ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 347: การประชุมราชสำนัก (2)
บทที่ 347: การประชุมราชสำนัก (2)
หากสงครามคือการปะทะระหว่างความมั่งคั่ง
การพัฒนาและการเจริญเติบโตก็คือแหล่งของความมั่งคั่ง
ฝ่ายที่พัฒนาเศรษฐกิจได้เร็วกว่าย่อมมีศักยภาพในการทำสงครามสูงกว่า แม้ว่าพวกเขาจะไม่สามารถจัดการกับคู่ต่อสู้ของตัวเองได้ในคราวเดียว แต่พวกเขาก็ยังสามารถทำให้ฝ่ายตรงข้ามตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากได้
หลิวอวี้ไม่ต้องการจะเปิดโอกาสให้คนอื่น ๆ เกิดความลังเลขึ้นมาได้ แต่เขาไม่ได้ตระหนักเลยว่าหากเขามั่นใจในตัวเองจริง เขาจะไม่มีทางกลัวว่าฉางเย่ชุนจะหักหลังตนเอง
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ เขามีความกลัวอยู่ในใจ
เขาต้องการหาทางออกให้ตัวเอง เพราะท้ายที่สุดแล้ว หากข้าราชการศักดินาทั้งเจ็ดประกาศเอกราชพร้อมกัน บางที อาจเป็นกรณีที่เลวร้ายที่สุดที่ยมโลกมีอำนาจขึ้นมาภายในร้อยปี พวกเขาก็อาจจะสามารถหลุดรอดไปได้ด้วยการร่วมมือกัน เพราะไม่ว่าอย่างไร กฎก็ไม่สามารถเอาชนะเสียงข้างมากได้
ฉินเย่ยังคงมองคนทั้งหมดด้วยสายตาที่ล้ำลึก สังเกตสีหน้าและปฏิกิริยาของทุกคนตั้งแต่ที่พวกเขาก้าวเข้ามาในยมโลก
ความพยายามตลอดครึ่งปีที่ผ่านมาของเขาไม่สูญเปล่า… เด็กหนุ่มถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ท้ายที่สุด ความประทับใจแรกที่มีต่อยมโลกแห่งใหม่นั้นไม่ต่างอะไรกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ส่งผลกระทบกับจิตใจของพวกเขาเป็นอย่างมาก ตอนนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว ราชทูตทั้ง 12 เริ่มมองจ้าวนรกของยมโลกในมุมมองใหม่ ! แม้แต่ตัวตั้งตัวตีอย่างหลิวอวี้เองก็เริ่มวางแผนสำรองโดยไม่รู้ตัว !
ฉินเย่ไม่สามารถคาดเดาความคิดของคนทั้งหมดได้เลยแม้แต่น้อย หากพวกท่านกังวลเกี่ยวกับอนาคต เหตุใดถึงยังยืนกรานที่จะแยกตัวออกไป ?
โง่หรือเปล่า ?
“ฝ่าบาท… พวกเขาไม่ได้โง่” ทันใดนั้นเอง เสียงหนึ่งก็ดังมาจากด้านหลัง แทบจะเหมือนกับว่าผู้พูดได้ยินความคิดภายในหัวของเขา “หากท่านลองมองย้อนกลับไปในสมัยของราชวงศ์ต่าง ๆ ของจีน ท่านจะพบว่ามีเจ้าเมืองของรัฐบริวารจำนวนมากที่วางแผนก่อกบฏ แม้แต่ผู้ใต้บังคับบัญชาของจักรพรรดิผู้มีชื่อเสียงอย่างจักรพรรดิหย่งเล่อและจักรพรรดิคังซีเองก็กล้ามีความคิดที่จะปฏิวัติเจ้าเหนือหัวของพวกเขา ทั้งหมดนี้เกิดจากความมืดบอดของจิตใจของตัวพวกเขาเอง เพราะสุดท้ายแล้ว ความอ่อนแอที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของคนเราก็คือความปรารถนาภายในใจของตัวเอง”
อวี๋เชียนเดินเข้ามาด้านข้างของฉินเย่และโค้งคำนับด้วยความเคารพยิ่ง ก่อนจะเอ่ยต่อ “พวกเขายังคงดึงดันต่อไปแม้จะรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ ตามประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ไม่มีรัฐบริวารใด ๆ ที่เคยถูกจู่โจมโดยจีน แม้ว่าพวกเขาจะก่อจลาจลก็ตาม ด้วยเหตุนี้ ในความคิดของพวกเขา การยึดครองดินแดนและประกาศตนเป็นเอกราชจากยมโลกจึงไม่ใช่การดูหมิ่นอำนาจของยมโลกเลยแม้แต่น้อย นี่คือเหตุผลว่าเหตุใดพวกเขาจึงต้องการที่จะจำกัดอิสรภาพของตนไว้เพียงในขอบเขตของรัฐ ในความคิดของพวกเขา สิ่งนี้ไม่นับว่าเป็นการปฏิวัติเลยด้วยซ้ำ กลับกัน พวกเขาเพียงขอให้ตนเป็นอิสระจากกฎเกณฑ์และข้อบังคับของยมโลกเท่านั้น”
ฉินเย่แสยะยิ้ม “แต่พวกเขาลืมไปแล้วหรือว่ารัฐบริวารที่พวกเขาปกครองอยู่เหล่านั้นล้วนเป็นของยมโลกอยู่แล้ว ?”
อวี๋เชียนรีบตอบกลับทันที “ยมโลกนั้นโชคดีที่มีกษัตริย์ที่มีความทะเยอทะยานและมองการณ์ไกล ! แต่หัวใจของมนุษย์นั้นไม่สามารถคาดเดาได้ และพวกเราก็กำลังพูดถึงราชทูตที่ครั้งหนึ่งเคยมีชื่อเสียงและเสียชีวิตลง หรือแม้แต่จักรพรรดิ ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม พวกเขาล้วนเป็นผู้กุมชะตาชีวิตของตนเอง และอำนาจในการควบคุมดังกล่าวก็สำคัญกับพวกเขามากจนกลายเป็นความลุ่มหลงแม้ว่าจะตายไปแล้ว ไม่เช่นนั้น พวกเขาจะสามารถกลายเป็นวีรบุรุษที่น่ากลัวในตอนตายได้อย่างไร ? เหตุผลนั้นไม่สามารถใช้กับคนเหล่านี้ได้ พระองค์ทรงคิดจริง ๆ หรือว่าพวกเขาไม่เข้าใจถึงความหมายแฝงของการก่อตั้งขึ้นใหม่ของยมโลก ? พระองค์ทรงคิดจริง ๆ หรือว่าพวกเขาจะมองข้ามความเป็นไปได้ที่ยมโลกจะกลับไปรุ่งโรจน์ในอีกเวลาไม่ถึง 100 ปีด้วยความเร็วในการพัฒนานี้ ? ถึงแม้ว่าจะรู้อย่างนี้ พวกเขาก็ยินดีที่จะเสี่ยง”
“เพราะท้ายที่สุดแล้ว โอกาสที่พวกเขามีอยู่ในตอนนี้ก็ดูไม่แย่มากนัก” หยางจีเย่เองก็เดินมาหยุดตรงหน้าของฉินเย่และคุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้น ถัดจากอวี๋เชียน “เจ้าศักดินาแห่งลูซอน หยางจีเย่ คารวะจ้าวนรกแห่งยมโลก”
หลังจากนั้น พวกเขาก็เดินไปอยู่ด้านหลังของฉินเย่ แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าตนยืนอยู่ฝั่งใด !
โจวกงจิน หวางเมิ่ง และบ้านเจ้ายืนอยู่ด้านข้าง ทิ้งให้หน้าข้าราชการศักดินาทั้งเจ็ดยืนเผชิญหน้ากับฉินเย่ อวี๋เชียน และหยางจีเย่อย่างตรงไปตรงมา ความตึงเครียดปกคลุมไปทั่ว และสายตาที่สบกันของพวกเขาก็พลันเกิดประกายแสงขึ้น
“ท่านฉิน” หลิวอวี้สูดหายใจเข้าช้า ๆ “ท่านได้ตัดสินใจแล้วหรือยัง ?”
ฉินเย่ไม่ตอบออกไปในทันที กลับกัน เขากวาดสายตามองข้าราชการศักดินาทั้งเจ็ดก่อนจะถามออกไป “ใครอีก ?”
“มีใครอีกที่ต้องการจะแยกตัวจากยมโลกและประกาศเอกราช ?”
“พวกเราเองก็เช่นกัน” ชากัน เกาฉางกง และหม่าฝูโปวเอ่ยตอบพร้อมกัน ในตอนที่ยังมีชีวิต พวกเขาทั้งหมดต่างถูกใส่ร้ายและต้องจบชีวิตลงด้วยฝีมือของจักรพรรดิของตนเอง ดังนั้น ฉินเย่จึงได้ตัดทั้งสามออกจากคนที่เขาน่าจะสามารถโน้มน้าวได้ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
แบ่งแยกและเอาชนะ… นี่คือกลยุทธ์ที่ดีที่สุดในเวลาแบบนี้ !
ส่วนผู้ที่เขาสามารถโน้มน้าวได้… ฉินเย่พยักหน้ารับรู้ถึงเจตจำนงของทั้งสามก่อนจะหันไปหาฉางเย่ชุน กั๋วจื่ออี้ และฮั่นฉินหู ทั้งสามยังคงไม่เอ่ยอะไรออกมา พวกเขาไม่ได้ถูกใส่ร้ายหรือทำให้อับอายในชีวิต และพวกเขาก็เป็นเป้าหมายหลักสำหรับความพยายามในการโน้มน้าวใจของฉินเย่
บางทีสวรรค์อาจจะรู้ว่ามันคงจะเป็นเรื่องยากเกินไปสำหรับยมโลกแห่งใหม่ที่จะประจันหน้ากับกองกำลังพันธมิตรของราชทูตทั้ง 12 ดังนั้นพวกเขาจึงตัดสินใจที่จะยื่นมือช่วยยมโลกแทน เพราะในเวลานี้… ข้าราชการศักดินาทั้งสามยังคงนิ่งเงียบเหมือนอย่างที่พวกเขาเป็นมาตั้งแต่แรก !
มันถึงเวลาที่ต้องแสดงจุดยืนแต่พวกเขากลับเลือกที่จะนิ่งเงียบ !
“ฉางเย่ชุน ! กั๋วจื่ออี้ ! ฮั่นฉินหู ! พวกท่าน…” ชากันหันกลับไปมองชายทั้งสามด้วยสีหน้าตกตะลึงระคนโกรธเกรี้ยว พวกเขาไม่คิดเลยว่าทั้งสามจะเปลี่ยนใจในตอนสุดท้าย !
พวกเขาอาจจะยังไม่เลือกฝั่ง แต่ข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขาเกิดความลังเลก็สร้างความหวาดหวั่นให้กับผู้ที่เลือกฝั่งแล้วเป็นอย่างมาก !
“ฉางเย่ชุน ! กั๋วจื่ออี้ ! ฮั่นฉินหู !!” หม่าฝูโปวไม่ได้สูงมากนัก เขาสวมเสื้อคลุมสีแดงปักด้วยลายมังกรและมงกุฎหยกขาวและเข็มขัดสีม่วงของราชวงศ์ เขาสะบัดแขนเสื้อของตัวเองอย่างเดือดดาลขณะเอ่ยต่อ “คนทรยศ… เพียงเพราะข้าไม่ได้เข้าร่วมทำศึกมาเป็นระยะเวลาหนึ่ง พวกเจ้าก็ไม่มีความเคารพข้าเหลืออยู่แล้วอย่างนั้นหรือ?!”
เกาฉางกงจ้องมองคนทั้งหมดเขม็ง “เจ้าทั้งสาม พวกเราทั้งหมดต่างเป็นผู้ที่เคยมีชื่อเสียง ความลังเลใจเหล่านี้ไม่ใช่นิสัยของพวกเราเลยแม้แต่น้อย หากพวกเจ้าต้องการจะฉวยโอกาส พวกเจ้าก็ควรจะทำมันได้ตั้งแต่แรก แต่นี่กลับเกิดลังเลใจในเวลาสุดท้าย ? พวกเจ้าคิดว่าเจ้าชายแห่งหลานหลิงผู้นี้ไม่กล้าสังหารพวกเจ้าอย่างนั้นหรือ ?!”
หลิวอวี้นั้นเงียบไปโดยสมบูรณ์ แต่คนทั้งหมดก็สามารถสังเกตได้ว่าสันกรามของเขาสั่นไปหมดเนื่องจากการกัดฟันอย่างรุนแรง หากพูดกันตามความเป็นจริง มือทั้งสองข้างที่อยู่ภายใต้แขนเสื้อของเขากำเข้าหากันอยู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขามองไปยังคนทรยศทั้งสามและสับร่างของอีกฝ่ายเป็นล้าน ๆ ชิ้นภายในใจของตัวเอง
ทุกอย่างกลายเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร ?
ก่อนที่จะก้าวเท้าเข้ามายังยมโลงแห่งใหม่ เขาไม่คิดเลยว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้น
แต่ทันทีที่เขาเข้ามา ภาพจินตนาการของเขาที่มีแต่ยมโลกก็ถูกทำลายโดยสมบูรณ์ เขามั่นใจ 99% ว่าพวกตนจะได้รับการต้อนรับโดยยมโลกที่รกร้างซึ่งถูกล้อมรอบไปด้วยป่าไม้ และอีก 1% ที่เหลืออยู่นั้นก็ไม่ใช่ความคิดที่ว่าเขาจะถูกต้อนรับด้วยยมโลกที่เจริญแบบนี้เช่นกัน ! ผลกระทบดังกล่าวนั้นรุนแรงเกินไป… รุนแรงจนข้าราชการศักดินาทั้งสามที่ได้ให้คำมั่นว่าจะยืนอยู่ฝั่งเดียวกันกับเขาเริ่มเกิดความลังเล !
“พวกเจ้าทั้งสาม” หลิวอวี้เอ่ยขึ้นในที่สุด “ข้าไม่ต้องการที่จะลงมือกับพวกเจ้า… จงรักษาคำพูดของตนเอง อย่าทำให้ข้าผิดหวัง”
คำพูดของเขานั้นแฝงไปด้วยจิตสังหารอย่างชัดเจน
“ช่างยิ่งใหญ่เสียจริง” หยางจีเย่ก้าวออกมาข้างหน้าและเอ่ยด้วยเสียงเย็นยะเยือก “มีเพียงยมโลกเท่านั้นที่สามารถตัดสินเรื่องของรัฐบริวารของยมโลกได้ แล้วท่าน ที่เป็นเจ้าศักดินาของรัฐบริวาร มีสิทธิ์อะไรมากำหนดว่ารัฐบริวารอื่น ๆ ควรทำสิ่งใด ? หลิวอวี้ ท่านคิดว่าเรายังอยู่ในยุครณรัฐหรืออย่างไร ? จงอย่าก้าวล้ำขอบเขตอำนาจของตนอีก !”
อวี๋เชียนเองก็หัวเราะออกมาเสียงเย็น “เจ้าศักดินาแห่งฮันยาง ข้าคงต้องเตือนความจำเจ้าเสียแล้วว่าชื่อของเจ้ายังคงมีปรากฏอยู่ในบันทึกของยมโลก !! จนกว่าเจ้าจะตัดขาดอย่างยมโลกอย่างเป็นทางการ เจ้ายังคงเป็นวิญญาณของจีนไม่ว่าในความหมายใด ๆ ก็ตาม ! ท่านจ้าวนรกทรงยังไม่เอ่ยอะไรเลยแม้แต่น้อย แล้วเจ้ามีสิทธิ์อะไรถึงทำเช่นนี้ ?!”
ตู้ม !!
ทันทีที่อวี๋เชียนเอ่ย ‘เตือนความจำ’ ของเขาจบ ร่างของหลิวอวี้ก็ระเบิดพลังหยินออกมาจากอย่างรุนแรง มากกว่าที่คนอื่น ๆ สามารถรวบรวมได้ ราวกับคลื่นยักษ์ มันกระจายตัวไปทั่วยมโลกแห่งอย่างรวดเร็ว เหล่าประชากรวิญญาณที่ดูอยู่ต่างกรีดร้องออกมาด้วยความตกตะลึงและทรุดลงกับพื้น แม้แต่ชากัน เกาฉางกง และคนอื่น ๆ ก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงและเผลอก้าวถอยหลังไปโดยไม่รู้ตัว
เขากำลังโกรธ
โกรธมากจริง ๆ
ทุกอย่างไม่เป็นไปตามที่คาด ยมโลกแห่งใหม่อยู่เหนือความคาดหมายของคนทั้งหมด และข้าราชการศักดินาทั้งสามที่เคยให้คำมั่นว่าจะยืนอยู่ข้างเขาก็เปลี่ยนใจในวินาทีสุดท้าย ทำให้ความโกรธที่สั่งสมไว้ในใจของเขามันถึงขีดจำกัดแล้วจริง ๆ!
ฟึ่บ… ตะปูสีดำยาวค่อย ๆ ยืนออกมาจากรอยช้ำบนมือของเขา มงกุฎหยกที่สวมอยู่บนศีรษะระเบิดออกในทันที เส้นผมของเขาสยายไปในอากาศอย่างน่ากลัวขณะที่เสื้อคลุมของเขากระพรืออย่างรุนแรง ศีรษะของเขาสั่นไหวไปมาและหมุน 180 องศาขณะที่จ้องอวี๋เชียนและหยางจีเย่เขม็ง “อวี๋เช่าเป่า หยางจีเย่… พวกเจ้ามีสิทธิ์อะไรมาพูดจาเช่นนี้กับข้า ? เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้าสังหารพวกเจ้าในตอนนี้เลยหรืออย่างไร ?!”
ตู้ม !
ขณะที่เขาพูด ชุดเกราะที่ปกคลุมด้วยเกล็ดก็ปรากฏขึ้นบนร่างของหยางจีเย่ พร้อมด้วยทวนมายาที่เขาแบกไว้ที่หลัง แม้ว่าจะต้องเผชิญหน้ากับชายเพียงผู้เดียวที่ได้ชื่อว่าอยู่ยงคงกระพันในประวัติศาสตร์จีน หยางจีเย่ก็ยังคงยืนหยัดอย่างหนักแน่นและไม่ถอยหลังเลยแม้แต่น้อย !
“เจ้าศักดินาแห่งฮันยาง ท่านกล้ากระทำตัวหยาบคายเช่นนี้ต่อหน้าของจ้าวนรกและต่อว่ายมโลก ท่านคิดว่าตัวเองควรจะถูกลงโทษเช่นไร ?!”
เคร้ง ! การปะทะกันอย่างรุนแรงระหว่างวิญญาณขั้นตุลาการนรกสองตนทำให้เกิดเสียงดังไปทั่ว ในขณะเดียวกันเกาฉางกงเพียงก็ก้มหน้าลงและเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ มือทั้งสองข้างกำรอบกริชที่ทำจากกระดูกสีขาวทั้งสองเล่มของตนแน่น ใบหน้าของหม่าฝูโปวกระตุกเล็กน้อย กล้ามเนื้อบนหลังของเขาเริ่มนูนและบวมขึ้น ในเวลาเดียวกัน ชากันก็หัวเราะออกมาด้วยเสียงเย็นยะเยือก หน้าอกและช่วงท้องของเขาพองตัวออกในลักษณะที่แปลกประหลาด
ฟึ่บ ฟึ่บ ฟึ่บ ! การระเบิดพลังหยินของหลิวอวี้ตามมาด้วยขั้นตุลาการนรกทั้งสามที่อยู่ฝ่ายเดียวกันกับเขา ในวินาทีนั้น กลุ่มก้อนพลังหยินที่หนาแน่นได้ก่อตัวขึ้นบนฟ้าและกดทับลงมาบนร่างของหยางจีเย่ !
ก้อนพลังหยินขนาดใหญ่ส่งผลให้บรรยากาศที่ปกคลุมยมโลกเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง สายลมรุนแรงและต้นไม้รอบพวกเขาเอนตัวออกจากจุดศูนย์กลางของการปะทะที่ทรงพลัง เงินกระดาษจำนวนนับไม่ถ้วนปลิวว่อนไปทั่วท้องฟ้า ในขณะที่เปลวไฟนรกที่ลอยอยู่อย่างสงบพลันพุ่งไปรอบ ๆ อย่างบ้าคลั่ง แม้แต่กระแสน้ำวนสีแดงเข้มบนฟ้าเองก็เริ่มหมุนวนอีกครั้งจากผลของการระเบิดของพลังหยินนี้ !
การเผชิญหน้าของขั้นตุลาการนรกนั้นอยู่ในระดับที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง !
แววตาของฉินเย่ไหววูบ เขาหันไปพยักหน้าให้กับอาร์ทิส ทว่าทันใดนั้นเอง พวกเขาก็ได้ยินเสียงถอนหายใจที่ยาวเหยียดดังขึ้น ! ฉางเย่ชุน ผู้ที่เงียบมาตลอดได้เอ่ยออกมาในท้ายที่สุด “เจ้าศักดินาแห่งฮันยาง ข้าขอถามอะไรท่านสักอย่าง… ท่านรู้หรือไม่ว่ายมโลกในเวลานี้มีความหมายว่าอย่างไร ?”
พลังหยินที่ยากจะต้านทานในอากาศหยุดชะงักลง และหลิวอวี้ก็หันไปมองฉางเย่ชุนด้วยสีหน้าเคร่งขรึม โดยไม่เว้นช่วง ฉางเย่ชุนเอ่ยต่อ “พวกท่านส่วนใหญ่ล้วนถูกใส่ร้ายและถูกกังขาโดยกษัตริย์และจักรพรรดิของตนเอง เจ้าศักดินาแห่งฮันยาง ตัวท่านเองก็เกือบจะสามารถรวบรวมแผ่นดินจีนได้ในช่วงเวลานั้น แต่พวกเรานั้นแตกต่างออกไป พวกเราได้รับประโยชน์จากความยิ่งใหญ่ของกษัตริย์และจักรพรรดิของตนเอง และได้สิ้นชีวิตลงอย่างมีเกียรติในท้ายที่สุด ข้อตกลงของเราที่ว่าจะยืนหยัดอยู่ฝั่งท่านนั้นถูกตั้งขึ้นในเงื่อนไขที่ว่ายมโลกนั้นอยู่ในสภาพที่หมดหวัง”
กั๋วจื่ออี้ที่ได้ยินเช่นนั้นก็เอ่ยต่อ “การข่มขู่พวกเราไปนั้นเปล่าประโยชน์ ไม่ว่าอย่างไรพวกเราทั้งหมดก็เป็นส่วนหนึ่งของราชทูตทั้ง 12 ท่านคิดว่าเราจะหวาดกลัวหรือหวั่นเกรงกับคำข่มขู่ของท่านอย่างนั้นหรือ ? ก่อนที่พวกเราจะเดินทางมายังยมโลก เราคาดว่าจะได้เห็นดินแดนที่แห้งแล้งและรกร้าง แต่ความจริงที่เราได้เผชิญก็คือข้อเท็จจริงที่ว่ายมโลกนั้นรุ่งเรืองและเฟื่องฟูด้วยการเจริญเติบโต มันยังคงเป็นความจริงที่ว่าวันหนึ่งยมโลกจะทวงคืนรัฐบริวารของตนกลับไป ไม่ว่าท่านจะชอบมันหรือไม่ก็ตาม หากยมโลกแร้นแค้นอย่างที่เราคาด พวกเขาอาจต้องใช้เวลา 400-500 ปีก่อนที่จะสามารถเทียบได้กับรัฐบริวารโดยรอบ และหากมันเป็นเช่นนั้น เราก็สามารถมาพิจารณากันอีกทีว่าสมควรจะต่อต้านยมโลกหรือไม่ เพราะสุดท้ายแล้ว การก่อสงครามก็หมายถึงการสูญเสียความพยายามและปัจจัยการผลิตทั้งหมดที่สั่งสมมาตลอดหลายร้อยปี …ทว่าเมื่อถึงเวลานั้น รัฐบริวารของพวกเราก็คงจะขยายตัวมากขึ้นเช่นกัน หรืออีกนัยหนึ่งก็คือเมื่อถึงเวลานั้น เราทั้งหมดก็ยังสามารถชดใช้ความเสียหายร่วมกันได้”
“หากทุกอย่างถูกเลื่อนออกไป มันอาจจะมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดการครอบงำเชิงอำนาจ ตราบใดที่เราสามารถสร้างความมั่นคงให้กับดินแดนของตัวเองได้ โลกทั้งหมดก็อยู่ภายในกำมือ ไม่ว่าจะเป็นเกาะเครื่องเทศที่อยู่ทางใต้ หรือตะวันออกกลางไปถึงตะวันตก เราก็อาจจะสามารถยึดครองมาได้ทั้งหมด” ฮั่นฉินหูเอ่ยเสียงต่ำ “พวกเราต่างเต็มใจที่จะยืนอยู่เคียงข้างเจ้าหากความเป็นไปได้ที่มีนั้นต่ำอย่างที่เราได้คาดการณ์กันไว้ แต่ความจริงของยมโลกนั้นอยู่เหนือความคาดหมายของเราอย่างสิ้นเชิง”
“ด้วยการพัฒนาที่รวดเร็วเช่นนั้น ข้าเกรงว่ามันอาจจะใช้เวลาไม่ถึงร้อยปีด้วยซ้ำก่อนที่ยมโลกจะกลับมามีอำนาจในการควบคุมทั้งทวีปตะวันออกอีกครั้ง ! เจ้าศักดินาแห่งฮันยาง ข้าขอถามท่าน… หากเวลานั้นมาถึงในอนาคตอันใกล้นี้… ราชทูตทั้ง 12 จะทำเช่นไร ?! ลองถามหัวใจของท่านเอง… ท่านยังถือว่าตนเองเป็นชาวจีนเฉกเช่นพวกเราทุกคนที่นี่หรือไม่ ?!”
เจ้าศักดินาแห่งฮันยางสูดหายใจเข้าช้า ๆ และกัดฟันกรอด
แน่นอน เขาถือว่าตัวเองเป็นชาวจีน !
พวกป่าเถื่อน… คนอื่น ๆ ล้วนเป็นพวกป่าเถื่อนทั้งสิ้น ! ไม่เคยมีสักครั้งเลยที่เขาคิดว่าตนไม่ใช่ชาวจีน !
แต่… หลังจากที่ได้เตรียมการมาอย่างยาวนานเพื่อวันนี้ ทั้ง ๆ ที่ได้รับโอกาสที่สำคัญนี้ เขาจะยอมปล่อยมันไปง่าย ๆ ได้อย่างไรกัน ?!