ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 346: การประชุมราชสำนัก (1)
บทที่ 346: การประชุมราชสำนัก (1)
ไม่มีป่าไม้ให้เห็น
ไม่สิ ต้องบอกว่ามันไม่มีต้นไม้เหลืออยู่ให้เห็นถึงจะถูกมากกว่า
ทั้งหมดที่เหลืออยู่มีเพียงที่ดินขนาดใหญ่ที่เป็นพื้นที่ก่อสร้าง
งานก่อสร้างถูกระงับเอาไว้ชั่วคราว แต่ถึงกระนั้น นั่งร้าน เครื่องจักรและอุปกรณ์มากมาย และแม้แต่ปั้นจั่นขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ก็ทำให้พวกเขาสามารถจินตนาการภาพการทำงานอย่างขันแข็งที่เกิดขึ้นทุกวันในยมโลกได้อย่างง่ายดาย
ที่นี่คือยมโลกอย่างนั้นหรือ ?
ที่นี่คือยมโลกแห่งใหม่จริง ๆ น่ะหรือ ? โลกใต้พิภพที่เพิ่งก่อตั้งขึ้นไม่ถึงปีเนี่ยนะ ?!
หลิวอวี้ตกตะลึงเป็นอย่างมาก เขาถูกโจมตีด้วยภาพ จิตใจ และอารมณ์ความรู้สึกในเวลาเดียวกัน อานุภาพของมันก็รุนแรงจนพัดพาสติของเขาหายไปจนหมด และเหลือทิ้งไว้เพียงความตื้อชาจากผลกระทบนั้น ในเสี้ยววินาทีต่อมา เขาก็ถูกสาดซัดด้วยคลื่นสึนามิแห่งความตกตะลึงที่พุ่งออกมาจากก้นบึ้งของจิตใจ
นี่เป็นเพราะเขาเห็นประตูนรก ตามหลักการแล้ว ประตูนรกควรจะเป็นสิ่งเดียวที่ควรจะมีอยู่ในยมโลกตอนนี้ นี่คือกลไกเริ่มต้นและยมโลกก็คงจะถือว่าทำได้ดีมากทีเดียวหากพวกเขาสามารถรักษาความเรียบร้อยและป้องกันเหล่าวิญญาณตัวปัญหาได้ แต่ตอนนี้…
มันกลับไม่มีวี่แววของการก่อจลาจลเลยแม้แต่น้อย ! สิ่งเดียวที่เขาเห็นก็คือแถวของผู้ตรวจสอบอดีตกรรมที่นั่งอยู่ประจำที่ของตนด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
นอกจากนี้ เบื้องหน้าของเขาไม่ได้มีแต่ประตูนรกเท่านั้น เขายังสามารถบอกได้ด้วยว่ามีอาคารสีขาวราวหิมะถูกสร้างขึ้นข้าง ๆ ประตูนรก รูปแบบและลักษณะของมันนั้นแตกต่างไปจากที่พวกเขาเคยพบเห็นอย่างสิ้นเชิง และมันก็ดึงความสนใจของขั้นตุลาการนรกทั้งหมดได้ในทันที ดวงตาของพวกเขาจับจ้องสิ่งก่อสร้างรูปร่างแปลกประหลาดตรงหน้าอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะละสายตาจากมันในที่สุด
“นี่มัน… เป็นไปได้อย่างไร ?” ในที่สุดหลิวอวี้ก็สามารถดึงตัวเองกลับมาได้หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ เขาอดไม่ได้ที่จะนึกถึงครั้งแรกที่ตนได้พบกับฉินเย่ ตอนที่ตนได้ทราบถึง GDP การเจริญเติบโตของยมโลก หลังจากการพบเจอครั้งนั้น สิ่งแรกที่เขาทำก็คือการหาความหมายของคำว่า GDP ก่อนจะเย้ยหยันกับการอวดอ้าง 1000% ของอีกฝ่าย นับตั้งแต่ตอนนั้น เขาก็เริ่มมองว่าฉินเย่เป็นพวกอวดดีที่ชอบพูดจาโอ้อวดความสำเร็จของตัวเองให้ใหญ่โตกว่าเดิมถึงสิบเท่า
แต่ตอนนี้ที่ได้เห็นทุกอย่างด้วยตาของตัวเองเขาก็ค้นพบว่า… 1000% ที่อีกฝ่ายอ้างนั้นอาจจะเป็นความจริง…
ช่างน่ากลัวอะไรเช่นนี้…
ฉินเย่ได้เปลี่ยนดินแดนรกร้างให้เป็นพื้นที่ก่อสร้างขนาดใหญ่ มันไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะจินตนาการว่ายมโลกจะเจริญเติบโตมากเพียงใดทันทีที่งานก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์และสิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐานของประชาชนเข้าที่เข้าทาง แต่… ทั้งหมดนี้เป็นไปได้อย่างไรกัน ?
“ชากัน…” มันอาจดูเหมือนว่าหลิวอวี้กำลังลูบเคราของตนเองเบา ๆ แต่แท้จริงแล้วคือเขากำลังกำเคราของตัวเองแน่น เสื้อคลุมสีทองปักลายมังกรที่เขาสวมอยู่ได้รับการตัดเย็บมาอย่างดีเพื่อการประชุมราชสำนักในครั้งนี้โดยเฉพาะ มันหรูหรา แต่กลับไม่สามารถทำให้หัวใจที่เย็นยะเยือกของเขาอบอุ่นขึ้นได้เลยแม้แต่น้อย
“ว่าอย่างไร…” ชากัน ชายผู้โด่งดังตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่เลื่อนลอยไม่แพ้กัน สิ่งที่หลิวอวี้มองไม่เห็นก็คือข้อเท็จจริงที่ว่าสายตาของชากันยังคงจับจ้องไปที่พื้นที่ก่อสร้าง ประชากรวิญญาณที่อยู่โดยรอบ รวมถึงหอประชุมที่ตั้งอยู่ข้าง ๆ ประตูนรก
เขาแพ้แล้ว…
ทุ่งหญ้าของเขา… ถูกยมโลกแห่งใหม่ก้าวข้ามไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว !
เขาไม่ได้หมายถึงความหรูหราแต่หมายถึงขอบเขตการพัฒนา ความเชื่อมั่นในจักรวรรดิมองโกลของเขานั้นซึมลึกเข้าไปในกระแสเลือด เขายึดถือความเชื่อและเป้าหมายของจักรวรรดิ และเลือกที่จะตั้งกระโจมทองของตัวเองอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำ แต่นอกเหนือจากขนาดที่ใหญ่เท่าเมืองของกระโจมแล้ว พื้นที่ส่วนที่เหลือของรัฐบริวารของเขาล้วนปกคลุมด้วยทุ่งหญ้ากว้าง และความเร็วในการพัฒนาของมันก็ไม่สามารถเทียบกับยมโลกแห่งใหม่ได้เลยแม้แต่น้อย !
“เจ้า… ในตอนนั้น เจ้าใช้เวลานานเพียงใดกว่าจะสามารถควบคุมดินแดนและได้รับความเชื่อมั่นจากประชาชน ?”
ชากันครุ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบออกมา “45 ปี 15 ปีแรกหมดไปกับการปราบปรามการก่อจลาจลและการปฏิวัติ”
“เช่นนั้น… เจ้าลองดูนั่น…” หลิวอวี้ชี้ไปยังจุดที่ประชากรวิญญาณที่กำลังซ่อนตัวอยู่ในพื้นที่ก่อสร้างและป่าไม้ชะโงกหน้าออกมามองดูเหล่าข้าราชการศักดินาด้วยความตื่นเต้นเป็นอย่างมาก
ชากันรู้สึกเจ็บที่ดวงตาขึ้นมาทันที
ในความคิดของพวกเขา โลกใต้พิภพที่เพิ่งก่อตั้งขึ้นใหม่ควรจะเต็มไปด้วยวิญญาณที่สิ้นหวัง สับสน และบ้า ๆ บอ ๆ
แต่ทำไมเหล่าวิญญาณในยมโลกกลับดูเต็มไปด้วยความหวัง ความเชื่อมั่น และความพึงพอใจแบบนี้ ?
“นี่เขา… สามารถได้รับความไว้วางใจจากประชาชนของตัวเองแล้วอย่างนั้นหรือ ?” กล้ามเนื้อบริเวณใบหน้าของช้ากันกระตุกอย่างไม่สามารถควบคุมได้ เขากัดฟันแน่นและหันไปหาหลิวอวี้ และก็พบว่าอีกฝ่ายเองก็มีสีหน้าเดียวกันกับตนเช่นกัน
ไม่ได้แล้ว…
พวกเขาจะรอนานกว่านี้อีกไม่ได้แล้ว !
ด้วยความเร็วเท่านี้ มันน่าจะใช้เวลาไม่ถึง 50 ปีก่อนที่ยมโลกแห่งใหม่จะตามพวกเขาทัน และหากโชคเข้าข้าง อีกฝ่ายอาจจะสามารถกลับมาควบคุมทั้งทวีปตะวันออกได้ในเวลาไม่ถึง 100 ปีด้วยซ้ำ ! หากพวกเขาไม่รีบแยกตัวออกในตอนนี้ พวกเขาอาจจะไม่มีโอกาสที่จะทำเช่นนั้นอีกในการประชุมราชสำนักครั้งต่อไป !
นี่คือจังหวะที่ดีที่สุดที่พวกเขามี ตอนนี้มีกองกำลังทหาร 100,000 นายยังอยู่ด้านนอก ดังนั้นจ้าวนรกองค์ใหม่ก็น่าจะพิจารณาข้อเสนอของพวกเขาอย่างจริงจัง แต่ในอีกด้านหนึ่ง หากพวกเขายั้งเอาไว้ พวกเขาก็อาจจะไม่มีวันที่จะได้อยู่ในสถานะที่เท่าเทียมกันกับยมโลกอีกแล้ว !
ไม่คิดเลยว่าประตูสู่ความเป็นอิสระในอนาคตของพวกเขาจะถูกปิดลงอย่างรวดเร็วเช่นนี้… ก่อนที่พวกเขาจะเข้ามาสู่ยมโลกแห่งใหม่ พวกเขาคาดการณ์ว่ายมโลกจะต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อย 300 ปีก่อนที่มันจะสามารถสร้างภัยคุกคามต่อความเป็นอิสระของเหล่าข้าราชการศักดินาคนอื่น ๆ ได้ แต่หลังจากที่ได้เห็นทั้งหมดนี้ พวกเขาก็รู้ได้ทันทีว่าตนไม่สามารถนิ่งนอนใจได้อีกต่อไป ไม่สามารถแม้แต่รอให้ถึงการประชุมราชสำนักครั้งต่อไปมาถึง !
พวกเขาจะต้องทำให้ยมโลกแห่งใหม่ยอมลบชื่อของพวกเขาออกจากบันทึกตั้งแต่ครั้งนี้ให้จงได้ !
ชากันหันหลังกลับไป ในขณะที่หลิวอวี้ใช้โอกาสนี้ในการหันกลับไปมองสีหน้าของคนอื่น ๆ และสีหน้าของเขาก็ต้องเคร่งขรึมลง
ใบหน้าที่อยู่ภายใต้ผ้าปิดหน้าสีเขียวของเกาฉางกงเองก็มีสีหน้าตกตะลึงเช่นกัน แต่มันก็ไม่สามารถปกปิดการถูนิ้วมืออย่างขุ่นเคืองของเขาได้
ทุกอย่างกลับตาลปัตรไปหมด… ความคิดเกี่ยวกับระยะเริ่มต้นที่แร้นแค้นของยมโลกถูกหักล้างด้วยภาพที่ยิ่งใหญ่ตรงหน้า
“ยมโลกแห่งใหม่… สามารถประสบความสำเร็จได้มากมายขนาดนี้ภายในระยะเวลาเพียงครึ่งปี… นี่มันเป็นไปได้อย่างไรกัน…” เขาพึมพำกับตัวเองขณะที่มองไปยังพื้นที่ก่อสร้างและเครื่องมือจำนวนมาก จากนั้น ราวกับนึกได้ถึงเรื่องสำคัญบางอย่าง เขารีบหันกลับไปมองฉินเย่ทันที
สีหน้าของฉินเย่ยังคงเย็นชาดังเดิม แต่ในเวลานี้ มันกลับดูเหมือนกำลังเยาะเย้ยพวกเขาอยู่
พวกท่านคิดว่ายมโลกแห่งใหม่สมควรจะเป็นแบบใดกัน ?
ขอโทษด้วย แต่มันแตกต่างไปจากที่พวกท่านคิดอย่างสิ้นเชิง !
“เขา… กำลังเอาคืนเรา…” เขาถอนหายใจออกมาเบา ๆ นี่มันไม่ต่างอะไรกับสิ่งที่พวกเขาทำกับเด็กหนุ่มเมื่อครู่นี้เลยสักนิด ฉินเย่ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมามากนักในตอนนั้น และเกาฉางกงก็ตีความได้ว่ามันคือความอ่อนแอ แต่นอกเสียจากระงับความโกรธของตนเองเอาไว้ ฉินเย่จะสามารถทำอะไรได้อีกในตอนนั้น ?
ปะทะกับคนทั้งหมดอย่างนั้นหรือ ?
ไร้สาระ แม้แต่กองกำลังทหารของโลกใต้พิภพที่มีอยู่มานานหลายร้อยปีก็สามารถจัดการกองกำลังทั้งหมดของยมโลกแห่งใหม่ได้อย่างง่ายดาย
แต่สิ่งที่น่าประหลาดใจที่สุดก็คือข้อเท็จจริงที่ว่าการโต้กลับนั้นเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและชัดเจน
พวกท่านอาจจะใช้กองกำลังทหารเอาชนะข้าได้ แต่ข้าก็สามารถใช้ความรวดเร็วในการพัฒนาและเจริญเติบโตของยมโลกเอาชนะพวกท่านได้เช่นกัน และเมื่อยมโลกเติบโตถึงขีดสุด ข้าก็จะจัดการพวกท่านทั้งหมดในคราวเดียว ! การได้เปรียบเชิงตัวเลขในตอนเริ่มต้นจะไปมีประโยชน์อะไร ?
ดังนั้น ด้วยเหตุผลแปลกประหลาดบางประการ เกาฉางกงรู้สึกเสียวสันหลังวาบทันทีที่เขาสบตากับฉินเย่
และมันก็ไม่ใช่เขาเพียงคนเดียว แต่กั๋วจื่ออี้ หม่าฝูโปว ฉางเย่ชุน และฮั่นฉินหูที่สวมชุดเสื้อผ้าอันหรูหราเองก็มีท่าทีเดียวกัน ความเงียบที่แปลกประหลาดเกิดขึ้นในหมู่ข้าราชการศักดินาทั้งหมด
ฉางเย่ชุนสวมมงกุฎสีม่วงอยู่บนศีรษะ และเสื้อคลุมปักลายอสรพิษ และเขาก็คงจะดูเหมือนใจเย็นเป็นอย่างมากหากไม่ใช่เพราะข้อเท็จจริงที่ว่าเขากำลังกำเข็มขัดหยกของตัวเองแน่น
ไม่มีผู้ใดรู้ แต่ภายในใจของเขาเกิดสั่นเทาขึ้นมาครู่หนึ่งกับภาพที่เพิ่งได้เห็น
หลิวอวี้ได้ซื้อการสนับสนุนของเขาด้วยเงินจำนวนมาก เดิมทีฉางเย่ชุนนั้นไม่ได้รู้สึกอย่างไรกับการเรียกตัวในครั้งนี้ เขาไม่ได้อยู่ฝ่ายใดเป็นพิเศษ แต่ตอนนี้ ความรู้สึกสำนึกผิดกลับเริ่มหยั่งรากลึกลงในใจของเขาอย่างช้า ๆ
หากยมโลกแห่งใหม่นั้นแร้นแค้นและยากจนอย่างที่ทุกคนคาด และหากยมโลกแห่งใหม่ไม่สามารถนำมรดกจากยมโลกแห่งเก่ากลับมาได้ การพัฒนาของมันก็น่าจะใช้เวลาอีกอย่างน้อย 200 ปี และจากนั้นมันก็ต้องใช้เวลาอีกประมาณ 300 ปีก่อนที่มันจะสามารถเทียบชั้นกับข้าราชการศักดินาได้ จากนั้น เว้นแต่ว่ายมโลกแห่งใหม่จะได้รับพรจากสวรรค์ พวกเขาก็จะต้องใช้เวลาอีกหลายร้อยปีในการรวบรวมกองกำลังทหารที่มีพลังมากพอที่จะสามารถต่อกรกับราชทูตทั้ง 12 ได้ในคราวเดียว และมันก็คงใช้เวลานานอย่างไม่สามารถคาดเดาได้
แต่ด้วยความเร็วในการพัฒนาของยมโลกแห่งใหม่ในเวลานี้… มันอาจจะใช้เวลาเพียงแค่ 50 หรือ 100 ปีเท่านั้นด้วยซ้ำ…
จนกว่าจะถึงตอนนั้น ไม่ใช่ว่ายมโลกจะสามารถทวงคืนดินแดนที่สูญเสียไปกลับคืนมาได้อย่างนั้นหรือ ? พวกเรากำลังพูดถึงจำนวนประชากรกว่า 1.5 พันล้าน พวกเขาที่เป็นข้าราชการศักดินาทั้ง 12 จะสามารถต่อกรกับตัวเลขเหล่านี้ได้อย่างไร ? ไม่สิ… ตอนนี้ในฝั่งของพวกเขามีกันอยู่แค่เจ็ดคนเท่านั้น
เช่นนั้น… พวกเขาควรตอบสนองต่อสถานการณ์ในตอนนี้อย่างไร ?
สิ่งที่เกิดขึ้นได้สร้างความปั่นป่วนขึ้นภายในใจของพวกเขาอย่างมหาศาล
ภาพของยมโลกแห่งใหม่นั้นน่าตกตะลึงไปอย่างมาก แต่ฉินเย่เพียงยืนอยู่กับที่ของตน มองดูความตกตะลึงและปฏิกิริยาตอบสนองเล็กน้อยอื่น ๆ ของคนทั้งหมดอย่างเงียบ ๆ ตกใจอย่างนั้นหรือ ? …สิ่งที่จะตามมามันจะยิ่งกว่านี้เสียอีก เขาพยายามอย่างหนัก หนักจนต้องยอมละทิ้งตัวตนปกติของตัวเองไปเพื่อที่จะทำให้ยมโลกมาสู่จุดที่เป็นอยู่ในตอนนี้ คนพวกนี้คิดว่าเขาจะยอมกักเก็บทุกสิ่งทั้งอยู่ที่มีเพียงเพราะได้เห็นมีท่าทีตกตะลึงพวกนี้หรืออย่างไร ?
เขาจะทำให้คนเหล่านี้ได้ชดใช้กับคำพูดเมื่อครู่นี้ทั้งหมด
ความเงียบกินเวลากว่า 15 นาทีเต็ม ในที่สุดฉินเย่ก็เอ่ยขึ้น “ข้าราชการศักดินาผู้สูงศักดิ์ทุกท่าน ยมโลกแห่งใหม่ของเราควรค่าแก่ความคาดหวังของพวกท่านหรือไม่ ?”
คนทั้งหมดกลับมาได้สติอีกครั้ง อวี๋เชียนและหยางจีเย่ตัวสั่นเทาด้วยความตื่นเต้น และทั้งคู่ก็หันไปมองฉินเย่ด้วยเปลวไฟที่ลุกโชนอย่างบ้าคลั่งในส่วนลึกของดวงตา
“เป็นเช่นนั้นแน่นอน !!!” เสียงของอวี๋เชียนแอบพร่าด้วยความตื่นเต้น มันเหมือนกับตอนที่รัฐมนตรีผู้มีชื่อเสียงได้พบกับผู้ปกครองผู้มีความสามารถ ส่งเสริมกันและกันอย่างลงตัว ร่างสูงวัยของเขาเต็มไปด้วยพละกำลังและความกระตือรือร้น เขาคุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้น “พระองค์ทรงเปี่ยมด้วยพระปรีชาสามารถและความสูงศักดิ์ ข้าขอแสดงความยินดีกับความสำเร็จของยมโลกแห่งใหม่ด้วยใจจริง !!”
หยางจีเย่เองก็รีบเอ่ยตามมาติด ๆ “การพัฒนาอย่างรวดเร็วของยมโลกแห่งใหม่นั้นอยู่เหนือจินตนาการทั้งหมดของข้าไปโดยสิ้นเชิง ข้าประเมินเจตจำนงของฝ่าบาทต่ำเกินไป ข้า… ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะมอบชีวิตทั้งหมดให้ยมโลก !”
ฉินเย่พยักหน้าและมองคนอื่น ๆ ด้วยสายตาล้ำลึก “ทุกท่าน เราไปนั่งและคุยกันดี ๆ เถิด เรื่องทุกอย่างยังสามารถพูดคุยกันได้”
เขายังคงใช้ความพยายามสุดท้าย
เพราะท้ายที่สุดแล้ว หากพวกเขาแยกตัวออกจากกัน ผลลัพธ์ที่ออกมาก็มีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น และมันก็คือไปเผชิญหน้ากันในสนามรบ
ดังนั้นตราบใดที่พวกเขาล้มเลิกความคิดที่จะแยกตัวออกจากยมโลกในตอนนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างก็ยังสามารถแก้ไขผ่านการเจรจาต่อรองในอนาคตได้
มันเป็นที่รู้กันแล้วว่าตี้ทิงและสมุดแห่งความเป็นตายนั้นอยู่ที่ยมโลกแห่งใหม่ และพวกเขาก็ทำได้แค่คาดเดาเท่านั้นว่าอำนาจทางการทหารของยมโลกในเวลานี้นั้นอยู่ที่จุดใด การไม่ลงมืออะไรในตอนนี้จะทำให้พวกเขามีชีวิตอยู่และเลื่อนการตัดสินใจออกไป แต่หากพวกเขาก่อสงครามกับยมโลกในตอนนี้ มันก็มีแต่จะได้รับความเสียหายทั้งสองฝ่าย
พวกเขากำลังต้องเลือกระหว่างความเป็นและความตาย และแน่นอน… ไม่มีผู้ใดอยากเลือกความตาย
เงียบ
ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมา
ฉินเย่เองก็ไม่ได้เร่งขอคำตอบจากคนทั้งหมดเช่นกัน มันใช้เวลากว่าสามนาทีเต็มก่อนที่ฉางเย่ชุนจะก้าวออกมาและเอ่ย “ฝ่าบาท ไม่ทราบว่าวาระการประชุมในครั้งนี้มีเรื่องใดบ้าง ?”
“ฉางเย่ชุน ?! นี่มันหมายความว่าอย่างไร ?!!”
“ฉางเย่ชุน สยามนั้นเป็นดินแดนแห่งความมั่งคั่งที่แสดงถึงผลผลิตจากการร่วมงานของเรา ! นี่เจ้ากำลังคิดจะยกมันให้ผู้อื่นเช่นนั้นหรือ ?!”
หลิวอวี้และชากันรีบเอ่ยออกมาทันทีที่ได้ยินอีกฝ่ายเอ่ย
จะไม่ให้พวกเขาตกใจได้อย่างไร ?
อัตราการเจริญเติบโตของยมโลกแห่งใหม่นั้นไม่ธรรมดาเลย… มันมากจนแม้แต่ข้าราชการศักดินาบางตนรู้สึกราวกับว่าตนถูกคุกคาม แต่พวกเขาก็รู้ดีว่าความคุกคามนี้ยังไม่ได้สร้างอันตรายให้กับพวกเขาในตอนนี้ ดังนั้น เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความเย้ายวนของการได้เป็นกษัตริย์ปกครองดินแดนของตัวเอง พวกเขา… พร้อมที่จะยอมเสี่ยงทุกอย่างที่มีเพื่อมัน!
แต่จู่ ๆ เจ้าลังเลอย่างนั้นหรือ ? ต้องการที่จะพุ่งทะยานไปด้วยตัวคนเดียว ? นี่เจ้าจะยอมแพ้แล้วอย่างนั้นหรือ ?
ชากันเงียบไป ถอนหายใจออกมาเบา ๆ ขณะที่มอบไปรอบ ๆ ยมโลกแห่งใหม่
“ท่านฉิน” สีหน้าของหลิวอวี้เคร่งขรึมลง เขาไม่คาดคิดเลยว่าตนจะได้รับการโต้กลับจากยมโลมแห่งใหม่อย่างรวดเร็วและรุนแรงเช่นนั้น !
…ปล่อยให้การกระทำสำคัญกว่าคำพูด เหนือสิ่งอื่นใด หลิวอวี้รู้ดีว่ายิ่งปล่อยทุกอย่างไว้นานมากเท่าไหร่ ความยากในการที่จะแยกตัวออกจากยมโลกก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น
“ข้าแน่ใจว่าท่านจ้าวนรกคงจะรู้ถึงเจตนาในการเดินทางมาของพวกเราในวันนี้เป็นอย่างดี” เขาสะบัดแขนเสื้อของตัวเองและเอ่ยต่อเสียงเรียบ “ยมโลกแห่งใหม่เพิ่งก่อตั้งขึ้น และไม่มีอำนาจที่จะสามารถควบคุมทวีปตะวันออกได้อีกต่อไป นครเฟิงตูคือสิ่งที่มีอยู่เพียงชื่อเท่านั้น และในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราทั้งหมดจึงเลือกที่จะไปตามทางของตัวเอง…”
เขาสบตากับฉินเย่นิ่งก่อนจะเอ่ยทุกอย่างออกมาอย่างชัดเจน “ข้าต้องการที่จะลงนามสนธิสัญญาว่าด้วยเรื่องของการไม่รุกรานอาณาเขตกับทางยมโลก และแยกตนออกเป็นเอกราชอย่างสมบูรณ์”
เขาไม่คิดเลยว่าสถานการณ์จะพลิกผันไปอย่างรวดเร็วเช่นนี้ เขาจะสามารถแน่ใจได้จริง ๆ น่ะหรือว่าคนอื่น ๆ ที่เหลือจะไม่ลังเลในการประกาศตนเป็นเอกราช ? เพราะแม้แต่ฉางเย่ชุนก็เริ่มแสดงสัญญาณว่าเสียใจและสำนึกผิดให้เห็นแล้วไม่ใช่หรือ ? แถมอีกฝ่ายยังเป็นคนแรกที่เริ่มแสดงท่าทีที่อ่อนลงต่อจ้าวนรกแห่งยมโลกแล้วด้วย !! พวกเขาไม่คิดเลยว่าสถานะที่เท่าเทียมที่พวกเขาได้มาจากการคุกคามที่น่าสะพรึงกลัวของทหารวิญญาณ 100,000 นายที่รออยู่ด้านนอกจะหายไปทันทีที่ก้าวเข้ามาในยมโลกแห่งใหม่ ?!!