม่มีความลังเลเลยแม้แต่น้อย
ดังนั้นเมื่อกองกำลังของศัตรูเข้ามาใกล้พอ สิ่งที่รอพวกเขาอยู่จึงเป็นฝนลูกธนูแห่งความตายเท่านั้น ในขณะเดียวกัน อาร์ทิสได้คว้าชายเสื้อของฉินเย่เอาไว้ เพื่อที่นางจะได้พาฉินเย่กลับไปยังการป้องกันของยมโลกได้ทันเวลาเมื่อเกิดการปะทะขึ้น
กรุบ กรุบ กรุบ… !! ทว่าเมื่ออยู่ห่างออกไปเพียง 50 เมตร เหล่าม้าศึกทั้งหมดก็ยกขาหน้าขึ้น ก่อนจะกระแทกลงกับพื้นพร้อมกันอย่างแรงจนเกิดเป็นเสียงดังกึกก้องท่ามกลางความเงียบสงัดของยมโลก ไม่กี่วินาทีต่อมา ขบวนแห่เจ็ดขบวนก็ปรากฏขึ้นพร้อมกับรัศมีพลังหยินที่รุนแรง แต่ละขบวนล้วนมีทหารวิญญาณอยู่ไม่ต่ำกว่าร้อยนาย พร้อมกับเสียงที่แตรที่แผ่วเบา เงินกระดาษจำนวนมากกระจัดกระจายในอากาศราวกับต้องการประกาศถึงการมาถึงของบุคคลผู้น่าเกรงขาม
สายลมนรกพัดผ่านราวกับมังกรที่ดุร้าย ปกคลุมพื้นที่ทั้งหมดด้วยความกดดันที่รุนแรงและทำให้เกิดความเงียบขึ้นในชั่วขณะ
ฟึ่บ… เหล่าทหารม้ายังคงยืนหยัดอย่างมั่นคง หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง น้ำเสียงที่เอื่อยเฉื่อยที่คล้ายขันทีในสมัยอดีตก็ดังมาจากความมืดนั้น
“เจ้าศักดินาแห่งจักรวรรดิเขมร กั๋วจื่ออี้ ตอบรับหมายเรียกของยมโลก”
“เจ้าศักดินาแห่งสยาม ฉางเย่ชุน ตอบรับหมายเรียกของยมโลก”
“เจ้าศักดินาแห่งฮันยาง หลิวอวี้ ตอบรับหมายเรียกของยมโลก”
“เจ้าศักดินาแห่งพุกาม หม่าฝูโปว”
“เจ้าศักดินาแห่งซานฟอตซี ฮั่นฉินหู”
“เจ้าศักดินาแห่งเจียวจื่อ เกาฉางกง”
“เจ้าศักดินาแห่งดินแดนแห่งป่าไผ่ ชากันเตมู”
พรึ่บ ! เสาเพลิงจำนวนมากพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า ประกาศถึงการมาถึงของขั้นตุลาการนรกทั้งเจ็ด หากพูดตามความเป็นจริง เสาเพลิงเหล่านี้มีตราประทับของวังหลวงปรากฏอยู่ด้วย แทบจะเหมือนกับว่าพวกมันคือดวงอาทิตย์เจ็ดดวงที่ส่องสว่างอยู่ท่ามกลางท้องฟ้าที่มืดมิด
ตราสัญลักษณ์ประจำตัว…
ฉินเย่มองตราสัญลักษณ์ของเจ้าศักดินาแห่งฮันยาง มันแตกต่างจากตราสัญลักษณ์อื่น ๆ เนื่องจากลอยอยู่เหนือสุดของตราสัญลักษณ์ทั้งหมด ไม่ใช่จงใจ แต่มันดูเหมือนกับว่าตราสัญลักษณ์อื่น ๆ ต่างต้องถอยห่างจากมัน
ในตราสัญลักษณ์นั้นมีร่องรอยไฟวิญญาณของพระยม ความชั่วร้ายจงสูญสิ้น !
“ด้วยสิ่งนั้น… ข้าจะสามารถทำลายคำสาปสะพานนกสาลิกาได้ใช่หรือไม่ ?” ฉินเย่เอ่ยถามด้วยเสียงแหบพร่า
“แน่นอน แต่มันจะเป็นการดีกว่าที่เจ้าจะไม่คิดถึงมันในตอนนี้ นี่ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะยอมส่งมอบให้เราง่าย ๆ แทนที่จะมัวหมกมุ่นกับเรื่องพวกนั้น ทำไมเจ้าไม่ลองมองดูเหล่าข้าราชการศักดินาตรงหน้าให้ดี ๆ ล่ะ ?” น้ำเสียงของอาร์ทิสนั้นเจือไปด้วยความโกรธ ฉินเย่ละสายตาจากตราสัญลักษณ์ที่อยู่บนฟ้า และจากนั้น หางตาของเขาก็กระตุกอย่างไม่สามารถควบคุมได้
ไม่มีใครลงจากม้าเลยแม้แต่คนเดียว
ข้าราชการศักดินาทั้งเจ็ดเองก็ไม่ได้อยู่สถานะยมทูตเช่นกัน พวกเขาแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่หรูหราและฉีดทับด้วยน้ำหอมราคาแพงที่ถูกฝังมาพร้อมตน ทว่าน่าเสียดาย น้ำหอมเหล่านั้นไม่สามารถกลบกลิ่นเหม็นเน่าที่แผ่ออกมาจากร่างและรอยจ้ำสีม่วงบนผิวหนังของพวกเขาได้เลยแม้แต่น้อย แม้แต่ผู้ที่ชื่นชอบความงามอย่างเกาฉางกงก็ยังต้องจำนนต่อรูปลักษณ์ที่น่าเกลียดของตน
ความหมายที่พวกเขาต้องการจะสื่อนั้นชัดเจน เจ้าไม่ควรค่าพอ !
การยั่วยุที่โจ่งแจ้งนี้ทำให้ดวงตาของฉินเย่วาวโรจน์ขึ้น แต่ถึงกระนั้น เขาก็ข่มความโกรธภายในใจของตนเองลงและสังเกตฝ่ายตรงข้ามต่อไป
ข้าราชการศักดินาทั้งเจ็ดมุ่งหน้ามาพร้อมกัน และฉินเย่ก็ไม่แน่ใจว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญหรือเปล่าที่ธงของกองกำลังทั้งหมดถูกปักเป็นรูปกรงเล็บมังกรทองห้ากรงเล็บ
แต่ละขบวนถูกล้อมรอบโดยรถลากนับสิบ ไม่ว่าจะเป็นรถนำขบวน รถกลอง และรถนกกระสาขาว รถลากแต่ละคันถูกลากด้วยม้าสี่ตัว ที่ประทับเคลื่อนที่อันหรูหราขององค์จักรพรรดิตั้งอยู่กึ่งกลางของขบวนทั้งหมด และมันก็ถูกแบกไว้บนไหล่ของวิญญาณนับร้อยตน
ที่ประทับแต่ละหลักถูกตกแต่งด้วยคานแกะสลักและภาพวาดอันวิจิตรงดงาม ผนังด้านนอกมีสีสันสดใหม่และดูหรูหรา ในขณะที่ผ้าม่านสีเขียวพลิ้วไหวไปมา เผยให้เห็นร่างเงาของเจ้าหน้าที่สวมมงกุฎที่นั่งอยู่ด้านใน นอกจากนี้ ขบวนทั้งหมดยังมาพร้อมกับเครื่องดนตรีโบราณจำนวนนับไม่ถ้วน ไม่ว่าจะเป็นกลอง ฉาบ หรือขลุ่ย ทั้งหมดถูกบรรเลงโดยวิญญาณนับร้อยตนจากด้านนอก นอกจากนี้ มันยังมีคนกระดาษยืนอยู่ที่ขอบขบวน ถือธงวิญญาณสูงห้าเมตรและไม้ขกสังปั๊งที่ยาวสามเมตรอยู่ในมือ และลายปักบนธงทั้งหมดก็สื่อถึงเจ้าศักดินาแต่ละคน เพราะท้ายที่สุดแล้ว ขบวนวิญญาณเหล่านี้ก็ถูกใช้สำหรับจักรพรรดิที่เดินทางไปยังดินแดนอื่น ๆ เพื่อจุดประสงค์ทางการทูตเท่านั้น
แต่ผู้ใดคือผู้ปกครองและเจ้าเหนือหัวของยมโลกที่แท้จริง ?
ฉินเย่ทำทุกอย่างที่สามารถทำได้เพื่อสงบสติอารมณ์ของตัวเอง และมันก็เป็นอาร์ทิสเองที่เดาะลิ้นของตนด้วยความโกรธ
จะไม่ให้นางโกรธได้อย่างไร ?
นี่มันแยกกว่าค่ายกลทหารม้าสถูปเหล็กที่มุ่งหน้าเข้ามาเสียอีก การกระทำของคนเหล่านี้เป็นเหมือนกับการตบหน้าฉินเย่ฉาดใหญ่ เด็กหนุ่มมีสิทธิ์อะไรมานั่งบนบัลลังก์ของยมโลก ? และมีสิทธิ์อะไรในการออกพระราชกฤษฎีกาเพื่อเรียกตัวพวกเขากลับมาเพียงแค่เพราะการประชุมราชสำนัก ?
อีกฝ่ายไม่มีสิ่งใดเหนือพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นความอาวุโส พลังบ่มเพาะ ความมั่งคั่งหรือทรัพยากร ดังนั้นฉินเย่มีสิทธิ์อะไร ?
เมื่อเทียบกับยมโลกที่ยากไร้แห่งนี้ พวกเขาทั้งเจ็ดที่เป็นเจ้าศักดินาของรัฐบริวารยังเหมาะสมกับตำแหน่งจ้าวนรกมากกว่า
ลองมองดูความรุ่งโรจน์ของดินแดนของพวกเขาสิ มีส่วนใดที่ยมโลกยาจกที่เพิ่งก่อตั้งขึ้นนี้สามารถเทียบได้หรือไม่ ? พวกเขาเลือกที่จะแสดงตัวในลักษณะนี้ก็เพื่อที่จะแสดงความเหยียดหยาม เพราะสุดท้ายแล้ว ยมโลกแห่งใหม่ที่อยู่ในสภาพที่น่าสังเวชและถูกปกครองโดยเด็กเหลือขอที่สถาปนาตัวขึ้นเป็นจ้าวนรก มีสิทธิ์อะไรมาเรียกตัวพวกเขากลับมาในฐานะของยมทูต ?
จะบอกว่าตัวเองพยายามอย่างหนักอย่างนั้นหรือ ?
แม้แต่ความร่ำรวยและระดับพลังของพวกเขาก็ยังเหนือกว่าฉินเย่อยู่ดี ดังนั้นความพยายามของเด็กหนุ่มจะไปมีประโยชน์อะไร ? ในเมื่อพวกเขายอมไว้หน้าอีกฝ่ายแล้ว คนตรงหน้าก็ควรจะทำตัวเชื่อฟังและลบชื่อของพวกเขาออกจากบันทึกนรกซะ ไม่เช่นนั้นก็อย่ามาโทษพวกเขาที่จะเดินมาเคาะประตูและตบหน้าฉินเย่อย่างแรงก็แล้วกัน
“เจ้าโกรธหรือไม่ ?” อาร์ทิสหันไปหาฉินเย่ เห็นได้ชัดเจนว่านางพยายามข่มเปลวไฟแห่งความโกรธภายในใจของตัวเองอย่างสุดความสามารถ
มีเพียงพวกนางเท่านั้นที่รู้ว่าตนเองได้เสียสละไปมากเพียงใดเพื่อที่จะพัฒนายมโลกแห่งใหม่ให้มาได้ไกลถึงขนาดนี้
ในความเป็นจริง มันสามารถพูดได้เลยว่าพวกนางทุ่มสุดตัวเพื่อฟื้นฟูนรก แม้ว่าจะหวาดกลัวความตาย ฉินเย่ก็ยังให้ความสำคัญกับยมโลกและเข้าสู้ในแนวหน้าในการต่อสู้ที่ช่องแคบสึชิมะ เขายอมแม้กระทั่งปะทะกับขนนกทมิฬจากโลกใต้พิภพแห่งอื่นเพียงเพื่อที่จะแย่งชิงวิญญาณของกู่ชิงและรักษาผู้มีพรสวรรค์คนแรกของยมโลกเอาไว้ได้ แต่ข้าราชการศักดินาที่ยังมีชื่ออยู่ในบันทึกนรกเหล่านี้กลับยังไม่พอใจ ! ความโลภของพวกเขานั้นไร้ซึ่งขอบเขตอย่างแท้จริง !
“ความคิดเพียงอย่างเดียวในหัวของพวกเขาก็คือการที่พวกเขารอดพ้นจากเงื้อมมือของพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์นั้นหมายความว่าการดำรงอยู่ของพวกเขาได้รับการยอมรับ แต่พวกเขาไม่คิดเลยหรือว่าการที่ชื่อของพวกเขายังคงปรากฏอยู่ในบันทึกนรกนั้นหมายความว่าอย่างไร ?!” สีหน้าของอาร์ทิสเคร่งขรึม นางกัดฟันและเอ่ยออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยว “เจ้าพวกเนรคุณ… ไม่คิดเลยว่าหลังจากผ่านไปเพียงร้อยปี จิตใจและความคิดของพวกเขาจะเปลี่ยนแปลงไปมากถึงเพียงนี้… มันจะอวดดีเกินไปแล้ว !”
[1] ปัจจุบันชื่อหมู่เกาะโมลุกกะ ในประเทศอินโดนีเซีย